CHAPTER 10 – Down to the Bottom
10:07 ...ตอนนี้มันเพิ่งผ่านตัวเลขนั้นไป
“ความเป็นจริงยังไงล่ะ เอ็ม”
เขาน่าจะรู้ แต่กลับถามออกไปด้วยเสียงที่ล้าเต็มทน “ความจริงอะไร”
นั่นทำให้ชายเจ้าของกลุ่มผมน้ำตาลแดงในความมืดหันหน้ามาสบตา “เรื่องที่โหดร้าย คุณไม่รู้เหรอ”
เอ็มไม่ได้ตอบ ขาใช้มือข้างขวาบีบไหล่ซ้ายตัวเองไว้ อีกฝ่ายมองท่าทางนั้นก็หัวเราะออกมา
“คุณจะต้องเสียใจ”
“เสียใจอะไร” เอ็มขมวดคิ้ว
“เสียใจในความไม่รู้ของตัวเอง”
นักสืบหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัว เอ็มยืนอยู่หน้าห้องไม่ขยับร่างกาย แสงสว่างที่ลอดเข้าไปด้านในส่งผลให้เห็นเงาของตนทอดอยู่บนพื้นห้องเกือบมืดสนิท
“เข้ามาสิ” สก๊อต เฟอร์เรอร์เอ่ยอีกครั้ง
“ทำไมผมต้องเข้าไป”
“หมดโควตาถามตอบแล้ว เอ็ม”
เจ้าของชื่อขบกรามก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเผชิญหน้าแล้วจ้องหน้าอดีตเจ้าหน้าที่อย่างระมัดระวัง ฝ่ายตรงข้ามเห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา
“ไม่คิดว่าเราสองคนสนิทกันเอาไว้จะดีกว่าเหรอ อย่างน้อย...ก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าทำอะไรไว้ถึงได้พูดอย่างนั้น” เอ็มตอบอย่างเย็นชา
รอยเลือดบนขมับอีกฝ่ายเทียบไม่ได้กับแขนข้างซ้ายของเขาที่ยังโชกไปด้วยเลือด เอ็มเดินผ่านหน้าโต๊ะซึ่งสก๊อตนั่งอยู่ ไปพิงหลังกับบานกระจกฝั่งตรงข้ามประตูห้องที่ตนเข้ามา และหายใจเข้าออกช้าๆ แม้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศคุกคามเป็นครั้งที่สอง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามเชื่อว่าถ้าจะโดนทำอะไรอีก ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่น่าเลือกเชื้อเชิญเขามาเสวนาในห้องแบบนี้ อีกอย่าง เขารู้สึกเริ่มถึงกลิ่นอายที่ห่างหายจากข้างกายไปสักพักใหญ่
สก๊อตเลิกคิ้วให้กับท่าทางหมดสภาพนั้น
“คุณคิดจะทำอะไรต่อไป” เอ็มถามเมื่อใบหน้าซีดเผือดหันไปมองหน้าปัดดิจิทัลอีกครั้ง คราวนี้มันบอกเวลานับถอยหลังคือ 9:22 เขาไม่ยอมปล่อยให้เวลาสูญเปล่าด้วยการทำเมินเฉยของอีกฝ่าย จึงเค้นเสียงออกมาจากลำคอแห้งผากอีกรอบ “แล้วระเบิดที่คุณพูดถึง?”
“ถ้าคุณบอกว่าไม่รู้จริงๆ ผมก็ไม่ต้องการมัน”
“ไม่ต้องการ?” เอ็มฉุนกึกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหมือนความเจ็บจากบาดแผลจะลดลงไปในทันใด “แล้วคุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“คุณต่างหากที่ตั้งใจจะทำอะไร” สก๊อตย้อนถาม “คุณขึ้นมาหาผมถึงที่นี่ทำไม ทั้งที่หนีออกไปครั้งหนึ่งแล้ว”
เอ็มเผยอริมฝีปาก มันเป็นความจริงอย่างประโยคเมื่อครู่ เขาสามารถหนีหรือไปหลบซ่อนที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เลือกทำกลับเป็นการหอบสังขารกลับมาหาคนที่ทำร้ายตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่เพียงชายผมน้ำตาลแดงที่มีเป้าหมาย เอ็มเองก็ไม่ต่างกัน
“ผมต้องการรู้ความจริง” เพียงแต่ตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้วกับผู้ชายตรงหน้า เขาไม่คิดจะเอาบทสนทนาเรื่องโอเมกาหรืออัลฟาขึ้นมาคุยกับอีกฝ่าย เขายอมร่วมมือกับเชสเตอร์ก็เพื่อเหตุผลเดียว และพยายามเชื่อว่าในเหตุผลของตัวเอง จะไม่มีเรื่องนั้นเข้ามาเกี่ยว
“เรื่องทีนา” เอ็มพูด “พวกคุณใช่ไหมที่ฆ่าเธอ”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม” เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มโดนย้อนถามแทนคำตอบ
“คุณบอกว่าคุณรู้ชื่อผม คุณรู้เรื่องของผม” เอ็มคิดหาคำพูดด้วยความอดกลั้น “ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้”
“ยังมีคนที่รู้ดียิ่งกว่าผมอีกมาก” สก๊อตตอบ ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ทรยศเสมองไปยังวัตถุในมุมมืด ตัวเลขที่น้อยลงทุกขณะทำให้เอ็มต้องเอ่ยปากอีกครั้ง
“ใคร” เขาถาม และรู้สึกปั่นป่วนเกินกว่าจะรอคำตอบ เขาจำบทสนทนาที่ได้ยินโดยบังเอิญได้ “แคปลิน หรือคุณจะหมายถึงผู้ชายคนนั้น”
“เฮคเตอร์ แคปลิน” อีกฝ่ายเสริม “พวกเขาหลุดปากให้คุณได้ยินงั้นเหรอ”
เอ็มกำหัวไหล่ตัวเองแน่น บาดแผลที่ต้นแขนกำลังสร้างความเจ็บปวด สันกรามขบกันแน่นขณะพยายามเอ่ยต่อไป “แล้วถูกหรือเปล่า”
“ถ้าใช่...คุณจะทำยังไงต่อ”
“ผมจะฆ่าเขา” เอ็มตอบเสียงแผ่วเบา
นักสืบโอเมกากอดแขนตัวเองเมื่อรู้สึกถึงความหนาวลึกๆ ในร่างกาย ดวงตาสีฟ้าอมเทาสะท้อนภาพแม่น้ำเบื้องล่างของตึกซึ่งมีสะพานข้ามผ่าน รวมถึงตึกรอบข้างที่ทำให้ลอนดอนมีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลาด้านหลังบานกระจกซึ่งเขาเห็นใบหน้าของตัวเองอยู่ในนั้นพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เอ็มหันหลังขวับ ชายผมน้ำตาลแดงที่ยังคงมีตัวตนอยู่ในห้องเลื่อนสายตาตามด้วยสีหน้าฉงนเมื่อไม่ได้มี ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’ อยู่ตรงนั้น
เอ็มนวดสันจมูกตัวเองและหลับดวงตาที่พร่ามัวลงชั่วขณะ
“คุณมีแผนอะไร” เขาเอ่ยถามสก๊อต สิ่งที่เขามองเห็นในตัวฝ่ายตรงข้ามคือสายตาที่ปราศจากความรู้สึกใด แม้ประโยคสนทนามากมายจะพรั่งพรูระหว่างพวกเขา
“แล้วคุณไว้ใจได้ไหมล่ะ”
เขาไม่ใช่เชสเตอร์ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตัวเป็นตำรวจจับผู้ร้าย ไม่มีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจความคิด หรืออดีตอันขมขื่นของใคร
“ผมไม่มีความคิดอยากสืบเจตนารมณ์คนตาย”
อดีตเจ้าหน้าที่หัวเราะออกมาในที่สุดเมื่อถูกรู้ทัน เอ็มขบริมฝีปากสีชมพูเข้ม เมื่อสก๊อตลงจากโต๊ะตัวที่นั่งอยู่มายืนตรงหน้าเขา แผ่นหลังชื้นเหงื่อพิงกับกระจก เอ็มไม่อาจขยับไปไหน เพราะใกล้จะล้มทั้งยืนเต็มทน ระหว่างที่เลือดยังซึมออกจากทุกรอยบาดแผลบนร่างกาย
มือขวาโอเมกาหนุ่มปล่อยจากไหล่ซ้ายตัวเอง หูเขาเกือบไม่ได้ยินเสียงคนตรงหน้าเพราะความรู้สึกอีกอย่างที่แทรกเข้ามาระหว่างอาการเจ็บปวดแสนสาหัส เอ็มกลืนน้ำลายลงคอ
“แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” สก๊อตเอ่ยถาม
“เพราะผม...จำไม่ได้”
ของเหลวสีแดงสดที่แตกกระเซ็นอยู่ตรงหน้าทำให้ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะรู้สึกถึงเสียงปืนที่ดังฝ่าความเงียบในห้องมืด ปืนพกสีดำเมี่ยมถูกยกผ่านหน้าเอ็ม เล็งวิถีไปที่อีกฟากของห้อง บริเวณที่เงาดำเหมือนสัตว์ใหญ่ทาบทับอยู่บนแสงรางๆ จากภายนอก เสียงหอบหายใจดังอยู่ใกล้ตัว เอ็มกลั้นหายใจด้วยความผวา
“คิดจะทำอะไรของนาย” ร่างตรงประตูนั้นส่งเสียงเย็นเยียบ เอ็มเห็นดวงตาสีเขียวที่จ้องมองระหว่างเขาและชายอีกคนด้วยสายตาคล้ายหมาป่ากำลังล่าเหยื่อ แต่ก็แฝงความผิดหวัง และความตกใจไม่น้อยซึ่งเก็บซ่อนเอาไว้ภายใน
เชสเตอร์ เลวินส์กวาดสายตามองชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าที่ครึ่งตัวถูกย้อมไปด้วยสีแดง และชายผมน้ำตาลแดงอีกคน...คู่หูที่ตอนนี้กำลังเล็งปืนมาที่ตัวเขา ก่อนเชสเตอร์จะหยุดสายตาที่เลข 06:47 สีแดงบนหน้าปัดดิจิทัลของวัตถุมุมห้อง
“หยุดมัน” เสียงแหบต่ำออกคำสั่ง ชายในสูทดำจ่อปลายกระบอกปืนไปที่อดีตเจ้าหน้าที่วัลฮัลลา
“มันสายไปแล้ว เชสเตอร์” สก๊อตเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบยิ่งกว่าตอนพูดกับเอ็มเสียอีก
สาย...เพราะระเบิดไม่อาจหยุดได้ สายไปที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจ หรือสายไปที่เขาเพิ่งตระหนักถึงปัญหาของคนใกล้ตัว
บรรยากาศตึงเครียดก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มก้อนของความสับสนในลำคอเจ้าหน้าที่อัลฟา สิ่งที่เห็นอธิบายสถานการณ์กับเขาได้ทั้งหมด “รัศมีแค่ไหน”
“ทั้งตึกนี้” สก๊อตตอบ เพราะความจริงแล้วไม่ได้มีเพียงระเบิดลูกเดียวที่อยู่ในตึก ตั้งแต่ชั้นใต้ดิน...จนถึงชั้นบนสุด ครอบคลุมทั้งอาณาเขต
“ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว” เชสเตอร์พยายามใจเย็นกับคนตรงหน้า เขาบังคับกระบอกปืนไม่ให้เฉไปจากขั้วหัวใจอีกฝ่าย แม้ว่าหากต้องยิงจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหมก็ตาม “หยุดมันเดี๋ยวนี้”
ไม่มีปฏิกิริยาจากคนที่กำลังพูดด้วย
“ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมด เปลี่ยนเป็นเคลียร์บริเวณรอบตึก มีเวลาห้านาที ตึกนี้กำลังจะระเบิด” เชสเตอร์พูดกับวิทยุสื่อสารที่ต่อสายหูฟังไว้กับหู และมองดูร่างของอีกคนนอกจากอดีตคู่หูตัวเอง
นักสืบคนนี้โดนจับมาอย่างที่คิด...แต่ด้วยสาเหตุอะไรกัน
“เอ็ม” คนถูกเรียกชื่อขบฟันแน่น “คุณรู้อะไรเพิ่มมาบ้าง”
นักสืบหนุ่มลอบมองชายผมสีน้ำตาลแดงข้างหน้าตัวเอง สก๊อตในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างกับตน เลือดสีแดงฉานที่ไหลจากแขนซ้ายกองอยู่ที่พื้นข้างรองเท้าเขา เขาไม่อาจตอบอะไรได้ นอกจากอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แล้วก็หุบไปอีกครั้ง
“ฉันจะให้ฮ. ขึ้นมารับ” เชสเตอร์ตัดสินใจบอกอย่างนั้น ทว่าก่อนจะได้ทำสิ่งใด เสียงปืนกลับดังขึ้น ชั่ววินาทีเดียวที่ถูกหักเหความสนใจ ร่างของเอ็มก็ถูกคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคู่หูของเขากระชากลงกดกับพื้น เชสเตอร์ปรี่เข้าไปใกล้ แต่สก๊อตก็ยกปืนจ่อที่ใต้คางของคนด้านล่างนั้นเสียก่อน
“อย่าทำแบบนี้”
เขาไม่ได้สนใจคำปรามของเชสเตอร์ และก้มลงมองหน้าโอเมกาใต้ร่างตัวเอง
“คุณไม่จำเป็นต้องเล่นบทตัวร้าย” เอ็มกัดฟันพูด เสียงลอดไรฟันให้พวกเขาได้ยินกันแค่สองคน
“งั้นคุณคงเข้าใจผิดไปหนึ่งข้อ” เสียงแหบห้าวที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายก็เจ็บแผลไม่น้อยกระซิบที่ข้างหู “ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตึกนี้จะระเบิดในอีกไม่ถึงสี่นาที”
นักสืบหนุ่มสะบัดหน้าหนี ดวงตาสีฟ้าอมเทาส่งสายตารังเกียจให้อีกฝ่าย สก๊อตดึงร่างเขาให้ลุกขึ้นประชิดตัว แขนที่ถูกยิงล็อกคอเอ็มไว้โดยที่ไม่ละปืนออกห่าง
“ฉันไม่อยากให้นายทำแบบนี้” เสียงทักท้วงดังในหูฟังไม่หยุดตั้งแต่เชสเตอร์แจ้งทีมสนับสนุนไปว่ามีระเบิดอยู่ในตึก CSSL แห่งนี้ เขาดึงหูฟังออก และพยายามใจเย็นอีกครั้ง “ไม่ว่านายจะผ่านอะไรมาบ้าง นี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมาด้วยกัน แล้วนายยังจะยอมแพ้ให้กับมันอีกเหรอ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเชสเตอร์ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชายที่ชื่อสก๊อต เฟอร์เรอร์มาถึงจุดนี้ และมันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากการรับรู้ จนมันสายเกินแก้ และเขาไม่เห็นเลยว่าแววตาของเพื่อนตัวเองจะมีความลังเลอยู่ในนั้น
“สิ่งที่นายคิดทำอยู่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยฝ่ายไหนเลย แม้กระทั่งตัวนายเอง”
“เป้าหมายของซินส์ในวันนี้คือตึกนี้” คนทรยศว่าขณะมองไปยังมุมห้อง ซึ่งในตอนนี้ตัวเลขเหลือเพียง 03:14 เอ็มพยายามขยับตัวหนี แขนที่ล็อกคออยู่ทำให้เขาหายใจไม่ออก สก๊อตเห็นอย่างนั้นจึงคลายแรงและผลักตัวนักสืบออกไป เชสเตอร์รับตัวเอ็มที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วไว้ ซึ่งมือที่ใช้กันให้อีกฝ่ายหลบไปข้างหลังนั้น เอ็มเห็นว่ามันสั่นอยู่
“สก๊อต”
“พอแล้ว” อดีตคู่หูพูดขัด “นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยฟังนาย”
สก๊อตเอาปืนลง ก่อนจะโยนมันไปข้างตัว กลุ่มผมสีน้ำตาลแดงปรกใบหน้าตอนที่ชายหนุ่มล้วงหาของในกระเป๋ากางเกง
“ไม่...เรามีทางเลือกที่ดีกว่านี้เสมอ สก๊อต”
ทั้งเชสเตอร์และเอ็มรู้จักของสิ่งนี้ มันคือรีโมตเล็กๆ เหมือนกับที่เขาเห็นเอสโอซิกซ์ใช้ที่พิพิธภัณฑ์ และเมื่อมันอยู่ในมือของผู้ชายตรงหน้า เชสเตอร์ก็สบถลั่น
“คึกคักให้สมกับเป็นนายหน่อยเพื่อน”
ในเสี้ยววินาทีเดียว แขนแกร่งโอบรอบตัวของเอ็มเอาไว้ก่อนออกวิ่งสุดแรง เสียงปืนหลายนัดรัวเข้าใส่บานกระจกใหญ่ซึ่งเวลานี้แตกร่วงลงไปเหมือนกับห่าฝน ทุกสิ่งทุกอย่างสายเกินแก้ ไม่มีเวลาให้บอกกล่าว ทันทีที่ปล่อยปืนประจำตัวให้หลุดออกจากมือ ไม่ทันที่จะหล่นกระทบกับพื้น ร่างของทั้งสองคนก็ทิ้งตัวดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
ไม่มีเวลาแม้แต่จะหันกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย
เสียงระเบิดดังสนั่นราวกับทุกประสาทสัมผัสจะดับลง เอ็มรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แรงอัดกระแทกจนร่างกายเหมือนจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่อาจทำอย่างไรในยามที่เขาและเชสเตอร์กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของตึก โสตประสาทที่ดับไปชั่วขณะกลับมาอื้ออึง สาบานได้ว่าทัศนียภาพที่เคยมองจากข้างบนไม่ใช่สิ่งที่กำลังได้สัมผัสเลยแม้แต่น้อย เอ็มเกร็งตัว ผืนน้ำซึ่งถูกย้อมไปด้วยความมืดของยามค่ำคืนโอบอุ้มตัวทั้งคู่เอาไว้ ก่อนจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างลงไปข้างใต้พร้อมกัน
สติสัมปชัญญะครึ่งหนึ่งของเขาดับวูบลงไปตอนนั้น
เหมือนเอ็มเห็นฟองอากาศจำนวนมากออกมาจากปากและจมูกตัวเองเป็นภาพช้าๆ เขาขยับตัวไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยร่างกายไปกับกระแสน้ำอ่อนนุ่ม ชั่ววินาทีที่ความทรมานเริ่มคืบคลานเข้ามา แขนของใครคนหนึ่งก็ดึงร่างเขาเอาไว้ ฉุดต้านแรงดันและผุดขึ้นสู่อีกฟากของผิวน้ำ
เอ็มหอบหายใจ ดวงตาแดงก่ำต้องแสงสว่างอีกครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใด...เขาเห็นภาพตึกนั้นกำลังถล่มด้วยสายตาพร่ามัว ภาพสิ่งปลูกสร้างที่เคยสูงตระหง่านกำลังทรุดตัวลงและคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นควันหนาสีเทา เขาได้ยินเสียงของมัน รวมถึงเสียงอลหม่านของผู้คน เสียงไซเรนดังระงม รถยนต์ที่เคยสัญจรไม่เคยหยุดบนสะพานข้ามแม่น้ำบัดนี้กลับหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับร่างของคนที่ตอนนี้ก็ยังโอบตัวเขาให้ลอยเหนือน้ำเย็นเยือกของปลายเดือนธันวาคม และดึงตัวเขาเข้ามากอดซบบ่าท่ามกลางความหนาวเย็นจนสั่น
มือที่ตั้งใจยกขึ้นหาที่ยึดเกาะของเอ็มร่วงกลับไปอยู่ที่ข้างตัว ภายใต้ห้วงแห่งความสับสนวุ่นวายที่ทุกสิ่งนั้นถูกแช่แข็งจนหมดสิ้น
TBC
สามารถติดแท็ก #TheMCase เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ