บทที่ 2
ซันกำลังนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงของโรงแรมที่แพงเป็นอันดับต้นๆ ในตัวเมือง หลังจากที่เขาผละมาจากบ้านของนภาพร ชายหนุ่มก็รู้สึกอ่อนล้าราวกับเขาได้วิ่งมาเป็นกิโลๆ ทั้งที่แทบไม่ได้ลงเดินเท้าเปล่าที่ไหนนานเลย
นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองเพดานสีขาวอย่างครุ่นคิด รู้สึกหมดหวังและห่อเหี่ยวกว่าก่อนหน้านี้ที่เป็นมาไม่รู้กี่เท่า
เหมือนกับตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ เขาห่อเหี่ยวอยู่ในใจก็จริง แต่มันก็ยังมีเสียงเล็กๆ ที่กระซิบบอกเขาว่า อย่างน้อยแอนดรูว์ก็ยังมีความสุขอยู่กับใครอีกคนที่เขาเลือกแล้วนะ แต่มาตอนนี้… ไอ้เสียงเล็กๆ ที่ว่ามันสลายหายไปเพราะถูกความจริงแทรกเข้ามาเสียแล้ว
ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตอนที่ซันไปหาน้ำหวานที่บ้าน ตอนที่เขาได้รับรู้ความจริงอีกด้านหนึ่ง...
‘เดี๋ยวก่อนสิครับ น้ำหวาน’ ซันรีบเรียกหญิงสาวที่ทำท่าจะผลุบหายเข้าไปในบ้าน รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอย่างอธิบายไม่ถูก ‘นี่ผมเองครับ ผมชื่อซัน ที่เป็นเพื่อนกับดรูว์ สามีของคุณไง ก็… ก็ผมยังไปงานแต่งงานของคุณกับ--’
‘หยุดนะ’ หล่อนว่าเสียงหลง ใบหน้าซีดลงเรื่อยๆ ‘ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงใคร กลับไปเถอะค่ะ ฉันต้องไปทำงานบ้านต่อแล้ว’
‘ดรูว์อยู่ที่นี่ใช่ไหม’ น้ำเสียงเขาแทบจะเรียกได้ว่าอ้อนวอนด้วยซ้ำ ‘เขาเป็นบอกให้คุณมาบอกผมแบบนี้เหรอ เขาอยากให้ผมตัดขาดจากเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ’
‘หวาน’ เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังมาจากด้านหลังของเจ้าหล่อน น้ำหวานรีบหันหน้ากลับไปทางประตูทันที ชายร่างสูง หุ่นกำยำอีกคนเดินออกมา สีหน้าของเขาถมึงทึงเมื่อหันมาเห็นแขกที่ทำให้น้ำหวานหน้าซีดเผือดลงขนาดนั้น ‘เกิดอะไรขึ้น แล้วหมอนี่เป็นใคร’
‘พี่โจ้คะ ช่วยหวานด้วย บอกให้คุณซันไปจากบ้านเราที’
‘เดี๋ยวก่อนสิครับ’ ซันเห็นท่าไม่ดี รีบยกมือขึ้นมาเป็นเชิงบอกให้คนทั้งคู่ใจเย็นๆ ‘ผมแค่มาตามหาแอนดรูว์ เพื่อนของผมเท่านั้น ก็เขาเคยแต่งงานกับหวาน...’
‘หา!?’ พี่ล่ำคนนั้นตะโกนลั่นอย่างไม่พอใจ ‘พูดเรื่องบ้าอะไรของแกวะ หวานเป็นภรรยาผม ไม่เคยแต่งงานกับใครนอกจากผมทั้งนั้นแหละ แล้วนี่คุณเป็นใคร อย่าบอกนะว่าเป็นพวกชอบยุแยงให้ครอบครัวเขาแตกแยกกัน’
ไปกันใหญ่แล้ว
‘ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น’ ซันพูด หันหน้าไปสบตากับหญิงสาวต้นเรื่องอย่างขอความเห็นใจ แต่นภาพรหลบสายตาวูบไปอีกทาง อะไรบางอย่างบอกให้เขารู้ว่าน้ำหวานจำเขาได้ แต่ทำไมหล่อนต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องของเขากับแอนดรูว์ด้วยล่ะ?
‘ถ้าไม่ใช่ก็กลับไปได้แล้ว! ที่นี่ไม่ต้อนรับ’
‘ผมแค่มาตามหาคนที่ชื่อแอนดรูว์ คิงเท่านั้น’
‘แถวนี้ไม่มีฝรั่งที่ไหนอยู่ทั้งนั้น’ โจ้พูดเสียงแข็ง ใบหน้าดุดันของเขาไม่ได้ทำให้ซันกลัว แต่เขาไม่อยากจะมีเรื่องเพราะเรื่องแค่นี้ ‘คุณกลับไปได้แล้ว มาเถอะ หวาน เข้าบ้านกัน ถ้าหมอนี่เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เดี๋ยวผมจัดการเอง’
ซันมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ที่หายเข้าตัวบ้านไป รู้สึกเหมือนท้ายทอยโดนฟาดด้วยไม้หน้าสาม มึนงงจนปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
มันเหมือนกับ… แอนดรูว์ คิงถูกลบออกไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ อย่างนั้นแหละ
แต่หมอนั่นกลับไม่เคยหายไปเลยจากใจเขา…
ซันคิดอย่างทดท้อขณะที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรอบ เขาเผลอหลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ที่กลับเข้าห้องพักมานอนคิดนั่นคิดนี่ เหลือบไปมองนาฬิกาดิจิทัลที่หัวเตียง ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว
โอ๊ะ… โอย หิวข้าว
เสียงท้องที่ร้องประท้วงขึ้นมาเบาๆ ทำให้ซันต้องยันตัวขึ้นมานั่ง มือเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามสัญชาตญาณ รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพราะหิวจัด ข้าวกลางวันเขาก็ไม่ได้กิน ข้าวเช้าก็กินน้อยอย่างกับแมวดม ต้องลงไปหาอะไรกินที่ห้องอาหารหน่อยแล้ว
“หืม?” ชายหนุ่มส่งเสียงครางเบาๆ อย่างแปลกใจเมื่อเห็นข้อความจากส้ม… หญิงสาวที่เป็นญาติห่างๆ ของน้ำหวานที่เป็นคนที่ทำให้เขาสามารถมาเจอเจ้าหล่อนตัวเป็นๆ ได้
แต่… นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเจอดรูว์อยู่ดี และเขาสงสัยเหลือเกินว่าทั้งหมดนี่มันเรื่องบ้าบออะไร
และข้อความที่เขาได้จากส้มก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนั้นมากเข้าไปอีก
‘ไปที่สวน xxx ประตูทิศตะวันออก เวลาสองทุ่ม’
ซันคุ้นชื่อสวนที่อีกฝ่ายส่งมา เห็นบนป้ายตอนที่เขาขับรถที่เช่ามาจากสนามบิน แต่อะไรคือการที่เขาต้องไปที่สวนนั่นตอนสองทุ่มด้วยวะ?
Sunsun: ทำไมครับ?
Somเช้ง: หวานฝากฉันมาบอกค่ะ
คำตอบนั้นทำให้ซันชะงักไปทันที
Somเช้ง: คุณจะไปหรือไม่ไปก็ได้นะคะ หวานว่ามางี้
Somเช้ง: เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่าคะ?
เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่างั้นเหรอ เขาสิที่อยากจะถามแบบนั้น
ซันไปถึงสถานที่ที่น้ำหวานฝากส้มมานัดเขาอีกที แปลว่าส้มบอกเรื่องที่เขาจะมาหาเจ้าหล่อนที่บ้านก่อนสินะ น้ำหวานถึงได้ติดต่อผ่านส้มได้แบบนี้ งั้นหมายความว่าเรื่องทั้งหมดนี่ก็อาจเป็นได้ไปว่าเป็นแผนการของดรูว์เหรอ? หมอนั่นรู้เรื่องที่เขาจะบุกมา จากนั้นก็จัดการจัดฉากทั้งหลายทั้งปวงนี่เพื่อตบตาเขา?
ไม่หรอก ไม่น่าใช่ มันดูมีอะไรตงิดๆ มากกว่านั้น แต่มันคืออะไรนี่สิที่เขายังหาคำตอบไม่ได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ขอเลิกคิดก่อนแล้วกัน ไว้เจอน้ำหวานแล้วค่อยคิดต่อ
น้ำหวานมาถึงที่ตรงเวลากับที่นัดซันเอาไว้ ใบหน้าของเจ้าหล่อนเคร่งเครียด คิ้วขมวดแทบจะชนกันขณะที่ก้าวเท้ามาหาที่นั่งรออยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งในสวน มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังซ้อมเต้นอยู่บริเวณพื้นที่ว่างห่างออกไปไม่ไกล ถึงจะไม่ใช่สถานที่ที่ถือว่าเปลี่ยว แต่ก็เรียกว่าคนเยอะไม่ได้เหมือนกัน
ซันเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมาหาเขาเพียงคนเดียว หากยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากใดๆ นภาพรก็ยกมือขึ้นมาเป็นเชิงห้ามเสียก่อน
“เลิกถามอะไรซ้ำไปซ้ำมาได้แล้วค่ะ คุณซัน” น้ำเสียงของหล่อนเจือแววหงุดหงิดระคนหวาดระแวง และมันยิ่งทำให้ซันสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างนี่มากขึ้น “แล้วก็เลิกถามถึงคนคนนั้นได้แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาบอกคุณแล้วเหรอคะว่าให้ตัดขาดทุกอย่างจากเขา”
ซันอึ้งไปทันที แค่คำถามที่ย้อนมาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน็อคไปแล้ว
“แปลว่า… ดรูว์เป็นคนบอกให้คุณ…”
“เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะอธิบายให้คุณฟังสั้นๆ แบบนี้” น้ำหวานพูดตัดบท พยักพเยิดไปที่ม้านั่งเป็นเชิงบอกให้นั่งลงก่อน และเมื่อทั้งสองคนจัดท่านั่งกันเรียบร้อย หญิงสาวก็เริ่มเรียบเรียง “เมื่อสองปีก่อน มีผู้ชายคนหนึ่งติดต่อมา เขาบอกกับฉันว่าต้องการจะจัดฉากงานแต่งงานขึ้น”
ซันรู้สึกว่าตัวเองอ้าปากค้าง “หมายถึง… ดรูว์น่ะเหรอ”
“จะใครเสียอีกล่ะ ก็เพื่อนคุณนั่นแหละ เขาเสนอเงินหลักล้านมาให้ฉันเพื่อให้ฉันไปเล่นละครโง่ๆ กับเขาพักหนึ่ง แล้วพอจบงานแต่งปลอมๆ นั่นพวกเราก็แยกย้ายกัน”
“แล้ว… ทำไม” ซันพูดอย่างสับสน ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามจากตรงไหนก่อนดี “งั้นทำไมคุณถึงไม่อธิบายผมตั้งแต่ที่บ้าน… หรือเพราะว่าสามีคุณไม่รู้เรื่องนี้”
“ใช่ค่ะ พี่โจ้ไม่รู้เรื่องนี้ และฉันก็ไม่อยากให้เขารู้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่เพื่อนคุณพูดทิ้งท้ายกับฉันไว้ต่างหาก”
ถึงตอนนี้ซันเริ่มสังเกตแล้วว่าน้ำหวานพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดชื่อของแอนดรูว์จริงๆ
“เขาบอกว่าให้ฉันระวังตัว ถ้ามีใครมาถามหาเขากับฉันให้ยืนยันไปว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และอันที่จริงก็ไม่เคยมาใครมาถามเรื่องนั้นจริงๆ หรอก เพิ่งมีคุณเป็นคนแรกนี่แหละ แต่เพราะคุณเป็นคนที่อยู่ในงานแต่งคราวนั้นด้วย ฉันเลยสับสนเพราะไม่รู้ว่าควรจะรับมือยังไงดี”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมหัวแล้วตอนนี้ ไอ้เรื่องราวที่พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้านี่มันอะไรกัน… เกิดอะไรขึ้นกับแอนดรูว์กันแน่ แล้วไอ้งานแต่งงานหลอกๆ เมื่อสองปีก่อนนั่นมันเพื่ออะไรกัน… แต่… แล้วพวกแขกที่ไปร่วมงานล่ะ
“แล้ว… พวกญาติๆ ของคุณ…”
“หมายถึงคนที่อยู่ในงานแต่งนั่นใช่ไหมคะ ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าดรูว์ไปเอาคนมากมายพวกนั้นมาจากไหน แต่เอาเป็นว่าไม่มีใครที่เป็นญาติฉันในนั้นจริงๆ หรอกค่ะ มันเหมือนเป็นแค่การแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น”
เหมือนโดนฟาดลงมาด้วยไม้หน้าสามอีกระลอก ซันยกมือขึ้นบีบนวดที่หว่างตาอย่างอ่อนล้าทันที เขามึนกับเรื่องทั้งหมดนี่ไปหมดแล้ว ทำไมดรูว์ต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อจะแหกตาใครบางคนว่าเขาแต่งงานแล้ว… เดี๋ยวก่อนนะ! มาคิดๆ ดูอีกที คนที่ดรูว์พยายามจะแหกตาก็คือเขามาแต่แรกไม่ใช่เหรอ!
ก็ลองคิดดูสิ นอกจากเขาแล้ว แอนดรูว์ไม่ได้เชิญให้เพื่อนคนอื่นๆ ไปร่วมงานด้วยเลย โดยเจ้าตัวอ้างว่าญาติฝั่งเจ้าสาวอยากจะจัดงานแต่งเรียบๆ ที่มีกันแค่ไม่กี่คน
อะไร… นี่หมอนั่นอยากจะตัดขาดกับเขาถึงขั้นต้องลงมือทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
ชักจะ… โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วนะโว้ย!
แต่ซันรู้ดีว่ามากกว่าความโกรธคือความเป็นห่วงที่มีให้กับชายหนุ่มคนนั้น ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าแอนดรูว์ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับหญิงสาวข้างตัวนี้ ปัญหาก็คือแล้วหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วล่ะ?
จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับดรูว์รึเปล่า? กำลังเจอประสบกับภาวะอันตรายอยู่ไหม? หรือว่าที่จริงแล้วหมอนั่นป่วยเป็นโรคอะไรที่แบบใกล้จะตายเลยต้องตีตัวออกห่างเขาและผู้คน? แล้วนี่มันก็ผ่านมาสองปีแล้ว… ไม่ใช่ว่าหมอนั่นตายไปแล้วหรอกใช่ไหม!?
“ก็เท่านี้แหละค่ะ ธุระของฉัน” น้ำหวานลุกขึ้นพรวดจากม้านั่ง “หวังว่าคุณจะเข้าใจและเลิกยุ่งกับฉันเสียที ฉันพูดจริงๆ นะคะตอนที่บอกว่าเสียใจที่ช่วยอะไรคุณไม่ได้”
“แล้วคุณรู้ไหมว่าผมจะติดต่อเขาได้ที่ไหน ผมต้องทำยังไง? คุณไม่ได้คุยกับเขาอีกเลยเหรอตั้งแต่ตอนนั้น”
นภาพรส่ายหน้า มองชายหนุ่มด้วยสายตาเห็นใจ นั่นทำให้ซันรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา เสียงที่เขาใช้พูดไปเมื่อกี้คงฟังดูหมดหวังมากจริงๆ
“เขายืนยันกับฉันแค่เรื่องเดียว… คือให้ทำเหมือนเรื่องในวันแต่งงานนั่นไม่เคยเกิดขึ้น และฉันก็มั่นใจว่าตัวเองทำได้ดีมาตลอด จนกระทั่งคุณบุกมาถึงบ้านฉัน... บางทีคุณน่าจะปล่อยเรื่องเขาไปนะคะ มันก็ผ่านมาสองปีแล้ว ถ้าเขาหายไปนานขนาดนั้น แปลว่าเขาคงไม่ต้องการให้ใครๆ ข้องเกี่ยวด้วยแล้วจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
…
ตั้งแต่ที่แยกจากน้ำหวานมาในวันนั้น ซันก็รู้สึกว่าเขาฝันถึงแอนดรูว์บ่อยขึ้น ในหัวของเขามีแต่เรื่องของคนผมบลอนด์ทองคนนั้นลอยวนเวียน โดยเฉพาะในเวลาที่เขาทำตัวว่างและไม่มีงานรีบเร่งอะไรให้ต้องทำ
'ซัน… เฮ้ ซัน!’ เสียงเรียกของเด็กชายผมทองที่พูดด้วยภาษาไทยแปร่งๆ เรียกความสนใจให้คนอื่นๆ หันมามองด้วยความสนใจ เนื่องจากบริเวณที่พักอาศัยนั้นไม่มีชาวต่างชาติอยู่เท่าไรนัก ‘ถ้าขืนนายยังมักชักช้าอยู่ล่ะก็ ฉันจะไปก่อนจริงๆ แล้วนะ'
แอนดรูว์ทำเป็นไม่สนใจสายตาเหล่านั้นที่มองมาที่เขา หากเด็กชายมองเพื่อนคนที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ แถมคอยสอนเจ้าตัวให้พูดภาษาไทยมาตลอด ตอนนี้ซันหรือเด็กชายอาทิตย์กำลังหอบข้าวของที่ซื้อมาจากตลาดตามคำขอของแม่ สองมือเต็มไปด้วยพลาสติกที่ใส่ทั้งของสดและของใช้สารพัด ซันชักสีหน้าบูดบึ้งไปให้เพื่อนต่างชาติของตัวเอง
'รอหน่อยสิ ดรูว์ ก็เราถือของหนักอยู่นี่นา แล้วทำไมนายต้องรีบนักหนาด้วย ยังไงบ้านก็ไม่หนีหายไปไหนหรอก'
'ก็เราอยากกลับไปเล่นเกมเร็วๆ' เจ้าตัวว่า ถอนหายใจเฮือกก่อนจะเดินกลับมาหาเพื่อนพร้อมกับฉุดถึงจำนวนหนึ่งจากมือของอีกฝ่าย ซันเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนงงๆ 'เราช่วยถือเอง ของแค่นี้ไม่ได้หนักขนาดนั้นสักหน่อย อีกอย่างนะ น้าติ๊กก็บอกแล้วว่าพวกของใช้พวกนี้ไว้ค่อยซื้อวันหลังก็ได้ แต่นายอยากดื้อซื้อให้หมดวันนี้เอง'
'ก็ถ้าเราซื้อให้หมดวันนี้ วันพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องออกมาแล้วไง' ซันพูดตาแป๋ว จ้องหน้าเพื่อนตรงไปตรงมา 'เราจะได้อยู่เล่นกับดรูว์นานๆ ไง แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ?'
'ก็... ก็ดี' แอนดรูว์อึกอักเล็กน้อย แววตาซื่อๆ กับถ้อยคำง่ายๆ ที่บอกว่าอยากจะใช้เวลาร่วมกับเขาทำให้เด็กชายรู้สึกขัดเขินแปลกๆ เขาถือถุงทั้งหมดด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งคว้ามือที่ว่างของซันมาจับแล้วออกแรงดึงเพื่อนข้างตัว 'ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไปเล่นกันเถอะ ฉันเองก็อยากเล่นเกมใหม่ของนายจะแย่แล้ว'
ประโยคหลังเจ้าตัวพูดเป็นภาษาบ้านเกิด เขามักใช้ภาษาอังกฤษตอนที่เริ่มลนลานหรือตื่นเต้น
'เฮ้ นายพูดเป็นภาษาอังกฤษอีกแล้วนะ' ซันเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ขัดขืนที่อีกฝ่ายจับมือด้วย 'บอกแล้วไงว่าให้พยายามพูดภาษาไทยหน่อยน่ะ ไม่งั้นก็พูดไม่ได้สักที เดี๋ยวก็ไม่มีเพื่อนหรอก'
'ไม่เห็นจะสนเลย' เจ้าตัวพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษตามเดิม น้ำเสียงดื้อดึง หากซันที่มองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายสังเกตเห็นว่าแก้มของเด็กชายแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย 'ก็ฉันมีนายแล้วนี่ ซัน แค่มีนายคนเดียวก็เหมือนมีเพื่อนเป็นล้านแล้ว'
เป็นล้านเลยเหรอ…
ซันอยากจะถามกลับไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าแก้มของตัวเองร้อนขึ้น นั่นทำให้เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป
หึ วันคืนที่แสนสุข
“...เรียนท่านผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เครื่องบินของเราได้ลงจอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้ทุกท่านนั่งอยู่กับที่จนกว่าสัญญาณจะดับลง ขอขอบคุณที่เลือกใช้บริการของสายการบินเรา--”
ซันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสสาวที่ผ่านมาตามลำโพงของเครื่องบิน ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างเขาเริ่มปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากหน้าท้องของตัวเอง หลายคนเริ่มลุกขึ้นยืนเพื่อหยิบกระเป๋าบนช่องเก็บของเหนือศีรษะด้านบน ชายหนุ่มเหยียดแขนพร้อมกับบิดขี้เกียจน้อยๆ ยกมือปิดปากหาว ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินอย่างเหม่อลอย
เขามาอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของโลกแล้ว ผลสุดท้ายเขาก็ทำตามความตั้งใจของตัวเองได้ไม่สำเร็จ เขาหาตัวแอนดรูว์ไม่เจอ และคำพูดของน้ำหวานที่ทิ้งท้ายเอาไว้ยิ่งตอกย้ำให้เขามองเห็นความจริงที่พยายามมองข้ามมาตลอด
ดรูว์ไม่ต้องการอยู่ในชีวิตของเขาอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่หมอนั่นต้องการตัดเขาออกจริงๆ ความคิดนั้นทำให้ซันอึดอัดยิ่งกว่าตอนที่เข้าใจว่าแอนดรูว์ตัดขาดไปจากเขาเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่กับน้ำหวานเสียอีก มันกลายเป็นว่าตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นตายร้ายดียังไง หรือว่าอยู่ที่ไหนในโลกนี้
หรือ... บางที หมอนั่นอาจไม่ได้แม้แต่จะอยู่ในโลกนี้แล้ว
"สวัสดีค่ะ คุณอาทิตย์" แมดเดอลีน สตีเวนสันที่มารอรับเขาที่สนามบินกับชายหนุ่มวัยกลางคนอีกคนผลัดกันจับมือเขา "เดินทางเป็นยังไงบ้างคะ นั่งเครื่องมาหลายชั่วโมง คุณคงเหนื่อยน่าดู"
"ก็นิดหน่อยครับ"
"ทางเราดีใจจริงๆ ที่คุณตกลงมาทำงานกับเราค่ะ ขอฉันแนะนำหน่อยนะคะ นี่คุณอเล็กซ์ เบคเกอร์ค่ะ เป็นเมเนเจอร์แผนกไอทีของบริษัทเรา เขาจะช่วยดูแลความเรียบร้อยเรื่องต่างๆ ให้คุณนะคะ"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เขาฝากเนื้อฝากตัวกับหัวหน้างานในอนาคต จากนั้นจึงเริ่มแนะนำตัวเองขณะที่ลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปตามทาง "แล้วก็เรียกผมว่าซันก็ได้ครับ ชื่ออาทิตย์ของผมหมายความแบบนั้น"
ทันทีที่มาถึงห้องพักซึ่งเป็นคอนโดในย่านเดียวกับที่ทำงานที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ ซันก็ถลาตัวลงไปนอนคว่ำกับเตียงอันใหญ่โตที่นอนได้อย่างน้อยสองคนขึ้นไป ฝ่าย HR ที่นี่ดูแลเขาดีจริงๆ สงสัยคงกะใช้งานกันเต็มที่แน่ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาต้องเริ่มไปหาดูลู่ทางว่าจะไปซื้อของได้ที่ไหนบ้าง แล้วก็พวกเรื่องยานพาหนะมากมาย อาจจะต้องลองไปปรึกษากับอเล็กซ์อีกทีว่าควรจะมีรถขับไหม แต่ถ้าเขากะจะอยู่ที่นี่ยาวๆ คงต้องซื้อไว้สักคัน ส่วนเรื่องใบขับขี่เขาทำเรื่องให้ได้ใบขับขี่สากลมาแล้ว
ซันหยิบโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูก่อนจะกดที่หน้าโปรแกรมแชทซึ่งทางครอบครัวของเขาก็ใช้งานอยู่ด้วย ไม่กี่อึดใจต่อมาชายหนุ่มก็วิดีโอคอลกับแม่และน้องชายของเขาขณะที่เกลือกกลิ้งไปมาบนเตียง แม่เขาเอาแต่ถามเรื่องรายละเอียดของที่พัก ที่ทำงาน การกินอยู่ และอะไรอีกสารพัดโดยลืมไปว่าเขาเพิ่งจะมาเหยียบประเทศนี้ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
"แล้วนี่ที่นั่นเขาดูแลลูกดีไหม เจอเพื่อนๆ ที่ทำงานรึยัง"
"ยังครับแม่ ใจเย็นๆ นะ ซันเพิ่งมาถึงวันแรกเอง จะเริ่มเข้าทำงานอาทิตย์หน้า เออ แล้วเขาบอกจะมีงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ให้ซันด้วยล่ะวันจันทร์"
"งั้นเหรอ ดีเลยลูก ทำความรู้เพื่อนใหม่ไว้เยอะๆ" แม่เขาตอบกลับมาแถมยังพ่วงมาด้วยคำแนะนำราวกับว่าเขาเป็นเด็กอนุบาลที่กำลังจะเข้าเรียนวันแรกอย่างไรอย่างนั้น
"อย่าลืมหาหนุ่มหล่อๆ ด้วยนะพี่ จะได้มีแฟนใหม่กับเขาสักที แล้วก็เลิกนึกถึงไอ้แอนดรูว์งี่เง่านั่นได้แล้ว หมอนั่นไม่เห็นจะได้เรื่อง" ทราย น้องชายตัวแสบที่รู้เรื่องการคบหาของเขากับดรูว์เป็นอย่างดีพูดขึ้น อันที่จริงครอบครัวเขาก็รู้กันทั้งบ้านนั่นแหละ และซันก็โชคดีที่ไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่เขาจะคบกับผู้ชาย
"อย่าพูดจาแบบนั้นสิ ทราย ถึงยังไงหมอนั่นก็เป็นรุ่นพี่นายนะ" ซันเอ็ดน้องชายหน่อยๆ และได้รับการย่นจมูกใส่เป็นการตอบรับ
"ปกป้องไอ้ฝรั่งนั่นอีกแล้วนะ ทั้งๆ ที่หมอนั่นทำกับพี่ซันขนาดนี้"
อันที่จริง ก่อนหน้าที่แอนดรูว์จะหักอกเขา ทรายก็มีความนับถือให้ชายหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นไม่น้อยหรอก แต่พอเห็นว่าหมอนั่นทำพี่เขาเจ็บ เด็กหนุ่มก็รู้สึกแค้นใจแทนพี่ชายที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรกับใครเขาเลย โดนเขาบอกเลิกแล้วหนีไปแต่งงานแบบนั้น แทนที่จะไปด่ากราดหรือซัดหน้าหมอนั่นสักทีสองที พี่ซันของเขากลับยอมรับเรื่องราวแต่โดยดี แถมยังไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหมายเลขหนึ่งให้ไอ้บ้านั่นอีก จิตใจต้องทำด้วยอะไรถึงทำได้แบบนั้น
"ทราย เขี่ยผักออกอีกแล้วนะลูก ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ กินเข้าไปสิ ของดีมีประโยชน์ทั้งนั้น" มารดาของทั้งสองหนุ่มเริ่มเอ็ดเมื่อมองจานข้าวของลูกคนสุดท้อง ซันได้ยินเสียงพ่อเขาที่คงนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะหัวเราะร่วนผ่านสายมา
"โธ่ แม่ ก็ทรายไม่ชอบ แม่ก็ตักมาให้ทรายซะเยอะ ทรายกินไปหลายคำแล้วน่า"
"ไม่ได้ กินไปให้หมด" พูดเสียงเขียวทีเดียว
และเพราะพูดถึงเรื่องของดรูว์ขึ้นมานั่นเอง ซันถึงได้ลุกออกจากเตียงไปเปิดกระเป๋าใบย่อม หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วดึงรูปถ่ายที่มีเขากับแอนดรูว์อยู่ด้วยกัน มันเป็นรูปที่เขาใช้ในการตามหาตัวน้ำหวานเพื่อสืบต่อไปหาแอนดรูว์ แต่ตอนนี้เขาเก็บมันไว้ด้วยเหตุผลอย่างอื่นแล้ว
อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะจบความว้าวุ่นในทั้งหมดนี่... แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เขายิ่งคิดถึงอีกฝ่ายยิ่งกว่าเก่า ว้าวุ่นยิ่งกว่าเก่า เขาคงต้องติดอยู่ในวังวนนี่ไปอีกพักใหญ่แน่ บางทีอาจจะเป็นสิบปี หรือบางทีอาจจะทั้งชีวิตของเขา
ซันเริ่มต้นทำงานที่บริษัทแห่งใหม่ได้อาทิตย์หนึ่ง เขาที่เริ่มคุ้นกับงานก็มีงานเข้าโครมๆ ราวกับลูกคลื่นกระทบกับชายฝั่งที่ไม่มีวันจบสิ้น เนื่องจากว่าพื้นฐานของงานด้านระบบและคอมพิวเตอร์ที่เขาทำอยู่นั้นเหมือนกันทั่วโลก ไอ้เรื่องจะทำงานได้เร็วจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร โปรเจกต์ต่างๆ มากมายถูกโยนมาสุมหัวเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ซันรู้สึกราวกับว่างานเลี้ยงต้อนรับที่มีบรรยากาศอบอุ่น สบายๆ พวกนั้นผ่านมาเมื่อหลายเดือนมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น เพราะตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนเขาทำงานอยู่ในกองเพลิงที่มีไฟลุกท่วมตลอดเวลา จบโปรเจกต์นี้ไปก็ต้องรีบต่ออีกโปรเจกต์หนึ่ง วางระบบให้ที่นี่เสร็จต้องไปตรวจสอบงานที่บริษัทนั้น
...เหนื่อยสายตัวแทบขาด นี่มันยุ่งยิ่งกว่าตอนที่เขาทำอยู่ที่ไทยเสียอีก!
"ผมกลับก่อนนะครับ คุณซัน" เพื่อนร่วมงานคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เขาพูดขึ้นขณะคว้ากระเป๋าไว้ในแขน สภาพของเจ้าตัวไม่แตกต่างอะไรกับของซันมาก นั่นคือดวงตาลึกโหล ผมเผ้าชี้ไปมาไม่เป็นทรง ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ซันตอบรับแกนๆ โดยที่ตายังไม่ละออกจากหน้าจอคอม เขาเลื่อนมือไปขยับแว่นกรองแสงที่ใช้ในยามต้องจ้องหน้าตาจนตาแฉะ ขอเขาตอบเมล์อันนี้ก่อน ซันก็ตั้งใจจะกลับคอนโดเขาเหมือนกัน รู้สึกเหมือนพลังงานชีวิตติดลบ คนที่คิดจะทำงานสายไอทีนี่เส้นชีวิตคงสั้นกันทุกคน
ชายหนุ่มก้าวเท้าออกจากตัวอาคารแล้วตรงไปยังรถของตัวเอง ลานจอดรถภายนอกไม่ค่อยมีรถของใครอยู่ให้เห็นเพราะเป็นเวลาที่มืดมากแล้ว แสงไฟสลัวๆ จากเสาไฟพอจะทำให้ซันมองเห็นทางได้บ้าง แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้เขาเพลียจนแทบจะล้มตัวลงนอนกลางถนนนี่ได้อยู่แล้ว แถมอากาศเย็นๆ น่าหลับนี่มันอะไรกัน กลับไปถึงบ้านนะ เขาจะอาบน้ำอย่างไวแล้วปักหัวลงบนหมอนนอน ข้าวยงข้าวเย็นอะไรก็ช่างแม่งแล้ว
แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักฝีเท้าลง สัญชาตญาณบางอย่างในตัวทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมอง
เขาหันขวับกลับไปด้านหลัง ต้นไม้ขนาดใหญ่สั่นไหวไปตามแรงลมแผ่วเบา ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับเริ่มเอ็ดตัวเองในใจ
สงสัยคงทำงานเหนื่อยจนประสาทเริ่มหลอนไปหมด หยุดเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้สาบานเลยว่าจะนอนให้เต็มคราบ เผื่อว่าการทำงานอาทิตย์ต่อไปจะดีขึ้น
หากเมื่อก้าวต่อไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ซันก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง
ชายหนุ่มหันหลังขวับทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนพุ่งเข้ามาที่ตัว แรงปะทะจากชายร่างกำยำทำให้เขาเซไปเล็กน้อย แต่เพราะเตรียมตัวรับแรงนั้นไว้อยู่แล้วเขาจึงไม่เสียท่ามาก
ทุกอย่างเป็นไปด้วยสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ เขาเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้างสมัยมัธยมกับมหาลัย และคนที่เคยลากเขาไปให้ไปเรียนด้วยกันก็ไม่ใช่ใครอื่น แอนดรูว์นั่นแหละ และตอนนี้เขานึกขอบคุณทักษะติดตัวพวกนั้น และไม่ว่าเขาจะกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ ซันรู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาต้องรีบสลัดผู้ชายคนนี้ให้หลุดแล้ววิ่งไปที่รถ
ท่ามกลางความมืดแบบนี้ทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่เขาบอกได้เลยว่าลักษณะท่าทางแบบนั้นมันดูคุ้นๆ เหมือนเป็นคนที่เขารู้จัก
“อึก!” ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็หวดกำปั้นลงบนบั้นเอวของซันอย่างแรง แต่สัญชาตญาณทำให้เขาเบี่ยงตัวมากพอที่จะหลบไม่ให้หมัดนั้นโดนที่ไตและได้รับความเสียหายมากเกินไป เขาใช้จังหวะนั้นหมุนตัว กระแทกศอกใส่หน้าอีกฝ่าย หวังให้มันกระแทกจมูกให้ดั้งหักกันไปข้าง แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมืออาชีพกว่าเขาและเบี่ยงหน้าหลบพ้นไปอย่างรวดเร็ว
นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย...
ชายหนุ่มลอบคิดในใจขณะที่สลับตำแหน่งโต้ตอบกับการโจมตีของคนตรงหน้า นี่มาถึงต่างถิ่นได้แค่ไม่กี่วัน เขาก็โดนพวกปล้นชิงทรัพย์เล่นงานซะแล้วเหรอ?
ซันกระแทกหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายได้ครั้งหนึ่ง อะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั้งร่างกายเขา แต่แล้วชายหนุ่มก็ค้นพบว่าชายร่างกำยำคนนั้นตั้งใจให้เขาชกหมัดนั้นได้เอง เพราะวินาทีถัดมาอีกฝ่ายก็กระแทกหมัดกลางลำตัวเขาอย่างแรง ไตเขาได้รับการกระเทือนอย่างหนัก และมันทำให้ซันทรุดเข่าข้างหนึ่งลงไปบนพื้น
เจ็บเป็นบ้า
ซันรู้ตัวแล้วว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก แต่ถึงแบบนั้นชายหนุ่มก็ฝืนเด้งตัวขึ้นมาใหม่แล้วยกมือขึ้นกันหมัดที่พุ่งตรงเข้ามาที่หน้า คู่ต่อสู้เขาก้าวถอยไปจังหวะหนึ่งกะทันหัน เสี้ยววินาทีที่ซันชะงักไปด้วยความงุนงง อีกฝ่ายก็ยกขาขึ้นมาเตะที่สีข้างเขา แรงกระแทกนั้นทำให้ทัศนวิสัยของซันพร่าเลือน
และเมื่อเขาทรุดไปกองกับพื้นอย่างเต็มรูปแบบ ชายคนนั้นก็จับมือเขาไพล่หลังแล้วหยิบเทปพันสายไฟออกมารัดข้อมือสองข้างของเขาติดกันแน่น
ซันถูกกระชากให้ยืนขึ้นจากนั้นโดนโยนเข้าไปที่หลังรถสีดำสนิทที่ไม่มีป้ายทะเบียนคันหนึ่ง จังหวะนั้นเองที่แสงจากเสาไฟกระทบลงบนใบหน้าของชายคนนั้น ซันก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างไม่แน่ใจ
“นาย… เจมส์ ดาร์วินเหรอ” เขาจำหมอนี่ที่ทำงานอยู่ในชั้นเดียวกันแต่คนละแผนกกับเขาได้ ก็ตอนงานเลี้ยงเขายังได้คุยกับเจ้าตัวอยู่เลย
อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขา แต่เอาผ้าสีดำมาผูกปิดตาของเขาแทน จากนั้นก็ตามมาด้วยเทปกาวม้วนเดิมที่ปิดปากเขาสนิท และตอนนี้หมอนั่นก็กำลังพันเทปที่ว่าผูกติดขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
ประสบการณ์การโดนลักพาตัวครั้งแรกที่ต่างประเทศ ที่เขาว่ากันว่าพอเราได้เดินทางไปยังที่ใหม่ๆ ก็จะได้เจออะไรใหม่ๆ นี่เป็นเรื่องจริงสินะ
ขอบใจมากเลย
------------------------------------------------------
Talk: อื้อหือ นายเอกเราแต่ละเรื่องนี่ ชาติที่แล้วน่าจะทำบุญมาน้อยกันทุกคนนะคะ ถถถถถ