ถ้ามาเขาใหญ่ตอนนี้จริง คงหนาวกว่าในเรื่องแน่ๆเลย
ไปดูกันต่อนะ
**********************
ตอนที่18
ระหว่างทางที่จะไปที่ทำการอุทยานมีจุดชมวิวอยู่ข้างๆถนนครับ เนื่องจากยังเป็นยามเช้า แม้จะเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว แต่ก็ยังมีหมอกอยู่บางเบาครับล่องลอยเหมือนม่านสีขาวพาดผ่านอยู่ตามยอดแนวเขาที่ลดหลั่นกันไปสูงๆต่ำๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลากพันธ์สีเขียวครึ้ม ต่างเติบโตอยู่ด้วยกันบนเทือกเขาใหญ่น้อย
ผมก็ไม่รู้ว่าภูเขาด้านไหนกินพื้นที่จังหวัดอะไร เพราะมันดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ผมรู้สึกแค่ว่ามันเขียวดีจัง มันสดชื่นมากๆ ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯทุกๆวันเห็นแต่รถ ตึกอาคาร สำนักงาน
ผมเคยทำงานบนสำนักงานสูงๆมองวิวของตึกระฟ้า เคยดูทั้งในตอนกลางวันและยามค่ำคืน วิวของหมู่ตึกอาคารก็สวยงามไปอีกแบบครับโดยเฉพาะตอนกลางคืน แต่เวลามองแล้วมันไม่ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบนี้
เหมือนอากาศที่บนเขาใหญ่มันผ่านจากจมูกเข้าไปถึงข้างในร่างกายทั้งหมดของผม ผ่านทะลุเย็นยะเยือกเข้าไปถึงใจ
เรายืนมองภาพของป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์นี้ด้วยกัน ผมว่าพี่ต่ายเองก็คงมีความสุขไม่ต่างไปจากผม ไม่มีคำพูดอะไรจากเราสองคน ได้แต่ยืนดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติด้วยกัน
เรากำลังสูดลมหายใจอันบริสุทธ์ของธรรมชาติที่มีให้กับมนุษยชาติร่วมกัน เก็บภาพแห่งความงามไว้เพื่อเป็นกำลังในการกลับไปทำงานต่อไป จนได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่เริ่มเดินเข้ามา พี่ต่ายยกมือดูเวลา
“โอมไปกันเถอะครับ เราคงต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวจะสายเกินไป ต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่อีก”
พี่ต่ายยื่นมือมาให้ผม ทั้งที่คนอื่นกำลังเดินมาเพียบครับ แต่ผมคงกำลังโดนมนต์สะกดของธรรมชาติ ผมยื่นมือไปให้พี่ต่ายเดินจูงผมกลับไปที่รถด้วยกันโดยไม่รู้ตัว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การที่เราจะไปเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ครับ โดยเข้าไปติดต่อที่สำนักงานที่ทำการอุทยานฯ โดยต้องแจ้งชื่อที่อยู่ของผู้เดินทาง เราสามารถขอแผนที่เส้นทางเดินป่าได้ครับ แล้วถ้าใครต้องการให้เจ้าหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์นำทางก็ติดต่อที่ทำการฯได้ครับ จะส่องสัตว์ก็จองรถที่นี่ จะติดต่อจองบ้านพักก็ทำได้ครับ แต่ทางที่ดีติดต่อล่วงหน้าดีกว่าครับเพราะศุกร์เสาร์มักจะเต็ม
เส้นทางเดินป่ามีให้เลือกหลายเส้นทางครับแต่เนื่องจากเราสองคนมือใหม่หัดเดินทั้งคู่ ปรึกษากันแล้วเลยเลือกที่จะไปเดินเส้นทางผากล้วยไม้-เหวสุวัติระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร เราต้องนั่งรถสองแถวของอุทยานฯจากที่ทำการไปอีกประมาณ 8 กม.เพื่อจะไปเริ่มเดินทางที่น้ำตกผากล้วยไม้
ก่อนการเดินทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯบอกว่า ช่วงนี้ยังมีฝนตกเป็นระยะ อาจจะมีทากอยู่บ้างเลยแนะนำให้ใส่ถุงกันทากด้วย ซึ่งผมก็เตรียมมาจากบ้านแล้ว
ถุงกันทากทำจากผ้าดิบสีขาว ทำเป็นรูปรองเท้าบูท เวลาสวมต้องสวมเหมือนใส่ถุงเท้าแต่หุ้มขึ้นมาสูงถึงหัวเข่า ตรงปลายจะมีเชือกให้ผูกจะได้ไม่เลื่อนลงเวลาเดิน ใส่ไว้ก็ดีครับจะได้อุ่นใจ
ช่วงนั่งรถสองแถว ลมโกรกจนหนาวเลยครับผมกับพี่ต่ายเลยนั่งเบียดกันไปเลย แก้หนาวครับ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆนะ ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยแต่ก็อุ่นใจเพราะไปกับพี่ต่าย
ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าใช้เวลานานแค่ไหนในการเดิน สำหรับระยะทางขนาดนี้ เค้าบอกว่าน่าจะประมาณ สามชั่วโมงถ้าเดินแบบเรื่อยๆ ก็ไม่นานนะครับน่าจะกำลังดี ไม่เหนื่อยมากด้วย ก็ผมสองคนน่ะ ไม่ได้ออกกำลังกายกันเลย วันๆทำแต่งานเผลอๆยังแข็งแรงสู้ผู้หญิงบางคนไม่ได้ด้วย
ระหว่างการเดิน ตอนแรกๆเรายังคุยกันชี้ชวนดูนู่นนี่ครับ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มมีสูงต่ำ บางช่วงทางเดินเป็นดิน บางช่วงเป็นคอนกรีตที่ทางอุทยานฯทำไว้เพื่อให้สะดวกในการเดิน ถ้ามัวแต่คุยลงได้มีหกล้มกันบ้างเลยต้องระวังมากขึ้น
“พี่ต่ายเหนื่อยไม๊” ผมถามหลังจากเดินไปได้ซัก 15 นาที
“ยังเลยโอมเหนื่อยแล้วเหรอ”
“ยังพี่ นึกว่าเผื่อพี่อยากทานน้ำ”ผมจะได้เอาของผมให้พี่ไง
“ของพี่ก็มี”ผมรู้แต่อยากบริการไง
“เอาหน่อยนะ....นะ” อ้อนอีกหน่อย
“เดี๋ยวจุก เดินไม่ไหว”พี่ต่ายยังยืนยันครับ
ผมเปิดขวดน้ำเลยครับ แล้วยื่นให้พี่ต่ายดื่ม พี่ต่ายส่ายหัวเดินต่อไป
“คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง ยังไม่เห็นความดี” ผมก็เลยเดินล่วงหน้าไปเลยครับ งอน
“โอม.... โอม....” เสียงพี่ต่ายเรียกครับ แต่ผมทำเป็นหูทวนลม ไม่ต้องมาง้อเลย
“โอม............” ทำไมเสียงไกลๆ สงสัยเราเดินนำมาเยอะ
“โอม” คราวนี้พี่ต่ายตะโกนเลยครับ
“ไม่ใช่ทางนั้น.......... ต้องมาทางนี้ จะไปไหน”
อ้าว......เหรอ เวรเลยมัวแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ได้ดูทาง อายตายห่าเลย
ผมเลยทำเป็นเดินไปตามทางที่พี่ต่ายชี้ “ทางนี้เหรอพี่”
“อือ ทางนี้ไม่ใช่ทางนั้น”แน่ะทำเป็นมาอมยิ้ม อย่านะถ้าหัวเราะละก็มีเคืองด้วย
ผมเลยทำตาขึงใส่พี่ต่าย เป็นสัญญาณว่า ห้าม –หัว-เราะ-เยาะ ได้ผลครับแต่พี่เค้าต้องหันหน้าไปทางอื่น ผมเลยรีบเดินไปเลยครับ ก่อนที่จะอายไปมากกว่านี้
ตกลงพี่เค้าไม่ง้อผมเลย แต่ผมก็ไม่น่าไปโกรธพี่เค้าหรอกครับ เพราะเราเพิ่งเดินมานิดเดียวเองจะไปหิวน้ำได้ไง แล้วที่ผมให้พี่เค้าก็ไม่ใช่อะไรหรอก ผมกะว่ากินของผมให้หมดก่อนผมจะได้ไม่ต้องถือ สงสัยผมจะทำความชั่วไม่ขึ้น สวรรค์ไม่เป็นใจเลย ผมก็เลยเลิกงอนแล้วครับ งอนไปก็ไม่มีประโยชน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เราเดินเลียบริมธารน้ำตกไปครับ เส้นทางที่เราเดินก็มีรอยเท้าคนเหยียบจนเป็นรอยทาง แทบไม่ต้องดูแผนที่ก็เดินได้ บางครั้งก็เดินขึ้นเนินบ้าง เดินลงบ้าง อากาศยังเย็นอยู่ก็จริงแต่จากการที่เราเดินมาพักนึงแล้วก็เลยเริ่มมีเหงื่อแล้วครับ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ระหว่างทางมีมากครับมีทั้งไม้เลื้อย ไม้ยืนต้น ผมรู้จักอยู่อย่างเดียวครับ ก็คือต้นไผ่ แหมก็ความรู้ผมเรื่องพืชพันธ์มันน้อยจริงๆ
กำลังเดินๆอยู่ครับพี่ต่ายก็เรียกผม
“โอม.....โอม....มานี่หน่อย”
“มีไรพี่ทำไมเหรอ หยุดทำไม”
“ช่วยพี่หน่อยซิ” ทำไมพี่ต้องพูดกระซิบด้วยล่ะ
“ได้พี่หิวน้ำแล้วเหรอ”ผมกำลังจะหยิบน้ำให้พี่ต่ายแล้ว
“ไม่ใช่.....เอาทากออกให้พี่หน่อยมันเดินมาบนเสื้อพี่แล้ว ...เร็ว”
มันคงกำลังจะเล่นกายกรรมเปียงยางบนตัวพี่ต่ายแล้วครับ แต่มันเดินเร็วมากๆ ถ้าใครเคยเห็นก็คงแหยง แล้วไอ้ตัวนี้ มันก็ตัวใหญ่เหมือนกันครับ ทากมันเดินคล้ายๆหนอนครับ ปลายข้างนึงจะส่ายหัว พอหาที่ได้ก็จะเกาะแล้วปลายอีกข้างก็จะตามมาเกาะชิดกันกับปลายอันแรก
“อ้าวเร็วซิ โอม”
พี่ต่ายคงกลัวนะครับ ก็มันเล่นส่ายหัวหาพี่ซะขนาดนั้น ทำอย่างกับเป็นงูส่ายหัวกำลังจะฉกเหยื่อ ผมเลยรีบหาใบไม้ใบใหญ่ๆครับกะว่าจะดึงมันออกไป แต่มันเหนียวมากครับ ต้องหากิ่งไม้มาช่วยเขี่ยด้วยถึงจะเอาออกได้ แล้วโยนมันทิ้งไป
ตลกดีพี่ต่ายตัวออกจะโตกลับกลัวทากตัวแค่นี้ 5555
คราวนี้เราเลยต้องหยุดสำรวจก่อนครับ ว่าตามตัวเรามีน้องทากอีกรึเปล่า ก็มีบ้างครับตัวเล็กๆน้อยๆแต่มันก็ยังไม่ได้เลือดเราไปหรอกครับ กำจัดไปหมดก่อน
เสียงลำธารที่ไหลรินๆ เสียงนกร้องจิ๊บๆ เสียงแมลงร้องกันระงมครับก็เพลินๆดี ผมแหงนหน้ามองขึ้นไป ร่มเงาของใบไม้ต้นไม้ มันครอบคลุมจนไม่เห็นดวงอาทิตย์ได้เต็มๆเลย เห็นแต่แสงสว่างส่องมาเป็นลำ ต้นไม้ในป่านี่มันสูงจริงๆครับ มันต้องอยู่มานานกว่าชั่วอายุผมแน่ๆ
ผมกับพี่ต่ายเดินไปเงียบๆ มีชี้ชวนกันดูต้นไม้บ้าง แต่ก็ความรู้แย่พอกันครับ ไม่รู้จักต้นอะไรเลย แต่ตอนนี้ไม่มีกล้วยไม้ครับ คงต้องเป็นช่วงเดือนเมษา แต่เรายังเห็นต้นของมันอยู่ประปราย แต่ไม่มีดอกให้เห็น แต่ก็มีดอกหญ้าขึ้นอยู่ตามพื้นสีขาวๆ แต่ผมก็ไม่รู้จักอยู่ดี ผมยังคิดว่าถ้ามากับเจ้าหน้าที่อุทยานฯคงจะได้ความรู้อีกมาก
เราเดินมาถึงส่วนของน้ำตกที่เป็นลำธารตื้นๆ ผมเลยชวนพี่ต่ายถ่ายรูปแล้วก็ลงไปนั่งเล่นน้ำกัน ผมวางของไว้แล้วถอดรองเท้า
“พี่ต่ายไปเล่นน้ำกันนะ” น้ำในลำธารเย็นเฉียบเลยครับ
ผมลองกวักน้ำมาล้างหน้า ล้างแขนสดชื่นจริงๆเลยครับ ผมอยาก ให้พี่ต่ายสดชื่นบ้าง เล่นคนเดียวก็ไม่สนุกซิ
“พี่ต่ายหันมาทางนี้หน่อย” พอพี่ต่ายหันหน้ามา ผมเลยกวักน้ำใส่พี่ต่ายเลยครับ
“เล่นอย่างนี้เหรอ....เอาซิ”
คราวนี้เราเล่นกันจนเปียกเลยครับ เนื่องจากเรามาเดินกันแค่สองคน ไม่มีคนเลยครับแถวนั้น เลยส่งเสียงดังกันไม่ต้องเกรงใจใคร
ผมเลยกะว่าเล่นน้ำตรงนี้ล่ะเงียบดี
“พี่ต่ายผมเอากางเกงขาสั้นมา ไปพี่......ไปเปลี่ยนกัน เสื้อก็ถอดตากไว้ก่อน เดี๋ยวจะได้ใส่กลับ เล่นน้ำตรงนี้เลยดีกว่า”
พี่ต่ายก็ว่าง่ายครับ ไม่มีใครคิดอะไรแบบนั้นหรอกน่า เราหันหลังกันครับตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าพอเราเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเสร็จ ก็ถอดเสื้อ พอต่างหันกลับมา ผมว่าเราขาวพอๆกันเลยครับเผลอๆผมจะขาวกว่าอีก
แวบนึงผมนึกถึงหนังฝรั่งที่เค้าชอบถอดเสื้อผ้าเล่นน้ำตกกันไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่แวบต่อมาผมเกรงใจผีสางเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา กลับท่านตกใจกันป่ากระเจิง ผมเลยได้แต่คิดในใจคนเดียวครับ หุหุหุ
แต่พี่ต่ายน่ะก็อย่างที่บอกว่าหุ่นแกน่ะสุดยอดขนาดผมเห็นแกใส่เสื้อมาตลอด พอแกถอดเสื้อเห็นเต็มๆสองตาผมเป็นผู้ชายยังอิจฉาเลย ผมไม่บรรยายดีกว่าว่าเป็นยังไง เก็บไว้ในใจคนเดียวดีกว่า ซร๊วบบบบ.................. ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆนะสาบานได้
แต่ทำไมน้ำลายไหลหว่า เอิ๊กกกกก.......
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เอารูปน้ำตกในระหว่างเดินป่ามาให้ดูครับ
<img src="
http://img406.imageshack.us/img406/9594/img1906lt8.jpg" alt="Image Hosted by ImageShack.us"/><br/>