Chapter 19
“ดื่มอะไรไหม”
อินทัชนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟา ไม่ปริปากพูดหรือชวนอีกฝ่ายคุยสักคำตั้งแต่ออกจากเลานจ์ ขึ้นรถมากับเธอ กระทั่งตามเข้ามาถึงห้องชุดในคอนโดระดับไฮเอนด์
เขามองโต๊ะกลางด้านหน้า คล้ายกับสนใจดอกไม้พลาสติกในแจกันมากกว่าเพื่อนร่วมห้อง
..เขาไม่ได้บอกน้องชายว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับ..
..อ้นกับอุ้มจะงอแงหรือเปล่า..
“นี่..” แขกสาวเดินเข้ามาหา เธอเปลี่ยนรองเท้าส้นสูงเป็นสลิปเปอร์ลายกระต่ายสีชมพู “เป็นอะไรไปจ๊ะ..ไม่สบายหรือไง” มือเรียวสวยแตะปลายคางคนอ่อนวัยกว่าให้เงยขึ้น
อินทัชมองอีกฝ่าย แต่แล้วก็หลุบตาลงต่ำ เสมองภายในห้องแทน มันตกแต่งอย่างเรียบง่าย ดูแล้วไม่เหมือนห้องของผู้หญิงที่มักจะเน้นของกระจุกกระจิก แต่กลิ่นอายที่มาจากน้ำหอมราคาแพงก็บอกว่าเธอเป็นเจ้าของห้องจริงๆ
“ถ้าไม่ดื่มอะไร งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนนะ” เธอผละจากเขา เดินเข้าไปที่วอล์คอินโคลเซ็ทและหยิบเสื้อคลุมมาสวม “เปิดทีวีดูไปก่อนก็ได้..ไม่ต้องรีบหรอก เรามีเวลาทั้งคืน”
เขานิ่งเงียบ มองแก้วไวน์ที่เธอรินมาให้อย่างเหม่อลอย
อันที่จริง อินทัชรู้ดีว่าเป็นผู้ชายมันไม่เสียหาย หากว่าเราจะมีความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวกับคนที่ไม่ใช่คู่รัก แต่เขาก็ยังรู้สึกอดสูใจไม่ได้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องทำเรื่องพรรค์นี้..ก็เพื่อเงิน
เสียงสายน้ำจากฝักบัวดังกระทบพื้นแว่วมาเมื่อเขาเดินเข้าไปแถวห้องน้ำ ตอนนั้นใจหนึ่งกำลังลังเล คิดอยู่ว่าจะปล่อยให้เรื่องดำเนินจนถึงตอนจบ หรือกลับออกไปในตอนนี้เลย
แต่เขาต้องการเงิน..ซ้ำยังต้องการอย่างมากด้วย
ประตูห้องน้ำเปิดออก อินทัชชะงักเมื่อหญิงสาวก้าวออกมา เธอสวมชุดคลุม ไม่ใส่บราเซียร์ ซ้ำยังผูกสายคาดเอวไว้หลวมๆ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน รอยแหวกของผ้าจึงเปิดเปลือย คล้ายจงใจกระตุ้นเร้ากัน
“จะอาบน้ำหรือ ไปสิ..” เธอเช็ดปลายผมที่เปียกชุ่ม “ฉันจะรอที่เตียงนะ”
อินทัชเงียบ ได้แต่ยืนมองคนที่หันหลังให้ เธอปลดเสื้อคลุมออก ทิ้งลงไปกองตรงข้อเท้าโดยไม่มีท่าทีเขินอายใดๆ เขาเองเสียอีกที่อดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้เมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าของผู้หญิงที่เจริญพันธุ์เต็มที่
ดวงตาสีเข้มเผลอไล่มองทรวดทรงอ่อนช้อยของสรีระเพศตรงข้าม เธอปล่อยผมให้ยาวสยายถึงกลางแผ่นหลังขาวเนียน เขามองเรื่อยตั้งแต่ช่วงเอวคอด ลงมาถึงสะโพกอวบอิ่มที่ผายออก กระทั่งขาเพรียวยาวไปจนข้อเท้ากลมกลึง
“อย่ามัวแต่จ้องอย่างเดียว” เธอหัวเราะคิก ก้าวขึ้นไปแล้วเปิดผ้านวม ซุกตัวลงตรงกลางพลางเท้าหัว ใช้สายตามองเย้ายวน “ถ้าไม่อาบน้ำก็มาตรงนี้”
อินทัชเกิดความละอายแก่ใจขึ้นมาชั่ววูบหนึ่งเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองมีปฏิกิริยาเล็กน้อยกับการปลุกเร้าด้วยท่าทางของเธอ ตอนนั้นเขานึกถึงหน้าของใครบางคน..ที่เขาแอบชอบ มันเป็นเหมือนปราการด่านสุดท้าย ก่อนที่เขาจะทำอะไรลงไป
เขารู้สึกผิด..เหมือนกำลังนอกใจ
แต่เพราะว่าปาลินไม่ได้มีใจให้เขา..แล้วมันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร
อย่างมากถ้ารู้เรื่องคืนนี้..ปาลินก็คงจะผิดหวังที่เขาตัดสินใจ ‘ขายตัว’ แลกเงิน
แต่คงไม่ได้เจ็บปวด และไม่ได้รู้สึกอื่นใดกับความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่เขาทำ
“เรื่องคืนนี้..” อินทัชพึมพำ “อย่าบอกใครได้ไหมครับ”
เธอเลิกคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะเสียงใส “อะไรกัน..กลัวว่าจะรั่วไปถึงหูของแฟนหรอกหรือ โธ่เอ๋ย..พ่อคนน่าสงสาร” สาวเจ้าพลิกตัวลงนอนคว่ำ “วางใจเถอะ..ฉันไม่ปากโป้งหรอก”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นผมขอไปอาบน้ำก่อน..”
“ไม่ต้องแล้วก็ได้ ฉันไม่ถือ” เธอยิ้ม “ไปหยิบถุงยางตรงลิ้นชักล่างสุดในตู้เสื้อผ้ามาก็พอ”
เขาเดินไปทำตามคำบอกอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง เธอบอกให้ถอดเสื้อออก เขาเลยปลดกระดุมเชิ้ตแล้ววางพาดไว้กับเก้าอี้ด้านหลัง
คนอายุมากกว่าไล่สายตามองรูปร่างของอีกคนอย่างชื่นชม เขามีรูปร่างสูงใหญ่แม้จะยังโตไม่เต็มที่ ช่วงบ่ากว้างและแขนแข็งแรงให้ความรู้สึกร้อนซ่าน แผ่นอกล่ำสันรับเข้ากับกล้ามเนื้อหน้าท้องที่กระชับได้รูป ผิวสีแทนของนักกีฬาเมื่อทาบเกี่ยวกับผิวเนื้อขาวจัดคงให้อารมณ์ระอุพล่าน
เธอมองท่อนขาเพรียว และจ้องเงาสะท้อนจากกระจกสูงท่วมหัวด้านหลัง มองสะโพกเคร่งครัดที่อยู่ใต้กางเกงสแล็ค สงสัยว่าตอนที่เขาขับเคลื่อนตัวเองด้วยความร้อนแรง เธอจะต้องกระหวัดปลายเท้าไว้ตรงไหน เขาจะเข้ามาลึกจนเธอหวีดร้องไม่เป็นศัพท์หรือไม่ และเขาจะฉุดรั้งกันขึ้นไปถึงความชุ่มฉ่ำในชีวิตแห้งผากของเธอได้มากน้อยเท่าไร
สี่หมื่น..แลกกับความหฤหรรษ์ในยามค่ำคืน เธอไม่นึกเสียดายหรอก
..ใช่เงินของเธอเองเสียเมื่อไร..
เธอยิ้มมุมปากขณะลุกขึ้นนั่ง ผ้านวมที่คลุมร่างหลุดเลื่อนลงไปกองที่เอว จากนั้นก็คุกเข่าลงและจัดการปลดเข็มขัดกางเกงของอีกฝ่ายออก อินทัชขมวดคิ้ว วูบไหวในช่องท้องเมื่อจ้องมองคนที่ใช้ฟันรูดซิปกางเกงให้
“ตอบฉันซิหนุ่มน้อย..” เธอยิ้มยั่ว ล้วงมือเข้าไปสัมผัสเนื้อผ้าของชั้นในอย่างไว้เชิง “เธอเคยมีอะไรกับใครมากี่คนแล้ว”
เขาเริ่มมีปฏิกิริยา ปวดแปลบกลางลำตัวเมื่อนิ้วเรียวลูบไล้ให้ “ยัง..ไม่เคยครับ”
หญิงสาวชะงัก มีท่าทีประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะคิก
“ตายแล้ว..ไม่เคยมีอะไรกับแฟนเลยหรือ”
อินทัชเงียบ เขาไม่ได้เป็นคนดี ขนาดที่จะปล่อยแฟนของตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ทำอะไรหรอก แต่เพราะว่าปาลินไม่ใช่แฟนของเขา แล้วจะเคยมีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร
“โถ..ไม่เป็นไรๆ” เธอค่อยๆปลดกางเกงเด็กหนุ่มลงมา “ให้ฉันสอนวิธี ‘ขึ้นครู’ ให้เองนะจ๊ะ”
“ถ้าผมทำไม่ถูกใจก็ขอโทษด้วย”
“เด็กหนุ่มๆน่ะประสบการณ์น้อย ครั้งแรกอาจจะขลุกขลัก แต่ก็มีดีตรงที่..ความอึด” เธอยิ้ม เอานิ้วเกี่ยวขอบชั้นในออกให้ “ผ่อนคลายเข้าไว้..ไม่ต้องอายหรอกจ้ะ เอาความกดดันทั้งหมดของเธอมาลงที่ฉันนี่..”
อินทัชมองคนที่ถอยหลังไปนั่งบนเตียง เธอเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นปิดปากแล้วทำตาโตตอนที่มองสำรวจร่างกายเปลือยเปล่าของเขา เจ้าหล่อนทำทีขวยอายเหมือนสาวไม่ประสา แต่ดวงตากลับจ้องไม่ยอมละ
“ให้ตาย..” เธออุทาน เหลือบมองกล่องถุงยางบนโต๊ะด้านข้าง “ไอ้นี่มันเล็กไป..”
เขาชะงัก ถ้าไม่มีถุงยาง เขาก็คงไม่รับงานนี้ เพื่อความปลอดภัยทั้งเขาและเธอ
เด็กหนุ่มก้มลง จะหยิบชั้นในมาสวม “ผมเห็นร้านเซเว่นอยู่หน้าปากซอย ยังไงก็ต้องใช้..” พูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็คว้าเข้าที่แขนแล้วลากเขาล้มลงบนฟูก เขาต้องเอามือยันพื้นโดยอัตโนมัติเมื่อสัมผัสได้ว่าท่อนล่างกำลังเบียดเสียดกัน
ปฏิกิริยาของร่างกายเริ่มปะทุขึ้นเมื่อแผ่นอกแนบชิดกับทรวงอกอวบ ผิวเนื้อร้อนผ่าวทาบเกี่ยว มันเร่งเร้าและสะกิดความต้องการเหมือนกับประกายไฟตกลงบนน้ำมัน
“ช่วงนี้ปลอดภัย” เธอกระซิบ ขบปากลงบนติ่งหู “เธอไม่เคย และฉันก็สะอาดนะ..”
อินทัชพยายามจะลุกขึ้น เขาไม่เห็นด้วยกับข้อนี้ แต่เธอเอาแขนคล้องคอเขาไว้ ลากมือลูบไล้ไปตามช่วงบ่า
“เดี๋ยวครับ..”
“จูบก่อน” เธอท้วง สอดนิ้วเข้าขยุ้มท้ายทอยและรั้งใบหน้าอ่อนเยาว์ลงมาใกล้ เปิดปากขบเม้มบนปลายจมูกโด่งเป็นสัน ลากลิ้นโลมเลียเรียวปากล่างของเด็กอายุน้อยกว่า ผิวเนื้อที่ตึงแน่น ให้ความรู้สึกถึงความเป็นชายทั้งเนื้อทั้งตัวนั่นเร้าอารมณ์จนหวามไหว
อินทัชขัดขืนได้ไม่นานก็คล้อยตาม เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ความรุ่มร้อนของวัยหนุ่มทำให้ร่างกายเริ่มตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ
เขาก้มลงกดจูบบนซอกคอนวลเนียน กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆล่อลวงให้เขาสูดดม ฝ่ามือใหญ่ลากผ่านต้นขาอวบอิ่ม สูงขึ้นไปยังทรวงอกและกอบกุมมันไว้ เธอครวญครางเมื่อเขาลากริมฝีปากลงมาครอบครอง
มือข้างหนึ่งของเธอจิกลงบั้นเอวของเขา เรียวขาแยกออกกว้างเป็นการเชิญชวน อินทัชลังเล เขามองไปที่กล่องถุงยาง คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะลองใส่ดูก่อน
“ทำไมคุณถึงมีถุงยางอยู่ในห้องตั้งเยอะ” จู่ๆเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ ยันตัวขึ้นเหนือร่างเล็กบาง “หรือว่า..”
เสียงริงโทนมือถือแผดดัง คนทั้งคู่หันขวับไปมอง นายจ้างของเขาถึงกับชะงัก แต่เพียงไม่นานเท่านั้นก็หันมาวุ่นวายกับเขาใหม่ เธอพยายามกอดจูบ เหนี่ยวรั้งให้เขาร่วมเล่นไปด้วย
“มีคนโทรมา” เขากระซิบ “อาจจะเป็นธุระด่วน”
หญิงสาวจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด คว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วลุกออกจากเตียง อินทัชเลยถอยตาม เขาคว้าชั้นในมาสวมอีกครั้งและใส่กางเกงให้เรียบร้อยตอนที่เธอเดินหัวเสียไปรับสาย
“ตีสองแล้ว..บ้าหรือเปล่าโทรมาป่านนี้” เธอสบถ มองหน้าจอก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กดรับ ทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางหันมาจุ๊ปากให้เขาเงียบ “ว่าไงคะ..ที่รัก”
อินทัชตัวเย็นเฉียบ เพิ่งจะได้คำตอบว่าทำไมเธอถึงได้มีกล่องถุงยางไซส์เดียวกันในตู้เสื้อผ้า
“อะไรนะคะ” เธอดูตกใจ “กำลังมา? ไหนคุณบอกว่าคืนนี้ไม่มาไง”
เด็กหนุ่มรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่สู้ดี เขารีบคว้าเสื้อมาสวมตอนที่เธอทำใจดีสู้เสือ ตอบรับเสียงอ่อนกับปลายสาย
“ค่ะ..ได้ค่ะ พอดีฉันนอนอยู่ ตกใจที่คุณมาเอาป่านนี้..ตีสองกว่าแล้ว..” เธอเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น “ได้ค่ะ ยังไม่นอนต่อ จะรอคุณที่ห้องนะ..”
อินทัชกลัดกระดุมเสื้อเมื่อเธอปราดเข้ามาหา
“ท่านจะมา” เธอลนลาน “รีบออกไปเร็วเข้า ถ้าท่านรู้ว่าฉันเอาเธอมานอน ฉันโดนดีดออกจากทำเนียบอนุแน่”
เด็กหนุ่มฟังอย่างตกใจ ที่เลวร้ายกว่าการมีอะไรกับเมียคนอื่น ก็คือการมีอะไรกับเมียน้อยของคนอื่นนี่แหละ
เขาส่ายหัว คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายข้างแล้วเดินออกจากห้องในทันที
“รีบๆเข้า แล้วอย่าเดินผ่านล็อบบี้นะ ไปออกด้านหลังเลย เข้าใจไหม!” เธอรีบร้อน “ฉันจะติดต่อไปทีหลัง ระหว่างนี้ห้ามมาหาฉันที่นี่ เรื่องเงินเอาไว้ค่อยเคลียร์”
อินทัชมองเธออย่างดูแคลน แต่ให้ทำอย่างไรได้ เขาเองก็ใช่ว่าจะดีนัก
หลังจากที่หลุดออกมาจากคอนโดหรูนั่นได้สำเร็จ เขาก็เดินทอดน่อง เตร็ดเตร่อยู่ข้างถนน ใบหน้าได้รูปแหงนมองบนท้องฟ้า ในเมืองหลวงไม่ค่อยมีดาวให้เห็น อาจเพราะแสงไฟจากตึกกลบเกลื่อนมันไปจนหมด
มีรถเบนซ์คันงามแล่นผ่านไปและเลี้ยวเข้าซอยที่คอนโดนั่นตั้งอยู่ เขาเหลือบมอง ไม่เห็นว่าใครขับเพราะฟิล์มค่อนข้างทึบ แต่ก็เผลอหยุดยืนอยู่ข้างเสาไฟ เหมือนคนเพิ่งจะทำความผิดอะไรมา
พอรถคันนั้นแล่นผ่าน เขาก็ตั้งสติได้และเดินต่อ จู่ๆ อินทัชนึกอยากจะหัวเราะขึ้นมาเสียอย่างนั้นเอง
..เขาก็แค่..ขบขันทางเลือกของตนเหลือเกิน..
.
.
.
“เลิกนั่งเล่นไลน์สักทีน่า” พสิษฐ์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้านข้างกระดิกเท้าไปมา
ตั้งแต่พี่กุนต์มาถึงโรงแรมก็แชทไร้สาระอยู่ตลอด เขาว่าแชทไปหัวเราะไป ไม่น่าจะคุยกับลูกค้า อันที่จริง ดูเหมือนพี่กุนต์จะมาเล่นเยอะเอาช่วงหลังๆ ตั้งแต่ที่ ‘ไอ้ตึ๋งหนืด’ เข้ามายุ่มย่ามในชีวิต
“สรุปว่าเลิกคั่วกับเด็กมหา’ลัย มาสนใจไอ้หนุ่มบ้านไร่ทะเลเรียกพ่อแล้วใช่ไหม”
“กินแลคตาซอยแล้วไปนอนไป” กนธีส่ายหัว “จริงๆคุณไทก็ไม่ได้เค็มนะ เขาแค่รู้จักใช้เงิน”
พสิษฐ์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหู “ไปเที่ยวกันไม่กี่วัน พี่ถูกเขาเป่าสมองขนาดนี้แล้วหรือ!”
“ล้างสมองเว้ย”
ชายหนุ่มเซฟภาพ ราตรีสวัสดิ์ แล้วส่งให้ไผท พร้อมกันนั้นก็ส่งเข้าไลน์ของอินทัชด้วย ของคุณไผทนั้นขึ้นว่า Read แทบจะทันที แต่ของอินทัช คิดว่ากว่าจะได้อ่านก็คงจะเช้าอีกวัน ตอนนี้หมอนั่นคงกำลังทำงานอยู่
กนธีวางโทรศัพท์ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง วันนี้เขามาดูที่ดินในจังหวัดสุโขทัยที่จะมีคนขายให้ เลยถือโอกาสชวนพสิษฐ์นั่งรถมาเป็นเพื่อน ระหว่างทาง เขาเล่าให้ฟังเรื่องที่มีเพื่อนใหม่เป็นคุณไผท
ตอนที่เจ้าไผ่รู้ว่าฝ่ายนั้นอยากได้คอนโดสเปคสูง แต่มีงบให้แค่ไม่เกินสองล้าน มันก็ก่นด่า ซ้ำยังช่วยตั้งนิคเนมให้คุณไผท เป็น ‘ไอ้ตึ๋งหนืด’ ‘ไอ้เดดซี’ และ ‘ไอ้เกลือสมุทร’ อีกต่างหาก
โดยสรุป เขาหาคอนโดในราคานั้นให้ไม่ได้ เขาเลยถามว่าจะเพิ่มงบประมาณได้ไหม คุณผัดไทยเลยขอลดสเปคลงแทน และเขาก็หาให้ได้ภายในเวลาไม่นาน ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์แต่โดยดี
“แกต้องเข้าใจเขานะไผ่” กนธีอธิบาย “คุณไทลำบากมาก่อน เขาเริ่มต้นจากติดลบด้วยซ้ำ แทบจะกัดก้อนเกลือกิน”
“ถึงได้เค็มทุกอณูลมหายใจยังไงล่ะ” พสิษฐ์หัวเราะหึ ยังนึกขุ่นใจกับข้อหาที่ว่าไปทำแม่วัวของเจ้านั่น ‘เต้าตัน’
คนเป็นพี่ส่ายหัว “คนเราเวลาขาดอะไร โตขึ้นเขาก็ต้องโหยหาสิ่งนั้นเป็นธรรมดา ไม่แปลกหรอกที่เขาจะกลัวมาก แล้วก็ไม่อยากกลับไปยากจนเหมือนเดิมอีก สิ่งที่แกต้องโฟกัส ก็คือความพยายามลุกขึ้นยืนของเขาต่างหาก”
พสิษฐ์ครางในลำคอ “พี่นี่มันเทวดาลงมาเดินดินชัดๆเลยพี่กุนต์”
กนธีเตะหมอนใส่น้องชาย “หัดมองคนในแง่ดีแบบไม่มีเงื่อนไขบ้างสิเว้ย!”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” เขาหัวเราะ “จริงๆผมก็ว่าเขาเป็นคนตลกดีน่ะนะ ไม่น่ามีพิษภัย ไม่น่าใช้สิบแปดมงกุฎ” เขาลูบปลายคางครุ่นคิด “แต่มันก็น่าสงสัยอยู่นา..ทำไมเขารุกเข้าหาพี่เร็วขนาดนี้ มาจีบหรือเปล่า..”
“ถ้าอินโนเซ้นท์สักหน่อย ก็คงจะทำท่าไม่เชื่อแล้วก็ถามว่า แก่ปูนนี้ ยังมีคนมาจีบอยู่อีกหรือ..” กนธียิ้มมุมปาก “แต่บังเอิญพี่รู้ตัวว่ะ ว่าคนแต่ละคนที่เข้ามาหาพี่ เขามาด้วยจุดประสงค์อะไร”
คนฟังหรี่ตามอง “หมายความว่ายังไง สรุปมาจีบจริง?”
“ระดับพื้นผิวมันบอกว่าอย่างนั้น..ระดับลึกลงไปยังไม่ชัดเจน แต่ให้เดาก็คงไม่ยาก” เขาหัวเราะ “แต่ถามจริงๆเถอะ จะมีสักกี่คนที่สนใจตัวพี่..เพราะพี่เป็นพี่จริงๆ ไม่ใช่สนใจเพราะความเป็นสิงหนาทที่พ่วงมาด้วยเงินในบัญชีกับทรัพย์สินส่วนตัวอีกเป็นพะเรอ”
พสิษฐ์นิ่งเงียบ วูบหนึ่ง เขาคิดว่ายังสัมผัสความเศร้าสร้อยของพี่กุนต์ได้อยู่บ้าง
..ยังอาลัยรักศรัณย์ไม่เปลี่ยน..
“พี่กุนต์..” เขาถอนหายใจ แต่แล้วก็ยิ้มเผล่ “ผมไง..ผมรักพี่ที่พี่เป็นพี่ ถึงจะแก่ สายตายาว มักง่าย สกปรก รกรุงรัง ทำอาหารสุนัขไม่รับประทานยังไง..ผมก็ยังรักนะ ไหน..มาให้น้องชายกอดที” ร่างสูงอ้าแขนออก คลานเข่าบนฟูก
กนธีเตะหมอนอีกใบใส่หน้ามัน ไอ้ไผ่หงายท้องกลิ้งแทบตกเตียง
“แกนั่นแหละไม่น่าไว้ใจที่สุด! เอาที่ดินปากช่องของพี่ไปฟรีแล้วยังไม่ยอมเสียค่าโอนอีก ไอ้ไข่เค็ม!”
“อย่าพี่! มันเข้าคู่กับไอ้ตึ๋งหนืดเกินไป!” เขาโวยวาย ทำท่าขนลุก
“กลัวมากนัก คอยดูเถอะวะ” กนธียิ้มเหี้ยม “หนีกันไม่พ้นแน่”
“!!!”
.................................................................................................
อินทัชละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์เพราะเพ่งมาประมาณชั่วโมงกว่า เขาหยุดพักการพิมพ์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างลงในตารางเอ็กซ์เซล เด็กหนุ่มนวดคลึงหว่างคิ้ว ปวดกระบอกตาเล็กน้อยเพราะปกติแล้วไม่ได้จ้องหน้าจอคอมฯนานขนาดนี้
วิทยานิพนธ์ของอาจารย์ทำกับกลุ่มตัวอย่างประมาณสี่ร้อยคน เป็นเด็กในมหาวิทยาลัย กระจายตามคณะต่างๆ เขาเป็นคนรับจ้างเก็บข้อมูลและเอาดาต้ามากรอก ก่อนหน้านี้ก็ใช้เวลาที่พอมีเดินไปตามมหาวิทยาลัย สุ่มคนตามสะดวกและขอความร่วมมือให้ช่วยตอบแบบสอบถามจำนวนห้าสิบข้อ บางคนก็ไม่ว่าง บางคนปฏิเสธ ทำให้ต้องเสียเวลาในการเก็บมากขึ้น
ตอนนี้เขาเก็บได้ประมาณร้อยกว่าคนแล้ว เลยใช้เวลาหลังเลิกเรียนทยอยพิมพ์ข้อมูลลงตารางก่อน จากนั้นค่อยก๊อปปี้ไปลงโปรแกรม SPSS ที่ใช้คำนวณค่าสถิติ
อินทัชกลับมามองหน้าจออีกครั้ง เขาตั้งใจจะพิมพ์ให้เสร็จก่อนไปทำงาน พอหันมองกระดาษคำถามก็ต้องถอนหายใจ คนๆนี้ไม่ตั้งใจตอบคำถาม เอาแต่วงคำตอบเดียวยาวลงมา นับว่าข้อมูลชุดนี้ไม่น่าเชื่อถือ
ถ้ากลุ่มตัวอย่างมีประมาณสี่ร้อยคน ก็ต้องเก็บเผื่อมาเยอะพอควร เอาไว้สำรองในกรณีที่มีมิสซิ่งจำนวนมาก หรือผู้ตอบไม่ตั้งใจตอบ เขาเลยได้แต่ถอนหายใจ นวดคลึงต้นคอของตนเองอย่างเพลียๆ
กำลังมองปึกกระดาษอีกห้าสิบคนที่ยังไม่ได้พิมพ์ เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีสัมผัสเย็นเจี๊ยบแตะเข้าที่หน้า
“เฮ้..” ปาลินปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง ยิ้มให้พลางส่งกระป๋องกาแฟสำเร็จรูปมา “เอาหน่อยไหม”
อินทัชที่กำลังล้าหลุดยิ้ม รู้สึกอุ่นซ่านในใจทุกครั้งที่ได้เจออีกฝ่าย “ขอบคุณ” เขาเอื้อมมือไปรับ แต่ปาลินยื้อกลับ ส่งขวดซุปไก่สกัดมาให้แทน
“เอานี่เถอะ โด๊ปหน่อย พักนี้ดูไม่ได้เลย” ปาลินลากเก้าอี้มานั่ง แอบเอาเครื่องดื่มใส่เป้เข้ามาในหอกลาง
คนฟังหัวเราะแผ่วเบา รับมาเปิดขวดแล้วดื่ม จากนั้นคนข้างกายก็ส่งน้ำเปล่าให้
“เหลืออีกเยอะไหม” ปาลินชะโงกหน้ามอง “เออ..ที่ฝากเราเก็บ เราไปเดินแถวคณะมาให้แล้วก็เลยไปฝั่งตึกวิทย์ด้วย ได้มาตั้งเจ็ดสิบกว่าคนแน่ะ..”
อินทัชไม่รู้จะขอบคุณอีกฝ่ายอย่างไรดี ปาลินอาสามาช่วยโดยไม่ขอรับเงินส่วนแบ่งแม้แต่น้อย เขาเองต่างหากที่ไม่ประเมินศักยภาพตัวเอง ขอเป็นคนเก็บข้อมูลทั้งหมดทั้งที่น่าจะรู้ว่าทำคนเดียวมันต้องใช้เวลามาก
“พิมพ์เลยดีไหม ของโอ๊ตเหลือกี่คน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยๆทำไป” เขาแย้ง แต่ปาลินก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“เอ้า..แบ่งให้เท่าๆแล้วมาแข่งกัน” เจ้าตัวถกแขนเสื้อ “ใครเสร็จทีหลัง เลี้ยงโจ๊กสามย่านซะเลย”
อินทัชหัวเราะ หันกลับมาทำงานของตนเองต่อ
เสียงรัวแป้นพิมพ์ดีดดังต่อเนื่อง อินทัชยอมรับว่าสายตาค่อนข้างล้า กว่าจะเสร็จเอกสารส่วนที่เหลือ ปาลินก็นำหน้าไปไกลเสียแล้ว
เด็กหนุ่มยังคงกรอกข้อมูลต่อไปเรื่อยๆ ในห้องสมุดค่อนข้างเงียบ นิสิตแต่ละคนเริ่มทยอยกลับ กระทั่งตรงห้องคอมพิวเตอร์เหลือแต่เขากับปาลินเท่านั้น
คนด้านข้างเงียบเสียงไปสักพักแล้ว อินทัชที่เพิ่งจะกดเซฟข้อมูลชุดสุดท้ายเลยหันไปมอง เห็นเจ้าตัวนั่งกอดอก ก้มหน้าลงต่ำ หลับตานิ่ง ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
เขายิ้มบาง เปิดข้อมูลประมาณหกสิบชุดที่ปาลินพิมพ์ให้ก่อนหันมามองคนที่เริ่มจะตัวเอียงไปด้านข้าง เขาแอบหัวเราะ เอื้อมมือหวังจะประคองช่วงคออีกคนให้ตั้งตรง
ระยะที่ห่างแค่เพียงฝ่ามือทำให้ใครบางคนชะงัก เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าก้มหน้าลงไปใกล้แนวแก้มของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไร รู้เพียงว่าความรู้สึกอุ่นอวลในอกเมื่อคนๆนี้อยู่ใกล้กัน มันผลักดันให้เขากระทำ
ปลายจมูกแตะผ่านผิวเนื้อขาว สัมผัสแผ่วเบาคล้ายปุยนุ่นพลิ้วผ่าน อินทัชผละออกมาตอนที่ปาลินขยับตัว เขากลับมานั่งที่ตัวเอง กลบเกลื่อนสีหน้าและอารมณ์ที่เผลอไผลเมื่อคนด้านข้างปรือตามอง
“เสร็จแล้วหรือ” ปาลินหาวหวอด บิดขี้เกียจอย่างง่วงเหงา
“อืม..” เขาเก็บกระดาษสองปึกใส่ถุง “ขอบคุณมากนะที่มาช่วย”
“ตกลงว่าเราทำเสร็จก่อนนะ” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้ม “เลี้ยงเลย เอาโจ๊กหมูใส่ไข่พิเศษสองชาม!”
อินทัชหัวเราะ เก็บข้าวของแล้วกดชัทดาวน์เครื่องคอม “ไปสิ..กินสักสาม สี่ ห้าชามเลยก็ไม่ว่า”
“เอาแบบไม่ใส่ผัก”
“ตลกแล้ว คนอะไรไม่กินผัก รู้หรือเปล่าว่ากินผักแล้วหล่อนะ” เขาหัวเราะ “เท่ระเบิดเลยแหละ”
ปาลินขำ “นี่เอามุกนี้ไว้หลอกน้องอุ้มใช่ไหม”
อินทัชชะงักไปนิด ไอ้ประโยคที่ว่านั่นเหมือนขึ้นมาในหัวอัตโนมัติ เขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าติดคำพูดแบบนี้มาจากพี่กุนต์ตั้งแต่เมื่อไร อาจเพราะว่าเมื่อตอนบ่าย เขาได้ไลน์ภาพฟักทองมาจากฝ่ายนั้น ตามด้วยข้อความบอกว่ากำลังเดินทางกลับ เขาเลยส่งมะเขือเทศไปให้ และบอกว่าขอให้ขับรถปลอดภัย ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
..คนกินผักคนนั้น..ป่านนี้จะกลับมาถึงกรุงเทพแล้วหรือยังนะ..
เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มจาง หยิบเป้มาพาดบ่าและเดินคล้องคอเพื่อนสนิทของตนออกไปจากห้องสมุด
หลังออกจากสามย่าน อินทัชพาปาลินแวะไปที่ห้อง จะได้อาบน้ำแล้วเตรียมตัวเข้างานตอนกลางคืนด้วยกัน
ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่แถวมหาวิทยาลัย ปาลินก็แวะเวียนมาเสมอเพราะอพาร์ทเมนท์หลังนี้อยู่ใกล้กว่าบ้าน ในตู้เสื้อผ้าของอินทัช มีชุดฟอร์มพนักงานของปาลินแขวนไว้กับชุดลำลองอีกตัวสองตัว พวกเด็กๆเองก็คุ้นเคยกับเพื่อนสนิทของพี่ชายมากขึ้น
“น้องอ้นทำอะไร..” ปาลินนั่งยองๆลงดูน้องชายของเพื่อนที่จดบันทึกอยู่หน้ากระบะเพาะต้นไม้ “ต้องวัดส่วนสูงด้วยหรือครับ การบ้านที่โรงเรียนหรือ”
อ้นหันมาฉีกยิ้ม “วิชาวิทยาศาสตร์ ให้สังเกตการเติบโตของต้นมะขามครับ”
“ต้นมะขามตอนอายุน้อยๆหน้าตาแบบนี้นี่เอง” เขาอมยิ้ม
“อ้นปลูกต้นอ่อนทานตะวันด้วยครับ เอาไว้กินได้ อ้นจะเก็บให้พี่สนนะ”
ปาลินหัวเราะ ขยี้หัวน้องคนกลางอย่างเอ็นดู พอหันมาด้านหลังก็เจอน้องอุ้มยืนยิ้มให้ เจ้าตัวน้อยเพิ่งจะเปลี่ยนปลอกหมอนของตัวเองเสร็จ เพราะเมื่อคืนหลับน้ำลายยืด เป็นคราบเปื้อนเต็มไปหมด
“แล้วอุ้มล่ะ อุ้มปลูกอะไรครับ”
“หนูไม่ได้ปลูกอะไร” เด็กชายยิ้มยิงฟัน “หนูไม่ชอบกินต้นไม้”
“ต้นไม้กินไม่ได้ทุกต้นนะครับ อย่างต้นมะขามก็กินไม่ได้” เขาขบขัน เขี่ยพุงกลมป่องเป็นการหยอก “กินมากกว่านี้ก็เป็นลูกหมูแล้วนา”
อินทัชเปิดประตูห้องน้ำออกมา เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เหลือแค่กระดุมเสื้อที่ยังไม่ได้ติด เด็กหนุ่มพยักพเยิดบอกให้เพื่อนเข้าไปอาบน้ำ
“อ้น อุ้ม กินข้าวแล้วกินนมคนละกล่องนะ” เขาก้มลงยีหัวน้อง “พี่จะไม่ซื้อนมน้ำผึ้งให้กินแล้ว น้ำตาลเยอะ พี่กุนต์บอกว่าให้กินไทยเดนมาร์กหรือว่านมจิตรลดาแทน นมจืดกินยาก แต่ควรจะกินมากกว่านมหวาน”
ปาลินที่กำลังรื้อเสื้อผ้าออกมาจากตู้แอบอมยิ้ม พออินทัชหันไปเจอเลยถามว่าเป็นอะไร
“กับคุณกนธี..สนิทกันมากเลยหรือ”
คนถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่ง “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็พักนี้น่ะเราได้ยินชื่อ ‘พี่กุนต์’ เรื่อยเลยนี่”
อินทัชเงียบอยู่อึดใจ “วันนี้พูดไปครั้งเดียวเอง”
“แล้ววันอื่นๆล่ะ” ปาลินมองเจ้าเล่ห์ “พี่กุนต์ช่วยหาห้อง พี่กุนต์ช่วยหางาน พี่กุนต์จะขับรถมาส่ง พี่กุนต์ซื้อของมาให้ พี่กุนต์ให้อ้นปลูกผัก พี่กุนต์ให้กินนมจืด ไม่นับเรื่องอย่างอื่นที่ไม่มีคำว่าพี่กุนต์นำ แต่เนื้อหาน่ะ..มาจากพี่กุนต์แน่ๆ เช่นว่า กินผักแล้วหล่อ”
“ไปอาบน้ำเลย” เขาผลักหัวอีกฝ่ายในขณะที่น้องๆหัวเราะก๊าก
“ชอบเขาแล้วหรือเปล่า” ปาลินแหย่ “เขาเป็นคนดีขนาดนี้ อย่าปิดกั้นตัวเองนักสิ”
อินทัชถอนหายใจ โยนผ้าขนหนูผืนใหม่ให้ “เขาเป็นเหมือนผู้ปกครองของเรา..เหมือนพี่ชายคนโต เราพึ่งพาเขาบ่อย มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะเผลอพูดถึงเขานี่นา”
“ชอบก็บอกมาน่า~”
“ถ้าไม่ไปอาบน้ำตอนนี้ ก็จะช่วยถอดเสื้อผ้าให้” เขาขู่เสียงเรียบ
ปาลินเลยวิ่งฉิวเข้าห้องน้ำ “ไปแล้วๆ พูดแทงใจดำแค่นี้ต้องดุด้วย!”
อินทัชมองประตูที่ปิดดังปึงแล้วก็ส่ายหัว เขาไม่ปฏิเสธที่ว่าพี่กุนต์เป็นคนดี..ซ้ำยังดีต่อครอบครัวเขาเหลือเกิน ถ้าหากว่าเขายังไม่ได้รู้สึกอะไรกับใคร คนๆนี้ก็อาจจะเป็นคนแรกที่เขาเผลอใจให้
..แต่เพราะว่า เขามองแต่ปาลินไปแล้ว..เขาจะมองพี่กุนต์ในแง่นั้นได้ยังไง..
..คนเราน่ะ..ให้ชอบใครสองคนพร้อมกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]