CHAPTER 13 – Hector Caplin
ผนังสีเข้มยังทิ้งร่องรอยกระสุนปืนเอาไว้ เอ็มเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งที่สองเท่านั้น เช่นเดียวกับเชสเตอร์
“คุณยังมีอะไรติดค้างกับที่นี่อีก” เชสเตอร์ถามขณะมองแผ่นหลังในเสื้อโค้ตสีดำซึ่งไหล่ตกไปนิดหน่อยจากขนาดที่ไม่พอดีตัว รองเท้าหนังเดินข้ามเศษแจกันกระเบื้องที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ตามอีกคนเข้าไปในห้องนอนแคบๆ ภายในชั้นสามของห้องพักภายในบ้านเลขที่ 114 เขาไม่รู้ว่าเอ็มเห็นอะไรในสถานที่แห่งนี้ แต่หากซินส์กำลังมองหาสิ่งของบางอย่าง เขาก็สามารถพูดได้เช่นกันว่าที่นี่ไม่ได้มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันให้ตามหาเลยแม้แต่อย่างเดียว
เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักเมื่อเอ็มสะดุ้งตอนที่ถูกเขาแตะบ่า เขาแสดงสีหน้าขอโทษ โดยที่ฝ่ายนักสืบไม่ได้ใส่ใจ เอ็มเดินผ่านประตูเชื่อมกับห้องนั่งเล่นบรรยากาศทึบทึมเข้าไปในห้องนอนของทีนา เฮซสัน
สภาพของห้องไม่ได้มีความแตกต่างกับครั้งที่แล้วที่เขามา เอ็มไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นมีใครเข้ามาที่นี่อีกหรือไม่ แต่ถ้ามี...ก็คงไม่มีใครได้อะไรกลับไป ในเมื่อเมื่อคืนนี้—
‘ระเบิดอยู่ที่ไหน’
เขาเกิดความคิดว่า คนที่ส่งจดหมายขู่นั้นอาจเป็นตัวทีนาเอง
ความคิดนี้วนเวียนในหัวเอ็มมาสักพักแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งขัดแย้งกัน เพราะหากซินส์ต้องการของสิ่งนั้นมากขนาดนั้น พวกเขาจะฆ่าเธอทำไม ในเมื่อเธอเป็นคนกุมทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่ในมือ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย เขาจึงตัดข้อสันนิษฐานนี้ไป แม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้มากที่สุดก็ตาม
เอ็มมองไปรอบห้องนอนเรียบๆ ซึ่งล้อมรอบด้วยวอลเปเปอร์สีหม่น เขาเดินไปหน้าตู้ที่ตัวเองเคยสำรวจไว้หมดแล้วว่าในนั้นมีอะไรบ้าง ก่อนจะหยิบรูปถ่ายเดิมขึ้นมา มองดูภาพมัวๆ นั้น และเก็บมันลงไปอย่างเก่า ทว่าขณะที่กำลังถอยตัวจากหน้าลิ้นชักนั้น ดวงตาสีฟ้าอมเทากลับเหลือบเห็นวัตถุบางอย่างในซอกระหว่างตู้และผนัง แสงสะท้อนแวววับเตะตาเขา เอ็มหยิบมันขึ้นมา แล้วพบว่ามันคือตัวต่อเลโก้สีแดงชิ้นเล็กๆ
เจ้าหน้าที่ภาคสนามของวัลฮัลลาหยุดอยู่หน้าโซฟาตรงกลางห้องนั่งเล่น ที่ที่เขาพบนักสืบที่กำลังยืนดูอะไรสักอย่างอยู่ในห้องนอนนั้นเมื่อสามวันก่อน เทียบเวลากับวันที่เจ้าของห้องเช่าแห่งนี้ตาย จนถึงวันนี้ก็เพิ่งผ่านมาแค่ห้าวัน
เมื่อสามวันที่แล้ว เขาสืบข้อมูลของนักสืบคนนี้ เอ็มเข้ามาที่ลอนดอนเมื่อห้าปีก่อน ก่อนหน้านี้มีนักสืบชื่อเดียวกันอยู่ที่อื่น แต่เขาพบว่าเป็นคนละคน เอ็มเปลี่ยนชื่อตัวเอง ทิ้งทุกอย่างที่สามารถสาวถึงตัวตนเก่าได้ ตั้งสำนักงานนักสืบที่แฟลตเก่าๆ ในย่านเงียบสงบและดูน่าจะปราศจากคดีสะเทือนขวัญทั้งปวง เขาจำได้ว่าเคยหัวเสียเพราะไม่พบอะไรผิดปกติที่สำนักงานนั้นเลย ตอนที่เขาไปสืบ...มิสซิสคาร์เทอร์ ลูกค้าที่เอ็มค้างคดีไว้หนึ่งสัปดาห์ยังชมออกนอกหน้าว่านักสืบที่เธอจ้างเป็น ‘พ่อหนุ่มรูปหล่อ’ ด้วยซ้ำ
ทีนา เฮซสันถูกตามล่าเพราะพวกมันต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเธอ อะไรที่พวกมันใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มา และยังขวนขวายหา แม้ตัวต้นเรื่องจะไม่มีชีวิตให้สืบสาวอะไรอีกต่อไปแล้ว
เขามองแผ่นหลังของนักสืบหนุ่ม เชสเตอร์ไม่อาจจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายเก็บงำอะไรไว้บ้าง สิ่งที่เอ็มเรียกว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ ล้วนคาบเกี่ยวกับคดี แน่นอนว่าในสายตาของวัลฮัลลา เอ็มคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในเวลานี้ ถึงเขาจะมีข้อแลกเปลี่ยนในการเอาตัวนักสืบคนนี้ออกมานอกห้องขัง และมั่นใจในระดับหนึ่งว่าคำพูดของเอ็มเชื่อถือได้ แต่นอกเหนือจากข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลจากปากของอีกฝ่ายแล้ว เงื่อนงำที่เอ็มเก็บเอาไว้กับตัวไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย
เชสเตอร์มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นคนแรก รถสีดำเคลื่อนตัวจอดหน้าประตูบ้านเลขที่ 114 ซึ่งพวกเขากำลังยืนอยู่ ดวงตาสีเขียวประสานกับอีกฝ่ายซึ่งเห็นอย่างเดียวกัน
ถึงเวลาแล้ว
โทรศัพท์เชสเตอร์สั่นขณะเดินลงบันไดไม้ เขายังไม่ได้ยุ่งกับมันกระทั่งเปิดประตูออกไปเพื่อพบกับหนุ่มวัยรุ่นผมทองในเสื้อยีน กับท่าทางที่ไม่ได้พยายามจะสุภาพไปมากกว่าคำพูด
“รู้นะครับว่าต้องทำยังไง ผมไม่อยากเสียเวลามีเรื่องกับพวกคุณมากนักหรอก”
รถยนต์กำลังเคลื่อนตัวไปยังที่หมายสักแห่ง ห่างไกลจากตัวเมืองออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงน้อยลง เอ็มนั่งอยู่บนเบาะด้านซ้ายด้วยท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาสีฟ้าอมเทานั้นทอดมองออกไปตามทาง กระจกมองหลังสะท้อนใบหน้าเสี้ยวหนึ่งของคนขับ เจ้าหนุ่มผมทองนี่ดูอายุไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ
“นายเป็นคนของซินส์?” เชสเตอร์ถาม เขาเห็นตาของเด็กหนุ่มมองตนเองผ่านกระจก เสียงห้าวตอบกลับมาโดยไม่รีรออะไร
“ใช่สิ...เอ่อ ครับ”
“นายชื่ออะไร”
“เฮนรี คุณ?”
“เชสเตอร์”
“ถ้าคุณบอกนามสกุลผม ผมก็จะเรียกคุณว่ามิสเตอร์อะไรสักอย่าง”
“เชสเตอร์ก็พอ”
เจ้าหนุ่มเฮนรียักคิ้วทีหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรต่อ เชสเตอร์นึกถึงโทรศัพท์ของเขา นอกจากข้อมูลที่เอ็มบอกกับเขาเมื่อเช้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเฮคเตอร์ แคปลิน...คนที่เอ็มสันนิษฐานว่าจะเป็นหัวหน้าที่แท้จริงของซินส์ เรื่องของสก๊อต รวมทั้งข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมตอนที่เขาเดินทางไปฐานสำรองของ CSSL เพื่อวางแผนปฏิบัติการครั้งล่าสุดแล้ว ข้อมูลจากแพทริก ฟรีดเป็นอีกอย่างที่เชสเตอร์กำลังจะรับรู้มัน และเป็นอย่างที่คิด...
ข้อสันนิษฐานส่วนตัวของเชสเตอร์ถูกเติมเต็มด้วยข้อมูลดังกล่าว ก่อนเจ้าหน้าที่หนุ่มจะดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ หากแผนการเขาไม่ล่มเหมือนทุกครั้ง ไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ทุกสิ่งก็จะถูกคลี่คลาย
หลังจากความเงียบที่ก่อตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน เชสเตอร์หันหน้าไปทางคนข้างตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่เอ็มเลิกสนใจสิ่งอื่นนอกจากภาพพระอาทิตย์ตกดินนอกหน้าต่าง โดยไม่มีใครทำลายความเงียบนี้ พวกเขาสบตากัน
ประตูถูกปิดทันทีหลังรถแล่นเข้ามา น่าเจ็บใจที่สถานที่ซึ่งรถชะลอจอดเป็นเพียงโกดังขนาดใหญ่ห่างจากตัวตึก CSSL ได้แค่สิบกว่าไมล์ ไม่รอให้เจ้าหนุ่มเฮนรีส่งสายตา หรือกลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคนในนั้นต้อนรับขับสู้ เอ็มและเชสเตอร์ก็ลงจากรถ
นี่คือฐานของซินส์ที่เชสเตอร์ตามหามาตลอด
เฮนรีทำหน้าที่เป็นคนตรวจค้นร่างกาย ปืนพกสามกระบอกจากชายหนุ่มสูทดำถูกส่งต่อให้ชายด้านหลัง รวมถึงอุปกรณ์เสริม มีดพก เครื่องบันทึกเสียง โดยเฉพาะอย่างหลังที่ถูกบดขยี้ด้วยเท้าของผู้ชายคนเดียวกันนั้นเอง
“คุณไม่มีวิทยุสื่อสาร?” เฮนรีถามเสียงข้องใจ
“ถ้ามี สิ่งที่ฉันจะทำคือการตะโกนบอกที่ตั้งของพวกนายเดี๋ยวนี้เลย”
“โอเค้” เด็กหนุ่มหยิบด้ามปากกาหมึกซึมที่เสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาดูชั่วครู่แล้วเก็บไว้ที่เดิม ก่อนผายมือให้เขาและเอ็มที่ผ่านการตรวจว่าไม่มีอาวุธใดติดตัวเดินเข้าไปด้านใน
กลุ่มซินส์ซึ่งประกอบไปด้วยชายฉกรรจ์มากหน้าหลายตานับร้อยคนค่อยๆ หลีกทางไปอยู่ในมุมที่แสงจากไฟสีขาวขนาดใหญ่บนเพดานส่องไม่ถึง ทุกย่างก้าวเชสเตอร์จะได้ยินเสียงกระบอกปืน มีด โซ่ ระเบิดมือ ท่อนไม้กระทบกันหรือไม่ก็ลากไปกับพื้น เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะบอกได้ว่าในหมู่คนพวกนั้นมีอาวุธอะไรอยู่บ้าง มากกว่าจะบอกว่ามีกี่คนในนั้นที่พร้อมกระโจนใส่เขาเหมือนสุนัขล่าเนื้อทันทีที่ได้รับคำสั่ง เขาและเอ็มเว้นระยะห่างจากชายผู้ยืนอยู่ท่ามกลางรังสีความอึดอัดและกดดันจากรอบทิศทาง
“คุณคือเฮคเตอร์ แคปลิน” เชสเตอร์พูดขณะมือล้วงอยู่ในกระเป๋า ฝ่ายตรงข้ามแสดงสีหน้าประหลาดใจแก่เขา
“โอ้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณรู้ชื่อของผม เจ้าหน้าที่เลวินส์”
เฮคเตอร์ แคปลินไม่เหมือนกับที่เขาเคยคิดไว้ เมื่อเทียบกับบรรดาลูกน้องของซินส์ที่พบเจอมา แคปลินไม่ใช่ชายสูงวัยหรือรูปร่างใหญ่โต หากแต่เป็นชายอายุประมาณสี่สิบต้นๆ บุคลิกดี ใบหน้าเกลี้ยงเกลาและสวมสูทเรียบร้อย เรือนผมสีดำสนิทเสยขึ้นเปิดหน้าผาก ต่อให้ดูเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีแค่ไหน แต่รอยยิ้มธุรกิจนั่นก็มีบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจไว้วางใจในท่าทีของผู้ชายคนนี้ได้
“เกินคาดที่เจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างคุณผันตัวมาทำอะไรแบบนี้ด้วย” เชสเตอร์ไม่ใส่ใจคำพูดเป็นนัยว่าอีกฝ่ายเองก็สืบเรื่องของเขามาไม่ต่างกัน เขามองไปรอบๆ เห็นชายคนเดียวกับที่พบในพิพิธภัณฑ์ เอสโอซิกซ์เองก็อยู่ในหมู่คนกลุ่มนี้ “งานอดิเรกแปลกๆ ของพวกนักธุรกิจ”
“หยาบคายเสียจริง แต่เอาเถอะ ผมไม่คิดว่าอุดมการณ์ของเราจะไปด้วยกันได้ตั้งแต่แรกหรอก” แคปลินกล่าว ดวงตาสุกใสละสายตาจากเชสเตอร์ไปหาเอ็มที่ยืนอยู่ด้านข้าง แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มจะยังจ้องมองชายผู้นั้นอยู่
“แล้วคุณพาเรามาที่นี่เพื่ออะไร”
“คุณล่ะ ยอมขึ้นรถมาหาเราเพื่ออะไร”
“ผมมาเพื่อทำลายคุณ”
แคปลินหัวเราะ แล้วหันกลับมาหาชายผู้ไม่ยอมถูกดีดออกจากวงสนทนา “ก่อนหน้านั้น บังเอิญว่าเพื่อนผมคนหนึ่งมีเรื่องอยากคุยกับนักสืบคนนั้นสักหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “คุณจะกรุณาส่งเฮซสันคนน้องให้ผมได้ไหม”
เอ็มมองใบหน้าด้านข้างของเชสเตอร์ ในขณะที่คนข้างกายเขาไม่ได้เหลียวมาหรือมีท่าทีตกใจใดๆ
“ดูเหมือนความคิดพวกคุณจะไม่ตรงกันเลยนะ”
เอ็มนึกเกลียดตัวเองที่เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมา แคปลินจึงได้ดูเขาออก ผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินมาอยู่ข้างๆ หมอนั่น คราวนี้เป็นชายตัวสูงใหญ่ แม้มองดีๆ ชายคนนี้ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าผู้ชายในชุดสูทที่ยืนข้างเขา แต่ท่าทางนั้นดูดิบเถื่อนกว่าหลายเท่าตัว ผมสีน้ำตาลไถเตียนบนศีรษะ ดวงตาคมเหมือนสัตว์ป่าจ้องมองเอ็มด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ซามูเอล รัสเซล” แคปลินแนะนำ “เชิญที่ห้องทางนั้น”
บางอย่างในตัวนายรัสเซลทำให้เอ็มมีลางสังหรณ์แปลกๆ ทว่าเชสเตอร์กันตัวเขาเอาไว้ก่อนที่จะได้ทำตามที่แคปลินบอก
“ทำไมเขาต้องไป”
“เพราะไมค์ เฮซสันอยากรู้ว่าทำไมยิ่งกว่าคุณเสียอีก เชสเตอร์ เลวินส์”
นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เชสเตอร์ยอม ต่อให้เขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเอ็ม แต่เอ็มกลับเป็นฝ่ายพยักหน้าเบาๆ ชายหนุ่มเดาะลิ้น เขาจำต้องปล่อยให้คนน่าสงสัยอย่างรัสเซลเดินนำเอ็มเข้าไปในห้องด้านหลัง แคปลินหันมาพูดกับเขาตอนที่สองคนนั้นลับสายตาไปแล้ว
“อันดับแรก ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่เด็กของผมทำเสียเรื่องไปเมื่อวานนี้”
“เขาไม่ใช่เด็กของคุณ” เสียงทุ้มต่ำขัด ไม่ว่าเขาจะได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเหมือนมันพร้อมจะบินมาปักหัวตัวเองในทุกการกระทำเสียมารยาทต่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งซินส์คนนี้
“จริงสิ เจ้าหนูนั่นมันจอมทรยศ” แคปลินหัวเราะคล้ายเป็นเรื่องขำขัน “หักหลังรัฐบาลไม่พอ ยังลอบกัดผู้มีพระคุณคนใหม่ แสบจริงๆ ว่าไหม”
เกรย์วูล์ฟหนุ่มหรี่ตาอย่างนึกรังเกียจ แต่เฮคเตอร์ แคปลินก็ยังพูดต่อไป
“โชคดีที่ผมแฮ็กกล้องวงจรปิดที่ตึกนั่นเอาไว้แล้ว ถึงได้รู้ว่าเจ้านั่นมันแสบกว่าที่คิด” อีกฝ่ายเห็นปฏิกิริยาของเขา ประโยคต่อมาจึงคล้ายจะต้องการเยาะเย้ยเสียมากกว่า “คุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่า เจ้าหน้าที่เลวินส์”
“เสียใจด้วยที่ผมไม่ได้ไม่รู้อะไรอย่างที่คุณคิด”
แคปลินทำปากเป็นคำว่า ‘ว้าว’ นั่นทำให้เชสเตอร์ต้องระงับความหัวเสียเพราะท่าทางกวนประสาท
“ผมกำลังหาของอยู่ ต้องโทษพี่สาวตัวร้ายของหมอนั่นที่ทำเราเสียเรื่องไปหมด” แคปลินเฉลย ไม่ได้สนใจว่าเจ้าของคำพูดก่อนหน้านี้จะรู้จริงอย่างที่ตัวเองพูดหรือเปล่า “แต่โชคดีที่เรายังมีตัวสำรอง”
“ไม่มีเหตุผลที่ CSSL จะต้องร่วมมือกับนักสืบโนเนมถ้าเขาไม่ได้รู้อะไร ถูกไหม” แคปลินว่า
เชสเตอร์ยกยิ้ม เรื่องตลกร้ายที่สุดตั้งแต่เขาจับคดีนี้คือการบังเอิญพบกับเอ็มที่บ้านเลขที่ 114 มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ซินส์เคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงด้วยเหตุผลที่ว่า น้องชายฝาแฝดของทีนา เฮซสันเข้าพวกกับวัลฮัลลา พวกมันระแวงว่าเอ็มจะขายความลับให้กับฝ่ายเขา ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้ว เอ็มจะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องของทีนาหรือไม่ก็ตาม
“แล้วคุณจะจัดการทีนา เฮซสันทำไม ในเมื่อเธอกุมสิ่งที่คุณต้องการอยู่” เจ้าหน้าที่หนุ่มเปรย
“ไม่มีใครฆ่ายัยตัวแสบนั่น” ฝ่ายตรงข้ามทำหน้าเหมือนขยะแขยงชื่อที่ถูกเอ่ยออกมา “ฆ่าตัวตาย ผมน่ะรังเกียจวิธีการอย่างนั้นจริงๆ”
เชสเตอร์แค่นหัวเราะกับการแสดงออกอย่างผู้ถูกกระทำนั้น
“ป่านนี้คนคงเริ่มออกมาเฉลิมฉลองกันแล้ว คุณเคยออกไปเคานต์ดาวน์ริมแม่น้ำเทมส์ไหม ลองคิดภาพสิ ระหว่างที่นับถอยหลังกัน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพอนับถึงศูนย์ปุ๊บ บึ้ม!” ชายผู้นำกลุ่มซินส์เดินไปรอบพื้นที่กว้างขวางของโกดัง ดวงตานับร้อยคู่ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายมองตามหัวหน้าตนเป็นตาเดียว เชสเตอร์ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางรังสีอันตรายนั้น
ไม่มีเหตุผลที่ตัวเขาจะมายืนอยู่ที่นี่ หากแผนของฝ่ายตรงข้ามเป็นไปด้วยดี
“แต่แผนของคุณก็ล่ม เพราะระเบิดนั่นไม่อยู่แล้ว” เขาเอ่ย
“หัวดีสมกับเป็น CSSL ผมไม่นิยมทำอะไรป่าเถื่อนอย่างการแสดงตัวอุกอาจไปทั่ว ค่อยๆ เล่นงานให้พวกมันตายใจ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกตะครุบไร้ทางหนี แบบนี้ไม่ดูมีอารยะกว่าเหรอ” แคปลินทำมือประกอบราวเป็นเสือตัวใหญ่ที่ตะครุบหนูตัวเล็กๆ ด้วยวิธีแสนง่ายดาย
“ที่นั่นไม่ได้มีแค่อัลฟา คนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับพวกคุณก็มีอยู่มาก”
“ทุกคนต่างมีบาป เจ้าหน้าที่เลวินส์ หากมีคนหนึ่งเป็นผู้กระทำ และอีกคนเป็นผู้ถูกกระทำแล้ว คนที่ได้แต่ยืนยิ่งเฉยโดยไม่ช่วยอะไรล่ะ เราจะไม่ถือว่าเขาก็มีส่วนร่วมเลยหรือ”
“ไม่ใช่ในกรณีของคุณ แคปลิน” เจ้าหน้าที่วัลฮัลลาแย้ง อีกฝ่ายหยุดเดินไปทั่วแล้วสบตาเขาด้วยความเคลือบแคลงขณะชายหนุ่มพูดต่อ “ตามที่ผมรู้คือคุณเป็นเบตา ผมไม่คิดว่าคุณจะมีส่วนเกี่ยวของกับความแค้นอะไรของพวกโอเมกาหรอกนะ”
“หืม?”
การที่จะรวบรวมคนอาวุธครบมือได้ขนาดนี้ ไม่ใช่อุดมการณ์เพียงอย่างเดียว ข้อมูลจากแพทริกบอกเขาว่าบริษัทที่มีเฮคเตอร์ แคปลินเป็นผู้ก่อตั้งร่วมกับนักธุรกิจอีกสองคนมีพิรุธเรื่องบัญชีการเงินมาพักใหญ่แล้ว เขาตั้งข้อสงสัยว่าแคปลินอาจกำลังติดต่อกับสปอนเซอร์รายอื่นของซินส์อยู่ก็ได้
“คุณใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของพวกเขา”
หากซินส์เป็นทางออกแก่โอเมกาเหล่านี้ได้จริง สก๊อต เฟอร์เรอร์ส เพื่อนเขาคงไม่พังแผนก่อการร้ายครั้งใหญ่ด้วยการเตรียมอพยพคนทั้งหมดออกจากตึก แล้วขายเรื่องซินส์ให้กับเอ็ม ทีนา เฮซสันคงไม่สร้างเรื่องขโมยระเบิดอะไรนั่น พร้อมส่งจดหมายขู่ให้วัลฮัลลา ทำให้พวกของตนดิ้นเหมือนปลาขาดน้ำเพื่อที่จะได้มันกลับคืนมา
ส่วนตัวเชสเตอร์ เขาไม่คิดว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่จะประสงค์ดีกับใคร แม้การรวบรวมคนร่วมอุดมการณ์ได้มากขนาดนี้จะเป็นเรื่องน่าคิดย้อนกลับไปว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นหยั่งรากลึกแค่ไหนก็ตาม เพราะสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ยิ่งกว่า คือการหลอกใช้ประโยชน์จากผู้คนเหล่านั้น
“ใจเย็นก่อน เจ้าหน้าที่เลวินส์” แคปลินกล่าวเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ บรรยากาศผิดกับก่อนหน้าเข้าปกคลุมทั้งโกดังและรอบกายของชายคนนี้ ประสาทสัมผัสเชสเตอร์เฉียบคมขึ้น เขาได้ยินเสียงขยับปืนไม่น้อยกว่ายี่สิบกระบอก
ไม่ผิดกับที่คิด
ไม่ทันได้พูดประโยคถัดมา เชสเตอร์ก็ได้ยินเสียงดังโครมมาจากห้องด้านหลังที่เอ็มเข้าไป แต่ชั่ววินาทีเดียวที่เจ้าหน้าที่ CSSL ขยับตัว กระบอกปืนจากทุกทิศรอบด้านก็เล็งมาที่เขาพร้อมกัน
“คุณอาจคิดว่าไมค์ เฮซสันเป็นคนของคุณ” เฮคเตอร์ แคปลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แต่เขาไม่เคยเป็นของคุณ เชสเตอร์ เลวินส์”
TBC