ตอนที่ ๒๗.๕...พิสิษฐวรเวทย์ (ครึ่งหลัง)
...แต่รักแรกแทรกลึกในดวงจิต
สุดจะคิดหักใจให้เปลี่ยนผัน
หยั่งรากลึกฝังตรึงเป็นนิรันดร์
แม้โศกศัลย์ด้วยรักนั้นมิสมใจ...
...เป็นเวลาเกือบสองปีนับตั้งแต่เขาออกเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่เมืองฝรั่ง...แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้เขาได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย ทั้งด้านภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาวสยามโดยสิ้นเชิง...ด้านความเป็นอยู่นั้นแม้ในตอนแรกที่ไปถึงจะลำบากอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเขาเองก็ปรับตัวได้จนกลายเป็นคุ้นเคยในที่สุด...แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้กลับมายังสยามประเทศ...บ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง...
"การเดินทางเป็นเช่นไรบ้างรึ"เจ้าคุณเจ้าของเรือนเอ่ยถามหลังจากที่คนสนิทเพิ่งกลับมาถึง...เกือบสองปีที่ท่านไม่ได้พบหน้า จะมีก็เพียงการติดต่อผ่านทางจดหมายเป็นบางครั้งบางคราว
"ราบรื่นดีขอรับ เจ้าคุณท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ"แม้ไม่ได้พบหน้ากันเกือบสองปีแต่ท่าทีสุภาพนอบน้อมก็ไม่เคยเปลี่ยน จะมีก็เพียงรูปร่างหน้าตาที่ดูคมชัดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
"เราสบายดี กลับมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด"แม้มีเรื่องมากมายอยากถามแต่ก็ต้องละเอาไว้เพราะรู้ว่ากว่าจะเดินทางกลับมาถึงต้องใช้เวลานานเพียงใด...เขาเองก็คงเหนื่อยล้าจากการเดินทางอยู่ไม่มากก็น้อย
"ได้ยินมาว่าจะย้ายไปอยู่ที่เรือนริมแม่น้ำหรือขอรับ"เพราะได้ยินมาจากบ่าวในเรือนถึงได้ถามขึ้น...เมื่อตอนที่ออกเดินทางเขาจำได้ว่าเจ้าคุณท่านกำลังให้คนเร่งสร้างเรือนทรงฝรั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่นึกว่าจะเสร็จเร็วเช่นนี้
"เรือนนี้จะยกให้พ่อเทพเขา"เจ้าของชื่อคือลูกชายคนโตที่เพิ่งออกเรือนไปได้ไม่นาน เจ้าคุณไพศาลเลยคิดจะยกเรือนฝั่งพระโขนงหลังนี้ให้เป็นเรือนหอ เพียงแค่รอให้เรือนทรงฝรั่งสร้างเสร็จก็จะย้ายไปพร้อมคุณหญิงและบ่าวผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน
"ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด วันพรุ่งจะพาไปพบเจ้าคุณจิตรา แกบ่นถึงพ่อแก้วไม่ขาดปาก"ดูท่าว่าจะไม่ได้มีเพียงเจ้าของเรือนกับคุณหญิงผู้เป็นภรรยาที่ตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของเขา เพราะแม้แต่เจ้าคุณคนสนิทอีกท่านเองก็คอยไตร่ถามความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายอยู่ไม่ขาด
...เรือนไม้สักทรงโบราณของเจ้าคุณจิตรายังคงเหมือนเดิมที่เคยเห็นเมื่อสองปีก่อน หากแต่ที่เปลี่ยนไปเห็นจะมีเพียง...ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านที่ตอนนี้เติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่งและยังพร้อมด้วยกิริยามารยาทนอบน้อมอ่อนหวาน...แต่ในสายตาของเขาเธอเองก็เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่คอยรบเร้าให้เขาสอนหนังสือให้อยู่ร่ำไป
...หากแต่คนที่ทำให้เขาสะดุดตาตั้งแต่ขึ้นไปถึงด้านบนของเรือนกลับกลายเป็นลูกศิษย์คนสวยของคุณหญิงสร้อยที่วันนี้มาเรียนวิธีทำอาหารสูตรชาววังที่คุณหญิงท่านรับปากว่าจะสอนให้...ท่าทีสงบเรียบร้อยผิดกับเด็กหญิงตัวเล็กแก่นแก้วที่เขาได้พบในครั้งแรก...หรือแม้แต่เมื่อสองปีก่อน อีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กสาววัยแรกแย้มที่ยังคงมีความซุกซนแบบเด็กๆ...แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้งเธอกลับกลายเป็นสาวงามเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยาทและความรู้เรื่องการบ้านการเรือนที่ถูกถ่ายทอดมาจากคุณหญิง...ดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นเขาในครั้งแรก...เรียวปากบางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท...เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นงามพร้อมเพียงใด
"แม่เดือนหรือนี่ แทบจำไม่ได้เสียแล้ว"เสียงทุ้มนุ่มทักทายพร้อมยกมือรับไหว้
"ห่างพระนครไปเพียงสองปีก็ลืมกันแล้วหรือเจ้าคะ"ทั้งวิธีการพูดจาก็เปลี่ยนไปจากเดิม...สำหรับแม่พิกุลนั้นแม้จะเติบโตเป็นสาวงามสะพรั่งเพียงใดแต่ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กที่คอยเรียกชื่อเขาเจื้อยแจ้วก็ยังคงอยู่ ผิดกับอีกคนที่ในตอนนี้กลับไม่เหลือภาพเด็กหญิงจอมแก่นคนเดิมเลยสักนิด
"นั่นซีนะ เห็นทีพี่คงแก่แล้วกระมัง"คำตอบที่เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนเรือนไม่ขาด...เวลาเพียงสองปีทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป...จะมีก็แต่...ดวงตาหวานฉ่ำที่คอยทอดมองมาทางเขาเสมอ ที่เขารู้สึกว่ายังคงเป็นเหมือนเดิม
"ได้ยินมาว่าพ่อแก้วได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงรึ"เจ้าคุณจิตราถามขึ้นบ้างหลังจากได้ยินมาหนาหูจากผู้ใหญ่ในกรมธรรมการที่อีกฝ่ายสังกัดอยู่
"เพิ่งได้ทราบเรื่องเมื่อก่อนกลับมาเช่นกันขอรับ"
"อวยยศเป็นอะไรรึ"เจ้าของเรือนยังคงถามต่อ
"หลวงพิสิษฐวรเวทย์ขอรับเจ้าคุณท่าน"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับอย่างยินดี
"อายุเพียงเท่านี้ได้เป็นถึงหลวงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เป็นคุณพระหรือพระยากระมัง"คุณหญิงสร้อยรีบสำทับบ้าง...ท่านเองก็ภูมิใจในตัวชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย
"กระผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลยขอรับคุณหญิง"แม้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลานาน ถูกรายล้อมด้วยภาษาและวัฒนธรรมชาติตะวันตกที่แตกต่าง...วัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนในชาติทะเยอทะยานและเชื่อมั่นในตนเอง หากแต่ค่านิยมเหล่านั้นกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนตรงหน้าได้...ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนยังคงมีให้เห็นอยู่เสมอตั้งแต่เมื่อก่อนเรื่อยมาจนตอนนี้
"ยังชอบมานั่งเล่นที่ท่าน้ำเหมือนเคยนะเจ้าคะ"เสียงหวานดึงสติที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้กลับมา...คนตัวเล็กที่เพิ่งเดินมาถึงทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม...เรียวปากบางแย้มน้อยๆยิ่งทำให้น่ามองขึ้นอีก
"พี่ชอบมองแม่น้ำ เพราะแม่น้ำให้ความรู้สึกเย็นสบาย"แม้ท่าน้ำหน้าเรือนของเจ้าคุณจิตราจะเป็นเพียงคลองสายเล็กๆแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน...สายน้ำไหลเอื่อยพาใจให้ล่องลอยคิดเรื่่องต่างๆที่ผ่านเข้ามา เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามักมานั่งใช้ความคิดที่ริมน้ำเสมอ
"แม่เดือนมีอะไรรึ"นึกขึ้นได้จึงถามกลับไป เหลือบไปเห็นถาดขนมในมือคนตัวเล็กกว่า
"คุณหญิงท่านสอนเดือนทำขนม อยากให้พี่แก้วได้ชิมเจ้าค่ะ"ว่าพลางยื่นขนมหวานหน้าตาสะสวยมาให้ตรงหน้า
"เสน่ห์จันทน์รึ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบขึ้นมาชิมสักชิ้น...อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาเสียนานไม่ได้ทานอาหารไทยสักมื้อ ยิ่งขนมหวานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก็ทางโน้นมีแต่ขนมฝรั่งแถมไม่ถูกปากเจ้าตัวอีกต่างหาก
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"คิ้วบางขมวดมุ่นเพราะเห็นใบหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย...ดวงตาคมกลอกไปมาอยู่นานแต่ก็ไม่ยอมตอบคำถามจนคนทำเริ่มใจเสียกลัวว่าจะไม่ถูกปาก...หากเพียงครู่ที่หันกลับมาสบตาก็เห็นรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี คนตัวเล็กถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกแกล้งอีกแล้ว
"รสชาติดี หน้าตาก็ดีไม่เหมือนคราวก่อน"น้ำเสียงหยอกล้อพาให้นึกไปถึงบุหลันข้างแรมที่เจ้าตัวเคยทำ แม้จะดีใจอยู่ลึกๆที่อีกฝ่ายยังจำได้หากแต่ใบหน้าหวานกลับงอง้ำเพราะถูกล้อเข้าให้อีกครั้ง
"พี่ล้อเล่น โกรธพี่รึ"ตั้งใจจะหยอกเล่นเสียหน่อยแต่คนตรงหน้ากลับไม่นึกสนุกไปด้วย
"แม่เดือน"เรียกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังเงียบอยู่
"เสน่ห์จันทน์ของแม่เดือนอร่อยนัก พี่ไม่เคยได้กินเสน่ห์จันทน์ที่รสชาติดีเช่นนี้มาก่อน จะให้พี่กินหมดนี่ก็ยังได้"บ่นยืดยาวจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา...ช่างหาวิธีมาง้อเสียจริง
"พอแล้วเจ้าค่ะ เดือนไม่โกรธแล้วเจ้าค่ะ"เสียงหวานกลั้วเสียงหัวเราะพาให้อีกคนยิ้มตาม...แม้จะโตเป็นสาวงามเพียบพร้อมแต่เขาก็ยังคงเห็นตัวตนของเด็กแก่นแก้วคนเดิมซ่อนอยู่ภายใน...เด็กหญิงตัวเล็กที่เขานึกเอ็นดูเมื่อครั้งยังเด็กไม่ได้หายไปไหนเพียงแค่ถูกบดบังด้วยมารยาทและท่วงท่าสง่างามตามกรอบของสังคมที่ตีล้อมเอาไว้
"คุณพระท่านสบายดีหรือไม่"มัวแต่หยอกล้อกันเสียนานจนเกือบลืมถามถึงผู้ใหญ่อีกท่าน
"สบายดีเจ้าค่ะ วันก่อนท่านยังถามว่าเมื่อไหร่พี่แก้วจะกลับ"
"ฝากเรียนท่านว่าวันหลังพี่จะไปหา ไม่ได้พบกันเสียนานแล้ว"ได้ยินแบบนั้นถึงได้เผลอยิ้มกว้างออกมาเมื่อจะได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งในวันข้างหน้า
"แต่วันนี้เห็นทีต้องกลับก่อน"เจ้าตัวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณไพศาลเพิ่งลงมาจากเรือน...เพราะวันนี้จะพากันไปดูเรือนริมแม่น้ำที่กำลังเร่งสร้างจึงต้องรีบกลับ
"แล้วพบกันวันหน้านะแม่"อีกฝ่ายเพียงยกมือไหว้ลา ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มระเรื่อ ก่อนจะหันไปกล่าวลากับเจ้าคุณอีกท่านที่เพิ่งเดินมาถึง
...เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ได้พูดคุยกลับเติมเต็มความรู้สึกตลอดเวลาสองปีที่ไม่ได้พบหน้า...หญิงสาวเพียงยืนมองเรือลำน้อยค่อยๆเคลื่อนออกจากท่าน้ำจนลับตาไปในที่สุด...
"พ่อแก้วดูสนิทสนมกับแม่เดือน"เจ้าคุณไพศาลทักขึ้นขณะกำลังยืนมองคนงานเร่งสร้างเรือนไม้ทรงฝรั่งที่ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างใกล้แล้วเสร็จ
"กระผมเพียงถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไปขอรับ"เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบาง เพราะสำหรับเขามันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่คำพูดถัดมาของเจ้าคุณท่านกลับยิ่งทำให้สงสัย
"แล้วแม่พิกุลเล่า"คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อได้ยิน
"แม่พิกุลทำไมหรือขอรับ"
"สนิทสนมกันดีหรือไม่"
"กับแม่พิกุลก็เห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็กย่อมสนิทสนมกันเป็นธรรมดาขอรับ"แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากอีกฝ่ายยิ่งทำให้หลวงพิสิษฐสงสัยหนัก
"เจ้าคุณท่านมีอะไรหรือขอรับ"
"พ่อแก้วจำท่านเจ้าคุณเดโชได้หรือไม่"เขาเงียบลง พยายามนึกไปถึงชื่อที่อีกฝ่ายพูดถึง เพราะห่างบ้านไปนาน อีกทั้งชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูนี้จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะนึกออก
"เจ้าพระยาเดโชศรีวิศาลสังกัดกรมวัง"เจ้าคุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับ แต่เขาเองก็ไม่เห็นว่าเจ้าคุณแห่งกรมวังที่ว่าจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราได้
"ปีก่อนเจ้าคุณท่านให้คนมาทาบทามแม่พิกุลให้ลูกชายคนโตของท่าน พ่อแก้วก็รู้จักหลวงเจษฏ์มิใช่รึ"จะว่ารู้จักเขาก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเคยพบกันไม่กี่ครั้งแต่ดูจากภายนอกแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ติดที่การพูดจาวางอำนาจเหมือนผู้เป็นพ่อเท่านั้น
"ตอนที่ท่านให้คนมาทาบทาม เจ้าคุณจิตราแกถามแม่พิกุล แต่เธอกลับบอกว่า..."เจ้าคุณไพศาลเงียบไปเพียงอึดใจ หันมามองคุณหลวงคนสนิทที่ยืนรอฟังอย่างจดจ่อ
"ให้ออกเรือนกับหลวงเจษฎ์สู้ให้เธอออกเรือนไปกับพ่อแก้วเสียดีกว่า"
"อะไรนะขอรับ!"เสียงทุ้มนุ่มตวัดดัง ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจหากคำตอบที่ได้เป็นเพียงการพยักหน้ารับจากอีกฝ่ายเท่านั้น
"ทำไมแม่พิกุลพูดเช่นนั้นเล่าขอรับ"แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่าคือการที่เด็กสาวเรียบร้อยที่อยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์เรื่อยมากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ถึงสองท่าน
"เธอคงไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรถึงตอบเช่นนั้น"ดูท่าเจ้าคุณไพศาลเองก็เข้าใจสถานการณ์ดีทีเดียว
"แต่นั่นถือเป็นการหักหน้าเจ้าคุณท่าน พ่อแก้วก็รู้ว่าเจ้าคุณเดโชท่านเป็นคนอย่างไร"เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับ แม้ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ก็พอได้ยินชื่อเสียงเรื่องความเจ้ายศเจ้าอย่างของเจ้าคุณท่านนี้มาหนาหูนัก
"เจ้าคุณจิตราแกมาปรึกษาเรื่องนี้ เราเองก็เห็นว่าเหมาะสม"
"อะไรที่ว่าเหมาะสมหรือขอรับ"ใบหน้าคมสงบนิ่งหากแต่ความกังวลในใจกลับเพิ่มขึ้นทุกขณะ
"เรื่องที่จะให้แม่พิกุลออกเรือนไปกับพ่อแก้ว"แว่วเสียงหัวใจตัวเองกระตุกวูบ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกออกไป
"เจ้าคุณท่านขอรับ..."แต่ท่าทีลำบากใจนั่นต่างหากที่ทำให้เจ้าคุณไพศาลรู้
"พ่อแก้ว ฝ่ายหญิงเขาพูดมาเช่นนี้ หากพ่อแก้วปฏิเสธแล้วทางโน้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"ใจหนึ่งก็นึกสงสารน้องสาวคนสนิท แต่ก็ลำบากใจยิ่งนักเพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน โดยเฉพาะกับคนที่ตนเอ็นดูประหนึ่งน้องสาวแท้ๆ
"เจ้าคุณเดโชเองก็ปักใจว่าแม่พิกุลหมั้นหมายกับพ่อแก้วอยู่ก่อน เป็นเช่นนี้ท่านจะหาว่าทางโน้นโกหกเสียอีก"ดูท่าว่าหลวงพิสิษฐกำลังถูกตีล้อมจากรอบด้าน...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ หากแต่สำหรับเขานั้นมันยากนักที่จะตัดสินใจ
"กระผมคิดว่าไม่สมควรขอรับ"น้ำเสียงเรียบตอบกลับจนเจ้าคุณไพศาลต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด
"หากเจ้าคุณท่านอยากให้แม่พิกุลออกเรือนเพียงเพราะเกรงคำครหานินทา แล้วความสุขของแม่พิกุลไม่สำคัญหรือขอรับ"ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเห็นประกายวูบไหวในแววตาอ่อนโยนของอีกฝ่าย
"เจ้าคุณท่านก็เห็นด้วยว่าที่แม่พิกุลพูดเช่นนั้นเพียงเพราะต้องการบ่ายเบี่ยงแต่หากการบ่ายเบี่ยงต่อชายคนหนึ่งทำให้เธอต้องออกเรือนไปกับชายอีกคนกระผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง"น้ำเสียงราบเรียบสม่ำเสมอเอ่ยต่อ เขาเพียงแค่อยากอธิบายเพราะตนก็เข้าใจเหตุผลของหญิงสาวดี
"แม่พิกุลเองก็เพิ่งจะครบ๑๕ปียังมีโอกาสได้พบคนที่ดีอีกมาก กระผมเห็นว่าควรให้เวลาเธออีกสักหน่อยหากแม่พิกุลมีใจให้กระผมจริง กระผมเองก็ยินดีที่จะแต่งงานกับเธอขอรับ"ท้ายสุดแล้วเขาได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจยาวจากเจ้าคุณคนสนิท...เพราะจนด้วยคำพูด...เพราะสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง
"เราเข้าใจพ่อแก้ว แต่เจ้าคุณจิตราเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาในวงสังคม หากมีใครพูดถึงเรื่องนี้แม่พิกุลก็ไม่พ้นตกเป็นฝ่ายเสียหาย"
"กระผมเชื่อว่าเจ้าคุณจิตราต้องนึกถึงความสุขของแม่พิกุลก่อนเป็นแน่ขอรับ หากเจ้าคุณท่านลำบากใจกระผมจะเป็นคนเรียนเจ้าคุณจิตราด้วยตัวเอง"สมกับที่เป็นคนสนิท ตั้งแต่เล็กจนโตหากยืนกรานอะไรแล้วย่อมหาเหตุผลที่หนักแน่นมาหักล้างได้เสมอ แม้แต่เรื่องนี้ท่านเองก็ถึงกับจนปัญญาจะหาข้อโต้แย้งอะไรต่อ ทำได้เพียงแค่รับปากว่าจะพูดกับเจ้าคุณเพื่อนสนิทให้
.
.
.
.
...ถนนสายเล็กพาดผ่านแบ่งตลาดสองฟากฝั่งออกจากกันชัดเจน...ขนาบข้างเรียงรายด้วยร้านค้าหลากหลาย ทั้งของกิน ของใช้ หรือแม้แต่เครื่องประดับสวยงาม...ตลาดในช่วงสายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บ้างก็ออกมาจับจ่ายใช้สอย บ้างก็มาเดินดูของสวยงามที่เปิดขายเรียงรายสองฝั่งถนน เสียงผู้คนจอแจมีตั้งแต่บ่าวไพร่ไล่ไปจนถึงระดับเจ้านาย
...ดวงตาคมทว่าหวานฉ่ำของหญิงสาวร่างเล็กส่องประกายวิบวับ ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดก็ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เพราะไม่มีโอกาสได้ออกมาเปิดหูเปิดตานอกเรือนสักเท่าไหร่ พอสบโอกาสถึงได้ออกอาการดีใจเป็นเด็กน้อยเช่นนี้...อีกคนเองก็ดูท่าอารมณ์ดีไม่แพ้กันเพราะเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่อยู่บนเรือ...เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของสองสาวที่เดินนำหน้าพลางชี้ชวนกันให้ดูร้านนั้นร้านนี้เรียกรอยยิ้มปรายจากคนตัวสูงที่เดินตามหลังได้มากทีเดียว...
"ถ้าไม่ได้พี่แก้วเห็นทีวันนี้พิกุลจะไม่ได้ออกมา"เสียงหวานของหญิงสาวตัวเล็กกว่าดังขึ้น ใบหน้าหวานหันมาส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี...เพราะอยากออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างแต่ติดที่ผู้เป็นพ่อปรามเอาไว้ถึงได้เดือดร้อนคนตัวสูงต้องอาสาพาออกมา ไม่เช่นนั้นก็คงไม่พ้นต้องอุดอู้อยู่กับเรือนเหมือนทุกวัน
"วันนี้พี่แก้วไม่ต้องเข้ากรมหรือเจ้าคะ"หญิงสาวตัวสูงกว่าถามกลับแต่คำตอบที่ได้เป็นเพียงการส่ายหน้าตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น
"คุณเดือนมาดูทางนี้ซีเจ้าคะ งามเสียจริงเจ้าค่ะ"บ่าวคนสนิทรีบชักชวนเจ้าของชื่อให้เข้าร้านเครื่องประดับที่มีทั้งสร้อย แหวน กำไลประดับด้วยอัญมณีหลากสี หากแต่คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ได้ตามไปด้วยเพียงลดจังหวะฝีเท้าลงมาเดินขนาบข้างชายหนุ่มเท่านั้น...ดวงตาหวานฉ่ำเหลือบมองคนตัวสูงเป็นพักๆจนอีกฝ่ายสังเกตเห็น
"มีอะไรรึ"
"พิกุลยังไม่ได้ขอบคุณพี่แก้วเจ้าค่ะ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางอย่างรู้ทัน
"เรื่องอะไรเล่า"หากเพียงอยากแกล้งคนข้างๆอีกสักหน่อย
"ก็เรื่องที่พี่แก้วเรียนเจ้าคุณพ่อ...เรื่องแต่งงาน"ท้ายประโยคลดเสียงลงเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง
"หากพี่ไม่เรียนเจ้าคุณท่านหล่อนจะทำอย่างไรรึ"คนตัวเล็กหน้ามุ่ยเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกหยอกเข้าให้
"พิกุลก็ต้องแต่งงานกับพี่แก้วน่ะซีเจ้าคะ"หลวงพิสิษฐเพียงหัวเราะเบากับคำตอบ
"แล้วหล่อนไม่อยากแต่งงานกับพี่รึ"เพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กถึงได้หยอกล้อเป็นเรื่องปกติ
"โถพี่แก้ว พิกุลเห็นพี่แก้วตั้งแต่จำความได้กระมัง จะให้พิกุลแต่งงานกับพี่ชายตัวเอง พิกุลทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"ใบหน้าหวานหลุบต่ำ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นก็เบาเสียจนแทบไม่ได้ยินแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ง่ายเมื่ออยู่กับคนข้างๆ...เพราะสนิทใจมากกว่าผู้ชายคนไหน...เพราะเชื่อใจ...เพราะเคารพรัก
"ทำไม่ได้แต่ก็เรียนเจ้าคุณท่านไปแบบนั้น เดือดร้อนพี่ต้องแก้ตัวให้เป็นพัลวันรู้หรือไม่"น้ำเสียงเรียบตอบกลับจนอีกฝ่ายหน้าเจื่อนลงทันที เพราะไม่รู้ว่าคนตัวสูงเพียงแค่แหย่เล่นหรือว่าจริงจัง หากเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย
"แกล้งพิกุลอีกแล้วนะเจ้าคะ"คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาหวานจ้องเขม็งไปยังตัวการที่ยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี
"คราวหลังก็เรียนท่านไปตามตรง เจ้าคุณท่านรักหล่อนเสียอย่างกับอะไร หากหล่อนไม่เต็มใจมีหรือท่านจะบังคับให้ออกเรือนไปกับชายอื่น"
"พิกุลไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ อีกฝ่ายเป็นถึงลูกเจ้าพระยา..."พูดยังไม่ทันจบประโยคดี คนที่กำลังเอ่ยถึงก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน...รูปร่างสูงใหญ่เห็นเด่นมาแต่ไกลขนาบข้างด้วยคนสนิทอีกสองคน...ท่วงท่าการเดินมีอำนาจจนคนรอบข้างต้องหลีกหลบให้...เพียงหันมาสบตาก็เดินตรงเข้ามาหาทันที
"มาซื้อของหรือจ๊ะแม่พิกุล"น้ำเสียงแหบต่ำทว่าดุดัน...คนตัวเล็กยกมือไหว้ตามมารยาทอย่างนอบน้อมหากแต่ดวงตาคมกริบกลับจ้องปราดไปที่คนตัวสูงข้างๆแทน
"พ่อแก้วรึนี่ ได้ยินว่าไปอยู่เมืองฝรั่งมาเสียนาน เพิ่งกลับมารึ"หลวงพิสิษฐเพียงพยักหน้ารับ...ดวงตาคมจดจ้องกลับหากแต่ช่างเรียบเฉย
"กลับมาไม่ทันไรก็ได้อวยยศเป็นหลวงเสียแล้ว น่าชื่นชมนัก เห็นทีฉันต้องเรียกพ่อว่าหลวงแก้วแล้วซี"หากน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ากำลังถูกชมสักนิดเพราะแม้ใบหน้านั้นยังยิ้มแย้มทว่าดวงตาคมแข็งกร้าวกลับจดจ้องอีกฝ่ายนิ่ง...ดูท่าคนตัวสูงใหญ่ยังคงติดใจเรื่องที่ถูกปฏิเสธจากหญิงสาวตรงหน้าจนพาลไปถึงอีกคน แต่ยังไม่ทันได้ปะทะคารมกันต่อเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อเหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่เดินมาสมทบ...สายตาแข็งกร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้มองพลางยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...ส่วนคนที่ตกเป็นเป้าสายตาเพียงเหลือบมองก่อนจะยกมือไหว้ตามมารยาท...แม้ไม่เคยพบหน้าหากแต่รู้จักอีกฝ่ายดีเพราะได้ยินเรื่องของน้องสาวคนสนิทมาบ้าง
"นี่ใครรึ"น้ำเสียงเปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
"พี่เดือน ลูกสาวคุณพระพินิจเจ้าค่ะ"เป็นแม่พิกุลที่แนะนำให้ เจ้าของชื่อเพียงหลุบตาลงต่ำเพราะถูกจดจ้องไม่วางตา
"ช่างงามแท้"แถมวาจาเกี้ยวพาจนออกนอกหน้ายิ่งสร้างความอึดอัดให้อีกฝ่าย...แม้แต่คนรอบข้างเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
การพบกันครั้งแรกสร้างความลำบากใจให้หญิงสาวไม่น้อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะชายคนนั้นเคยมีใจให้น้องสาวคนสนิทของเธอถึงขั้นให้ผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอ...หากแต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอกังวลใจคือคนที่ยืนอยู่ข้างเธอในตอนนี้...ใบหน้าคมเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีใด...ไม่มีแม้คำพูดโต้แย้งเมื่อเธอถูกเกี้ยวพาต่อหน้า...เธอเพียงลอบมองคนตัวสูง นึกหวังเพียงจะได้เห็นท่าทีไม่พอใจของอีกฝ่ายบ้าง...แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่คิดแบบนี้ก็ตาม
.
.