ตอนที่ 7
พลิกตลบในข้ามคืน
“ตวัน”
เมื่อเดินไปหลังเวที ผมยื่นมือหาตวันซึ่งมองมาตะลึงค้าง
อย่าว่าแต่เขาเลย บรรดานางแบบรวมถึงทีมงานเบื้องหลังพากันมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป น่าเสียดายที่พาฝันถูกพาไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่งั้นผมคงได้เห็นภาพนางแบบสาวมองอย่างอิจฉาริษยา เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไป สัญลักษณ์ของดาราลัยจิวเวลรี่จะไม่ใช่พาฝัน แต่คือนาวา!!
ผมปฏิญาณไว้ในใจก่อนขึ้นโชว์ และก็ทำได้จริง
นึกแล้วก็อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ เมื่อครู่ตอนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ความรู้สึกจุกในอกคล้ายจะคลายออก ผมลืมเลือนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นลนลานกับงานเปิดตัวครั้งแรก ความเคารพนับถือแกมประชดประชันกับการกระทำของพาฝัน หรือกระทั่งความผิดหวังเสียใจกับคนรักของตัวเอง
ผมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เมื่อสวมใส่เครื่องเพชรที่ออกแบบเองก็ก้าวเดินอย่างมั่นใจ ผมชอบสวมใส่เครื่องประดับอยู่แล้ว แม้จะไม่เคยสวมต่างหูที่ทิ้งตัวยาวเป็นจี้กับรูปทรงโค้งมนแบบสตรีลงมาแบบนี้ก็ตาม แต่ไม่ยักหวาดหวั่นสักนิด ตอนนั้นผมคิดเพียงอย่างเดียว...คือผมเป็นอิสระแล้ว
เป็นอิสระจากความรักความผูกพันที่พันธนาการมาหลายปี
เป็นอิสระจากการปกป้องดั่งไข่ในหินของพี่ชาย
ผมทำเพื่อคนอื่นมากไป ใจดีเกินไป เพื่อคนที่รัก ผมพร้อมจะเสียสละตัวเองอยู่ในมุมที่ปลอดภัยที่สุด ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่สุดเพื่อให้พวกเขาวางใจจนเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันนั้นไร้ค่าไร้ความหมาย
แต่นับแต่นี้ไป...ผมจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง!
ความรู้สึกนั้นส่งผ่านการเดินให้ยิ่งเฉิดฉาย เครื่องประดับที่สวมใส่ก็คล้ายส่งเสริมให้ผมเป็นตัวเองโดยไม่ต้องกังวลถึงความคิดของใคร จนตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลตอบรับเป็นอย่างไร เพราะผมแทบไม่สนใจกับปฏิกิริยาของผู้ชม ไม่ว่าจะออกมาดีหรือแย่ผมก็พร้อมน้อมรับโดยไม่เสียใจ
“ตวัน” ผมเรียกชื่ออดีตคนรักอีกครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะบอกกับตัวเองว่าอยากสลัดเขาทิ้งแค่ไหน แต่ก็ยังรักและนึกตัดพ้อเสมอ ถึงขนาดสงสัยตัวเองว่าทำอะไรผิดไป ลาก่อน ไม่มีอีกแล้วนาวาคนนั้น ผมมองเขาเป็นคนรู้จักคนหนึ่ง ไม่มีทั้งความรักและเจ็บปวด ตัดความรู้สึกพรรค์นั้นออกไปโดยสิ้นเชิง
หลงงมงายตั้งนาน ช่างไร้สาระจริงๆ!
ขณะที่ผมปลงตกถึงขั้นตกสะเก็ดแถมยังเตะสะเก็ดนั้นให้กระเด็นไกลยันนอกโลก ตวันกลับจับมือผมคล้ายหลงละเมอ สายตายามทอดมองมานั้นแฝงประกายบางอย่างคล้ายวันที่เขาสารภาพรักเมื่อเจ็ดปีก่อน
ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะคลี่ยิ้มเย็น จูงมือตวันออกไปหน้าเวทีพร้อมนางแบบอีกหกคนซึ่งประกบด้านละสาม พวกเราโค้งขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่ปรบมือชื่นชมเกรียวกราว และนั่นทำให้ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าทำสำเร็จแล้ว
ผมมองพี่นทีซึ่งนั่งตรงโซนวีไอพีด้านหน้าสุดเป็นคนแรก พี่ชายผู้เอื่อยเฉื่อยของผมยังนั่งช็อกอยู่เลย ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งสติและลุกขึ้นปรบมือเหมือนคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเหมือนโดนหมัดน็อคเข้าอย่างจัง
ผมยิ่งฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะสะดุดสายตากับศศินซึ่งนั่งถัดจากอีกนทีไปสองที่นั่ง
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าวายร้ายกำลังมองผมอย่างเชิดชูและภาคภูมิ
วินาทีนั้นในใจลึกๆ ลอบสั่นไหว เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากให้คนที่รักทั้งสองคนมองเห็นมาตลอด ซึ่งทั้งตวันและพี่นทีไม่แม้แต่จะมอบให้ แต่กับคนที่ไม่แม้แต่จะให้ความสำคัญ กลับเห็นค่าของผมยิ่งกว่าใคร
เพราะตั้งแต่แรกพบจนถึงตอนนี้ ตลอดเวลาเจ็ดปีศศินมองผมอย่างนี้เสมอไม่เคยเปลี่ยน
ทุกครั้งผมพยายามหลีกหนี ถอยห่าง ไม่อยากให้ตวันหึงหวงจึงแสร้งไม่สนใจ
แต่ตอนนี้ผมพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงขอบคุณ แม้ไม่อาจตอบรับความรัก แต่ผมขอบคุณในความจริงใจที่เขามีให้
ศศินเผยความประหลาดใจวูบหนึ่ง ก่อนจะหลุดยิ้มบางออกมา ยิ้มนั้นไม่ยักยียวนเหมือนเดิม เพราะเป็นยิ้มที่มาจากใจไม่ใช่การกวนประสาทให้ผมอาละวาดโวยวาย เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะทำให้ผมยอมโต้ตอบด้วย
คล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าผมยังมองอยู่อย่างรอคอยคำตอบ ศศินจึงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เป็นไร
พลันตวันกำมือผมแน่นขึ้นจนเรียกสติให้จดจ่อกับเวทีอีกครั้ง ผมรับช่อดอกไม้จากนางแบบ ความจริงแล้วคนที่ควรทำหน้าที่นี้คือพาฝัน แต่ในเมื่อเธอไม่อยู่ นางแบบซึ่งเดินเป็นคนแรกจึงส่งให้แทน
ผมเดินไปกลางเวทีเพื่อให้นักข่าวเก็บภาพชัดๆ
ซึมซาบช่วงเวลาแห่งความสุขนี้อย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้มจูบแหวนมรกตแผ่วเบา
วาทำได้แล้วครับ คุณแม่ วันต่อมาในหน้านิตยสารแฟชั่นและเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องเพชรและแวดวงไฮโซต่างเขียนบทความเกี่ยวกับนาวา ดาราลัยผู้เป็นเจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ดาราลัยตัวจริง ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกว่าคบหากับตวัน ใจภักดีผู้เป็นหนึ่งในผู้บริหารร่วมเจ็ดปี
‘ก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เคยออกหน้า เพราะอยากให้ตวันพิสูจน์ตัวเองน่ะครับ’ บทสัมภาษณ์ของนาวา ดาราลัยถูกแชร์กระหน่ำในโลกโซเชียลเพราะความรักลึกซึ้งระหว่างทั้งคู่
‘และตวันก็ทำสำเร็จ ยอดขายของดาราลัยจิวเวลรี่ในงานแฟชั่นโชว์ปีที่แล้วทุบสถิติเดิมเป็นประวัติการณ์ ทุกคนยอมรับตวัน คนรักของผมคนนี้ แม้เขาจะไม่มีฐานะร่ำรวย แต่เขามีใจที่ภักดีและไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง พวกเราถือหุ้นคนละครึ่งไม่ต่างกับการสัญญาใจ’ ภาพถ่ายยามสองคนยืนเคียงกันช่างเหมาะสม เพราะไม่แค่ความรักของเพศเดียวกัน แต่ยังเป็นความทุ่มเทและพิสูจน์ในรักที่มั่นคงถึงเจ็ดปี
และเมื่อถูกถามถึงนางแบบสาวพาฝันที่หายตัวอย่างเป็นปริศนาในงาน
‘เธอแพ้อาหารน่ะครับ คงจะรับประทานไม่ระวังก่อนขึ้นโชว์ ในฐานะเจ้าของดาราลัยจิวเวลรี่ ผมย่อมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก จึงตัดสินใจเดินแทน เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้โชว์ล่มไปเฉยๆ คาดไม่ถึงเลยครับว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนี้’
ไม่เพียงการตอบรับที่ดี แต่การกระทำของนาวายังทำให้เกิดเป็นกระแสในกลุ่ม LGBT หรือรักร่วมเพศและเพศทางเลือกให้หันมารักตัวเองและมั่นใจความเป็นตัวเอง อีกทั้งยังส่งสารถึงสังคมให้เลิกอคติถึงการแบ่งแยกระหว่างหญิงชายผ่านการสวมใส่เครื่องประดับครั้งนี้
จึงไม่แปลกที่ยอดขายจะพุ่งกระฉูด...แซงหน้าที่ตวันทำไว้ชนิดไม่เห็นฝุ่น
เครื่องเพชรราคาแพงนั้นจำกัดเฉพาะกลุ่มอยู่แล้ว ทำให้แม้จะทุบสถิติเดิมก็ไม่ได้ห่างมากเป็นเท่าตัว แต่หลังแฟชั่นโชว์ของนาวาถูกจัดแสดงและได้รับการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ก็เพิ่มลูกค้าต่างเพศซึ่งมีกำลังซื้ออีกกลุ่มหนึ่งที่เคยมองข้ามโดยปริยาย
การปรากฏตัวของนาวา ดาราลัยตามงานต่างๆ ก็เป็นที่ชินตาเมื่อเห็นชายหนุ่มสวมต่างหู สร้อย แหวน หรือกำไลข้อมือ นาวามีรสนิยมที่ดี เครื่องประดับมักเลือกที่เข้ากับตัวเองเน้นความมาดมั่น ไม่ใช่อ่อนช้อยอ่อนหวาน มีเอกลักษณ์ของตัวเองจนทุกครั้งที่มีการออกงาน เครื่องประดับที่นาวาสวมใส่นั้นๆ เป็นต้องมียอดจองพุ่งสูงทุกครั้ง
เพราะนาวาสวมใส่แล้วดูดีเหลือเกิน
ผู้สั่งจองนั้นก็มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง
จึงไม่แปลกหากปีนี้จะเป็นปีทองของดาราลัยจิวเวลรี่ และบุคคลที่ได้รับการค้นหามากที่สุดก็คือนาวา ดาราลัยนั่นเอง
“พี่ทีมีอะไรจะคุยกับวาเหรอครับ”
ผมถามพี่ชายซึ่งบุกมาหาถึงบริษัทโดยขณะเช็กข่าวสารต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ ไม่นึกเลยว่างานแฟชั่นโชว์จะนำมาซึ่งความสำเร็จมากมายขนาดนี้ การแต่งตัวของผมที่แตกต่างในแต่ละธีมงานเป็นที่สนใจของผู้คน ถึงขั้นรอคอยด้วยซ้ำว่าวันนี้ผมจะมาแนวไหน เพราะบางครั้งหาสวมทับทิมผมจะร้อนแรงดั่งไฟ หากเป็นไพลินก็จะแต่งสุภาพดั่งสายน้ำ
ท่ามกลางความประหลาดใจ ผมกลับสงสัยซะงั้นว่ามันประหลาดตรงไหน เพราะเดิมทีผมก็ชอบสวมใส่พวกเครื่องประดับอยู่แล้ว มักประยุกต์กับการแต่งตัว เพียงเปลี่ยนจากเน้นที่การแต่งกายแล้วค่อยเลือกเครื่องประดับ เป็นเลือกเครื่องประดับแล้วค่อยเลือกชุดสวมใส่ซึ่งตรงตามความหมายของอัญมณีหรือการออกแบบนั้นๆ
ขนาดตวันที่เห็นผมผีเข้าผีออกเป็นประจำยังงงเลย คงเพราะปกติผมแต่งตัวอยู่กับบ้านไม่ก็ออกไปช็อปปิ้งเจอเพื่อน ไม่เคยแต่งตัวเป็นทางการออกงานจึงให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไป
เขาดูจะปลาบปลื้มเป็นพิเศษเวลาควงแขนผมนะ
ผิดกับพาฝัน
ทั้งคู่ยังติดต่อกัน แต่เว้นช่วงนานกว่าเดิม จากเมื่อก่อนนัดเจออาทิตย์ละสามถึงสี่วัน ตอนนี้ก็เหลือแค่หนึ่งถึงสองวันเท่านั้น
ส่วนหนึ่งเพราะตวันติดออกงานกับผม ทั้งที่เมื่อก่อนจะไปกับพาฝัน ส่วนตัวนางแบบสาวเองก็โดนสื่อสัมภาษณ์พอประมาณถึงอาการแพ้อาหารฉับพลัน แม้จะน่าฉุกใจสงสัย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเธอจะตัดอนาคตตัวเองถึงขนาดจงใจกินอาหารที่แพ้ลงไป ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นอุบัติเหตุมากกว่า
ข่าวของเธอถูกนำเสนอสั้นๆ เพียงเท่านี้และไม่ได้เอ่ยถึงอีกเลย
ป่านนี้พาฝันคงนั่งร้องไห้น้ำตานอง นึกเสียใจไม่น่าเปิดโอกาสให้ผมอยู่ละมั้ง
นึกแล้วผมก็หลุดยิ้มขัน คลิกเม้าส์ปิดหน้าจอเพื่อหันมาคุยกับพี่ชาย
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจบงานพี่นทีไม่ยอมติดต่อผมเกือบสองอาทิตย์ ขนาดผมโทรหายังไม่ยอมรับสาย เหมือนเขาต้องไปทำความเข้าใจกับน้องชายซะใหม่ และตอนนี้ก็คงจะตระหนักได้แล้วว่าผมไม่ใช่เด็กน้อยอ่อนแอแสนเปราะบางคนเดิม
“ปีนี้วาอายุยี่สิบห้าแล้วสินะ”
“ใช่ครับ เบญจเพสพอดีเลย” ผมโคลงศีรษะ
“ตอนนอนโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย...ก็ตอนอายุสิบสอง ผ่านมาตั้งสิบสามปีแล้วเหรอเนี่ย”
“พี่ทีอย่าพูดให้วารู้สึกแก่สิ” ผมขมวดคิ้วมุ่น ยิ้มแยกเขี้ยวให้พี่ชาย เพราะต้องแต่งชุดสูทไปงานติดต่อหลายคืน วันนี้ผมเลยนึกพิลึกหยิบเสื้อคลุมสีสดใสทับบนเสื้อยืดสกรีนลายตัวตลก กางเกงสีเขียวขี้ม้ารับกับรองเท้าบู๊ตครึ่งแข้งสีกากี เสยเปิดผมข้างหนึ่งและติดกิ๊บสีเงินเข้าคู่กับต่างหูสีเงินที่มีลักษณะเหมือนตะปู
พี่นทีมองผมแล้วส่ายหน้า บางทีคนที่ทำให้พี่ชายเข้าไม่ถึงแฟชั่นอาจเป็นตัวผมเองก็ได้...
“จะว่าไปตอนเด็กๆ วาเคยจับพี่ติดเข็มกลัดคอลเล็กชั่นใหม่ของแม่ไล่เฉดเป็นสีรุ้งด้วยนะ”
“เรื่องตั้งนมนานแล้วพี่ทีจะพูดขึ้นมาทำไม”
“มีครั้งหนึ่งวาไม่สบายร้องงอแงว่าจะไปดูแฟชั่นโชว์ให้ได้ด้วย จนพี่ต้องขอร้องแม่ให้ยอมพาวาไป”
“พี่ที!”
“อย่าตะโกนสิครับ” พี่ทีหัวเราะเอื่อยๆ เชิงอย่าคิดมากเลยนะ ผมเป็นพวกโกรธง่ายหายไว แต่ไหนแต่ไรก็แพ้ทางพี่ชายเลยกดสายในหาเลขาฯ ให้ช่วยชงโกโก้ร้อนแก้เขิน “ถึงประหลาดใจ แต่พี่ภูมิใจนะ”
“...”
“แม่เองก็คงภูมิใจ”
“ขอบคุณ...ครับ” ผมเอ่ยตอบเสียงเบา ยกมือลูบหน้าขณะหูแดงก่ำ
พลันพวกเราสองพี่น้องพากันดื่มด่ำกับบรรยากาศอบอุ่น
ก่อนจะถูกขัดจังหวะเมื่อเลขาฯ ของผมนำโกโก้ร้อนมาเสิร์ฟ ผมวางแก้วกันความร้อนสีแดงลายหัวกะโหลกบนที่รองแก้วสีม่วงลายดอกไม้กำลังเบ่งบาน
“พี่เป็นพี่ชายที่แย่จริงๆ ไม่เคยรู้เลยว่าน้องชอบอะไรทั้งที่เห็นชัดขนาดนี้แท้ๆ”
อย่ามองผมคล้ายเห็นตัวประหลาดนะ นี่มันแฟชั่น!
“ช่างเถอะครับ พี่ทีก็รู้ตัวช้าอยู่แล้ว” ผมยิ้มซุกซน “กว่าจะมาพูดกับวายังใช้เวลาตั้งสองอาทิตย์ ช้าสุดๆ!”
“งั้นตวันไม่ช้ากว่าพี่เหรอ เขาอยู่กับวาตลอดเลยนี่”
“ตวันรู้แต่แรกต่างหาก พี่ทีอย่าหาพวกสิครับ” ผมยักไหล่ ถ้าตวันไม่รู้ตัวก็ตาบอดเต็มทีแล้ว แถมคนที่ขอความเห็นเรื่องแฟชั่นโชว์เมื่อปีก่อนก็คือตวัน เขาน่ะ...รู้ดีเลยล่ะว่าผมชอบและถนัดอะไร แต่ที่ไม่ออกปากก็เพราะต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง และผมก็ยินดีที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเพื่อไม่ให้สถานะในบริษัทของเขาโดนกดต่ำดูแคลน
“...อ้อ”
ผ่านไปห้านาทีพี่นทีเพิ่งถึงบางอ้อ
ผมมองพี่ชายกึ่งยิ้มขัน ก่อนจะปัดมือผ่านกลุ่มควันที่ลอยเหนือแก้วโกโก้ร้อนๆ อย่างสำราญใจ
ช่วงเวลาสามปีตวันทุ่มเทแรงกายแรงใจจนได้รับการยอมรับ ทำให้แม้ผมจะเปิดตัวและทำผลงานแซงหน้าก็ไม่ทำให้ตวันด้อยค่าลง แต่ได้รับการยอมรับอย่างทัดเทียมกัน อย่าลืมสิว่าผมแย่งงานมาจากตวันโดยปรับแก้ไขแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ผมเองก็ไม่เร่งรีบ ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้งานและขุดความรู้สมัยเรียนที่ลืมๆ ไปอีกเยอะ แม้จะน่าปวดหัว ไม่อยากทำ แต่ผมไม่ใช่เด็กที่จะเกี่ยงงอนเอาแต่ใจ คิดจะเดินด้วยสองขาของตัวเองก็ต้องลุยให้สุดตัว
เดิมทีผมวางแผนให้ตัวเองเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คอยให้คำแนะนำตวันและออกแบบเครื่องประดับบ้างตามโอกาส เลยไปลงเรียนเพิ่มเติมด้านแฟชั่นไม่ใช่บริหาร เพราะผมเกลียดพวกงานนั่งโต๊ะที่สุด แต่ไม่รู้ตวันไปโดนพาฝันเป่าหูอะไร ถึงไม่ค่อยฟังผมแล้ว เพิ่งมีช่วงหลังจากงานแฟชั่นโชว์นั่นแหละ ที่เขาเหมือนจะตาสว่างขึ้นมา เกาะติดกับผมคอยถามความเห็นตลอด
ตวันเสนอให้ผมทำงานห้องเดียวกับเขา มีอะไรจะได้ปรึกษากันได้ แต่ผมบอกปัด ยึดห้องประชุมเล็กมาเป็นห้องทำงานชั่วคราว ปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์นิดๆ หน่อยๆ ก็พอใช้ได้
เอาจริงๆ คือเพราะห้องประชุมตรงนี้ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาดี ส่วนแถวตวันน่ะมีคนแวะเวียนตลอดเวลา น่ารำคาญจะตาย
“แล้ววาจะทำอะไรต่อเหรอ” พี่นทีคงถามเรื่องงาน ผู้มากประสบการณ์อย่างเขาพร้อมจะให้คำแนะนำแก่น้องชาย แต่โทษที เพราะผมดันตอบในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับดาราลัยจิวเวลรี่แม้แต่น้อย
“ทำเรื่องน่าสนุกน่ะครับพี่ที”
ผมหันมาคลิกคอมพิวเตอร์อีกครั้ง บนหน้าจอปรากฏภาพแอบถ่ายของตวันที่ผมขอไฟล์มาจากศศินเนื่องจากจะดึงรูปในอัลบั้มส่งไปรษณีย์ขายให้ทีมข่าวก็ออกจะชักช้าไม่ทันใจไปสักหน่อย
คลิกเดียวจบ ส่งออกทุกสำนักข่าวบันเทิง
ความจริงก็ไม่อยากให้เร็วขนาดนี้หรอกนะ ผมกะจะเว้นช่วงสักเดือนหลังจบงานแฟชั่นโชว์เพื่อให้มีเวลาได้สร้างหลักปักฐานในบริษัทมากกว่านี้ แต่เพราะตวันเริ่มทำตัวแปลกๆ ขยันมากอดมาจูบผม หนักสุดถึงขนาดเชิญชวนขึ้นเตียง...
ขยะแขยงเขาจะแย่! ใครจะไปอยากมีอะไรกับคนสองใจกัน แต่เริ่มจะหมดมุกหาข้ออ้างแล้ว รีบดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปดีกว่า
น้ำตาเทียมซื้อเตรียมไว้แล้ว พอข่าวแพร่สะพัด จะได้เล่นบทนาวาเจ้าน้ำตา ขอแยกห้องนอนกันสักที!!
------------------
ทุกอย่างเริ่มเข้าตามแผนการสลัดตวันทิ้งของนาวา และนาวาก็เริ่มเป็นตัวเองมากขึ้นหลังอยู่ฉากหลังคอยหนุนคอยดันคนรักมานานค่ะ
ถึงพี่ทีเห็นแฟชั่นนาวาแล้วไม่เข้าใจ แต่แม่ๆ อย่างเราต้องเข้าใจลูกนะคะ เรานี่น้ำตาปริ่ม ดีใจกับนาวาที่ใกล้จะสลัดตวันได้สักที แต่...เอ๊ะ...เอ๊ะ...เหมือนตวันจะเริ่มๆ หลงรักนาวาอีกครั้งรึเปล่านะ?
มาทำให้เรื่องอลหม่านกันยิ่งกว่าเดิมกันเถอะค่ะ!! #นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป คำแก้ตัวของตวัน ยิ่งฟังยิ่งขึ้น!!
"วาให้โอกาสผมนะครับ ตลอดสองเดือนมานี้ผมก็ดูแลวาอย่างดีไม่ใช่เหรอ
ส่วนพาฝัน ผมเลี้ยงข้าวเธอเป็นการขอบคุณเรื่องงานเท่านั้น อย่าคิดมากเลยนะ”
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja