ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 3“คนที่เคยชกพี่ตอน ม.5 น่ะเหรอ?”น้องสาวที่นอนอ่านนิตยสารวัยรุ่นอยู่บนเตียงหันมาถามด้วยความประหลาดใจ หลังฟังผมเล่าเรื่องที่เจอในห้องสมุดคณะเมื่อเย็นวันศุกร์
“อือ อยู่คณะเดียวกันซะงั้น บังเอิญสุดยอดไปเลยเนอะ”
ที่แท้ ‘รักชาติ’ คนนั้นก็เป็นคนเดียวกับเคยที่ชกหน้าผมตอน ม. 5 น่ะเอง โลกกลมจริงๆ
“เขามาหาเรื่องอะไรพี่อีกหรือเปล่า?” น้องสาวปิดนิตยสาร ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ
“หืมม ก็ไม่นี่..”
ก็แค่หยิบหนังสือที่ผมอยากได้ให้คนอื่นไป แค่นั้นไม่ถือเป็นการหาเรื่องหรอก..มั้ง
“แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่หายโกรธเรื่องคราวก่อนเลยนะ แสดงออกชัดเจนเลยว่าไม่ชอบหน้าพี่ ฮ่ะๆๆ”
“ทางนี้ต่างหากที่ต้องโกรธ กล้าดียังไงมาทำหน้าหล่อๆ ของพี่หนูช้ำไปตั้งหลายวันแน่ะ”
“โกรธเรื่องนั้นเองเหรอ” ผมหยิบหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่น้องแอบยัดไว้ในลิ้นชักวางคีบอร์ดคอมฯออกมาเล่มหนึ่ง หน้าปกมันเป็นรูปตัวการ์ตูนผู้ชายสองคนหันหน้าเข้าหากัน คอนแทคอายส์หวานเชื่อมเชียว
“หนูไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมพี่ถึงได้ดูอารมณ์ดีทั้งที่เพิ่งเจอโจทย์เก่ามา?” น้องสาวเอียงคอมองผมด้วยสีหน้าสงสัยครู่หนึ่ง แล้วกลับไปสนใจนิตยสารของตัวเองต่อ
“ฮืมม” ผมเปิดการ์ตูนของน้องดูทีละหน้า “พี่ก็แค่คิดว่าคนอย่างเขานี่ดีจังเลยนะ ไม่ชอบก็แสดงออกว่าไม่ชอบกันซึ่งๆ หน้าเลย ตรงๆ ดี ถ้าได้เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ก็คงจะดี..”
“นี่ล้อเล่นใช่ไหม? เขาก็บอกอยู่ชัดๆ ว่าไม่ชอบขี้หน้าพี่ แล้วพี่ยังคิดจะ.. อ๊าาาาา!” น้องหันมาเห็นหนังสือในมือผมก็รีบถลาเข้ามาแย่งมันไป “พี่บ้า! อย่าหยิบของคนอื่นออกมาดูตามใจชอบสิ”
ผมหัวเราะกับท่าทางกึ่งอายกึ่งงอนของน้องสาว แม้ห้องนี้จะเป็นห้องของเธอ แต่ผมก็เข้าๆ ออกๆ จนไม่ต่างอะไรกับห้องของตัวเอง เพราะงั้นไม่ว่าเธอพยายามจะซ่อนจะแอบอะไรมันจึงไม่เคยรอดพ้นสายตาผม
บางทีผมก็ลืมไปว่าปีนี้น้องอยู่ ม.5 แล้ว อายุ 17 ..เป็นสาวแล้วสินะ
แล้วทำไมสาวอายุ 17 ถึงได้สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของผู้ชายสองคนแบบนั้นล่ะ?
สำคัญกว่านั้น การ์ตูนนั่นมันเรท 18+ เลยไม่ใช่เหรอ?
“อาร์ทเวิร์คสวยดีนะ” ผมพูดยิ้มๆ กับคนแสนงอนที่นั่งหันหลังให้
“นี่..” น้องพูดโดยไม่ได้หันหน้ามา “คนที่ชื่อรักชาตินี่หน้าตาเป็นไงเหรอ? หล่อไหม? แบบไหน?”
“ก็เป็นเดือนประจำภาคโยธาน่ะ” ผมหยิบการ์ตูนที่น้องซ่อนไว้ออกมาอีกเล่ม “ลุคแบดบอยนิดๆ มั้ง”
“ว้าว งั้นก็ต้องเท่ห์พอตัวเลยสะ..พี่ต่ายยย!!” น้องกระโจนลงจากเตียงมาแย่งหนังสือไปจากมือผมอีกรอบ แถมครั้งนี้ยังพยายามผลักไสไล่ส่งผมออกจากห้องอีกต่างหาก
“ฮ่ะๆๆๆ” ผมแกล้งต้านทานแรงอีกฝ่ายไว้ จนทางนั้นต้องออกแรงผลักจนหน้าดำหน้าแดง ..สนุกดี
“ออกไปเลยนะ! ออกไปๆๆๆ”
ตอนถูกดันจนเกือบจะหลุดจากประตูห้อง ผมก็เหลือบไปเห็นชุดกระโปรงสีฟ้าที่แขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าพอดี มันเป็นชุดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเพิ่งนึกอะไรได้เลยรีบใช้มือจับขอบประตูห้องไว้
“ชุดใหม่เหรอ?” ผมชี้ชุดที่ว่า
“อื้อ เพิ่งซื้อมาเมื่อวาน” น้องหันไปมองชุด แล้วหันกลับมาตีหน้ายักษ์ใส่ผมอีก “ออกไปสักทีสิ”
“สวยดีนะ”
“เพราะสวยน่ะสิ ถึงได้ซื้อมา.. ออกไปได้แล้ว!”
“ใส่ชุดนั้นแล้วไปเดทกันเถอะ”“ห๊ะ?”
ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำนี่นะ
“แต่งหน้าด้วยเหรอ?”
ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีสันอ่อนๆ แต่งแต้มบนใบหน้าของน้องสาวที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสอง พอถูกทักอีกฝ่ายก็จับหน้าตัวเองอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“นิดหน่อย.. เพิ่งลองหัดแต่งน่ะ เข้มไปหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก กำลังสวยเลย ชุดก็เหมาะมาก ..น่ารัก” พอถูกชมแบบนั้น น้องก็ยิ้มหน้าบานเข้ามาควงแขนผมเดินออกจากบ้าน
“ถ้าโยคิดแบบนี้ด้วยก็ดีสิเนอะ” คนพูดทำหน้าเพ้อฝัน
“ใครโย?” ผมชะงักเท้า
“คนที่เรียนพิเศษที่เดียวกันน่ะ” น้องพูดเขินๆ พลางดึงให้ผมเดินต่อ
“เอ๋.. เดี๋ยวนี้สนใจผู้ชายคนอื่นนอกจากพี่แล้วเหรอ?” รู้สึกเหมือนผิดหวังนิดๆ แฮะ
“ก็เป็นไปตามวัย”
“ไหนเคยบอกจะเป็นเจ้าสาวให้พี่ไง?” ผมแซวเรื่องที่อีกฝ่ายชอบพูดบ่อยๆ สมัยยังเด็กกว่านี้
“หนูว่าจะตัดใจแหล่ะ” น้องปล่อยมือจากแขนผม แล้วกอดอกตัวเองแทน “ขืนแต่งกับผู้ชายที่ใจดีกับผู้หญิงทั้งโลกอย่างพี่ มีหวังได้ช้ำใจตาย”
“เสียใจนะเนี่ย..”
“จะไปไหนกันเหรอจ๊ะ พี่ต่ายน้องกวาง?”เสียงเพื่อนบ้านซอยเดียวกันร้องทักเมื่อเราพี่น้องเดินผ่านเพื่อไปยังหน้าปากซอย ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกปลาเพื่อนสนิทของผมเอง เธอยืนเกาะรั้วไม้เตี้ยๆ นั่น สองมือเต็มไปด้วยฟองแชมพูของเจ้า ‘ซูชิ’ หมาตัวโปรดพันธุ์ชิสุที่เธอกำลังอาบน้ำให้
“เดทจ้า~” น้องกลับมาควงแขนผม แล้วชูสองนิ้วให้ลูกปลาพร้อมทั้งยิ้มกว้าง
“มิน่าล่ะ วันนี้ถึงได้แต่งตัวสวยจัง คุณน้องสาว” ลูกปลายิ้มกว้างตาม
“อิอิ ต้องขอบคุณพี่ลูกปลาแหล่ะที่ช่วยสอนแต่งหน้าให้”
“ด้วยความยินดีจ้า แล้วจะกลับมากันตอนไหนเหรอ? ดึกไหม?”
“มีอะไรหรือเปล่า?” ผมถาม
“อื้อ พอดีวันนี้ว่าจะลองทำคุกกี้อีกแล้วน่ะ..”
“ไม่กลับๆๆ” กวางรีบแทรกก่อนที่ลูกปลาจะพูดต่อ “วันนี้พวกเราจะไม่กลับบ้าน และจะไม่กลับมาจนกว่าคุกกี้ยาพิษนั่นจะหมดไปจากโลกใบนี้ด้วย ใช่ไหมพี่ต่าย!?”
“ฮ่าๆๆๆๆ” น้องชายวัยประถมที่นั่งทำการบ้านอยู่หน้าบ้านของลูกปลาหัวเราะชอบใจ
ขณะที่คนเป็นพี่สาวหน้าซีด ไหล่ตก จนผมอดยื่นมือไปขยี้หัวเธอเบาๆ ไม่ได้
“ตอนเย็นๆ ก็กลับแล้ว เหลือไว้ให้ด้วยนะ จะมาชิม” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายมั่นใจ
“จริงเหรอ?!” กวางกับลูกปลาพูดเหมือนกัน แต่ประโยคถัดมานั้นต่างกัน
“จะรอนะ//อาจตายได้เลยนะ”
และผมเลือกที่จะปิดปากน้องสาว ล็อคคอเธอ แล้วก็ลากออกมา
“ไปดีมาดีจ้า~”
แต่..
คุกกี้ของลูกปลานี่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
“ชายต่าย วันนี้สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ ไหวเปล่าเนี่ย?” นิ่มเอามือมาแตะๆ คลำๆ หน้าผากผมด้วยความเป็นห่วง
“อือ เมื่อคืนท้องเสียไปหลายรอบน่ะ” ...นึกว่าจะตายซะแล้ว
“ไปกินอะไรผิดสำแดงมา?” สจีถามหลังซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่มาให้
“อ่า.. ก็นิดหน่อย” ..แค่ชิมคุกกี้ของเพื่อนบ้านไปนิดหน่อย
“ชายต่ายยย เมื่อวานไปดูหนังมาเหรอ?” นิ่มพูดเสียงยานคาง เท้าคางมองผมที่กำลังซดเกลือแร่ด้วยสายตาเยิ้มๆ ไม่ต่างจากที่ชอบทำทุกวัน
“อืม ใช่ รู้ได้ไงอ่ะ?”
“ก็มีคนไปเห็นมาน่ะสิ บอกว่าฝ่ายหญิงน่ารักโคตรๆ เลยด้วย กระหนุงกระหนิงกันน่าดู”
“ใช่ไหมล่ะ ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเด็กคนนั้นน่ารักโครตๆ ทั้งนั้นแหล่ะ” ผมพูดอย่างภูมิใจ
“แหง่ะ ไม่อยากฟังพวกขี้อวดแฟนหรอกนะ” นิ่มหันหน้าหนีทั้งที่เป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ “ชายต่ายเป็นคนแบบนี้เองเหรอเนี่ย..”
“อ๋อ นั่นน้องสาวน่ะ”
“โกหก! น้องสาวจริงดิ?” นิ่มหันควับกลับมา
“คลานตามกันมาเลยครับ” ผมชูสองนิ้ว
“มีรูปไหม? อยากเห็นอ่ะ อยากเห็น!”
ผมเลยเปิดภาพน้องสาวที่มีในโทรศัพท์ให้เพื่อนทั้งสองดู
“โห น่ารักสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ?”!
หือ?
ผมหันไปมองเจ้าของเสียงแปลกๆ ที่ดังมาจากด้านหลัง แล้วก็ได้เห็น ‘โจทย์เก่า’ กำลังยืนโน้มตัวชะโงกหน้ามาดูรูปน้องสาวของผมด้วย
“รักชาติ?”
พอผมเอ่ยชื่อ มันก็ยิ้มหวานได้น่าสะพรึงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย
“แย่งซะดีไหมนะ?”ผม นิ่ม สจี ถึงกับอ้าปากค้าง ไอ้หมอนั่นหัวเราะร้ายๆ ลงคอ แต่พอมันหันหลังจะเดินไป ผมก็คว้าแขนมันไว้ก่อน
“ไม่ได้นะ” ผมพูดจริงจัง
ผมไม่ห้ามหรอกถ้าน้องจะมีแฟน(แค่แอบหวงนิดหน่อย) แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นเข้าหาเธอเพราะจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่รักหรือชอบเธอล่ะก็ ในฐานะพี่ชายผมคงยอมรับไม่ได้
“ห้ามได้เหรอ?” มันยิ้มมุมปากอย่างท้าทาย
“ได้สิ” ผมลุกขึ้นยืนประจันหน้าด้วย “ยังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด”
“แบบนั้นยิ่งน่าสนุก” หมอนั่นจะเดินหนีไปอีกครั้ง แต่ผมก็รั้งแขนมันไว้อีก
“เราพูดจริงๆ นะ” ผมจ้องตาอีกฝ่ายตรงๆ
“หึ” หมอนั่นสะบัดมือผมออก แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
หงุดหงิดแฮะ..
“ย้ายที่นั่งกันไหม?” สจีชวนเพราะรู้สึกว่าผมจะกลายเป็นเป้าสายตาขนาดใหญ่เกินไปแล้ว
เราจึงย้ายที่จากม้านั่งหน้าตึกภาคโยธาและสิ่งแวดล้อม(สองภาคใช้ตึกนี้ร่วมกัน) มาที่ห้องเรียนคาบต่อไปแทน
“เหมือนรักชาติจะเข้าใจผิดว่าคุณน้องสาวเป็นแฟนชายต่ายนะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมถึงมาพูดจาหาเรื่องกันแบบนั้น อย่างกับชายต่ายไปทำอะไรให้โกรธแน่ะ ..เอ๊ะ หรือว่ายังโกรธเรื่องเมื่อตอน ม.ปลายไม่หาย? เป็นพวกแค้นฝังหุ่นเหรอเนี่ย? แต่ที่จริงแล้วเรื่องนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดไม่ใช่เหรอ?”
“อื้อ.. เอ๊ะ นิ่มรู้เรื่องนั้นด้วยเหรอ?” ผมหันไปมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“แหะๆ พอดีเมื่อเช้าเดินผ่านกลุ่มสาวๆ ภาคเคมีน่ะ ได้ยินเขากำลังเม้าท์กันอยู่ ก็เลยเข้าไปร่วมวงด้วย” นิ่มทำหน้าสำนึกผิด แต่ก็ดูเหมือนความอยากรู้อยากเห็นจะมีมากกว่า “เห็นว่าได้ยินมาจากเด็กภาคคอมฯที่รู้มาจากเด็กภาคนาโนอีกที ว่าบังเอิญไปได้ยินทั้งสองคนคุยกันในห้องสมุดคณะเมื่อเย็นวันศุกร์ สรุปว่าเด็กผู้ชายที่เคยมีเรื่องกับชายต่ายตามข่าวลือก็คือรักชาติสินะ? โลกกลมจังเนอะ”
รู้กันไปทั้งคณะแล้วสินะ..
“แล้วทำไมถึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดล่ะ?” อีกเรื่องที่ผมสงสัย จะว่าไปผมก็ไม่เคยแก้ข่าวมาก่อนเลยนะ
“ก็พวกผู้หญิงน่ะพูดกันว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่พวกผู้ชายบอกว่าเป็นเรื่องจริง เราเป็นผู้หญิงแถมยังเป็นเพื่อนกับชายต่ายอีก เราต้องเข้าข้างชายต่ายอยู่แล้ว เรารู้ว่าชายต่ายไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกเนอะ ระดับชายต่ายน่ะไม่จำเป็นต้องไปแย่งของๆ ใครหรอกเนอะ”
เหตุผลอะไรเนี่ย? แต่ก็คงต้องขอบใจล่ะที่เชื่อใจกัน
“อือ ขอบใจนะ”
“แต่รักชาตินี่ก็คิดเล็กคิดน้อยเนอะ จนป่านนี้แล้วยังโกรธอยู่อีก ผู้ชายอะไร้..”
“ฉันว่าไม่ใช่เรื่องเก่าแล้วล่ะ” สจีพูดหน้าตาเฉยตามสไตล์เธอ
“เอ๊ะ มีเรื่องใหม่ด้วยเหรอ?” นิ่มมองหน้าสจีกับผมสลับกัน แต่ผมส่ายหน้าให้เธอ
“ก็เรื่องที่ต่ายไปดูหนังเมื่อวานนี้ไงล่ะ ฉันได้ยินบางสายข่าวบอกว่าคนที่นายไปด้วยคือ ‘ก้อย’ ล่ะ”
“ห๊ะ?” ผมกับนิ่มมองหน้ากัน
“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?” ผมงง
“ก็ชายต่ายไปกับคุณน้องสาวนี่” นิ่มก็งง
“ลองนึกดูดีๆ สิว่ามีบางช่วงบางตอนของเมื่อวานที่จะชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดได้หรือเปล่า?”
“จะว่าไป.. เมื่อวานเราก็เจอก้อยนะ” ผมเพิ่งนึกได้ “เจอหน้าโรงหนังหลังดูหนังจบแล้วน่ะ เรากำลังรอน้องที่ไปเข้าห้องน้ำ ทางนั้นเองก็กำลังรอเพื่อนเหมือนกัน ก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย”
“นั่นไงล่ะ คนที่เอาข่าวมาปล่อย คงไปเห็นช่วงนั้นเข้าพอดี เลยคิดเอาเองว่าพวกนายมาด้วยกัน แล้วดูเหมือนแฟนก้อยจะเป็นเพื่อนสนิทของรักชาติด้วย ถ้าหมอนั่นเข้าใจผิดแล้วจะโกรธแทนเพื่อนก็ไม่แปลก ยิ่งเคยมีประเด็นกันมาก่อนแบบนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่”
“อ๊าาาา ชายต่ายของเพื่อนทำไมอาภัพแบบนี้ ถูกเข้าใจผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อยเลย” นิ่มซบหน้ากับไหล่ผมพลางลูบหลังปลอบด้วยความสงสาร
นิ่มเป็นประเภทที่มีอารมณ์ร่วมไปกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจนบางครั้งก็เกินเหตุ ซึ่งตรงข้ามกับความเฉยชาของสจีโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ก็สนิทสนมกันมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว คนเรานี่ก็แปลกดีนะ
แต่คนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ตอนนี้คือน้องสาว..
หวังว่าหมอนั่นจะไม่ไปยุ่งกับเธออย่างที่พูดจริงหรอกนะ
ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงให้อภัยไม่ได้
“ผมก็บอกพี่ไปแล้วไง ว่าผมเลิกแข่งแล้ว”
เสียงคุ้นๆ ที่ดังมาจากอีกฟากชั้นหนังสือในหอสมุดกลางทำให้ผมหยุดสนใจ พอลองมองรอดช่องว่างระหว่างชั้นไปก็เห็นว่าคนที่กำลังพูดนั้นเป็น ‘ไอ’ อย่างที่ผมคิดจริงๆ ส่วนคู่กรณีเป็นใครไม่รู้ แต่ดูแล้วคิดว่าคงเป็นรุ่นพี่
“ไม่ต้องลงแข่งก็ได้ แค่ไปเข้าร่วมชมรมเฉยๆ”
“ฮืมมม ผมไม่คิดจะเข้าชมรมไหนซะด้วยสิ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าผมก็จะเริ่มทำงานพาร์ทไทม์แล้ว”
“กูไม่ได้จะบังคับให้มึงไปที่ชมรมทุกวันหรอก แค่โผล่ไปสักอาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็พอ ..นะ กูไหว้ล่ะไอ ตั้งแต่พวกพี่ต้าร์ออกไป ชมรมเราก็คนน้อยลงทุกปี ถ้ามีมึงเข้าไปเป็นตัวเรียกแขกสักคนล่ะก็ ปีนี้ชมรมเราคงกลับมาครึกครื้นได้อ่ะ”
“มันวิกฤติขนาดนั้นเลยเหรอพี่?”
“เออดิ ถ้ายังไม่มีคนมาเพิ่ม ดีไม่ดีงบชมรมปีนี้อาจจะถูกตัดไปดื้อๆ เลยก็ได้ ในฐานะประธานชมรมแล้ว กูจะยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด มันเกี่ยวข้องกับปากท้องของพวกเราเชียวนะ!”
“ผมชักไม่แน่ใจจุดประสงค์ที่พี่อยากหาคนเพิ่มแล้วดิ”
“ฮ่าๆๆๆ เป็นผู้ชายอย่าคิดเล็กคิดน้อยน่า ตกลงมึงจะเข้าชมรมยูโดของกูใช่ไหม?”
“ผมขอลองคิดดูก่อนแล้วกัน”
“กูรอข่าวดีนะ ไปล่ะ~”
ชมรมยูโดเหรอ..
“แอบฟังคนอื่นคุยกันมันไม่ดีนะ คุณชาย”ไอหันมายิ้มเต็มหน้าให้ผมผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือ
“.........”
หมอนี่ชอบทำให้ตกใจทุกทีเลยสิ..
“แล้วทำไมถึงเลิกแข่งแล้วล่ะ?”
ระหว่างเดินกลับคณะ เราก็คุยกันเรื่องที่หมอนั่นเล่นยูโด เคยลงแข่งขันจนถึงระดับมัธยมปลาย แต่ตอนนี้เหมือนจะเลิกไปแล้ว ..อืม รู้สึกว่าการที่พวกเราสองคนมาเดินด้วยกันแบบนี้ จะกลายเป็นที่สนใจของหลายคนน่าดูเลยแฮะ
“อืมม มันเหมือนกับไม่มีแรงจูงใจแล้วน่ะ”
“แรงจูงใจ?”
“อือ ตอนอยู่อนุบาล มีคนที่เราไม่ชอบหน้ามันอยู่คนหนึ่ง ไม่ว่าทำอะไรก็เหมือนว่ามันจะเหนือเราไปหมดทุกอย่าง แม้แต่เด็กผู้หญิงที่ชอบก็ยังไปชอบมันมากกว่าเลย เชื่อไหม?” คนพูดหันมาถามพร้อมกับยิ้มกว้าง
“ไม่น่าเชื่อ”
ผมแปลกใจที่คนอย่าง ‘ไอ’ ก็มีคนที่เคยเอาชนะไม่ได้ด้วย ..อยากเห็นหน้าคนนั้นจังเลยแฮะ
“ฮ่ะๆๆ แต่เป็นเรื่องจริงนะ พอได้ยินมาว่าหมอนั่นเริ่มเรียนยูโด เราก็เลยไปลงเรียนยูโดบ้าง เผื่อว่าจะได้เอาไปท้าแข่งกับมัน แล้วก็ชนะมันให้ทุกคนเห็นสักที”
“แรงจูงใจที่ว่าสินะ”
“ฮ่าๆๆ ไม่รู้คิดได้ไงเนอะ ถึงจะเป็นแค่เด็กอนุบาลแต่ก็เอาจริงเอาจังน่าดูนะตอนนั้น แต่เพราะต้องย้ายบ้านกระทันหันก็เลยยังไม่มีโอกาสนั้นน่ะ”
ไม่รู้ทำไมผมถึงละสายตาจากคนที่กำลังเล่าถึงอดีตของตัวเองไม่ได้ มันเหมือนกับผมได้เห็นความจริงจังในท่าทางผ่อนคลายนั้น ..เหมือนได้เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่แสนจริงจังซ้อนอยู่ในร่างของผู้ชายแสนชิลล์คนนี้
“ทั้งที่อุตส่าห์คิดว่าถ้ายังเล่นไปเรื่อยๆ ก็คงจะได้เจอกันในสนามแข่งเข้าสักวัน แล้วเราก็จะได้ตัดสินกันสักที แต่จนจบ ม.ปลาย เราก็ยังไม่เคยเห็นหน้ามันในสนามไหนเลย.. เลยคิดว่ามันคงเลิกเล่นยูโดไปแล้วล่ะ”
“นายก็เลยเลิกด้วยงั้นเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นซะทีเดียวหรอก.. ไม่ได้คิดจะเอาดีด้านนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ก็มีหลายๆ อย่างที่อยากทำด้วย เวลาก็ไม่ค่อยมี พอเอานู่นนี่มารวมกันคิดสะระตะแล้วก็เลยเอาเป็นว่าเลิกลงแข่งดีกว่า แต่ไม่ถึงกับเลิกเล่นไปเลยหรอกนะ”
“เท่าที่ฟังดู เหมือนกับนายทึกทักไปเองฝ่ายเดียวเลยนะ”
“ห๊ะ?”
“ทางนั้นเขารู้หรือเปล่าน่ะ ว่าถูกนายมองเป็นคู่แข่ง?”
“อ่ะ..” หมอนั่นนิ่งค้าง หันมามองหน้าผมอยู่หลายวิฯ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่แคร์สายตาใคร
ผมพลอยยิ้มไปกับท่าทางบ้าบอของหมอนั่นด้วย เห็นแบบนี้ผมก็พอจะรู้คำตอบแล้วล่ะว่ามันคงบ้าคิดไปเองฝ่ายเดียวแน่นอน แต่ก็ไม่ผิดอะไรนี่นะ คนเรามีเป้าหมายย่อมดีกว่าไม่มี ไม่งั้นชีวิตคงน่าเบื่อแย่
“นายพูดถูก” ไอใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะหัวเราะมากเกินไป “หมอนั่นไม่รู้ตัวหรอก ไม่เคยรู้เรื่องอะไร.. แล้วก็ไม่เคยสนใจใครด้วย”
“หืมม..”
“กำลังคิดว่าเราไร้สาระใช่ไหม ไปยึดติดกับคนแบบนั้นอยู่ตั้งหลายปี?” คนถามทำหน้ายิ้มๆ
“อื้อ”
“ไม่ต้องตอบทันทีแบบนั้นก็ได้ แหม่ ฮ่ะๆๆ”
“ล้อเล่นน่ะ” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย
“ห๊ะ?”
“ความพยายามไม่เคยไร้สาระหรอก และคนที่พยายามก็ไม่ใช่คนที่ไร้สาระด้วย”“เหรอ..” หมอนั่นทำหน้าแปลกๆ แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “นั่นสินะ”
“ถึงเป้าหมายมันจะไร้สาระโคตรๆ ก็เถอะ” ผมพูดปิดท้าย
“นี่กวนประสาทกันอยู่หรือไงเนี่ย?”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
หลังคาบเรียนสุดท้ายของวันจบลง ผมก็เห็น ‘ก้อย’ กับเพื่อนของเธอมายืนรอผมอยู่หน้าประตูห้อง
“เอาไง?” นิ่มใช้ศอกสะกิดผม คิ้วขมวดยุ่งเหมือนไม่สนับสนุนหากผมจะอยู่คุยกับก้อย
“ไปก่อนเลย”
“ชายต่าย?”
“เจอกันที่คณะ” ผมพูดกับสจี เธอพยักหน้าแล้วก็ลากนิ่มออกไปพร้อมกัน
ไม่ใช่ว่าผมมองไม่เห็นความหวังดีของเพื่อนนะ พวกเธอคงกลัวว่าผมจะต้องมีเรื่องกับรักชาติเพราะก้อยอีก แต่ผมคิดว่าถ้าผมเดินหนีเธอไปเฉยๆ มันก็คงจะกลายเป็นประเด็นใหม่ผุดขึ้นมาอีกอ่ะ เลยคิดว่าคุยๆ ไปดีกว่าเพราะความจริงแล้วระหว่างเรามันก็ไม่ได้มีอะไรในก่อไผ่เลยสักนิด
แต่ที่มันผิดจากที่ผมคาดไปนิดก็ตรงที่ก้อยดันบอกให้เพื่อนเธอไปก่อนเหมือนกันนี่สิ ตอนนี้ในห้องสโลปร้างผู้คนก็เลยมีแค่เรา..
ผมพลาดไปแล้วหรือเปล่านะ?
“เราได้ยินเรื่องต่ายกับรักชาติมาน่ะ” ก้อยเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน
“อ้อ”
“เพราะเราใช่ไหม?” คนถามทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
แต่คนที่อยากร้องไห้ที่สุดมันเป็นทางนี้ต่างหาก ผมเห็นจากรอยแหวกของม่านนะเมื่อกี๊ว่าใครเพิ่งเดินประตูห้องไป และผมรู้ด้วยว่ามันคงไม่ใช่แค่บังเอิญเดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไปหรอก มันต้องป้วนเปี้ยนรอคิดบัญชีกับผมอยู่ข้างนอกแน่ๆ ..แย่ล่ะสิ สงสัยต้องรีบจบประเด็น
“อ่าาา ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ ก้อยไม่ต้องกังวลเรื่องเราหรอก เราว่า.. ก้อยไปอธิบายกับแฟนดีกว่าไหม เขาจะได้เลิกเข้าใจก้อยผิด?”
“เรากำลังทะเลาะกันอยู่ ตั้มไม่เคยเชื่อใจก้อยเลย ฮึก..”
“อย่าร้องเลยนะ” ผมบอกคนที่เริ่มสะอื้น
ขอร้องล่ะ! ไม่รู้ว่าถ้าเธอเดินออกจากห้องนี้ไปทั้งที่ตาแดงจมูกแดงแบบนี้จะมีข่าวลืออะไรตามมาอีก
“ฮึก..”
แต่มันสายไปแล้ว ก้อยปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างกับก๊อกแตก ผมเลยต้องยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอเอาไปซับน้ำตาตัวเอง แล้วก็ยืนมองเธอร้องจนพอใจอย่างไม่มีทางเลือก
จนผ่านไปพักใหญ่ เธอจึงเริ่มสงบลง
“ใจเย็นลงยัง?” ผมถาม ก้อยพยักหน้าหงึกๆ
“หน้าตาดูไม่ได้เลย” ผมล่อเลียน ทำเอาหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ “รออยู่นี่แป๊บนะ เดี๋ยวลงไปซื้อน้ำมาให้”
“ไม่..ไม่ต้องหรอก” ก้อยดึงเสื้อผมไว้ “แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว”
“ไม่เป็นไร เป็นผู้หญิงไม่ควรให้ใครเห็นสภาพแบบนี้นะ” ผมยิ้มๆ เธอเลยปล่อยมือ “เดี๋ยวมา ไม่นานหรอก”
ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ตอนออกมาไม่เห็นมีใครรออยู่หน้าห้องอย่างที่คิดไว้ แต่พอขากลับผมก็เจอมันดักอยู่ตรงบันได แล้วก็ถูกดันออกมาทางประตูหนีไฟ..
“มึงนี่มันสันดานเสียใช่ไหม?” รักชาติคว้าคอเสื้อผมได้ก็เหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรง เล่นเอาจุกจนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นเลย
“ถึงได้ชอบยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้?”
“จำไม่ได้ว่าเคยทำแบบนั้นนะ” ผมกำลังจะลุกขึ้น แต่ก็ช้ากว่าหมอนั่นที่คว้าคอเสื้อผมขึ้นมาอีกรอบ
“จะเอาใช่ไหม?” มันกดผมติดกำแพงอีก แรงเยอะน่าดู
จังหวะนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นเพื่อนที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลังมันอีกคน มันดูโกรธๆ เหมือนกัน ผมเลยเดาเอาว่ามันคนนี้คงเป็นแฟนของก้อย
“ก้อยบอกว่าทะเลาะกับนาย เพราะว่านายไม่เคยเชื่อใจเธอเลย” ผมจ้องตากับผู้ชายคนนั้นทั้งที่ถูกรักชาติกำคอเสื้อไว้แน่น “นายน่าจะลองฟังเธอสักหน่อยนะ เวลาที่เธออยากจะพูดอะไร”
“เหี้ยอย่างมึงไม่มีสิทธิ์ไปสั่งสอนเพื่อนกูแบบนั้น!” รักชาติเงื้อหมัดขวาขึ้นแล้วเหวี่ยงลงมา ผมเลยใช้แขนซ้ายกันไว้ ปัดออก แล้วอาศัยจังหวะนั้นคว้าเสื้อบริเวณไหล่ทั้งสองข้างของมันเอาไว้แน่น ต่อเนื่องด้วยใช้ขาซ้ายขยับเบี่ยงตัวมาทางซ้าย แล้วใช้ขาขวาดึงให้มันขยับตามมา
“ที่เธอต้องร้องไห้ก็เพราะเพื่อนของนายไม่ยอมฟังเธอไงล่ะ!” ผมตะคอกกลับไปบ้าง
จังหวะที่อีกฝ่ายจะเหยียบเท้าขวาลงพื้น ผมก็ใช้เท้าขวาเหยียบไปที่ด้านในของขาซ้ายมัน ย่อสะโพกลงเล็กน้อย แล้วเหวี่ยงมันลงพื้นไป โดยที่ยังจับแขนขวาของมันเอาไว้
!
ก็ดูเหมือนจะทำให้ช็อคไปตามๆ กัน
“ที่ยอมให้ต่อยคราวก่อน เพราะเห็นว่ามีคนมุงอยู่เยอะหรอกน่ะ” ผมกระซิบบอกคนที่นอนจ้องเพดานนิ่งเหมือนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วหันไปมองเพื่อนของมันที่ยืนเก้กังทำอะไรไม่ถูกอีกคน
“เธอรออยู่ในห้องสโลปน่ะ เอาน้ำนั่นไปให้เธอสิ” ผมพยักพเยิดไปทางขวดน้ำที่หล่นอยู่บนพื้น ไอ้หมอนั่นมองหน้าผมสลับกับเพื่อนของมันอย่างลังเล แต่พอผมพยักหน้าอีกครั้ง มันก็รีบหยิบน้ำขวดนั่นแล้ววิ่งไปหาคนรักที่กำลังรออยู่
ผมหันกลับมามองคนที่ยังนอนหงายอยู่บนพื้น ก็เห็นว่ามันจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลยยื่นมือไปดึงมันขึ้นมา
“ซาซาเอะ” ผมบอก
“ห๊ะ?”
“ชื่อท่ายูโดที่ใช้เมื่อกี๊น่ะ”
“เหอะ” พอทรงตัวได้แล้วมันก็ปัดมือผมออกอย่างแรง ..เจ็บนะ
“เราไม่ได้คิดจะแย่งแฟนเพื่อนนายจริงๆ นะ กับแฟนเก่านายก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด” ผมอธิบาย หมอนั่นหันควับมาจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน
“คิดว่าคำพูดของคนสองหน้าอย่างมึงมันเชื่อถือได้มากนักหรือไง?” มันหันกลับไปจัดเสื้อตัวเองให้เข้าที่ ดูเหมือนผมจะทำกระดุมเสื้อมันกระเด็นหายไปเม็ดหนึ่งด้วย
“ก็แล้วแต่นาย เราก็แค่อยากจะอธิบายสักครั้ง.. แล้วก็รูปเด็กผู้หญิงที่นายเห็นนั่นน่ะ ไม่ใช่แฟนเรา แต่เป็นน้องสาว”
“หืมม..” หมอนั่นหันหลังให้แล้วเดินไปจับลูกบิดประตู
“รักชาติ” ผมเรียกเอาไว้
“.........” มันก็หันกลับมา
“ถ้าแตะต้องน้องเรา จะไม่ให้อภัยจริงๆ นะ”หมอนั่นมองหน้าผมนิ่ง ผมก็รอฟังอยู่ว่ามันจะตอบอะไร สุดท้ายมันก็ยกยิ้มุมปากอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ
“หึ คิดว่าเป็นยูโดแล้วกูต้องกลัวมึงหรือไง?”
รักชาติดึงประตูเปิด แล้วก้าวออกไปพร้อมประโยคที่ผมต้องถอนหายใจ
“กูอยากจะทำอะไรกูก็จะทำ”มันดื้อแฮะ..
“เห็นแล้วล่ะ~”!
เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นเหนือหัวทำให้ผมต้องแหงนขึ้นไปมอง แล้วก็ไปเจอไอ้แมวยักษ์เมโล่มันนั่งกอดเสาราวบันไดที่ลงมาจากชั้นบน.. ไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนั่น?
พอเห็นผมมองมันก็ยิ้มแฉ่งดีใจอย่างกับเด็กๆ แต่คงจะน่ารักน่าเอ็นดูกว่านี้ถ้ามันไม่พูดประโยคถัดมา
“ได้ยินว่าโรงอาหารรัฐศาสตร์มีซาลาเปาไส้ถั่วแดงด้วยแหล่ะ” ไอ้นี่..
TBC.อิคุณชาย นอกจากจะซิสค่อน แล้วยัง...
ยังมีอีกหลายอย่างที่คุณผู้อ่านไม่รู้เกี่ยวกับอิหมอนี่ค่ะ
ปล. ที่อัพได้เร็ว เพราะเรื่องนี้แต่งเก็บเอาไว้สักพักหนึ่งแล้วน่ะจ้ะ