THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก
The Call Chapter 21: อู้วววว
จะเฝ้ามองดูคนที่ผมหลงรักต่อไป แม้จะไม่มีแม้เงาของผมยืนอยู่ข้างในหัวใจดวงนั้นก็ตาม
ผมเพิ่งกล้าที่จะพูดคำนั้นออกมา
เมื่อมันสายไป
แต่ผมจะกลับมา
…ถ้าได้ยิน ‘เสียง’ เรียกชื่อผม
‘ของขวัญวันสอบเสร็จ’ กล่องเหล็กสี่เหลี่ยมขนาดกำลังพอดีถูกนำมาวางเอาไว้บนหน้าตักของผม อดแปลกใจไม่ได้ว่าข้างในกล่องใบนี้มีอะไรอยู่กันแน่ ทำไมพี่เมตผมถึงมีท่าทีแปลกไปกว่าทุกที ผมหันไปมองหน้าพี่เมตที่กำลังนั่งจ้องมองผมอยู่บนเตียงของตัวเองอย่างไม่วางตา พี่เมตผมไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แค่พยักหน้าส่งเป็นสัญญาณให้ผมเปิดกล่องที่วางอยู่บนหน้าตัก บรรยากาศในห้องตอนนี้ราวกับว่าผมกำลังนั่งอยู่ในห้องออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลที่กำลังจะหมุนจับรางวัลที่หนึ่งขึ้นมา เพราะตอนนี้ผมกำลังลุ้นสุดๆ ทั้งอยากรู้แล้วก็อดลุ้นตามไม่ได้ว่าข้างในกล่องใบนี้คืออะไรกันแน่ ผมค่อยๆ ใช้มืองัดฝาเหล็กขึ้นมา แต่มันค่อนข้างปิดแน่น ผมต้องใช้แรงเปิดมากกว่าปกติ
แกร๊ก! ยังเปิดไม่ออก ผมเกร็งข้อมือเพิ่มแรงงัดมากกว่าครั้งแรก พยายามใช้มืองัดฝาให้เปิด เสียงกล่องดังแกรก แกรก แกร๊ก! แต่ก็ยังเปิดไม่ออกอยู่ดี ผมนิ่วหน้าหมุนสุดแรงอีกครั้งจนเอ็นข้อมือขึ้น ฝาเหล็กส่งเสียงดังแกร๊ก! ในที่สุดก็เปิดออกสักที ฮาเลลูยา!!
กล่องเหล็กถูกเปิดออก ผมมองเห็นของที่วางอยู่ด้านในกล่องแล้ว มีภาพถ่ายหลายใบซ้อนทับกันอยู่ ภาพทั้งหมดถูกถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม ผมเอื้อมมือลงไปหยิบภาพถ่ายใบแรกที่วางอยู่ด้านบนสุดขึ้นมาดู
ผมหยิบภาพชูขึ้นหันไปถามพี่เมตหน้าโหด พี่เมตผมก็ยังคงวางมาดเท่ตีหน้าขรึมไม่พูดอะไรออกมาอีกเช่นเคย แค่ชี้ปลายนิ้วตวัดบอกให้หมุนอีกด้านดู ผมรีบหมุนภาพถ่ายมาดูด้านหลังตามที่พี่เมตบอกทันที ถึงบางอ้อว่ามันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย มันเป็นภาพถ่ายที่เอามาใช้ทำโปสการ์ด เพราะด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมืออยู่ด้วย แสดงว่าในกล่องเหล็กมี ‘โปสการ์ด’ หลายใบซ้อนทับกันอยู่เต็มไปหมด ผมหยิบโปสการ์ดทั้งหมดขึ้นมาหันหน้าไปสบตากับพี่เมตผมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าทั้งหมดเป็นของผม เพราะด้านหลังไม่ได้เขียนบอกว่าส่งมาให้ใคร
ผมมองไปที่พี่มีนแต่พี่มีนก็ไม่ได้พูดอะไร พี่เมตผมก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีกเหมือนเดิม แกพยักหน้าแล้วพูดด้วยหน้ายิ้มๆ ออกมาว่า “ของมะนาวนั่นแหละ” โอเคครับชัดเจน พี่เมตยืนยันว่าโปสการ์ดในกล่องทั้งหมดเป็นของผม ผมหยิบมันขึ้นมาไล่อ่านดูทีละใบ เรียงตามวันที่ที่ระบุไว้ในรูปแต่ละรูป
โปสการ์ดใบแรกเป็นภาพถ่ายโทรศัพท์แบบยกหูสีครีมของหอพัก พลิกดูด้านหลังมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ มุมซ้ายว่า
N.6
30 ก.ค. 2546
ถ้าโทรศัพท์บอกความรู้สึกของคนรอรับสายได้
คนโทรเข้าจะได้ยินเสียงสัญญาณตอนรอสายแบบไหนกันนะ
หรือจะได้ยินเสียงการทำงานของหัวใจ
ใบที่สองเป็นภาพถ่ายถนนมหาวิทยาลัยที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาใต้แสงไฟสีส้มอมเหลืองของดวงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูงที่เรียงตัวยาวอยู่ด้านข้างของถนนตอนกลางคืน พลิกดูด้านหลังก็มีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.7
13 ส.ค. 2546
ปกติแสงไฟสีส้มริมถนนช่วยให้เราขับรถปลอดภัยมากขึ้น
แต่วันนี้ แสงสีส้มที่สว่างของมัน ช่วยให้มองเห็นหน้าคนซ้อนท้ายชัดมากขึ้นต่างหากล่ะ
ณ จุดซ้อนท้ายของวาระพิเศษที่ได้รับมา
ใบที่สามมาแปลกกว่าเดิมเป็นภาพเงาของใครสักคนทอดตัวยาวอยู่บนพื้นดิน ภาพใบนี้ถูกถ่ายจากมุมถนนเส้นไหนสักที่ของมหาวิทยาลัย ด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เหมือนเดิมว่า
N.8
27 ส.ค. 2546
ความหมายคำว่า หึง ๑ ก. หวงแหนทางชู้สาว, มักใช้เข้าคู่กับคำ หวง เป็น หึงหวง หรือ หวงหึง
หึง ๒ ว. นาน เช่น บ่มิหึง คือ ไม่นาน
ความหมายคำว่า หึง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
โลกใบนี้มีคนขี้หึงอยู่กี่คนกัน
ใบที่สี่คราวนี้แปลกกว่าเดิมอีก เป็นภาพช้างไม้กำลังนอนหมอบตั้งทับอยู่บนข้อความที่เขียนด้วยลายมือว่า ‘ให้’ พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.9
28 ส.ค. 2546
บนโลกพิเศษใบนี้ ใครเป็นคนคิดมุกเสี่ยวคนแรก
แล้วคนที่ใช้มุกเสี่ยวจีบคนที่ถูกใจเป็นคนแรกคือใคร
‘ช้าง (เธอ) มอบ’ คือมุกเสี่ยวแรกที่อยากให้อ่าน
ใบที่ห้าเป็นภาพถ่ายเลขห้องพัก 7712 ที่ถ่ายจากประตูไม้หน้าห้องของหอพัก พลิกดูด้านหลังมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนเดิมแต่ยาวกว่าโปสการ์ดใบที่ผ่านมาเขียนว่า
N.10
4 ก.ย. 2546
แค่เห็นหลังคาบ้านคนที่ชอบ ก็นอนหลับฝันดีแล้ว ตอนเด็กๆ เคยได้ยินคนพูดอย่างนั้น
แต่วันนี้การเดินผ่านหน้าห้องก็ทำให้นอนหลับฝันดีได้เหมือนกัน
“โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ”
7712
ใบที่หกเป็นภาพถ่ายของถ้วยแกงฮังเลที่วางอยู่บนโต๊ะสีขาวของโรงอาหารหอพัก พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.11
11 ก.ย. 2546
รูป รส กลิ่น สี ของอาหารแต่ละจาน แตกต่างกันตรงไหน รู้ไหม?
ถ้าจานไหน นอกจากทำให้อิ่มท้องแล้วยังทำให้อิ่มใจได้ด้วย นั่นแหละความต่าง
‘แกงหวาน’
ใบที่เจ็ดเป็นภาพของแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งที่มีกระดาษโน้ตสีเหลี่ยมสีชมพูแผ่นเล็กๆ แปะเอาไว้ด้านบนของซีดีพร้อมกับเขียนข้อความกำกับเอาไว้ว่า เพลงสุดท้ายของแผ่น ด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนเดิมเขียนว่า
N.12
18 ก.ย. 2546
ความยาวเฉลี่ย เพลงหนึ่งเพลง ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 3-5 นาที
แต่การเลือกเพลงหนึ่งเพลงให้ใครสักคนฟัง ใช้เวลาเลือกนานกว่านั้นมาก
แล้วจะเปิดฟังกี่รอบกันนะ
จู่โจม
ใบที่แปดเป็น ‘ภาพเสื้อชอปของสาขาผม’ รูปนี้ถูกถ่ายในห้องปฏิบัติการของคณะสักห้อง เป็นภาพกลุ่มแต่ไม่เห็นหน้าของคนถูกถ่าย พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.13
25 ก.ย. 2546
คุณชอบดอกไม้อะไรเป็นพิเศษไหม?
เมื่อก่อน ถ้ามีใครสักคนถามคำถามนี้ ผมคงตอบไม่ถูก
แต่ถ้าตอนนี้มีใครสักคนมาถาม ผมคงบอกเขาทันทีว่า
‘ดอกปีบทองช่อ 11’
ใบที่เก้าเป็นภาพป้ายของร้านเหล้าสิมิลันที่พื้นเป็นสังกะสีส่วนตัวหนังสือใช้เชือกเส้นใหญ่ขดให้เป็นชื่อร้าน ร้านนี้ผมชอบไปดริงก์ ดรังก์ แดนซ์ พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.14
2 ต.ค. 2546
เมาแล้วนะ นอนได้แล้ว ประโยคนี้เป็นได้ทั้งคำสั่งและคำขออนุญาตดูแล
แล้วจะมีใครตกหลุมรักคนเมาได้ซ้ำๆ เหมือนกันบ้างหรือเปล่า
‘รสสัมผัสริมฝีปากใต้เงาของแสงจันทร์’
อ่านมาถึงโปสการ์ดแผ่นนี้ผมเริ่มเกิดความรู้สึกสงสัย ข้อความกับภาพที่ส่งมามีความหมายอะไรซ่อนเอาไว้ เพราะผมรู้สึกว่าภาพบนโปสการ์ดเหมือนพยายามสื่อความหมายบางอย่างบอกตัวเองอยู่ แต่ผมยังนึกไม่ออก แล้วใครเป็นคนส่งโปสการ์ดพวกนี้มา
ใบที่สิบเป็นภาพร่มพับที่วางไว้บนโต๊ะ พลิกดูด้านหลังมีข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.16
9 ต.ค. 2546
‘ร่มวิเศษ’ ของคุณเป็นแบบไหน? กางออกแล้วบินได้เหมือนเฮ็นเบะหรือเปล่า?
แต่ร่มวิเศษของผม มันทำให้หัวใจเต้นแรงเป็นบ้า แทบทะลุออกจากอก
ใบที่สิบเอ็ดเป็นรูปรถบัสสีส้มของมหาวิทยาลัยขณะที่กำลังวิ่งโค้งเข้าหอพักสุรนิเวศ 13 พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.17
16 ต.ค. 2546
คนสายตายาวมองเห็นระยะใกล้ไม่ชัด คนสายตาสั้นมองระยะไกลก็ไม่ชัดเหมือนกัน
การมองระยะใกล้ชิด นอกจากมองเห็นชัด บางทีจมูกก็ได้กลิ่นด้วย
เหมือนคืนนั้นที่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแก้ม
ใบที่สิบสองเป็นภาพข้อความที่ถูกเขียนลงบนหน้ากระดาษสีขาวของสมุดเล่มหนึ่ง ข้อความนั้นเขียนคำว่า ‘ยิ้ม’ พลิกดูด้านหลังก็ยังคงมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนเดิมว่า
N.18
23 ต.ค. 2546
ถ้าเรายิ้ม แสดงว่า เรากำลังมีความสุข
ถ้าเรายิ้ม เพราะคิดถึงหน้าใครบางคน – หมายความยังไงกันนะ ...ช่วยตอบที
ถ้าตอนนี้คนที่กำลังอ่าน มุมปากกำลังยกยิ้มอยู่ นั่นแสดงว่าคนถามได้รับคำตอบก่อนหน้านี้แล้ว
ยิ้ม
ใบที่สิบสามเป็นรูปผมยืนยิ้มอยู่ในงานโอเพนเฮาส์ พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.19
30 ต.ค. 2546
ฤดูฝน เคยเป็นฤดูที่ชอบน้อยที่สุด แต่วันนี้ ฤดูที่ชอบที่สุด คือ ฤดูฝน
เพราะมีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นในสมองและจดจำผ่านใจมากกว่าทุกฤดู
แต่ถึงแม้จะชอบฤดูฝนมากแค่ไหน ก็น้อยกว่าชอบมะนาวอยู่ดี
ชัดเจน พอถึงใบสุดท้ายผมรู้แล้วว่าโปสการ์ดทั้งหมดใครเป็นคนส่งมา เพราะผมจำได้ว่ารูปนี้ใครเป็นคนถ่าย ผมรีบลุกจากเตียงเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบโปสการ์ดที่ผมเคยได้ก่อนหน้านี้ เอาออกมาวางเรียงบนโต๊ะ เทียบลายมือกับโปสการ์ดปริศนาที่ก่อนหน้านี้มีคนส่งมาให้ผม
โปสการ์ดใบแรกที่ผมได้รับหลังจากมาเรียนที่นี่เป็นรูปรองเท้านักเรียนผู้ชายสีดำ
N.1
15 พ.ค. 2546
โลกนี้มีคนน่าสนใจให้ทำความรู้จักใหม่มากมาย
นอกจากได้รู้จักว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน บางทียังได้รู้จัก ความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นในใจด้วย
‘ยินดีที่ได้รู้จัก’...นายนะ ความรู้สึกพิเศษ
ใบที่สองเป็นรูปของผมที่ถูกถ่ายจากมุมด้านหลังตอนรับน้องรวมใต้หอหญิง
N.2
17 พ.ค. 2546
เพิ่งเคยแอบมองอีกคนผ่านไหล่ของใครสักคนที่ไม่รู้จัก
เพิ่งเคยแอบมองความเคลื่อนไหวของอีกคนผ่านอีกหลายคนที่ไม่รู้จักเหมือนกัน
ชั่วขณะแอบคิดว่าพวกเขาเป็นอุปสรรคขวากหนามการเฝ้าแอบมองอีกคน
แต่เปล่าหรอก มุมนี้มีแค่คนแอบมองเท่านั้นแหละที่จะมองเห็นและเข้าใจกัน
‘ณ มุมพิเศษที่คนแอบมองเท่านั้นจะได้รับ’
ใบที่สามเป็นรูปผมกำลังยืนยิ้มรวมกับเพื่อนๆ ตอนรับเข็มรุ่นที่ลานย่าในมหาวิทยาลัย
N.3
26 มิ.ย. 2546
แสงสว่างจากเทียน ช่วยให้ดวงตามองเห็น ความมืดจึงไม่น่ากลัว
ขอบคุณแสงเทียนที่ทำให้มองเห็นรอยยิ้มที่สดใส
ใบที่สี่เป็นรูปดินสอหนึ่งแท่งวางทับอยู่บนด้านหลังของโปสการ์ดที่กองรวมกันบนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะอ่านหนังสือของใครสักคน
N.4
3 มิ.ย. 2546
ถ้ามีดินสอวิเศษที่เขียนความรู้สึกได้
ดินสอวิเศษแท่งนั้นจะเขียนคำอะไรออกมา
‘พูดไม่เก่ง แต่ก็เขียนไม่เก่งเหมือนกัน’
ใบที่ห้าเป็นภาพถ่ายแว่นสายตาวางอยู่ทับบนกล่องฟิล์ม KODAK บนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะอ่านหนังสือของใครสักคน
N.5
23 มิ. ย. 2546
ถ้าฟิล์ม 1 ม้วน เก็บความทรงจำได้มากกว่าภาพนิ่ง คงเลือกถ่ายรอยยิ้มนั้นเก็บไว้ดูซ้ำๆ
แว่นสายตาซ่อนความรู้สึกไม่ได้ ถ้าใครสักคนมองลอดเข้ามา คงสังเกตเห็น
ใครสักคน...ที่เผลอยิ้มหลังเลนส์เวลาลั่นชัตเตอร์
หัวใจผมพองโตขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกหน้าแดงซ่านราวกำลังจับไข้หนัก ใจเต้นตึกตักเหมือนมีคนเข้ามานั่งรัวตีกลองอยู่ด้านใน ข้อความด้านหลังโปสการ์ดทุกใบถูกเขียนขึ้นมาด้วยลายมือของคนคนเดียวกัน ผมเข้าใจแล้วว่าโปสการ์ดปริศนาที่ส่งมาให้ผมทำไมถึงหายไป ที่ไหนได้พี่มีนเป็นคนเก็บเอาไว้นี่เอง แต่พี่มีนเก็บเอาไว้ทำไม ทำไมถึงไม่ให้ผม หรือพี่มีนเข้าใจผิดคิดว่ามีคนส่งมาให้ตัวเอง ผมรีบเงยหน้าหันไปถามพี่เมตหน้าโหดด้วยความสงสัย
“อยากรู้ละสิ?” พี่มีนชิงพูดขึ้นมาก่อนหลังจากที่เงียบเสียงเอาไว้ซะนาน ผมพยักหน้าหงึกๆ ส่งสัญญาณตอบรับว่าอยากรู้เรื่องนี้อย่างเต็มที่ จากนั้นพี่มีนก็ลุกจากเตียงเดินตรงมาหาผม “มันบอกเพิ่งล้าง”
“!”
“ตามนั้นแหละ มันบอกมันเพิ่งล้าง” สงสัยเห็นผมเงิบ พี่มีนเลยอธิบายต่อว่า คนที่คุณก็รู้ว่าใครมาเคาะประตูห้อง ตอนแรกตั้งใจเอามาให้ผมเอง แต่พอเห็นพี่มีนเปิดออกมาพอดีเลยยื่นให้เลย แล้วก็ไม่ลืมบอกว่า เพิ่งได้ล้างฟิล์ม เพราะเพิ่งหัดล้างฟิล์มเองเป็น
พอผมเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก็เอื้อมมือไปหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางเอาไว้ข้างๆ กองหนังสือ โชคดีที่ผมชอบเขียนชอบจดเอาไว้ว่าวันไหนทำอะไรไปบ้างลงบนช่องวันที่ของปฏิทินตั้งโต๊ะ ผมชอบใช้เป็นตัวช่วยเขียนเตือนความจำคล้ายๆ เขียนบันทึกประจำวันแหละครับ ทำให้พอนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ผมค่อยๆ ไล่อ่านโปสการ์ดใหม่อีกครั้ง
อ่านไปได้สักครู่ ข้อความในโปสการ์ดก็ค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เฉลยทุกเรื่องที่ผมสงสัย จนมาถึงโปสการ์ดใบที่เป็นรูปแผ่นซีดีเพลง ผมนึกออกแล้วว่าเคยเห็นแผ่นซีดีนี้ที่ไหน มันเป็นแผ่นซีดีที่กราฟเคยไรต์เพลงมาให้ ว่าแล้วผมก็เดินไปหยิบแผ่นซีดีที่เคยได้มาเปิดแทร็กสุดท้ายของแผ่นฟัง ชื่อเพลง มุม - PLAYGROUND
สติของผมถูกสตัฟฟ์จนสะดุด ผมถูกกราฟฆ่าอย่างช้าๆ ด้วยคำสารภาพบอกรักผ่านข้อความตัวอักษรที่ถูกนำมาเรียงต่อกันเป็นประโยคกลายเป็นบทเพลงที่แสนนุ่มนวล
หลังจากที่ผมอ่านครบหมดทุกใบเป็นรอบที่สอง บุคคลที่สามก็เข้ามาร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์ครั้งนี้
แอ๊ดดด
“กลับมาแล้วคร้า...!!! ทำไมอยู่กันเงียบจัง” เพื่อนเมตตัวกลมกลับมาห้องแล้วด้วยท่าทีสดใสเช่นเคย ไม่ยักมีท่าทีเหมือนคนอดหลับอดนอนทั้งที่เมื่อคืนคุณเธอเพิ่งไปปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงแถมยังไม่ได้กลับมานอนห้องอีกด้วย
“พี่เมต เพื่อนเมต ทำอะไรกันอยู่คร้า ทำไมอยู่กันเงี้ยบ เงียบ เพลงเพลิงไม่เปิดกันเหรอคะ” แม่หมูก้าวขาฉับเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง
“โห รูปอะไรน่ะเต็มเตียงไปหมดเลยมะนาว แอบไปล้างรูปมาเหรอ ทำไมไม่บอกจะได้ฝากล้างมั่ง ไหนขอดูหน่อยสิ ล้างร้านไหน แผ่นละกี่บาท” ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปแม่หมูก็เดินมาหยิบโปสการ์ดทั้งหมดที่วางกระจัดกระจายอยู่บนเตียงของผมไปดูทันที ท่าทีและสีหน้าของแม่หมูเปลี่ยนไปหลังจากที่รู้ว่ามันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่มันเป็นโปสการ์ดที่ถูกส่งมาจากคนที่เธอแอบชอบ แม่หมูอ่านโปสการ์ดทีละใบสลับกับมองหน้าผม อ่านจนครบทุกใบ สีหน้าของแม่หมูเปลี่ยนไป เธอหันหน้าไปหาพี่มีนที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับผมที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เพราะยังนึกไม่ออกว่าสถานการณ์แบบนี้ควรจะพูดอะไรออกไปดี แม่หมูถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยปากพูดกับผมเป็นประโยคแรก หลังจากที่นิ่งไปเสียนาน
“มะนาวเรามีเรื่องต้องคุยกัน” แม่หมูสบตาผมนิ่ง สายตาของเธอที่มองผมตอนนี้ไม่ใช่สายตาของเพื่อนที่ผมเคยรู้จัก ทั้งที่มีเวลาให้ผมเตรียมตัวรับสถานการณ์และคิดเอาไว้ว่าต้องมีวันนี้ แต่ทำไมมันมาเร็วแท้
“...” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพื่อน ไม่รู้จะพูดอะไร
“มีอะไรจะพูดไหม?”
“...”
“เป็นแบบนี้ได้ยังไง มีอะไรทำไมไม่บอก”
“เราเพิ่งรู้ พี่มีนเพิ่งเอามาให้”
“แล้วมีอย่างอื่นอีกไหมที่ฉันยังไม่รู้ นอกจากโปสการ์ดพวกนี้”
“...”
“มะนาวหันหน้ามาคุยกันดีๆ อย่าเงียบสิ ยังมีเรื่องอื่นอีกใช่ไหมที่ออยด์ยังไม่รู้” เสียงแม่หมูเริ่มสั่น เธอหันไปหาพี่มีนแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันมาพูดกับผมต่อ “แล้วมะนาวจะเอายังไง?”
“...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเพื่อนตัวกลมของผมก็พูดต่อทันที
“ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้แล้ว พูดสิว่ามะนาวก็ชอบกราฟ”
“...”
“มะนาวรู้อะไรไหม ออยด์อ่านข้อความจากโปสการ์ดแล้วรู้สึกยังไง” แม่หมูเงยหน้ามองเพดาน กลอกตาไปมาเหมือนพยายามไล่น้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“เรื่องนี้มันโรแมนติกออก อย่าเศร้าๆ ฮ่าๆๆ” พอพูดจบประโยคแม่หมูก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง พี่มีนก็หัวเราะเสียงดังตาม ดูเหมือนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ซะนานเพราะพี่เมตหน้าโหดตอนนี้ล้มตัวหงายท้องหัวเราะร่วนอยู่บนเตียงเหมือนคนบ้า
“มิชชั่นคอมพลีต!”
“?”
“โถ...โถ... อย่านั่งงงในดงความสงสัยสิ แค่เพื่อนเป็นแม่สื่อรักให้แค่นี้เอง”
“หมายความว่าไง”
“เอ้า เรื่องนี้เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อนที่ดีๆ ก็ต้องทำหน้าที่หาคนรักดีๆ ให้เพื่อนน่ะสิ”
“???”
“ทำหน้างง ฉันเลิกชอบกราฟไปนานแล้วค่ะเพื่อนขา ใครจะไปยินดีกับคำชมของผู้ชายที่บอกว่าน่ารักเหมือนคางคกยะ ไม่เดินไปด่าถึงหน้าห้องให้เสียหมาก็ถือว่าใจดีมากแล้วเด้อ อันนี้พูดเล่น จริงๆ แล้วเพื่อนก็ว่ากราฟดูเหมาะกับมะนาวดี เห็นกราฟคุยกับมะนาวได้ตั้งนานสองนาน แถมยังหาเรื่องคุยกันได้ทุกวันอีก ถ้าคนมันต่อกันไม่ติด คิดว่าก็ไม่น่าจะคุยกันได้ทุกวันขนาดนั้นปะ ฉันเลยเปลี่ยนใจขอทำหน้าที่เป็นแม่สื่อแทนดีกว่า และที่สำคัญตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยอีกต่อไปแล้วด้วย เพราะเมื่อคืนเพิ่งไปถวายตัวมา ในที่สุดความเวอร์จิ้น เพศพรหมจรรย์ที่เคยถือครองก็เป็นอันหลุดลอย” ประโยคหลังแม่หมูหันมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ถวายบัว? กับใคร?”
“ถวายตัว! ไม่ใช่ถวายบัว แต่การถวายบัวก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมย่อยของการถวายตัวนั่นแหละ เดี๋ยววันหลังค่อยเล่าแบบลงดีเทลให้ฟัง มะนาวจำพ่อหนุ่มที่โก๋ไปถีบหน้าเขาที่ผับได้ไหม?”
“...” ผมพยักหน้าตามงงๆ
“แล้วจำพ่อหนุ่มที่ช่วยเราไม่ให้ถูกเหยียบคืนงานเฟรชชี่ไนต์ได้ไหม?”
“ได้” ผมนึกตามก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ หลังจากที่นึกหน้าออก “อ้อ...พ่อหนุ่มขึ้นหิ้งคนนั้น”
“ใช่ค่ะ คือคนเดียวกัน สองคนนั้นก็คือพ่อหนุ่มขึ้นหิ้ง Top list ผู้ชายในสต๊อกของเพื่อนเอง และไม่ต้องตกใจขนาดนั้นค่ะ เพราะที่กำลังคิดอยู่นะถูกแล้ว” พ่อหนุ่มขึ้นหิ้งคนนี้แม่หมูแอบปลื้มมานานมาก เคยเจอกันคืนงานเฟรชชี่ไนต์ตั้งแต่เปิดเทอมแรกๆ ก่อนจะมาเจอกับกราฟ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยถูกจัดให้อยู่บนหิ้งแทน หมายความว่าถึงจะไม่ได้หัวใจ แต่ก็ยังอยู่ที่หนึ่งในใจเสมอ ทำให้พ่อหนุ่มขึ้นหิ้งคนนี้ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในอันดับเหมือนคนอื่นๆ ที่เธอชอบ เพราะคนนี้มากกว่าชอบนั่นเอง
“ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”
“ก็ตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เดี๋ยว อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ โอเค! เล่าให้ฟังตอนนี้เลยก็ได้ แหมมม อยากร้องแหมให้เสียงดังไปถึงดาวอังคาร ใจร้อนจริงนะ พอเคลียร์เรื่องตัวเองจบก็อยากรู้เรื่องคนอื่นทันทีเลยเนาะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาถูกโก๋ถีบหน้า ฉันก็ไปหาเบอร์ห้องเขามาเพื่อจะให้โก๋โทรไปขอโทษ แต่ปรากฏว่าช่วงนั้นเขาไม่สบายพอดี ประกอบกับตอนนั้นเขาอยู่ห้องคนเดียวด้วย เพราะเพื่อนเมตกลับบ้านกันหมด ฉันเลยอาสาดูแลซื้อข้าวซื้อน้ำป้อนยาไถ่โทษให้ อะไร! อย่ามองแบบรู้ทันน่า จริงๆ ก็เอามาบังหน้าแหละ โอกาสมันมีก็ต้องรีบคว้าสิจ๊ะ จากนั้นก็เริ่มคุยกันมาเรื่อยๆ จริงๆ กะบอกมะนาวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ แต่ดันไม่ยอมไปเอง แต่ฉันว่านะสงสัยด้ายแดงฉันกับเขาคงต่อกันติดแล้วด้วยมั้ง ทุกอย่างเลยดูเข้าล็อกไปหมดเลย คิดมาแล้วก็แซ่บ มันดีมากมะนาว อูยยย คิดแล้วทั้งขนลุก ยังรู้สึกเสียดท้องอยู่เลยเนี่ย อึ๋ยยย”
“แล้ว?”
“เขาสอบเสร็จพร้อมกับเราเลยชวนไปฉลองสอบเสร็จด้วยกัน พอดีเขาไม่มีรถกลับเพราะเพื่อนเขาสอบเสร็จกลับบ้านกันหมดเลย ฉันเลยอาสาขับไปรับไปส่งที่หอ แต่เผอิญฉันดันทำเครื่องรางที่ได้มาหล่นที่ห้องของเขา แล้วเขาเลยเปลี่ยนสถานะให้ฉันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฮี่ๆๆ เอ๊ะ! เอออออออ ตั้งใจทำหล่นแหละ เกลียดคนรู้ทันจริงๆ แต่มันได้ผลนะ พอเขาเห็นถุงยางใช่มะ นางก็ถามทำไมมีถุงยาง แล้วจะเอาไปใช้กับใคร พอถามมาเท่านี้แหละ คิดว่าฉันจะตอบว่าไงล่ะ ก็ต้องบอกว่ารอใช้กับเขาปะ แต่คิดว่าคงไม่ได้หรอก จากนั้นก็แพนกล้องไปที่โคมไฟค่ะ เอ๋ หรือจะให้เล่าแบบเอาดีเทลต่อจากนี้ปะ? อยากฟังแบบละเอียดยิบเลยเหรอ” แม่หมูตบมือสองข้างไปมาประกอบเรื่องเล่า
“พอเลย!” ไม่ใช่เสียงผมหรอกนะครับ เป็นเสียงของพี่เมตผมน่ะ แต่แม่หมูยักไหล่ใส่พี่เมตทำหน้าเป็นต่อราวกับเพิ่งได้ชัยชนะจากการลงสู้ศึกครั้งใหญ่
“พี่มีนก็ เผื่อมะนาวอยากรู้ นี่ถ้าไม่สนิทกัน ไม่เล่าละเอียดขนาดนี้นะ แล้วสรุปมะนาวชอบกราฟใช่ไหม?”
“ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดน่า ขอโฟกัสเรื่องเรียนก่อนละกัน” พอตั้งสติได้ผมก็หันไปยักคิ้วกวนประสาทให้เพื่อนเมตตัวกลมหนึ่งที เรื่องอะไรผมจะบอกง่ายๆ มองตาก็รู้ตอนนี้เมตผมก็รู้แหละ แต่แค่อยากฟังชัดๆ จากปากของผมเท่านั้นเอง
“เฮ้ย น้องเมตอย่ากั๊กดิวะ ตอบมาเร็วๆ เลย” พี่เมตหน้าโหดผมสวนขึ้นมา
“แหม พี่มีน ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ากิงก่องแก้ว บางทีเมื่อคืนอาจมีซั่มติงแล้วก็ได้ เมื่อคืนอยู่ห้องคนเดียวด้วย และที่สำคัญไม่รับโทรศัพท์ใครใดๆ นัดยิ้มหรือเปล่าเอาดีๆ”
“ไม่บอกหรอกจ้า” เรื่องอะไรผมจะบอกง่ายๆ ถึงเวลาผมเอาคืนบ้าง “เดี๋ยวถึงเวลามะนาวก็บอกเองละน่า แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“พฤติกรรมน่าสงสัยอยู่นะ เพราะเมื่อคืนน้องเมตไม่ได้นอนห้องคนเดียวด้วยนะครับ”
“หา...จริงเหรอคะ มะนาวเล่า! ขอแบบลงดีเทล ละเอียดยิบ!!”
“ตอนเช้าเห็นมีผู้ชายตั้งสองคนเดินออกจากห้อง แต่ละคนตัวใหญ่ๆ หนาๆ ทั้งนั้น รถไฟลำใหญ่ขบวนเดียวเวลาลอดอุโมงค์ก็ระบมแล้วนะ นี่ตั้งสองขบวน อุโมงค์ระเบิดแน่ อุ๊ยๆ! อร๊ายๆ! ทั้งคืนแท้ทรู”
“ว้ายยย ตายแล้ว บลัฟมากกก สองคนหนึ่งคืนเลยเหรอ ใครคะพี่มีน มะนาว เล่าแบบลงดีเทล เดี๋ยวนี้! เอาแบบละเอียดยิบ!!”
“No”
“มะนาว เร็วๆ อย่าทำเป็นสะดีดสะดิ้ง เดี๋ยวหยิกไข่ให้แสบทั้งสองใบเลย”
“ไม่ใช่ไม่อยากเล่า แต่มันยังไม่มีอะไรไง”
“แล้วใครคือสองคนนั้น”
“พี่โอมกับกราฟ”
“โอ้ววว มาย ก็อด! ไหนยืนให้ดูหน่อย รู้สึกเจ็บๆ ตรงก้นเปล่า”
“เดี๋ยว หมู หมู ยังไม่ได้อะไรเลย”
“จริงอะ?”
“จริง”
“แล้วสองคนนั้นมาอยู่ในห้องได้ยังไง”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ตื่นมาอีกทีก็เห็นกราฟกับพี่โอมอยู่ในห้องแล้ว”
“เชื่อได้ไหมพี่มีน” แม่หมูหันไปถามความเห็นจากผู้ปกครองของห้อง พี่มีนมองเตียงผม สำรวจผ้าห่มต่างๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ แม่หมูถึงยอมเชื่อ จากนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำล้างตัว
หลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ บรรยากาศห้อง 7712 ก็กลับมาเป็นเหมือนเช่นทุกวัน
“มะนาว เสื้อแจ็กเกตรุ่นของเด็กอุตสาน่ะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเขาก็รีบเอาไปคืนซะ”
“ที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรหมายความว่าไงพี่มีน”
“แจ็กเกตรุ่นเขาห้ามเด็กสาขาอื่นใส่ ถ้าไม่ใช่แฟนกัน”
“เรื่องจริงเหรอคะ/ครับ?” แม่หมูร้องเสียงหลง เพราะแม่หมูกับผมเคยใช้มุกนี้หลอกเอาตัวรอดมา ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง
“ตกใจแอคติ้ง? อย่าบอกนะว่าพี่ไม่เคยบอกเราสองคน” พี่มีนมองผมสองคนราวกับว่า ‘เคยบอกแล้ว แต่พวกเอ็งสองคนไม่เคยจำ’
“หือ” แม่หมูส่ายหัวรัวยืนยันคำตอบ
“รีบเอาไปคืนซะนะครับ”
หวังว่าคงไม่ได้แกล้งแบบซ้ำซ้อนหรอกนะ เพราะผมยังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ ถึงแม้ตอนนั้นพี่เข้มจะเคยบอกผม แต่ผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ พอหันไปมองพี่มีนก็ไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นเรื่องที่พูด ว่าแล้วผมก็รีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบแจ็กเกตของพี่เข้มออกมาจากตู้ สำรวจความเรียบร้อยด้วยการล้วงสำรวจในกระเป๋าเสื้อเผื่อเผลอทิ้งเศษอะไรลงไป แต่ผมก็เจอกับสิ่งของบางอย่างเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมเจอ ‘สมุด’ มันเป็นสมุดเล่มเล็กที่นอนแอ้งแม้งอยู่ใต้ก้นถุงกระเป๋าด้านในเสื้อ
สมุดอะไร? ผมล้วงมือขวาเข้าไปหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ จากด้านในกระเป๋าเสื้อคลุมของพี่โอม คลี่กระดาษสมุดดูแบบผ่านๆ แต่ก็ต้องตกใจ เพราะมันทำให้เกิดภาพเคลื่อนไหวเป็นข้อความเรียงต่อกันเป็นประโยค
กู
จะ
จีบ
ผู้ชาย
ครั้งแรก
มัน
ชื่อ
‘มะนาว’
ฟัง
แล้ว
เปรี้ยว
ใจ
โว้ย!
(`∇´)
ไอ้จี๊ดดด
แล้วภาพต่อมาก็เป็นหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหัวใจกลายเป็นลูกมะนาวขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวเหมือนการเต้นของหัวใจตุบๆ
ผมอ่านข้อความเคลื่อนไหวในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่หลายคนเรียกมันว่า Flip Book
ทีละหน้าซ้ำไปซ้ำมา ผมยังไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
กูจะจีบผู้ชายครั้งแรก มันชื่อ ‘มะนาว’ ฟังแล้วเปรี้ยวใจโว้ย! (`∇´)
“พี่เข้ม ‘ชอบ’ ผม”