-15-
การเปิดเทอมของปีสุดท้ายค่อนข้างจะแตกต่างกับการเปิดเทอมของปีอื่น ๆ อยู่สักเล็กน้อย เพราะในปีนี้พวกเขาจะต้องพบเจอกับศึกหนักนั่นคือโปรเจคที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขาอย่างชัดเจน ภรัณยูคิดว่าตนเองคงจะผ่านจุดนี้ได้ไม่ยากเกินไปนัก แค่เพียงต้องขยันมากกว่าปกติหลายเท่าเท่านั้นเอง...
เมื่อชั่วโมงของการแจกแจงงานมาถึง เขาก็ต้องหนักใจเพราะโปรเจคจะให้จับกันเป็นคู่ทำกันสองคน ยกเว้นว่าจะเหลือคนสุดท้ายที่หาคู่ไม่ได้จริง ๆ จึงจะสามารถรวมกลุ่มสามคนได้ และปีของเขาก็มีครบจำนวนคู่เสียด้วย ทำให้ภรัณยูต้องโดนดีดออกมาโดดเดี่ยวเพราะชลชาติและวิชชุกรจับคู่กันเรียบร้อยตั้งแต่ตอนคุยก่อนจบฝึกงานแล้ว เพียงแต่...เขาจำไม่ได้เลยว่าคุยเรื่องนี้กันตอนไหน
“ก็แกมัวแต่นั่งเหม่อ พวกเราก็เลยคิดว่าแกไม่มีความเห็นน่ะสิ” วิชชุกรว่าตอนที่ภรัณยูมองทั้งสองด้วยสายตาเสมือนลูกหมาถูกทิ้ง
“พวกเราก็เลยจับคู่กันเพราะนึกว่าแกมีคู่อยู่แล้ว” ชลชาติเสริมก่อนจะพาดแขนบนบ่าเพื่อน “แต่ถ้าแกไม่มี เดี๋ยวพวกฉันช่วยหาเองน่า แกน่ะเรียนเก่ง นิสัยดี คุยง่าย แถมหัวอ่อน ใคร ๆ ก็คงอยากจับคู่ด้วยทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวฉันกับไอ้วิชจะช่วยสแกนให้เอง”
“พอเลย ๆ ไอ้หัวอ่อนนั่นมันหมายความว่ายังไง แล้วจะมาสแกนอะไร จับคู่ทำโปรเจคจบนะไม่ใช่หาคู่เดท ฉันว่าฉันหาเองน่าจะดีกว่า” ภรัณยูไม่ไว้ใจพวกเพื่อน ๆ ของตนชั่วขณะ เพราะถึงแม้เขาจะเข้ากับคนอื่นง่าย แต่ในหมู่เพื่อนร่วมชั้นปีก็มีคนที่เขาไม่อยากจะข้องแวะด้วยเหมือนกัน
“แต่ฉันว่าฉันรู้จักคนดีกว่าแกนะ” วิชชุกรยืนยันจะเป็นพ่อสื่อให้ได้ “ถึงจะเป็นแค่การจับคู่ทำงาน แต่ถ้าแกได้คู่ไม่ดีคะแนนก็พลอยแย่ไปด้วย เผลอ ๆ จะไม่ได้จบเอา...” ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังบ่นยืดยาวไปตามปกติวิสัย เสียงก็พลันชะงักเมื่อมองผ่านไปด้านหลังของคู่สนทนา ทำให้ภรัณยูและชลชาติต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัยว่าข้างหลังของพวกตนมีอะไรอยู่กันแน่
หญิงสาวหน้าตาแฉล้มคนหนึ่งกำลังมองมายังพวกเขาพลางแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ฉันมารบกวนหรือเปล่า?”
“เอ่อ...เปล่าหรอก พวกเรากำลังคุยเรื่องคู่ทำโปรเจคอยู่น่ะ” ภรัณยูตอบกลับไปตามตรงพลางมองอีกฝ่ายตอบด้วยสายตาสงสัย “ว่าแต่เธอมีอะไรหรือ วริยา?”
เท่าที่เขาจำได้ ตั้งแต่เลิกคบกันในฐานะแฟน พวกเขาก็แทบจะไม่ได้คุยกันตรง ๆ อีกเลยนอกจากเวลาที่ทำงานกลุ่มแล้วบังเอิญได้อยู่กลุ่มเดียวกันเท่านั้น แล้วทำไมวันนี้วริยาจึงเดินมาคุยกับพวกเขาเองโดยที่เพื่อนเอาแต่นั่งเชียร์อยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตามีความหมายแบบนั้น?
“คือว่า...” หญิงสาวเกาแก้มเขิน ๆ ก่อนจะพูดเหมือนไม่แน่ใจนัก “ฉันเห็นว่าพวกเธอมีกัน 3 คน แล้ว...ฉันก็ยังไม่มีคู่ทำงาน ฉันเองก็แบบว่า...โดนทิ้งน่ะ”
อ้อ...
ทั้งสามตอบรับในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เจ้าสองคนนี่จับคู่กับเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เหลือแต่ฉันนี่แหละถ้าเธอสะดวกใจนะ” ภรัณยูว่าก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนแว่วเสียงผิวปากมาจากกลุ่มของวริยา ซึ่งหญิงสาวก็หันไปถลึงตาใส่เพื่อน ๆ ของตนเองแล้วจึงหันกลับมาหาชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งชื่อเธอไปแล้วกัน แล้ว...เธอยังเก็บเบอร์ฉันไว้ใช่ไหม ถ้ามีหัวข้อที่อยากทำก็โทรมาบอกได้นะ จนกว่าจะถึงอาทิตย์หน้าน่ะ”
“โอเค แล้วฉันจะโทรไป แล้วเธอมีหัวข้อที่คิดไว้หรือยัง?”
“มีแล้วนิดหน่อย แต่ฉันอยากลองเลือกดูก่อน ถ้างั้น...ฉันไปกินข้าวก่อนนะ” วริยาบอกลาไปด้วยประโยคง่าย ๆ ก่อนเดินตามเพื่อน ๆ ไปและทำท่าเหมือนขู่จะทุบตีเพื่อนของตนด้วยท่าทางที่ไม่จริงจัง ภรัณยูได้แต่ยืนงงงันกับภาพที่เห็น แต่เขาก็พอจะอนุมานได้ว่าหญิงสาวคงโดนเพื่อน ๆ แกล้งเอากระมัง
“ถ่านไฟเก่าคุเหรอวะ?” ชลชาติสะกิดถาม
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อกลอกตา เขากับวริยาไม่มีทางไปกันได้อยู่แล้ว หลังจากคบกันระยะหนึ่งทุก ๆ สิ่งก็บ่งบอกได้ชัดเจนและพวกเขาก็เห็นตรงกันถึงได้เลิกรากันไปและกลายเป็นเพื่อนธรรมดาอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นคงเรียกว่าถ่านไฟเก่าไม่ได้ด้วยซ้ำ
“วริยาอาจจะไม่ได้คิดแบบแกก็ได้นี่” วิชชุกรลุกขึ้นแล้วสะพายเป้สีดำประจำตัว “ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ ขนาดนั้น วริยาอาจจะนึกเสียดายขึ้นมาก็ได้”
“พอเลย ๆ นอกจากเรื่องส่วนตัวของฉันแล้วพวกแกไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วหรือยังไง ไป ๆ ไปกินข้าวจะได้ไปเรียนต่อ” ภรัณยูจำต้องบอกปัดทุกข้อสงสัยแล้วเดินลิ่ว ๆ นำไปโรงอาหารของคณะเพราะเหนื่อยจะตอบคำถามซอกแซกของเพื่อนจอมว่างงานทั้งสองคนซึ่งดูจะเป็นห่วงเป็นใยกับชีวิตของเขาเหลือเกิน แต่แล้วอยู่ ๆ ภรัณยูก็เกิดสงสัย...หากเขาบอกทั้งสองไปว่าตนเองสารภาพรักกับผู้ชายจะเป็นยังไง? ทั้งวิชชุกรและชลชาติคงจะบีบคอเขาให้คายชื่อของคน ๆ นั้นออกมาแน่ ๆ ...
พอคิดถึงเรื่องนั้น ภรัณยูก็เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เมื่อคิดว่าวันเสาร์นี้ก็จะต้องไปเผชิญหน้ากับนภทีป์ ซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวจะพอใจหรือไม่กับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไป
แต่การถอนหายใจของภรัณยูกลับให้ความคิดเห็นอีกแบบกับเพื่อนทั้งสองคน
วิชชุกรและชลชาติหันไปมองหน้ากันก่อนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งทั้งสองก็เห็นตรงกันโดยไม่มีข้อสงสัยอื่นเลยแม้แต่น้อย
“ถ่านไฟเก่าแหง ๆ เลยว่ะ”
-------------------------------->
เสียงออดหน้าประตูเรียกให้นภทีป์งัวเงียออกไปเปิดพลางนึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ภรัณยูจึงมาเร็วนัก รติเองก็แซวไปตามเรื่องอย่างคะนองปากซึ่งหลังจากผ่านมาเกือบอาทิตย์ นภทีป์ก็เริ่มจะทำใจได้ว่าตนเองควรทำหูทวนลมไปเสียและเปิดประตูรับตามปกติ ทว่าเมื่อบานประตูเปิดออก เขาก็ถึงกับตาสว่างพร้อมกับเสียงของรติที่เงียบกริบไปอย่างกะทันหันเพราะเห็นผู้มาเยือน
“ทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยนะ ที” ตฤณยิ้มกว้างแล้วพาตัวเองแทรกผ่านบานประตูเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหลีกทางเสียที “ได้นามบัตรของผมหรือยัง?”
“...ภรัณยูให้มาแล้ว คิดยังไงถึงมาแต่ไก่โห่” นภทีป์มุ่นคิ้วแล้วปิดประตู
“ก็อีกเดี๋ยวผมจะต้องไปทำงาน แบบว่า...ล่วงเวลาน่ะ แต่ผมก็สงสัยว่าทำไมทีถึงไม่โทรหาเสียที ก็เลยมาหาถึงที่ เผื่อว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะ...” ตฤณจงใจเว้นคำหลังจากนั้นแบบที่สามารถเข้าใจได้ตรงกันโดยไม่ต้องพูดให้มากความ ทำให้นภทีป์นึกหงุดหงิดขึ้นมา
“เขาไม่ใช่คนแบบนั้น ที่จริงควรจะบอกว่าเป็นคนซื่อตรงเหมือนไม้บรรทัดเสียมากกว่า” นั่นคือคำนิยามเดียวที่นภทีป์นึกออกเกี่ยวกับภรัณยูจริง ๆ ทั้งซื่อและตรงไปตรงมาจนไม่รู้ว่าควรสรรหาคำใดมาอธิบาย แต่เพิ่งมาระยะหลังนี้เองที่นภทีป์เริ่มรู้สึกว่าในความซื่อของภรัณยูก็มีบางอย่างแทรกอยู่ด้วย...
“อยู่ด้วยกันบ่อยจนเริ่มปกป้องกันได้เต็มปากแล้วสินะ?”
“คิดจะแขวะกันหรือยังไง?”
“เปล่า ๆ ผมไม่ได้เจตนาแบบนั้น” ตฤณยกมือทั้งสองขึ้นยอมแพ้ “แต่ผมก็มีสิทธิหึงจริงไหม?”
...
“นายมาที่นี่เพื่อกวนประสาทฉันหรือไง?” นภทีป์เลี่ยงสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วเขาก็นึกออก “หรือว่าเรื่องบริษัทของนาย?”
“ใช่ คุณสนใจหรือเปล่า?”
คำถามของตฤณเป็นสิ่งที่นภทีป์ยังไม่ได้ตัดสินใจ เขายังคงลังเลว่าจะรับข้อเสนอดีหรือไม่ ถึงอยากจะรับแต่ก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจเพราะคนที่ทำให้เขาพลาดจากการที่อยากได้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้เอง ความขุ่นเคืองใจยังคงก่อตัวอย่างเงียบ ๆ แต่ก็เบาบางลงไปมากแล้ว นภทีป์จึงไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้ตฤณมีความคาดหวังขึ้นมาได้บ้าง
“เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาถามอีกทีดีกว่า มันยังไม่แน่นอนไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วนะ ที คุณลังเลเพราะภรัณยูหรือเปล่า?” สายตาของตฤณคล้ายพยายามจะเจาะลึกเข้าไปในใจของบุคคลที่ตนสนทนาด้วย ซึ่งมันทำให้นภทีป์เริ่มอึดอัด
“ผมยังไม่ได้ตกลงคบกับคุณอีกครั้ง ดังนั้นคุณไม่มีสิทธิมาหึงหวงผมหรอกนะ ตฤณ” ชายหนุ่มร่างเล็กเบือนหน้าหนีจากการกดดันตรงหน้า แต่แล้วกลับถูกดึงรั้งให้หันกลับไปมองอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า ผมเคยเป็นเจ้าของคุณนะ ที และผมก็ยังไม่ได้ตกลงใจยินยอมที่จะปล่อยคุณไปด้วย”
สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้วางใจ นภทีป์กลอกตามองหารติซึ่งเจ้าตัวก็บินวนไปวนมาอย่างร้อนรนเพราะครั้งนี้ตฤณจงใจยืนห่างจากทุก ๆ สิ่งที่จะบังเอิญตกใส่ศีรษะตนเอง หากมีอะไรถูกโยนข้ามห้องมามันจะกลายเป็นเรื่องผิดสังเกตไปได้ในทันที ทำให้รติไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
“คุณเป็นคนทำให้พวกเราต้องเลิกรากันเองนะ ลืมแล้วหรือยังไงว่าตัวเองทำอะไรเอาไว้” นภทีป์หยิบยกความผิดเก่ามาอ้างและพยายามขืนตัวออก
“แต่ผมก็คืนให้แล้วนี่จริงไหม? ภาพของคุณทั้งหมดที่ผมเอาไปด้วย...”
“แต่คุณก็ยังไม่ได้คืนสิ่งสำคัญที่สุด!”
เสียงตวาดของนภทีป์ทำให้ตฤณชะงักไปครู่หนึ่ง
“ผมยังพยายามไม่พออีกหรือที่จะทำให้คุณอภัยให้? ผมหาทางให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการ พยายามที่จะอยู่ใกล้ชิด คุณยังต้องการอะไรอีก?” น้ำเสียงของตฤณไม่ได้อ่อนโยนกระเง้ากระงอดเช่นคำพูดแม้แต่น้อย มันติดไปทางข่มขู่เสียมากกว่า ซึ่งมักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเจ้าตัวเริ่มอารมณ์ไม่ดีเพราะถูกขัดใจ
“ผมบอกแล้วว่าต้องการเวลา ดังนั้น...”
“คุณที วันนี้คุณลืมล็อก...ประตู...”
เสียงที่แทรกผ่านเข้ามากลางวงอย่างกะทันหันเรียกให้คนทั้งสองที่อยู่ในห้องรวมถึงรติหันไปมองทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทางการกระทำ ทำให้ภรัณยูได้แต่ยืนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้ว่าตนเองมาผิดเวลาหรือถูกจังหวะกันแน่
“ดูเหมือนนักเรียนของคุณจะมาแล้ว” เสียงของตฤณอ่อนลงเล็กน้อย “เรื่องของเราเอาไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน” ว่าจบ เจ้าตัวก็กดรอยจูบลงบนริมฝีปากของบุคคลในอ้อมแขนและอีกรอยบนต้นคอก่อนจะผละออกแล้วเหยียดยิ้มให้กับผู้มาเยือน
กระทั่งตอนที่ตฤณจากไปแล้ว ทั้งภรัณยูและนภทีป์ก็ยังคงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
“...ฉันจะไปอาบน้ำ นายจะทำอะไรก็ทำไปก่อนแล้วกัน” การถูกกระทำเสมือนถูกลวนลามทำให้นภทีป์รู้สึกเหมือนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ติด เขาเดินเลี่ยงผ่านไปทางห้องน้ำโดยไม่เงยหน้ามองภรัณยูเลยแม้แต่แวบเดียวกระนั้นกลับถูกรั้งแขนเอาไว้อย่างเงียบ ๆ
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาจากมือที่จับแขนตนเองขึ้นไปยังใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะตกตะลึงในวินาทีต่อมาเมื่อได้ยินคำขอที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากผู้ชายคนนี้
“ผมขอจูบคุณได้ไหม?”
“...ฉ...ฉันยังไม่ได้แปรงฟันนะ” หลังจากหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ทันคิด นภทีป์ก็แทบจะอยากบีบคอตัวเองที่ปล่อยข้ออ้างสิ้นคิดออกมาได้ และหากเขามองไม่ผิด ภรัณยูก็คล้ายกำลังกลั้นขำกับเหตุผลของเขาอยู่ด้วย ต่างกับรติที่ปล่อยก๊ากออกมาโดยไม่ไว้หน้ากันสักนิด “ก็ฉันเพิ่งจะตื่น! ดังนั้นนายปล่อยมือได้แล้วฉันจะได้ไปอาบน้ำเสียที!”
ภรัณยูยอมปล่อยโดยไม่ร้องอุทธรณ์ใด ๆ แม้จะเพิ่งถูกตะโกนใส่หน้าโดยที่ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย กระนั้นก็ยังมีคำถามที่ทำให้นภทีป์อยากจะแทรกตัวหายเข้าไปในกำแพงตามมาอีก 1 ประโยค
“แปลว่าคุณไม่ปฏิเสธสินะครับ?”
ให้ตายสิ...ให้ตายสิ!
แน่นอนว่านภทีป์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นและถลาเข้าห้องน้ำก่อนอีกฝ่ายจะมีคำถามต่อ ทำให้ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งหน้าแดงอยู่บนชักโครกและสบถกับตัวเองในใจ กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ถอด ฟันฟางก็ยังไม่ได้แปรง เพราะหัวใจเจ้ากรรมไม่ยอมหยุดเต้นระรัวเสียที เมื่อเงยหน้ามองกระจกที่อยู่ตรงข้ามโถชักโครก นภทีป์ก็นึกอยากตะโกนถามตนเองว่าที่เขาตกอยู่ในสภาวะอย่างนี้เพราะอะไรกันแน่ เพราะถูกตฤณจูบ หรือเพราะถูกจูบต่อหน้าภรัณยู หรือเพราะคำถามของภรัณยูที่เพิ่งถามออกมาเมื่อครู่
ทุก ๆ อย่างคล้ายจงใจเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเสียจนเขาไม่อาจตัดสินได้ว่าใครที่มีอิทธิพลกับเขามากกว่ากัน
ฝ่ามือทั้งสองยกขึ้นกุมหน้า เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ไปอีกรอบเสียให้ได้
“ยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? นายนั่งอยู่แบบนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” รติบินข้ามช่องว่างด้านบนประตูเข้ามาในห้องน้ำเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมออกมาเสียที
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าเข้ามาในนี้น่ะ!” นภทีป์ตะโกนออกไปอย่างลืมตัวก่อนรีบตะครุบปิดปากตนเองแล้วกระซิบต่อ “นี่มันบริเวณส่วนตัวนะ เข้าใจไหม!?”
“ก็ฉันนึกว่านายตกส้วมไปแล้วน่ะสิ รีบ ๆ อาบแล้วออกมาแล้วกัน” รติว่าก่อนจะหรี่ตาอย่างมีเลศนัย “เผื่อว่าจะมีหนังสดให้ดูน่ะนะ”
หนังสดบ้าบออะไรกันล่ะ!
นภทีป์นึกอยากจะตะโกนถามกลับไปให้รู้แล้วรู้รอด ติดแต่หากตะโกน ด้านนอกก็จะได้ยิน เขายังไม่อยากให้ภรัณยูมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ เพราะคำพูดพรรค์นั้น
แต่ปัญหาหนักใจตอนนี้ไม่ใช่เรื่องคำพูดเพียงอย่างเดียว นภทีป์ยังคงทำใจที่จะตอบคำถามของภรัณยูไม่ได้จึงได้ฆ่าเวลาอยู่ในห้องน้ำต่อไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจหนีปัญหาไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะอย่างไรก็ต้องอาบน้ำและออกไปจากห้องที่อุดอู้นี้เสียที
และไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาก็ต้องมานั่งเผชิญหน้ากันที่คนละฝั่งของโต๊ะทำงานตัวเตี้ยซึ่งเป็นโต๊ะฝึกงานของภรัณยูมาตลอดสามเดือน
“...เอ่อ...” เพราะภรัณยูเอาแต่เงียบและมองเขาโดยไม่ยอมพูดอะไร นภทีป์จึงจำต้องส่งเสียงขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ “วันนี้นายเงียบแปลก ๆ นะ ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือยังไง?” ใช่...มันแปลกจริง ๆ ปกติภรัณยูควรจะชวนเขาคุยสิ!
ชายหนุ่มร่างสูงเกาท้ายทอยพลางเสสายตามองขึ้นไปบนเพดานและกลอกตาหาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมไม่รู้ว่า...มันจะเหมาะสมหรือเปล่า ไม่รู้ว่าคุณจะ...รังเกียจผมไหมกับสิ่งที่ผมพูดออกไป ถ้าคุณไม่ได้ชอบผม ผมก็อยากจะให้บอกตรง ๆ ผมคิดว่าผมรับมันได้”
นภทีป์ไม่เคยเห็นภรัณยูแสดงความกังวลใจออกมาตรง ๆ อย่างนี้เลย มันเหมือนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเคยสารภาพรักกับคนที่ตัวเองชอบและรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเลยไม่ใช่หรือ? สำหรับคำตอบของอีกฝ่าย มันทำให้หัวใจของนภทีป์เต้นตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง
“...ฉันยังไม่ทันจะได้ตอบ...นายก็ขอจูบแล้วเนี่ยนะ...”
“เพราะว่าผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรม”
หา?
สายตาแสดงความกังขาจ้องตรงไปยังเจ้าของคำตอบคลุมเครือ คล้ายกำลังออกคำสั่งให้อีกฝ่ายขยายความคำตอบของตนให้ชัดเจนขึ้น
“ทั้งผมและคุณตฤณต่างก็เป็นคนที่เฝ้ารอการตัดสินใจของคุณ แต่ว่า...ทำไมถึงมีเขาคนเดียวที่มีสิทธิถึงเนื้อถึงตัวคุณล่ะ?”
การขยายความยิ่งทำให้ผู้ฟังตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดไปไกลถึงขนาดนี้กับเรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลย
“ถ้าอย่างนั้น นายจะบอกว่า ถ้าให้นายจูบด้วยถึงจะเท่าเทียม?” นภทีป์ถามย้ำเพื่อความมั่นใจเผื่อว่าตนเองจะแปลความผิดไป แต่ภรัณยูกลับพยักหน้า
“นอกเสียจากว่าคุณจะปฏิเสธผมอย่างชัดเจน ผมก็จะไม่รบเร้าอีก”
“จูบเลย จูบเลย จูบเลย~” เสียงใสอย่างอารมณ์ดีจนเกินพิกัดของรติดังแว่วเข้าหูในขณะที่นภทีป์พยายามประมวลผลคำพูดทุกคำอย่างตั้งอกตั้งใจ
แบบนี้มันเหมือนการบังคับเอาเลยไม่ใช่หรือ? เขามีทางเลือกแค่...ยอมให้จูบ หรือบอกปฏิเสธไปตรง ๆ แต่ว่า...การปฏิเสธมันไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย...
นภทีป์กำขากางเกงของตนแน่น หากเป็นไปได้เขาอยากจะก้าวผ่านวินาทีนี้ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนภรัณยูจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ สายตาจริงจังของอีกฝ่ายทำให้เขาอึกอักพูดอะไรไม่ออกและไม่อาจหาข้ออ้างอื่นใดได้
“...เข้าใจแล้ว...จูบ...ก็ได้...” ถึงจะรู้สึกเสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่นภทีป์ก็ตัดสินใจตอบรับคำขอและพยายามเตือนตัวเองว่ามันก็แค่การแตะริมฝีปากกันเท่านั้นเอง
ถึงอย่างนั้นคำตอบของเขากลับทำให้รอยยิ้มกว้างสดใสปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคำขอที่ชวนให้ลำบากใจข้อนั้น
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตนะครับ” ภรัณยูขยับเข้ามาใกล้ในทันทีทำให้นภทีป์รับปิดเปลือกตาลงและนั่งรอด้วยใจที่เต้นระส่ำ
ลมหายใจกรุ่นกลิ่นยาสีฟันและหมากฝรั่งขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้บนปลายจมูก หากว่าลืมตาขึ้นตอนนี้คงจะได้เห็นใบหน้าคมของชายหนุ่มอย่างใกล้ชิด ทำให้นภทีป์เกร็งเปลือกตาแน่นกว่าเดิมด้วยเกรงว่าตนเองจะเผลอมองผ่านออกไป
ไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นร้อนก่อนตามด้วยริมฝีปากที่แนบประกบลงมาอย่างช้า ๆ และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
ยิ่งบดเบียดแน่นขึ้น นภทีป์ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงการตอบรับของตนเองที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ
ภรัณยูไม่ได้แทรกลิ้นเข้ามา เพียงแต่กดริมฝีปากแนบแน่นและเปลี่ยนเอียงมุมบ้าง ผละออกบ้างและแนบสนิทอีกครั้ง บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อนเลย ต่างกับตฤณที่ครั้งแรกก็จู่โจมเขาจนไม่มีโอกาสถอยเสียแล้ว
หลังจากผ่านไปนาทีกว่า ๆ ภรัณยูก็ขยับถอยออก ทำให้นภทีป์ยอมลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะอีกฝ่ายตวัดแขนกอดตัวเขาเข้าไปและเม้มริมฝีปากลงบนคอโดยไม่ให้สัญญาณใด ๆ แม้แต่คำเดียว
นภทีป์เกือบอุทานไม่เป็นภาษา แต่เพราะอารามตกตะลึงทำให้เขาได้แต่เกร็งตัวนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้วจนกระทั่งเป็นอิสระ
“ผมคงจะไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ใช่ไหม?” ภรัณยูเกาท้ายทอยตนเองด้วยสีหน้าแหย ๆ ซึ่งขัดกับกับการกระทำเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน แต่คำถามนี้กลับทำให้นภทีป์ตอบอะไรไม่ออก ใบหน้าของเขาแดงขึ้นและแดงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะสุกก่ำไปทั้งใบหน้า แม้แต่เจ้าตัวเองยังรู้ว่าเลือดฝาดทั้งร่างกายแทบจะขึ้นไปกองอยู่บนพวงแก้มและใบหูเสียหมด หากว่าตอนนี้มีเทอร์โมมิเตอร์ นภทีป์เชื่อว่าคงวัดอุณหภูมิบนหน้าเขาได้สูงกว่าปกติสัก 1-2 องศา
“...ถ...ถ้าพอใจแล้วก็ไปฝึกต่อได้แล้ว...” ตอนแรกเขาตั้งใจจะตวาด ทว่าเสียงที่ออกมากลับแผ่วหวิวเหมือนไม่ยอมออกมาพ้นลำคอ ทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้างุดเพื่อปิดซ่อนความอายที่แสดงออกกระทั่งทางน้ำเสียง
“แต่ว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลยนะครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุบอกกล่าวเสียงซื่อแล้วชี้สำรับบนโต๊ะ “ผมขอกินก่อนได้ไหม?”
ตอนนี้...นภทีป์เริ่มสงสัยแล้วว่า ผู้ชายตรงหน้าเขาเป็นแค่คนซื่อตรงเกินไปจริง ๆ หรือว่าเสแสร้งแกล้งซื่อให้เขาหวั่นไหวเล่นกันแน่!
แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ในเวลานี้ก็มีบุคคลหนึ่งที่ปลาบปลื้มใจกับสถานการณ์ปัจจุบันราวกับคุณแม่ที่ได้เห็นลูกสาวออกเรือน
รตินั่งกอดอกอยู่บนชั้นวางหนังสือ และหลังจากเห็นหนังสดเต็มสองลูกตาอย่างที่คาดหวัง แม้จะผิดจากที่คิดไปสักหน่อยแต่ก็หยวน ๆ ได้ในฐานะของขั้นเริ่มต้น ตอนนี้ภรัณยูรู้จักรุกเร้าเอาสิ่งที่ต้องการบ้างแล้ว เมื่อรวมกับความใกล้ชิดและการยินยอมเปิดใจ คงยากหากตฤณจะทำคะแนนได้ทัน ที่เหลือก็เพียงแต่...จะทำอย่างไรให้นภทีป์ยอมรับตนเองได้อย่างเต็มใจเสียที...
-------------------------------->