8: Determine
ห้องสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่รก กลิ่นเหม็นอับทับด้วยกลิ่นเหงื่อและราคะลอยคลุ้งจนรู้สึกคลื่นเหียน ฟูกนอนสกปรกวางอยู่บนพื้นห้องที่โสโครกไม่ต่างกัน ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างนอนบนฟูกกับพื้นอะไรจะสะอาดกว่ากัน
ผมตื่นแล้ว จ้องมองแสงแดดที่เล็ดลอดสาดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็ก มองละอองฝุ่นที่ลอยคลุ้งและเห็นชัดขึ้นเมื่อมันอยู่ในเส้นทางเดินของแสงอาทิตย์ ฝุ่นเม็ดเล็กลอยวนในอากาศ เนิบช้า คล้ายกับว่าไม่มีวันตกลงสู่พื้น
สองคนนั้นคงออกไปนานแล้ว และผมควรจะลุกขึ้นมาจัดการตัวเองเสียที น้ำกามเหนียวเปรอะตัวผมจนไม่สบายตัว ฝุ่นคลุ้งที่ลอยอยู่เต็มห้องทำให้หายใจเต็มปอดไม่สะดวก ผมชันตัวลุก เดินไปยังมุมห้องที่มีโอ่งใส่น้ำอยู่พร้อมกับขันที่ลอยเหนือน้ำ ผมใช้มันตักอาบราดตัว ชำระสิ่งสกปรกเลอะเทอะ
ดีที่สองคนนั้นไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย เขาใช้ผมระบายความใคร่ทางปากเท่านั้นทำให้ช่องทางของผมไม่ต้องทำความสะอาดเพิ่มเติมอะไร ผมแน่ใจว่าถ้าพวกระยำอย่างพวกมันจะทำ ก็คงไม่สวมถุงยางหรอก
จัดการหยิบเอาเสื้อตัวเดิมขึ้นมาใส่ ผมเห็นแบ็งค์สีเทาวางเกลื่อนอยู่ไม่ไกลจากเสื้อผ้า
ผมเก็บเงินที่ได้มาใส่กระเป๋ากางเกง อย่างน้อยพวกมันก็ให้เงิน แถมไม่ขโมยเงินที่เหลือของผมไป แม้ว่าเมื่อคืนพวกมันจะน่ารังเกียสุดๆ ก็ตาม
ปัดฝุ่นสองสามทีก่อนออกจากห้องเหม็นหืน
แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องมาจนแสบตา ผู้คนในย่านนี้เริ่มออกมาข้างนอกบ้านกันแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสุมหัวสูบบุหรี่หรืออย่างอื่นด้วยกัน
“โอ๊ะ นั่นมันใครกันเน้อ หน้าคุ้นๆ” เสียงแซวจากกลุ่มคนไม่ไกล ผมยกยิ้มมุมปากให้เขา ไม่แปลกอะไร ในย่านนี้เรารู้จักกันแทบทุกคน ผมน่าจะหมายถึง...พวกเขารู้จักผมกันแทบทุกคนมากกว่า
ผมเดินไปหาพวกนั้นที่กำลังป่นผงสีขาวสู่บ้องกระบอกสูบ
“เอาไหม”
ผมส่ายหน้า “ขอบุหรี่ดีกว่า”
คนที่อยู่ใกล้ตัวผมที่สุดยื่นบุหรี่หนึ่งมวนตามคำขอให้ เขาดูท่าทางน่าจะเป็นมิตรที่สุด
ผมรับมาพร้อมยัดเงินจำนวนหนึ่งให้ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
“ขอบคุณ”
ใครสักคนขยับที่ให้ผมนั่งลงข้างๆ ก่อนส่งไฟแช็กให้ ผมคาบบุหรี่ไว้ในปาก จุดไฟแช็กให้เปลวไฟเผาไหม้ปลายบุหรี่ สูบมันเข้าปอดก่อนปล่อยควันดำออกมา
พวกกลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ เองก็จุดเผาสิ่งที่ผมคุ้นเคยกับมันดี จนกระทั่งค้างฟ้ามาทำให้ผมต้องเลิกกับมันไปนานหลายปีทีเดียว
ที่ผ่านมา ผมเคยใช้มันเพื่อหลบหนีจากเหตุการณ์ที่ตามหลอกหลอนบางอย่าง ผงแห่งความฝันช่วยให้พวกเราไม่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง
ควันสีขาวเข้าสู่ร่างกาย ตัดขาดจากโลกเข้าสู่จินตนาการ ในที่ซึ่งทุกอย่างสบายราวกับฝัน น่าเสียดายที่ผมไม่เลือกใช้มันอีก เพราะคำขอของใครบางคนที่ผมไม่จำเป็นต้องยึดติดก็ได้ แต่ผมก็ยังคงทำตาม
ตอนนี้ควันดำควันขาวลอยฟุ้งไปในอากาศ ผมเหม่อมองมัน รู้สึกว่าตัวเองไร้น้ำหนัก ปล่อยให้ตัวเองลอยเคว้งคว้าง หลับตาเพื่อหลีกหนีจากโลกแห่งความจริง ตัวตนผมว่างเปล่าจากข้างใน มันว่างจนแทบจะหาตัวตนของตัวเองไม่เจอ
ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
“เอาอีกไหม”
ใครคนหนึ่งถามเมื่อเห็นบุหรี่มนปากผมใกล้จะหมดมวน ผมส่ายหน้า มากพอแล้ว
“เห็นว่าหายไปตั้งสี่ปี”
“...” ผมเหลือบตามองเขา ผู้ชายผมยาวประบ่า ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยยับย่น คงแก่กว่าผมหลายปี สวมเสื้อคลุมแจ็กเก็ตสีเขียว ส่งยิ้มบางให้ผม สงสัยคงเป็นคนที่นี่
ผมจำหน้าใครที่นี่แทบไม่ได้หรอก อันที่จริงต้องบอกว่า ส่วนใหญ่จะไม่ได้มองหน้ามากกว่า...
“สี่ปีนี่ไปไหนมา” เขาถาม
“ไปมหาลัย”
“โอ้โห ไปเรียนรึไง จบไหม”
ผมส่ายหน้า เขาหัวเราะก๊าก คนอื่นๆ ก็หัวเราะตาม เสียงหัวเราะไปในเชิงเยาะเย้ย ผมยกยิ้ม ไม่แปลกหากมันจะน่าหัวร่อ พวกเราที่อยู่ที่นี่ไม่สมควรได้รับการศึกษาตั้งแต่แรกแล้ว สี่ปี...ที่เรียนไม่จบ สาเหตุคงเพราะคณะผมต้องเรียนหกปี แต่ผมก็หนีออกมากลางเทอม...ต่อให้จบสี่ปีก็คงไม่จบจริงๆ
คนที่ส่งเสียให้ผมเรียนคงเสียดายค่าเทอมแย่
เพราะเป็นตัวเองคงเสียดายที่ทุ่มเงินหลายหมื่นหลายแสนมาให้อะไรแบบนี้... ไม่สิ ถ้าเป็นผมคงไม่ส่งเสียตัวเองเรียนตั้งแต่แรก ในเมื่อสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ด้วยวิธีอื่น
“แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหน”
“ไม่รู้สิ” ผมยิ้มให้คนแปลกหน้า “คงแล้วแต่คุณ”
อีกฝ่ายจ้องกลับมาอย่างรู้ความหมาย ผมจากที่นี่มานานแล้ว บ้านเก่าคงไม่เหลือสภาพ และถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากจะกลับไปที่นั่น คืนนี้ผมจะอยู่ที่ไหน ขึ้นอยู่กับเขาตัดสินใจ ถ้าเขาเลือกผม คืนนี้ผมจะไปอยู่กับเขา แต่ถ้าไม่...ก็คงไปหาคนอื่นเพื่ออยู่ด้วยอยู่ดี
“กินนี่หน่อยมั้ย”
ชายคนเดิมถาม เขาส่งแซนวิชหน้าตาบูดเบี้ยวมาให้ผม เขาให้ ผมก็รับ อันที่จริงนอกจากความสามารถเรื่องการอดนอนแล้ว ผมยังอดข้าวได้หลายวัน
เสียแต่ผมกินดีอยู่ดีมาหลายปี ตอนนี้ท้องร้องโครก สูญเสียความสามารถในการอดอาหาร กลับไปไม่ชินเสียแล้ว อาหารไม่ตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน แถมเมื่อคืนยังใช้พลังงานเยอะ เลยรับมากินอย่างไม่อิดออดเล่นตัวให้วุ่นวาย กัดแซนวิชต่อชีวิตโดยทันที
ความเงียบเข้าปกคลุมสักพัก ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา “ยังเช้าอยู่ แต่ไปบ้านกูมั้ย”
ผมส่งแซนวิชคำสุดท้ายเข้าปาก แลบลิ้นเลียปลายนิ้วที่เลอะซอส
พยักหน้า
ผมเดินตามชายแปลกหน้ากลับบ้านเขา ในตอนกลางวันแสกๆ สภาพบ้านเขาไม่ต่างจากห้องที่ผมจากมาในตอนเช้าสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ข้าวของเครื่องใช้เยอะกว่า และสะอาดกว่านิดหน่อย เขาเดินขึ้นชั้นสอง เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดมาหนึ่งตัว โยนให้ผม
“เห็นว่าไม่มีเสื้อใส่”
“ขอบคุณ”
ผมส่งยิ้มให้เขา แม้ว่าผมจะมีธนบัตรจำนวนมาก มันมากพอที่จะซื้อเสื้อราคาถูกๆ ได้หลายตัว และมากพอที่จะเช่าห้องพักราคาถูกอยู่ได้หลายเดือน เพียงแต่ผมไม่ปฏิเสธเสื้อโกโรโกโส รับน้ำใจของเขา ทำตามที่เขาบอก เกียจคร้านเกินกว่าจะคิดมาก
“รู้จักชื่อกูหรือยัง”
ผมส่ายหน้า
เขาเอ่ยเชื่อตัวเองออกมา เสียแต่ผมไม่คิดจะจดจำ
ผมพยักหน้ารับ ถอดเสื้อตัวเก่าที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นออก เปลี่ยนเป็นตัวใหม่ที่เขาส่งมาให้
“ชื่อพวกเราเข้ากันดี...ว่ามั้ย”
ผมยิ้ม “นั่นก็ต้องลองดูก่อนว่าจะเข้ากันได้มั้ย”
พูดจาสองแง่สองง่ามให้เขาตีความหมายเอง ทั้งๆ ที่ชื่อเขาไม่แม้แต่จะผ่านหูผมด้วยซ้ำ เขาหัวเราะร่า
“ไม่ต้องใส่เสื้อแล้ว เดี๋ยวก็ต้องถอด”
เขาว่า กระโจนใส่ผมที่ยังใส่เสื้อไม่เรียบร้อยดี ล้มแผ่สู่แผ่นฟูกแข็ง
ในห้องที่เปื้อนฝุ่น แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องมาในห้อง ฟูกเตียงเหม็นอับ พื้นไม้อับชื้นขึ้นเชื้อรา ผนังปูนที่สีลอกออกมาเป็นแผ่น สถานที่และการกระทำเหมือนจะคุ้นเคยแต่ไม่คุ้นชิน ผมและเขา กลิ่นเหงื่อและกลิ่นกาย ตัณหาและราคะ
เซ็กซ์ของพวกเราเริ่มต้นขึ้น
เขาตอกแก่นกายตัวเองเข้ามาจนมิด ผมขบปากตัวเองแน่น หาใช่ความเสียวซ่าน...หาใช่ความเจ็บปวด หัวสมองผมขาวโพลน หมุนคว้างเหมือนลูกข่าง และสุดท้ายก็หัวเราะออกมา
“ขำอะไร”
“เปล่า ทำต่อเถอะ”
เขามีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย แต่หลังจากที่ผมขยับสะโพกเย้าแหย่ เขาก็กลับมาเหมือนเดิม กระแทกตัวใส่ผมไม่ยั้ง ผมอ้าขาออก รองรับแก่นกายแข็งร้อนที่สวนเข้าสวนออกราวกับสัตว์ป่า
แบบนี้ต่างหากที่ผมพอใจ
ไร้เมตตา ไร้ความอ่อนโยน เพียงใช้ร่างกายอีกฝ่ายเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
แบบนี้ต่างหาก ไม่ใช่อ้อมกอดอบอุ่นที่คอยประคองร่างผม ไม่ใช่จังหวะเนิบช้าที่กลัวว่าผมจะพัง...ไม่ใช่แบบนั้น
สัมผัสของค้างฟ้าเป็นความรู้สึกที่ไม่คาดว่าจะได้รับ ผมร้องขอเขาเสมอว่าอย่าทำแบบนี้...เพราะผมไม่รู้จะโต้ตอบกับมันยังไง อย่าอ่อนโยน อย่าทำเหมือนผมเป็นของล้ำค่าที่เปราะบาง อย่าทำเป็นใส่ใจ เมื่อสุดท้ายแล้วคุณจะบดขยี้มัน ไม่ต่างจากใครต่อใคร
ผมรีบสลัดความคิดเก่าๆ ออก
น้ำตารื้น เชิดหน้าขึ้น แอ่นสะโพก อ้าขากว้างกว่าเดิม
บอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็จบ
.
ผมออกจากบ้านหลังนั้นมาตอนสี่ทุ่ม หลังจากที่คิดๆ ดูแล้ว ผมน่าจะเอาเงินไปเช่าที่อยู่เองมากกว่า ถึงอย่างนั้นบ้านของหมอนั่นอาจจะยังใช้เป็นที่อยู่ให้ผมได้อีกสักพัก จนกว่าจะหาบ้านใหม่ได้
แต่ที่ผมออกมากลางดึกเพราะทนความหิวในท้องที่ร้องประท้วงไม่ไหว แซนวิชชิ้นเดียวเมื่อก่อนอาจจะอยู่ท้องแต่ตอนนี้ไม่สามารถประทังความหิวได้ จึงตั้งใจจะไปร้านสะดวกซื้อแถวนี้ โดยใช้เงินที่เขาให้มานั่นแหละ มันไม่ได้มาก แต่คิดเสียว่าเป็นค่าเสื้อก็แล้วกัน
ร้านสะดวกซื้อเปิดไฟสว่างโร่ ผมสาวเท้าเปิดประตูเข้าไป ตรงไปยังชั้นวางขนมปัง ยืนเพ่งพิจมองมัน เลือกว่าชิ้นไหนที่เหมาะจะอยู่ในท้องผมในตอนนี้
“เตย?”
ผมหันไปทางต้นเสียง เมื่อได้ขนมปังไส้ครีมมาอยู่ในมือ
“...กายเหรอ?”
ในที่แบบนี้ ผมจำหน้าใครแทบไม่ได้นอกจากคนคนนี้ เธอเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ ผมแปลกใจที่สี่ปีผ่านมาแล้ว เธอก็ยังทำงานอยู่ที่เดิมเหมือนเคย
“กลับมาทำไมอีก”
กายบอก มองผมด้วยสายตาผิดหวัง คำทักทายแรกคล้ายเป็นการเอ่ยไล่
“ทำไมเหรอ เตยกลับมาไม่ได้หรือไง”
“ไม่ใช่...แต่ตอนนั้น...เตยไปก็ดีแล้ว กลับมาในที่แบบนี้อีกทำไม”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ยื่นขนมปังกับขวดน้ำเปล่าไว้บนเคาน์เตอร์ให้เธอคิดเงิน
“เตยมีเวลาไหม อยากคุยด้วย...”
“เอาสิ”
ผมว่า รับเงินทอนจากเขามา กายมุดเข้าไปหลังร้าน เอ่ยบอกพนักงานอีกคนว่าขอตัวไปทำธุระเดี๋ยวเดียว ก่อนจะพาผมออกมา กายพาผมเดินลัดเลาะไปตามบาทวิถี
“เตย...กลับมาทำไมหรือ”
“ไม่อยากให้เตยกลับมาเหรอ”
“อืม ไม่อยาก” กายว่า เงยหน้าขึ้นมองผม “ตอนที่เตยบอกจะไปกับคนนั้น เราคิดว่าดีแล้ว เตยจะได้มีความสุข เขารวยไม่ใช่เหรอ ไหนบอกจะให้ที่อยู่ ให้การศึกษา...”
“อืม เตยมีความสุข...” ผมวรรค ครุ่นคิด “แค่พักเดียว”
“เขาทำอะไรไม่ดีใส่เตยเหรอ”
“เขาผิดคำพูด”
“ยังไง เล่าให้กายฟังได้มั้ย”
ผมพยักหน้า ฉีกซองขนมปังออก กินมันเข้าไปพร้อมๆ กับเล่าชีวิตช่วงสี่ปีให้เธอฟัง เราหยุดนั่งพักข้างถนนที่ดูสะอาดที่สุด เพราะเหนื่อยที่จะเดินต่อ
“เพราะแค่นี้เองเหรอ”
เรื่องเล่าจบ กายประเมินว่ามันเล็กน้อย ไม่คุ้มค่า
“เตยได้เรียนสูง ได้อยู่ที่หรูๆ มีเพื่อน มีคนคอยเลี้ยงดูขนาดนี้ แต่หนีออกมาเพราะเขาไม่อยู่เนี่ยนะ เขาไม่มาหาก็เรื่องของเขาสิ เตยมีความสุขไม่ใช่หรือ”
“กายรู้ได้ไงว่าเตยมีความสุข” ผมพูดเสียงแข็ง “เตยคิดทุกวันว่าทำไมเตยต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“แต่นั่นก็ดีกว่าตอนที่เตยอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ได้ดีกว่ากันตรงไหน”
“เตยกำลังเดินถอยหลังอยู่นะ เตยจะจมอยู่กับที่แบบนี้ไม่ได้นะ”
“กายเลิกตัดสินแทนเตยเถอะ ที่เตยทำอยู่ไม่ได้เรียกว่าถอยหลัง ไม่ได้เรียกว่าจม เตยแค่ไม่พอใจในที่ใหม่ เลยกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมต่างหาก” ผมถอนหายใจ “ชีวิตที่เตยชินกับมันมาเป็นสิบปี...คงดีกว่า”
เผลอยกมือลูบรอยสักที่เป็นชื่อของเขา
รอยสักชื่อของเขาถูกผนึกไว้ด้วยความเดียงสา ในตอนนั้น ผมคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเจ้าของชื่อนี้ ไร้เดียงสาจนน่าขำ ที่ผ่านมายังเรียนรู้ไม่พออีกเหรอ
ควรจะรู้ตัวได้แล้วว่าโลกนี้ไม่มีใครใจดี
“กายคิดว่าเตยจะมีความสุขเสียอีก...”
“ก็มีนะ ตอนนี้เตยก็มีความสุขดี”
กายมองหน้าผม สายตาของเธอจ้องผมไม่วางตา นานหลายวินาที
“เตยไม่ได้กำลังโกหกอยู่ใช่ไหม”
ผมยิ้มให้อีกฝ่าย “กายก็รู้ว่าเตยโกหกไม่เป็น”
คราวนี้เธอหลุบตามองต่ำ “เตยอาจจะกำลังหลอกตัวเองอยู่ก็ได้”
“กายเลิกคิดแทนเตยได้แล้ว เตยตัดสินใจแล้ว”
“...ขอโทษ กายแค่อยากให้เตยมีความสุข...”
“อืม...”
“คืนนี้พักที่บ้านกายไหม”
“ได้เหรอ”
“ได้สิ กายอยู่คนเดียวมาหลายปีแล้ว” เธอว่า
เมื่อก่อนเธออาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชาย แต่ตอนนี้กลับบอกว่าอยู่คนเดียวมาหลายปี ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้น แต่ไม่คิดจะถามกาย ไม่ได้อยากรู้ด้วย
ระหว่างห้องเหม็นฝุ่น เหม็นกลิ่นตัวของหมอนั่น กับห้องหอมกลิ่นหวานๆ ของกาย แน่นอนว่าผมเลือกอย่างหลังโดยทันที
และคืนนี้ผมก็ได้ที่พักใหม่
☁
“นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ไปอยู่กับอีกาย”
ผมออกจากบ้านกาย ตั้งใจว่าจะลองเดินหาหอพักแถวนี้ดูก่อน ทว่าดันเจอกับหมอนั่น เจ้าของเสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ เขาดูไม่สบอารมณ์ที่ผมหายไปทั้งคืน เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาพร้อมกับพวกแก๊งค์พี้ยาเมื่อวาน และดูท่าคงจะไม่ได้เสพย์ยามา ถึงได้อารมณ์เหวี่ยงเช่นนี้
“โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน บังเอิญเจอกันเฉยๆ”
ผมยิ้มให้เขา
“ทำไม เงินที่กูให้น้อยไปหรือไง”
“อืม น้อยเกินไป ที่ยอมเพราะเห็นว่าให้เสื้อนี่มาหรอกนะ”
“ไอ้เตย...”
ผมยืนเฉย จ้องหน้าเขา หมอนั่นท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาฉายแววโมโห ผมรู้...คนพวกนี้มักจะอารมณ์ไม่แน่นอน ไม่ช้าเขาก็เอ่ยถ้อยคำถากถางอย่างที่ผมคิดไว้
“กูเห็นหน้ามึงมาตั้งแต่มึงเสียงยังไม่แตก วิ่งร้องเจี๊ยวจ๊าวไปทั่ว”
“แล้วทำไมหรือ...? หรือชอบตอนนั้นมากกว่า?”
“เข้าเมืองไปสี่ปีนี่นิสัยเปลี่ยนไปเยอะนะ”
ผมยักไหล่ อันที่จริงไม่ได้คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปตรงไหน
“ไปชุบตัวกับเสี่ยที่ไหนมาล่ะ ถึงได้เก่งขึ้นเนี่ย ผิวพรรณก็ผุดผ่อง โถ หนูเตยที่ร้องไห้จ้าในวันนั้นกูยังจำได้อยู่เลย”
ผมหัวเราะขำ ชุบตัวมาเหรอ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ได้อาบน้ำอุ่น ได้รับการดูแลมากมาย ทาโลชั่นประทินผิวราคาแพง กินอาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบอย่างดี
“เพราะอย่างนี้ถึงได้ขึ้นค่าตัวไง ลุงคงไม่มีปัญญาจ่ายหรอกใช่มั้ย”
“ไอ้...!”
เขาทำท่าจะเข้ามาใช้ความรุนแรงใส่ผม...แต่มีคนห้ามเขาไว้ คงเป็นพวกเพื่อนของเขาเมื่อตอนนั้น เมื่อขยับตัวไม่ได้ ไอ้หมอนั่นก็เลยใช้คำพูดด่าทอผมต่อ
“อีตัวอย่างมึงคงทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอ้าขาล่ะสิท่า วันๆ ของมึงก็มีอยู่แค่นี้”
“มันต่างจากวันๆ เอาแต่พี้ยายังไงเหรอ ลุงทำอย่างอื่นเป็นด้วยเหรอนอกจากดูดยากับเอาอย่างหมา”
“ไอ้เวร!” เขาพยายามเข้ามาหาผม แต่ยังโดนดึงรั้งไว้ จึงทำได้แค่จ้องมองอย่างหยามเหยียด และใช้จิตใจบิดเบี้ยว พูดถ้อยคำน่ารังเกียจออกมา
“กูยังจำได้อยู่เลย วันที่มึงร้องห่มร้องไห้ ร้องหาแม่จ๋า แต่สุดท้ายแม่งก็ไม่มีใครชายตาแลมึง มีแต่เอาไอ้นั่นยัดเข้าไป แต่มึงก็ดูชอบใจนี่หว่า ใช่มั้ยล่ะ”
ผมมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย แต่มุมปากกลับกระตุกรอยยิ้ม อดีตเมื่อครานั้นผมไม่เคยลืม มันหลอกหลอนและสถิตอยู่ทุกครั้งในยามฝัน
หลังจากเหตุการณ์นั้นผมถึงได้ยอมแพ้ต่อการอ้อนวอน เลิกศรัทธาพระเจ้า ไม่เอาตัวเองไปยึดเหนี่ยวกับสิ่งไหน ทำใจมองโลกอันเน่าเฟะที่มีแต่มนุษย์เห็นแก่ตัว ผู้คนพวกนี้สอนให้ผมรู้จักพึ่งพาตัวเอง สอนให้ผมหาวิธีเอาตัวรอดไปวันๆ สอนให้ผมเสพติดเซ็กซ์ สอนให้ไร้รัก สอนให้ผมปรับตัวให้เข้ากับพวกมัน
ผมไม่ได้วิ่งหนีจากที่นี่ แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดบอกผมว่าค้างฟ้าจะทำให้ผมมีชีวิตที่ดี
มันเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่นาน การตัดสินใจไปอยู่กับเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง การกระทำของเขาที่แปลกไปในช่วงหลังทำให้ผมอึดอัด เลยเลือกกลับมาอยู่ที่เดิม
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หวนระลึกถึงความหลัง ไอ้หมอนั่นเลยพูดต่อ
“หลังจากนั้นมึงก็เอาแต่ขายตัวนี่ วันนั้นแม่งเปิดโลกมึงดีใช่มั้ยล่ะ ถึงได้มาเอาดีทางนี้ โถ อีเตย ทำมาเป็นร้องห่มร้องไห้”
มันน่าเศร้า ที่ความเศร้าของผมถือว่าเป็นความบันเทิงสำหรับใครหลายๆ คน
ผมสบตากับเขา
หัวเราะออกมา
ได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
☁
ส่งท้ายปีไปกับเสียงหัวเราะของน้องเตย TvT
#น้ำค้างฟ้าขุ่น