Because you loved me
You gave me faith ’cause you believed
I’m everything I am because you loved me
………………………………………………………………………………………..
โรงยิมในมหาวิทยาลัยร้อนอบอ้าวแม้จะเป็นเวลาเย็น ถึงอย่างนั้นก็ยังคึกคักเพราะมีการแข่งกีฬาเฟรชชี่ของเด็กปีหนึ่ง ผู้ชมที่เป็นเพื่อนร่วมคณะและต่างคณะมาช่วยเชียร์กันคลาคล่ำ บ้างก็แบ่งฝ่ายกันไปตามประเภทกีฬา
ในมุมหนึ่งมีคนเบียดเสียดกันแน่นขนัด ต่างมาให้กำลังใจพวกของตนที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในสนาม นักกีฬาวิ่งแยกออกมากันฝ่ายตรงข้าม ยกมือขวางลูกบอลที่กำลังจะถูกส่งต่อแบบไม่เปิดโอกาส
ฝ่ายที่ถูกกั้นตัดสินใจหลอกล่อ ตั้งท่าจะส่งบอลให้ทีมของตนที่รอรับอยู่ด้านหน้า แต่กลับโยนลอดแขนไปให้อีกคนที่คุมเชิงอยู่ฝั่งขวา
เสี้ยววินาทีนั้น ร่างสูงของใครคนหนึ่งที่อ่านเกมออกก็พุ่งเข้าตัดลูก เขาโยนให้เพื่อนที่รอท่าอยู่ก่อนวิ่งตามขึ้นไปสมทบคนที่พยายามจะบุกทำคะแนน ในนาทีสุดท้าย เพื่อนคนนั้นตกอยู่ในวงล้อม อีกฝ่ายเลยตัดสินใจโยนมาให้
เด็กหนุ่มคว้าบอลไว้ได้ แต่เวลากำลังนับถอยหลัง ซ้ำอีกฝั่งก็ดักทางจนแน่น เขาตัดสินใจทำท่าส่งต่อให้ทีมของตน แต่แล้วกลับฉวยโอกาสคู่ต่อสู้เผลอ โยนลูกข้ามไปกระทบแป้น
ลูกบาสหมุนอยู่บนห่วงก่อนจะร่วงลง ทำคะแนนเพิ่มไปอีกสามแต้ม ตามด้วยเสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาของควอเตอร์ที่สาม เรียกเสียงปรบมือดังกระหึ่มจากบรรดาคนเชียร์ลั่นโรงยิม
คนทำคะแนนยิ้มร่า วิ่งเหยาะๆออกมาพักเบรกข้างสนามและประชุมแผ่นรับมือควอเตอร์สุดท้ายกับทีม เสียงคนรอบข้างยังดังอึกทึก บรรดาเพื่อนๆที่ขึ้นสแตนด์กำลังทั้งร้องทั้งเต้น มือกลองก็ตีอย่างเมามัน คนนำเชียร์ประกาศขอกำลังใจให้นักกีฬาผ่านโทรโข่งในรอบหลังนี้
“ไอ้อัคชู้ตแม่น พยายามส่งลูกให้มัน แต่ถ้าโดนดักก็ต่อให้ไม้สอง” หัวหน้าทีมบอก
‘อัครา’ ยกน้ำขึ้นดื่ม พยักหน้ารับแผนที่คุยร่วมกัน ตอนนั้นเองที่มีมือเย็นๆมาแตะแขน เขาเลยหันไปมอง
“เหนื่อยไหม” เด็กสาวที่เป็นตัวเต็งดาวเฟรชชี่ของปีนี้ยืนยิ้มให้
เขาส่ายหัว ยิ้มเล็กน้อยตอนที่รับผ้าเช็ดหน้ามาจากมืออีกฝ่าย “ขอบคุณครับ”
เพื่อนๆที่คุยแผนกันอยู่โห่ร้องด้วยความอิจฉา เข้ามาไม่ทันไร ดูเหมือนว่าอัคราจะเป็นที่นิยมมากจนน่าหมั่นไส้
“สู้ๆนะ เอาเหรียญทองมาให้ได้ล่ะ” เธอบอก ชูนิ้วโป้งให้
เขายิ้มรับ หันกลับมาฟังแผนต่อท่ามกลางสายตาร้อนผ่าวของเพื่อนผู้ชาย
เข้าควอเตอร์ที่สี่ ถึงคะแนนฝั่งคณะนี้จะเป็นฝ่ายนำ แต่ทุกคนก็ไม่ประมาท เพราะทีมตรงข้ามพยายามตีตื้นอย่างดุเดือด อัคราถูกวางไว้เป็นตัวชู้ต แต่ดูเหมือนอีกด้านจะมองออกเลยพยายามกันทุกวิถีทาง
เพื่อนๆหาทางหลอกล่อและส่งไม้ต่อให้ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของสนาม อัคราจะเข้าไปรับลูกและทำแต้มได้อย่างแม่นยำ เขาวิ่งไปทั่วด้วยเรี่ยวแรงมากมายของวัยหนุ่ม สีหน้าร่าเริง ดูกระตือรือร้น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
“มันไปอัพยามาหรือไงวะ” คู่ต่อสู้ถึงกับส่ายหัว ให้วิ่งและยิ้มไปด้วย ใครจะทำได้ลง
ช่วงสุดท้าย อัคราตกอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง เขาทำเหมือนจะส่งลูกให้เพื่อนข้างหน้า แต่อีกทีมรู้ทันเลยระวังอีกด้าน ไม่นึกเลยว่าจะโดนหลอกอีกรอบ เพราะอัคราส่งให้เพื่อนตรงหน้าจริงๆ และเป็นการส่งแบบตรงๆโต้งๆ ไม่มีอ้อมไปไหน
ทีมนั้นเข้ามาดักคนรับ ยกมือขึ้นกันจนหมดทาง เพื่อนเลยพุ่งบอลลงกระทบพื้น มันเด้งขึ้นแต่ผิดทิศทางไปหาอีกฝ่ายแทน ทั้งที่คิดว่าอ้อยเข้าปาก แต่จู่ๆอัครากลับปรากฏตัวขึ้นแล้วตัดลูกไปอีกครั้ง ทำเอาคนรอบด้านตกใจกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
“ชู้ตเลยมึง” หัวหน้าทีมตะโกน
อัคราหมุนตัวกลับ โยนลูกเข้าห่วง และแน่นอน..มันหล่นซวบอย่างแม่นยำ ได้แต้มอีกสองคะแนน
คู่ต่อสู้รับบอลที่หล่นจากห่วงจากนั้นก็เดาะลูกกลับไปยังสนามฝั่งตรงข้าม แต่พอโยนส่ง กลับเป็นอัคราที่เข้ามารับแทนแล้วทำคะแนนให้ทีมของตนอีกหน
“ไอ้ห่านี่มันเป็นผีหรือเปล่า..แว้บไปแว้บมาขนาดนี้!”
อัคราได้ยินก็หัวเราะชอบใจ เรื่องเล่นบาสเก็ตบอลน่ะ เขาเล่นมาตั้งแต่อยู่ประถมแล้ว เพราะว่าได้พี่ชายเป็นโค้ชช่วยสอน
ใกล้หมดเวลาในอีกไม่กี่นาที อีกฝ่ายไล่ตามขึ้นมาติดๆ พวกเขาพยายามถ่วงเวลาและทำแต้มไปพร้อมกัน
เด็กหนุ่มวิ่งไปดักรอแถวขอบสนาม คนอื่นเลยกรูตามขึ้นไปกั้น เปิดโอกาสให้เขาส่งลูกให้เพื่อนและปล่อยมันชู้ตทำคะแนนอีกสอง พวกนั้นสบถอย่างเจ็บใจ แต่พอหันมา อัคราก็ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว
“ปิดเกมเลยอัค” หัวหน้าเขาบอก
อัครารับลูกจากเพื่อนแล้วโยนส่ง แต่เพราะต้องหลบหลีกเลยเสียจังหวะ ลูกบาสหมุนตรงขอบห่วงแล้วร่วงลงมาจนถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งไป หากเขาตัดกลับได้ภายในไม่กี่วินาที
ร่างสูงวิ่งขึ้นไปยังห่วง ไม่สบโอกาสเหมาะเพราะถูกขวางทางแน่นหนา เขาตัดสินใจหันหลัง ทำเหมือนจะส่งลูกออกให้เพื่อนที่รออยู่รอบนอก แต่แล้วก็หมุนตัวกลับ กระโดดขึ้นสุดแรงพร้อมกับโยนลูกจากระยะหันข้างเป็นการวัดดวง
ลูกบาสพุ่งเข้าปะทะกรอบก่อนจะหล่นลงสู่ห่วงและตกกระทบพื้นในวินาทีสุดท้าย เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาดังลั่น จบควอเตอร์ที่สี่ คณะของอัคราเป็นฝ่ายชิงชัยไปได้สำเร็จ
กองเชียร์กรีดร้องเสียงดังจนแสบหู ทุกคนเต้นแร้งเต้นกาด้วยความตื่นเต้นยินดีจนแสตนด์แทบพัง
“เยี่ยมมากมึง” เพื่อนในทีมชูนิ้วโป้ง วิ่งเข้ามาตบบ่า แม้กระทั่งทีมตรงข้ามยังต้องยกนิ้วให้
อัครายิ้มรับ ชมทุกคนกลับเพราะเขารู้ดีว่าไม่ใช่ตนเองเท่านั้นที่ทำให้ทีมชนะ และเพราะอีกฝ่ายก็เล่นอย่างยุติธรรม ทั้งยังแข็งขันกันเต็มที่ วันนี้เขาถึงเล่นได้สนุกจริงๆ
พี่ชายสอนไว้ว่าการแข่งกีฬามีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและสร้างน้ำใจให้รู้แพ้รู้ชนะ ไม่ใช่มุ่งจะเอาเป็นเอาตายกัน วันนี้พวกเขาชนะ วันหน้าอาจจะแพ้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้สู้กันอย่างเต็มที่พอ
“แข่งเสร็จแล้วไปไหนต่อหรือเปล่า” เพื่อนผู้หญิงคนเดิมเข้ามาทัก
“ว่าจะไปช่วยเขาทำคัทเอาท์น่ะ” อัคราเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมทั่วตัว
“พรุ่งนี้มีแข่งเทควันโดใช่ไหม อัคก็ลงสินะ..แล้วเราจะมาเชียร์” เธอบอกก่อนจะวิ่งเหยาะๆกลับไปที่สแตนด์
นอกจากจะได้ลงแข่งกีฬาบาสเก็ตบอลแล้ว อัครายังถูกรุ่นพี่จับลงแข่งกีฬาอีกหลายประเภท เพราะว่าที่คณะไม่ค่อยจะมีคนอยากลงเล่น ยิ่งส่วนใหญ่สถิติคนชนะมักมาจากคณะวิทย์กีฬาด้วย ใครๆก็กลัว
แต่อัครารู้สึกเฉยๆ ถ้าเขาพอเล่นได้เขาก็จะลง ในเมื่อพี่เขาก็เคยอยู่วิทย์กีฬาเหมือนกัน น่าสนุกดีจะตาย
“ไปไหนต่อวะมึง ไปเชียร์มวยหญิงหน่อยไหม” เพื่อนในกลุ่มถามคนที่กำลังหยิบเป้
อัคราส่ายหัว “จะกลับไปช่วยที่คณะทำคัทเอาท์”
“อ๋อ..ไอ้ติสท์แตก ศิลปินหนุ่ม โอเคมึง สู้ๆนะเว้ย”
ปีนี้อัคราได้ทำงานเป็นฝ่ายศิลปวัฒนธรรม เขาเองไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าชอบงานพวกนี้ จนได้มาใช้เวลาว่างช่วงหนึ่ง วาดรูประบายสีกับพี่ชายอีกคนนั่นแหละ เขาถึงรู้สึกว่างานศิลปะเองก็ทำให้มีความสุขเหมือนกัน เขาเลยวาดภาพมาเรื่อย เพียงแต่ว่าไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจอะไรนักหนา
ออกจากโรงยิม อัคราแวะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดกีฬาเป็นชุดนิสิตตามเดิม เขาแต่งตัวให้เรียบร้อย รู้สึกชอบที่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแบบนี้ รู้ดีว่าพี่ๆต้องภูมิใจ
เด็กหนุ่มหยิบมือถือออกมา เครื่องนี้เขาเพิ่งจะได้มาใหม่ พี่ชายคนโตสุดบอกให้ไปซื้อมาหลังจากเห็นเขาใช้เครื่องเก่าที่สะบักสะบอมมานาน นี่เป็นเครื่องที่สามที่มี นับจากเครื่องแรกที่ได้มาตอนอยู่ประถมสี่
มีข้อความเข้าจากพี่ ส่งมาให้กำลังใจเพราะรู้ว่าเขาจะแข่งบาสวันนี้
‘น้องอ้นสู้ๆ พี่กุนต์เชียร์สุดใจอยู่ครับ’
อัครายิ้มอยู่ตามลำพัง นั่นน่ะ..ชื่อเล่นของเขาเอง ชื่อจริง ‘อัครา’ ชื่อเล่น ‘อ้น’ แต่ไอ้เพื่อนเวรทั้งหลายมันชอบเรียก ‘อัค’ เขาคิดว่ามันฟังแล้วเหมือนกระอักเลือดอย่างไรแปลกๆ
แต่ก็ดีแล้ว..น้อยคนนักที่จะเรียกเขาว่า ‘อ้น’
ชื่อสำคัญ ให้คนสำคัญในครอบครัวเรียกก็พอ
.
.
.
กลับมาถึงที่คณะ พวกเพื่อนๆกำลังวาดรูปลงคัทเอาท์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกผู้หญิงทั้งนั้น คณะที่เขาเข้ามา ผู้ชายน้อยกว่าเกินครึ่ง แรงงานเลยกลายเป็นสาวๆกันหมด
อัครารีบวางเป้เอาไว้แล้วเข้าไปช่วยจับแผ่นไม้สูงท่วมหัวที่เพื่อนคนหนึ่งกำลังแบกอย่างทุลักทุเล
“เราช่วยนะ” เขาบอก “ให้วางตรงไหนน่ะ”
“ขอบคุณมากจ้า..กำลังลำบากเลย ไอ้พวกนั้นก็เอาแต่เล่นไพ่” เธอบ่นอุบ ชี้มือไปใต้ตึก “นี่มืดแล้ว ว่าจะย้ายไปลงสีตรงนู้น มันสว่างกว่า”
เขาพยักหน้ารับ เอากระดานไม้แผ่นใหญ่ไปส่งแล้วกลับมาช่วยถืออุปกรณ์ ทั้งถังสี ทั้งแปรง
“พวกนี้จะใช้ในวันปิดใช่ไหม” เขาเงยหน้าถาม จัดวางของให้เสร็จสรรพ
“อือ..จะได้ไม่จำเจ”
“งั้นเราไปช่วยเขาตัดไม้ตรงนั้นนะ ถ้ามีอะไรจะให้ทำก็เรียกได้เลยครับ” เขาเดินกลับไปสมทบกับอีกกลุ่มโดยมีสายตาเพื่อนผู้หญิงมองตามด้วยความชื่นชอบ
อัคราติดนิสัยช่วยเหลือคนอื่นในทุกๆเรื่องที่ทำได้มาจากกนธี หากว่าเขามีแรง มีกำลัง มีความสามารถพอก็จะลงมือโดยไม่คิดซ้ำให้เสียเวลา ไม่ว่าใครจะมาไหว้วาน หรือเขาผ่านไปเห็นก็ตาม เป็นต้องได้เข้าไปช่วยบ่อยครั้ง
วันนี้เขาอาสาเลื่อยไม้ ตอกตะปู ขัดกระดาษทราย และทำงานจุกจิกสารพัดอย่าง ทั้งยังเป็นคนคอยเก็บกวาดข้าวของที่ทำรก ขัดพื้น ทำความสะอาดห้องสโมสรสำหรับทุกคน แม้จะเหนื่อยจากการแข่งกีฬา แต่เขาคิดว่าถ้ายังมีแรงเหลือก็ช่วยกันไว้จะดีที่สุด
“เราจะไปซื้อน้ำ มีใครอยากได้อะไรไหม” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้น “อัคล่ะ..”
“อ่า..เราขอฝากเป็นนมไทยเดนมาร์กกล่องหนึ่ง กับน้ำมัลเบอร์รี่ของดอยคำนะ..ถ้าเขามี”
คนฟังหัวเราะคิกคัก “โตเป็นหนุ่มแล้วยังกินนมอยู่หรือ”
“มันติดมาน่ะ” เขาหัวเราะ เพราะว่าพี่โอ๊ตชอบซื้อนมให้กินตั้งแต่เด็ก เขาเลยตัวสูงชะลูด แล้วไหนจะพี่กุนต์ที่ชอบกินน้ำผักผลไม้พวกนี้ให้เห็นอีก เรียกว่าที่บ้านจะไม่มีน้ำอัดลม หรือเหล้าเบียร์ติดไว้เลย
“โอเคๆ” เธอยิ้มรับ
“กระเป๋าเงินเราอยู่ในเป้ ฝากหยิบได้ไหม” อัคราลุกขึ้นวางเท้าลงบนท่อนไม้ ลงมือเลื่อยมันออกเป็นสองท่อน ตอนนี้มือเขาเปื้อนผงขี้เลื่อยเลยไม่อยากจับ
“ไม่เป็นไร เราเลี้ยง ตอบแทนที่ช่วย”
“เฮ้ย..ไม่ได้ๆ” เขาปฏิเสธ “มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว หยิบไปเถอะ”
เธอพยักหน้า ในที่สุดก็มีข้ออ้างในการแอบดูของในกระเป๋าส่วนตัวของอัครา อยากรู้ว่าเขาจะมีภาพผู้หญิงเก็บไว้ไหม ถ้ามีแฟนแล้วล่ะก็..สาวๆทุกคนต้องได้อกหักกันแน่ แต่พอเปิดกระเป๋าเงิน เธอกลับงุนงงเมื่อเห็นภาพผู้ชายทั้งหมดสี่คนถ่ายรูปร่วมกันที่ยอดภูกระดึง หนึ่งในนั้นคืออัครา แต่อีกสามคนไม่แน่ใจ
“ใครน่ะอัค..”
เขาเงยหน้ามอง “อ้อ..รูปนั้นน่ะหรือ” เขายิ้ม เลื่อยไม้ต่อ “คนทางซ้ายสุดพี่ชายเราเอง ชื่อโอ๊ต” เขาเป่าผงฝุ่นออก “คนถัดมาเป็นน้องชาย ชื่ออุ้ม ตามด้วยเรา แล้วก็คนทางขวาสุดก็เป็นพี่ชายเหมือนกัน..ชื่อกุนต์”
“บ้านอัคมีพี่น้องสี่คนเลยหรือนี่” เธอร้อง พวกเพื่อนๆเลยกรูเข้ามา
“โอ้โห..หล่อมาก” สาวๆที่มุงดูร้องวี้ดว้าย “ยังโสดไหม”
อัคราหัวเราะในลำคอ จะตอบยังไงดีวะเนี่ย..
“พี่โอ๊ตกับพี่กุนต์น่ะไม่โสดแล้ว”
“ว้า~ แล้วน้องอุ้มล่ะ”
“ไม่รู้มันเหมือนกัน” เขาขำ “เห็นสนใจแต่ต้นไม้ใบหญ้า เลี้ยงสัตว์ไปวันๆ”
“เพอร์เฟ็กต์!” พวกเธอคราง “รูปหล่อ สูงยาวเข่าดี รักธรรมชาติและรักสัตว์ แม่ฉันบอกให้หาลูกเขยแบบนี้เลยว่ะ”
อัครากลั้นขำ “เดี๋ยววันนี้มันก็มาหาเรา..ลองคุยดูสิ”
“จริงหรือเปล่า!”
“แต่มันชอบคนที่อึดๆนะ ประเภทดำนา ปักกล้า หน้าดำกลางทุ่ง เจอแดดร้อนก็สู้ไม่ถอยน่ะ”
“ห๊ะ? สเปคประหลาดนะเนี่ย”
เขาอมยิ้ม ตอนนี้น้องอุ้มอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม เห็นว่าจะเลือกสายวิทย์ เพราะตั้งใจอยากจะเข้าคณะเกษตร ช่วงนี้น้องหมกมุ่นศึกษาชีวิตของหนอนกอข้าวกับพวกเพลี้ยว่าจะกำจัดอย่างไรไม่ให้ใช้สารเคมีด้วยมีความฝันอยากจะกลับไปขยายพื้นที่ทำนาแบบปลอดสารพิษที่น่าน
ส่วนตัวเขาเลือกเรียนคณะจิตวิทยา เพราะครั้งหนึ่งเคยเห็นพี่กุนต์ไปหาจิตแพทย์อยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นปากมากเลยถามไปว่าพี่กุนต์ป่วยทางใจหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็อธิบายกลับมาจนเขาเห็นภาพ สุดท้ายก็เลยเอาความประทับใจนั้นมาเลือกเรียนคณะนี้ เขาคิดว่าพอจบตรีแล้วก็จะหาทางไปต่อปริญญาโท ถ้าไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลรัฐฯ ก็คงจะหาเรื่องต่อปริญญาเอกเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเสียเลย
“ว่าแต่..น้องอุ้มจะมากี่โมง” พวกเธอดูนาฬิกา “จะสองทุ่มแล้วนะ ไปเรียนพิเศษหรือ”
“มันส่งข้อความมาเมื่อสิบนาทีก่อนนี่เองว่ากำลังจะออกจากศูนย์หนังสือจุฬา” อัคราตอบ “ไอ้นี่มันเป็นหนอนหนังสือ” นิสัยนี้ก็ติดมาจากพี่กุนต์เหมือนกัน ส่วนเขาชอบดูหนังมากๆ เหมือนพี่กุนต์ที่มีดีวีดีเก็บเป็นร้อยเรื่อง
.
.
.
ร่างสูงโปร่งของหนุ่มน้อยในชุดมัธยมหอบหิ้วถุงของผ่านสวนข้างศูนย์หนังสือ เขาหยุดมองเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนชะเง้ออยู่ใต้ต้นปีป เธอแหงนคอดูด้านบนและส่งเสียงเรียกมี้ๆตลอดเวลา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาเข้าไปถาม พอเงยหน้าตามก็เห็นลูกแมวเกาะอยู่ที่กิ่งไม้ ยักแย่ยักยัน พยายามจะลงแต่ลงไม่ได้ “อ้าว..เหมียว”
“แมวที่ให้อาหารบ่อยๆมันขึ้นไปติดน่ะค่ะ ไม่รู้ตกใจอะไร เรียกยังไงก็ไม่ลงมา”
“อ๋อ..” เขามองหาทาง “พอจะมีเก้าอี้หรือบันไดไหมครับ” ต้นปีปมันขึ้นแบบสูงตรง ด้านล่างไม่มีกิ่งอะไรให้จับเลย จะปีนในชุดนี้ก็ค่อนข้างลำบาก
“มีเก้าอี้ค่ะ แต่ขึ้นไม่ถึงแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ลองดูก่อน” เขายืนรอ พอได้มาก็ให้เธอช่วยจับฐานเอาไว้ ส่วนตัวเองเกาะต้นไม้ ลองเอื้อมมือแต่ไม่ถึง “สงสัยต้องลองปีนดูแล้ว”
“เรียกให้ยามมาช่วยดีไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ น่าจะดูรถอยู่ด้วย” เขาลองเอาเท้ายันดูก็พอจะเกาะได้ เมื่อจับสองมือแล้วก็เหนี่ยวตัวเองขึ้นได้บ้าง ขึ้นไปได้สักสองก้าวก็เอื้อมถึงลูกแมว “ฮึบ! ได้แล้ว”
“ระวังนะคะน้อง” เธอยืนลุ้น
“ช่วยรับหน่อยพี่” เด็กหนุ่มยื่นแมวลงมาก่อน พอเธอรับได้ก็ค่อยๆหยั่งเท้าลงมาตามลำต้น เกือบร่วงไปแล้วถ้าไม่ยึดให้แน่นเสียก่อน แต่สุดท้ายก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย
“ขอบคุณมากๆค่า” เธอก้มหัวให้ “น้องชื่ออะไรคะ” มองชื่อนักเรียนที่ปักไว้ตรงเสื้อสีขาว ‘อาศิร’ “อา..สิน?”
“อ่านว่า อาสิระ ครับ”
“อ๋อๆ..” ชื่อเพราะดี..หน้าตาก็ดีด้วย “ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้น้อง พี่แย่แน่เลย”
“ไม่เป็นไรพี่ ถ้าช่วยได้ผมก็ช่วย แต่ถ้างวดหน้าขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า ผมคงไม่ไหว”
เธอหัวเราะ บอกขอบคุณอีกครั้งก่อนจะต้อนแมวเข้าร้านไป แต่ยังไม่วายฉวยโอกาสตอนเด็กหนุ่มเผลอ ถ่ายรูปด้านข้างแล้วอัพลงโซเชียล แคปชั่นว่าวันนี้มีเด็กน้อยใจดีมาช่วยแมวจอมดื้อลงจากต้นไม้
อาศิรก้มลงปัดฝุ่นตามตัวและหยิบถุงหนังสือเดินต่อ คณะที่พี่อ้นเรียนอยู่หลังห้าง วันนี้เขามาซื้อนิยายสืบสวนเล่มใหม่ไปฝากพี่กุนต์ เลยถือโอกาสเดินวนในร้านจนปิด
เขาข้ามทางม้าลายตอนติดไฟแดง ตอนนี้สองทุ่มแล้วแต่รอบด้านยังคึกคักเพราะเป็นช่วงกีฬาเฟรชชี่ พอไปถึงห้องสโมสรก็เจอพี่อ้นกำลังนั่งกินนมกล่องอยู่พอดี
“พี่..” เขายิ้มทัก “แข่งวันนี้ชนะไหม”
“ทำไมมอมแมมอย่างนั้น” อัครามองน้องชาย “ไปเล่นซนที่ไหนมา”
“ปีนไปช่วยแมวติดบนต้นปีป” อาศิรพลิกแขนดู ตอนลื่นลงมา เขารีบตะครุบไว้เลยโดนเปลือกไม้ครูดไปบ้างแต่ก็แค่เลือดซิบ
พวกสาวๆที่เมียงมองอยู่พากันเข้ามาออ พอได้ยินว่าน้องอุ้มไปช่วยแมวมาก็ทำตาหวานเชื่อมใส่
“เจนเทิลแมนชัดๆน้องจ๋า”
“ขอแบบนี้ใส่ห่อ พกกลับบ้านได้มั้ยคะ!”
สองหนุ่มฟังแล้วกลั้นขำ ที่พวกเขาทำมันยังน้อยเมื่อเทียบกับต้นแบบชีวิตอย่างพี่กุนต์
“แล้ววันนี้ชนะหรือเปล่า”
“อือ..ชนะ” คนพี่ยิ้ม “ถ้าได้เหรียญมาจะเอาไปฝากพี่ๆ”
อาศิรชูนิ้วโป้งบอกยอดเยี่ยม เขามองไปด้านหลัง เห็นว่าพี่น่าจะทำงานเสร็จแล้วเลยชวนกลับ
“เดี๋ยวรอทางนั้นลงสีเสร็จก่อนได้ไหม พี่จะช่วยเขาเก็บของแล้วค่อยกลับน่ะ” เขาหาวหวอด “ถ้าอุ้มหิวก็ไปหาซื้ออะไรกินก่อนแล้วกัน”
“ไม่เอา รอพี่อ้นกินด้วยกัน”
เพื่อนผู้หญิงลวนลามทางสายตาจนพอใจถึงจะแยกย้ายไปทำงานต่อ “เอาไว้วันหน้าชวนพี่โอ๊ตกับพี่กุนต์มาด้วยนะ อยากเห็นว่าเวลายืนแทคทีมสี่คนจะเป็นยังไง”
“ก็ไม่เป็นยังไง มีแปดตา แปดขาแบบแมงมุมพอดี”
“อีตาบ้า!”
อัครานั่งยิ้ม กินนมจนหมดกล่องแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ช่วยยกไม้กับถังสีไปเก็บ อาศิรเห็นเลยวางของแล้วมาช่วยบ้าง สาวๆทั้งหลายได้โอกาสไม่ต้องทำอะไร คอยมองสองพี่น้องทำอย่างเดียว
“ขอบใจมากนะอัค วันสองวันก็เสร็จแล้วแหละ พรุ่งนี้แข่งเทควันโดใช่ไหม”
“อือ..แข่งเสร็จแล้วก็จะมาช่วยเหมือนเดิม”
อาศิรเลิกคิ้ว เพิ่งรู้ว่าพี่ลงแข่งด้วย เขาเองก็อยากมาเชียร์เหมือนกัน ดูซิว่าเวลาเล่นกีฬาต่อสู้ด้วยมือเปล่าแบบนี้ จะเท่ได้เท่ากับพี่กุนต์ในตอนนั้นไหม
..แต่เขาคิดว่ายังไงก็ไม่ติดฝุ่นหรอกน่า..
“แล้วนี่จะกลับกันหรือยัง” อัคราหยิบเป้ขึ้นสะพาย “ถ้าไปแท็กซี่ก็ไปกันเป็นกลุ่มนะ”
“เป็นห่วงหรือจ๊ะ~”
“ไม่ว่าใครก็น่าห่วงทั้งนั้นแหละ” เขาส่ายหัว ยกมือโบก “ไปแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
พวกผู้หญิงบ๊ายบายตอบ ส่งเสียงวี้ดว้ายตามหลังมาเมื่อทั้งสองคนเดินคู่กันออกไป
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]