รัฐมนตรีประจำราชสำนักยิ้มละมุน ราวกับผู้ใหญ่ใจดีกำลังพูดคุยกับเด็กน้อยที่เขาเอ็นดู “อ่า เรื่องนั้นหรือ ข้าจะลืมมันได้ยังไงล่ะท่านกวีประจำราชสำนัก ว่าแต่งานของเจ้าสำเร็จจริง ๆ แล้วหรือ”
“แน่นอนท่านรัฐมนตรี”
“แล้วไหนล่ะหัวของมันข้ายังไม่เห็นเลย จะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าทำงานสำเร็จ!” รอยยิ้มละมุนหายไปเหลือเพียงความเคร่งเครียดกดดัน โจเซฟไม่มีทางวางใจอะไรได้ หากทุกอย่างคลุมเครืออยู่แบบนี้
“ก็ไหน...” กรอสเซ่หันไปทางบุรุษที่ยืนอยู่อีกมุมของห้อง ดูท่าทางน่าจะอายุอ่อนกว่ารัฐมนตรีโจเซฟไม่กี่ปี จะทำอะไรกวีหนุ่มต้องระวังตัวจึงไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า
“นั่นโทมัส น้องชายข้าเอง”
“ไม่เคยได้ยินว่าท่านมีน้องชายมาก่อนเลยท่านรัฐมนตรี”
“เจ้าจะเคยได้ยินได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งเข้ามาช่วยงานข้า น้องชายต่างแม่ข้าเอง” โจเซฟให้คำตอบคล้ายจะเริ่มเบื่อหน่ายที่กรอสเซ่สนใจเรื่องที่ไม่ควร ชายผู้ยืนเงียบมานานก็ยังเงียบ และทำหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม แต่สันกรามที่นูนขึ้นบ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นคำถามสอดรู้ของกรอสเซ่ หรือคำว่าน้องชายต่างแม่จากปากพี่ชายต่างแม่ก็เป็นได้
“ว่าไง”
“ข้าทำตามที่ท่านสั่งแล้วท่านรัฐมนตรี ที่เหลือท่านบอกจะให้ทหารเป็นคนจัดการทั้งหมดไม่ใช่หรือ แต่มัน..มันตายแล้วแน่ ๆ โดนทหารรับจ้างล้อมไว้ทุกทาง ตอนนั้นมันหนาวมากมีพายุหิมะด้วย พายุแรงจนม้าแทบยืนไม่อยู่ รอบตัวมองเห็นได้ไม่เกินสามก้าวด้วยซ้ำ”
“แล้วเจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันตายไปแล้วจริง ๆ ”
“ไม่มีใครรอดในสถานการณ์อย่างนั้นหรอกเชื่อข้าเถอะ ข้าเองยังแทบเอาชีวิตไม่รอด”
“แต่เจ้าก็ยังรอดมาได้” แววตาโจเซฟน่ากลัวจนกรอสเซ่ยังต้องหลบมองต่ำ เขาเค้นเสียงลอดไรฟันพูดออกมา ยิ่งฟังกรอสเซ่เล่าโจเซฟยิ่งเจ็บใจ เหมือนกวีหนุ่มกำลังยืนยันความผิดหวังของเขา
กรอสเซ่พูดเสียงเบาราวแก้ต่างให้ตัวเอง “เซอร์ราเชลเป็นคนช่วยข้าไว้”
“หึ มันเลยมีบุญคุณกับเจ้าที่มันช่วยชีวิตไว้สินะ แล้วเซอร์เฮนริชกับคนอื่น ๆ ไปไหน”
“ข้าไม่รู้เราหนีออกมาได้ ข้ากับเซอร์ราเชลมาเจอเซอร์เฮนริชภายหลัง แต่ก็ถูกโจมตีอีกเลยทำให้ต้องหนีไปคนละทาง”
“รวมทั้งจูเลียนด้วยล่ะสิ”
“ข้าไม่เห็นจูเลียน แต่..”
“แต่อะไร”
“ข้าคิดว่าเขาตายแล้ว ตอนนี้ร่างคงจมอยู่ใต้ภูเขาหิมะหลังพายุกระหน่ำ โอ๊ย!!” พูดจบพลันใบหน้าซีดเผือดของกรอสเซ่ก็หันไปตามแรงตบของรัฐมนตรีเฒ่า ที่ฟาดฝ่ามือลงบนซีกแก้มสีซีดสุดแรง คำพูดของกรอสเซ่ทำให้รัฐมนตรีบันดาลโทสะ
กวีหนุ่มประจำราชสำนักกุมแก้มที่ถูกตบหันกลับมาถาม “รัฐมนตรีโจเซฟ ท่านตบข้าทำไม”
โจเซฟไม่ตอบแต่ถามกลับเสียงเข้ม “เจ้าบอกว่าคนที่ช่วยชีวิตเจ้าคือเซอร์ราเซล?”
“ใช่” กรอสเซ่ตัวสั่น เขากลัวโทสะและสายตาแข็งกร้าวของโจเซฟ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ ยืนยันว่าสิ่งที่รัฐมนตรีเข้าใจถูกต้องแล้ว
“แยกกันหนีแล้วไปเจอเซอร์เฮนริชอีกครั้งก่อนถูกโจมตีรอบที่สอง?”
“ใช่ เราตั้งที่พักกับทหารจำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกโจมตีอีกครั้งกลางดึก ข้ากับเซอร์ราเชลหนีออกมาได้ จากนั้นเราก็แยกกัน เขาให้ทหารพาข้ากลับมา โอ๊ยท่าน!!” ครั้งที่สองที่ฝ่ามือของรัฐมนตรีเฒ่าตบลงบนซีกแก้มข้างเดิม กรอสเซ่มองโจเซฟอย่างไม่เข้าใจ “ท่านตบข้าอีกทำไม”
“ตบล้างโง่ให้เจ้าไง” กรอสเซ่มองตอบงง ๆ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ไปได้แล้วหมดธุระของเจ้าแล้ว”
“แต่.. แล้วข้อตกลงของเราล่ะ”
“เจ้าทำงานไม่สำเร็จยังจะกล้าทวงข้อตกลงกับข้าหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันออกไปได้แล้ว”
“แต่..แต่ข้าทำตามที่ท่านบอกทุกอย่างแล้วนะ”
“แต่มันยังไม่ตาย!” กรอสเซ่กัดฟันกรอดเพราะทำอะไรได้ เขาเป็นเพียงกวีที่ถูกอุปโลกน์แต่งตั้งขึ้น เพราะจูเลียนแค่อยากเอาใจ และให้คนอื่นเกรงใจบ้างเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันใช้ไม่ได้กับโจเซฟ ที่เป็นถึงรัฐมนตรีมีอำนาจในมือ กรอสเซ่จึงต้องยอมถอย
“พี่เชื่อว่าอัศวินพวกนั้นมันจะยอมตายไปพร้อมนายของมันหรือไง” โจเซฟได้ยินคำถามที่ถามขึ้นมาเสียงเรียบไม่ดังมากนัก แต่เขายังนั่งนิ่งสายตาจับอยู่กับเชิงเทียนหรูหราที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ โทมัสถามพลางเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามพี่ชาย
“เท่าที่ข้าเห็น มันจะเป็นอย่างนั้น สำหรับอัศวินทั้งสี่คนของจูเลียน” ฟังจากที่กรอสเซ่เล่า โจเซฟเชื่อได้ว่าจูเลียนยังมีชีวิตอยู่ เพราะหากจูเลียนหนีออกมาจากวงล้อมของศัตรูไม่ได้ อัศวินพวกนั้นก็จะไม่ทิ้งเจ้านาย แล้วหนีออกมาเช่นกัน แต่จะสู้จนถึงที่สุด แม้เจ้านายจะตายไปแล้ว ยังต้องสู้จนกว่าจะจัดการกับศัตรูได้ทั้งหมด เพื่อเป็นการแก้แค้นให้เจ้านาย และลงโทษด้วยชีวิตอย่างสาสม หรือสู้จนตัวตายตามเจ้านายเพื่อเกียรติยศ!
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็รู้สิว่าอัศวินอีกสองคนหายไปไหน”
“หึ แล้วทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะโทมัส คิดว่าพี่เจ้าโง่จนถูกตบตาง่าย ๆ หรือไง”
“อภัยข้าด้วยพี่ชายที่เคารพ แต่ข้าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ข้ารู้ว่าท่านต้องจับตาดูพวกมันทุกคนอยู่แล้ว” โจเซฟยิ้มร้ายกับความคิดของตัวเอง คิดว่าตอนนี้เขาเหนือกว่าศัตรูมาก เพราะนิโคลก็มีท่าทางโอนอ่อนมาทางเขาไม่น้อย แม้โจเซฟจะถูกกดดันให้ตามหาจูเลียนและจับเป็นมาโดยไว แม้ตอนนี้จะยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ถ้าหากเขาได้ลอร์ดนิโคลมาเข้าพวก ก็มองเห็นความเป็นไปได้ของความสำเร็จอยู่รำไรแล้ว
“ลูกสาวข้าล่ะ”
“นางได้รับเชิญให้ไปดื่มชายามบ่ายกับลอร์ดนิโคลัสท่านพี่”
“หึ ดีมาก”
*********************
หิมะกลางฤดูหนาวโปรยลงมาบาง ๆ และโปรยลงมาเรื่อย ๆ ราวกับกลัวว่าความหนาวเย็นจะไม่เพียงพอ พื้นดินจะไม่มีหิมะปกคลุมมากเท่าที่ควร วันเวลาของการเฝ้ารอผ่านไปแล้วสองวัน จุดนัดพบก็ยังไม่ได้ต้อนรับคนที่คิดว่าจะมาตามนัด แต่กลับได้รับข่าวที่ทำให้คนรอที่อารมณ์ดีอยู่เสมออย่างเลนนี่ เดือดแทบลุกเป็นไฟ
“สองวันแล้วนะเซอร์เลนนี่ ทำอะไรสักอย่างเถอะ”
“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะลีโอ”
“ข้าอยากไปตามหาฝ่าบาท ไม่อยากรออยู่แบบนี้” ลีโอบอกแล้วก้มมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจะไม่กังวล แม้จะกินได้นอนหลับอยู่เช่นเดิม เพราะรู้ว่านายเหนือหัวปลอดภัยอยู่กับยอดฝีมือที่ตัวเองชื่นชม แต่ในความคิดของลีโอที่ถูกกันออกไม่ให้รู้ตื้นลึกหนาบางไปมากกว่านี้ การได้กลับไปอยู่ในวังหลวงที่คุ้นเคยน่าจะดีกว่า
“แล้วนั่นอะไรหรือ ท่านถืออะไรอยู่” เลนนี่มองสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองแล้วกำแน่น จนเดรทิชเดินเข้ามาหาและแย่งไปดู เขาบอกลีโอเบา ๆ ว่าให้เตรียมตัวเดินทางแล้วเดินไปเก็บของ
“ฮานส์ส่งข่าวมาแล้วหรือ” เลนนี่เพียงพยักหน้าตอบคำถามราเชล เพราะโมโหให้ฮานส์จนไม่อยากอ้าปากพูดกับใคร คนที่ปกติอารมณ์ดีขี้เล่นอยู่เป็นนิตย์ หากโกรธหรือโมโหขึ้นมามันไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่ เลนนี่จึงไม่ค่อยให้ใครได้เห็นอีกด้านของตัวเอง ดีไม่ดีอาจทำให้เด็กน้อยของพวกเขากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีกก็เป็นได้ เลนนี่เลือกจะเงียบ เพื่อนทั้งสามรู้ดีว่าเขากำลังโกรธ
เช้าตรู่ของวันต่อมา พอฟ้าสางเริ่มมองเห็น ทั้งห้าก็พากันออกเดินทางฝ่าความหนาวเย็นกลับเมืองหลวง ลีโอหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกับคนอื่น ๆ ไปตลอดทาง ม้าสี่ตัวกับคนห้าคน ลีโอยังขี่ตัวเดียวกันกับเฮนริชเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้เด็กน้อยนั่งกอดเอวอัศวินหนุ่มอยู่ข้างหลัง บาดแผลของเฮนริชเริ่มดีขึ้นเพราะได้รับการดูแลอย่างดี แม้จะยังไม่หายสนิทแต่ร่างกายก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นมาก
ด้วยระยะทางที่ไกล เพราะหนีออกจากเส้นทางเดิมไปมาก การเดินทางให้ถึงเมืองหลวงภายในวันเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ ค่ำวันนั้นทั้งห้าแวะพักแรมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้ที่พักเป็นบ้านของสองผัวเมียคู่หนึ่งที่แบ่งห้องนอน และอาหารให้ทั้งคนและม้า ลีโอดีใจที่ได้อาบน้ำอุ่น ๆ หลังจากไม่ได้ทำมากกว่าล้างหน้ามาหลายวัน ได้อาหารและได้ที่นอนนุ่ม ๆ อบอุ่นก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาก ความเพลียทำให้เด็กน้อยเลยหลับไปตั้งแต่หัววัน แต่เหล่าอัศวินยังมีงานลับ ๆ ต้องทำ
“ได้เรื่องไหม” เลนนี่ถามขึ้นทันทีที่ราเชลเข้ามาในบ้าน ดึกปานนี้เจ้าของบ้านหลับไปแล้วรวมทั้งลีโอด้วย
“นิโคลควบคุมทุกอย่างได้แล้ว”
เดรทิชถาม “แล้วจูเลียนล่ะ”
“น่าจะถึงเมืองหลวงพรุ่งนี้ แต่ท่านหญิง..”
“อะไรทาร์เทียน่าทำไม” เสียงของเฮนริชมีแววกังวล กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับทาร์เทียน่า เพื่อนอัศวินทั้งสามหันมามองคนเขาคนเดียว
“ใจเย็นเฮนริช ข่าวว่าท่านหญิงหนีออกมาจากปราสาทตั้งแต่วันแรกที่ได้ข่าวจูเลียนถูกโจมตี”
“แล้ว..”
“ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวของนางเลย”
“แม้แต่นิโคลหรือ” เฮนริชถามเสียงลอดไรฟัน เขากำลังขบกรามแน่น เพื่อระงับอะไรบางอย่างในความรู้สึก ทั้งเป็นห่วง ทั้งรู้สึกผิดที่ไม่อาจจะอยู่ดูแลนางได้ในเวลาที่นางต้องการ
“ข้าว่านางเอาตัวรอดได้” ราเชลบอก
“พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ถ้าออกเดินทางแต่เช้าเราน่าจะถึงก่อนตะวันตรงหัว” เดรทิชบอก
“พวกเจ้าไปพักก่อน เดี๋ยวข้าดูเวรยามให้” ราเชลกับเดรทิชมองเฮนริชนิ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองตบไหล่เพื่อนคนละที แล้วเดินไปพักผ่อนเงียบ ๆ
เลนนี่หันมาหาเฮนริช “เจ้าจะดูเวรยาม หรือเพราะคิดว่าคืนนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับแน่ ๆ เลยจะไม่นอน”
“เจ้าจะพูดอะไร”
“ข้าว่านางเอาตัวรอดได้น่า อย่างน้อยนางก็เรียนการต่อสู้จากพวกเราไปเยอะ” เลนนี่พูดเหมือนจะปลอบแต่แววตากลับไม่ใช่เลย เฮนริชรู้ว่าเพื่อนก็เป็นห่วงนางไม่น้อยไปกว่ากัน
“นางก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง” ถึงจะเชื่อในฝีมือของทาร์เทียน่า แต่เฮนริชก็อดแย้งออกมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้
“หึ แต่นางกล้าหาญนะ”
“ใช่นางกล้าหาญมาก”
“ข้าเชื่อว่านางจะปลอดภัย”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
“เราทุกคนก็เป็นห่วงนางกันทั้งนั้น เจ้าอย่าอยู่ให้ดึกนึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงขี่ม้า จะได้นั่งให้ลีโอพากลับเมืองหลวงข้าจะขำให้” เฮนริชเพียงยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้มพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ภาพอัศวินหนุ่มผู้เคร่งขรึมใบหน้าเรียบนิ่ง ดูดิบเถื่อนขึ้นเมื่อใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา เพราะขาดการดูแลหลายวัน ผิดกับเจ้าของใบหน้าหล่อขี้เล่นอย่างเลนนี่ ที่ยังดูสะอาดเกลี้ยงเกลาอยู่เหมือนเดิม
ต่อจ้ะ...