(ต่อค่ะ)
เดินไปอีกสักหน่อยไม่แน่ว่าจะพอเห็นอะไรมากขึ้น
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงออกเดินโดยไร้ทิศทาง วิชาลูกสื้อที่ร่ำเรียนมาแทบไม่มีประโยชน์ต่อผมในขณะนี้เลย จำได้ว่าเราสามารถรู้ทิศทางจากตำแหน่งของพระอาทิตย์ แต่ความสูงของต้นสนทำให้มองไม่เห็นพระอาทิตย์แต่อย่างใด ต่อให้ฟลุกมองเห็นแล้วหาทิศได้ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าปราสาทของเบียทรีซต้องเดินไปทางไหน
การเดินทางอันไร้จุดหมายได้เริ่มต้นขึ้น ผมทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าแม้จะรู้ตัวว่าเข้ามาลึกขึ้นทุกที แสงจากดวงอาทิตย์กำลังหายไปเช่นเดียวกับเงาขนาดใหญ่ที่ลากผ่านมา ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียผมเลยเดินเข้าไปใกล้จนพบเข้ากับหน้าผาหินยักษ์อยู่ตรงหน้า
“สูงกว่าต้นสนอีก” พอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนก็พบว่าต้นสนนั้นดูเตี้ยไปเลยเมื่อเทียบกับหน้าผานี่
ให้ความสนใจกับความสูงของผาหินไม่นานเสียงคล้ายการขุดเจาะบางอย่างที่แว่วมาเรียกความสนใจให้ผมก้าวตรงไปหาต้นเสียงทันที เมื่อเสียงนั้นเริ่มดังขึ้นภาพของสิ่งมีวิตกำลังยกเสียมเจาะลงบนผิวหน้าผาไม่น่าตกใจเท่าขนาดร่างกายที่ไม่ใช่ใหญ่โตกำยำแต่เป็นเล็กและเตี้ย ใบหน้าสีคล้ำเปื้อนฝุ่นและดินมีปลายจมูกยาวกว่าปกติบวกกับขนาดรูปร่างผมไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้นอกจาก...
“คนแคระ?” สิ้นเสียงผมคนแคระเกือบ 10 คนก็หันมาจับจ้องผมเป็นตาเดียว
“เจ้าเข้ามาในอาณาเขตของพวกข้าได้ยังไง!” เสียงทุ้มต่ำของคนแคระในชุดสีเขียวขี้ม้าดังขึ้น
“อาณาเขต? คือผมไม่รู้...ตอนแรกผมอยู่ที่ปราสาทดีพอเดินผ่านรั้วมาก็กลายมาเป็นป่าสนที่นี่ซะแล้ว...”
“รั้วปราสาท?...นี่เจ้ามองภาพลวงตาของพวกข้าออกงั้นรึ?!” คนแคระเครายาวอีกสองคนก้าวเข้ามาหาผมใกล้ๆ คล้ายจะทำการสำรวจ
“เจ้าไม่ใช่ปิศาจ...และก็ไม่ใช่มนุษย์”
“น่าจะเป็นพวกลูกครึ่ง” คนแคระอีกคนสรุป
“พวกครึ่งปกติมองภาพลวงตาพวกเราไม่ออกหลอก ขนาดปิศาจสายเลือดแท้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ” พวกเขาถกเถียงกันในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจนึกจึงทำเพียงยืนฟังอยู่เงียบๆ
“เจ้าบอกมาซิว่ามองภาพลวงตาของพวกข้าออกได้ยังไง” ถกเถียงกันสักพักใหญ่หนึ่งในคนแคระก็หันมาถามผม
“ผมไม่ได้มองออกแค่รู้สึกว่าตรงนั้นมันแปลกแค่นั้นเอง” ผมอธิบายไปตามตรง
“ช่างเป็นความสามารถที่หากได้ยากนัก”
“ขอบคุณครับ...แล้วพวกคุณปู่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ” ดูจากรูปประโยคผมน่าจะถูกชมเลยขอบคุณกลับไป
“นี่เจ้าไม่รู้จักผายักษ์ของเหล่าคนแคระผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการขุดหาและเจียรไนอัญมณีรึเจ้าหนู” คนแคระหลายคนถึงกับทำหน้าตกใจที่ผมไม่รู้จัก
“เอ่อ...ผมเพิ่งมาโลกปิศาจได้ไม่กี่เดือนเลย...”
“อ้อ เพิ่งมาคงไม่แปลกที่จะไม่รู้ งั้นพวกเราจะบอกให้ อัญมณีที่มีชื่อเสียงและเปี่ยมไปด้วยพลังมากที่สุดในโลกปิศาจคืออัญมณีที่ถูกขุดและเจียระไนด้วยฝีมือพวกเรา”
“แปลว่าพวกคุณปู่เป็นสุดยอดฝีมือสินะครับ” เดินมามั่วๆ ได้มาเจอสุดยอดฝีมือนี่อาจเป็นโชคดีก็ได้
“อะแฮ่ม! จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่พวกเราน่ะไม่ได้จะขายอัญมณีให้ใครง่ายๆ หรอกนะ ส่วนใหญ่จะส่งให้ทางปราสาทส่งต่อให้ผู้เหมาะสมอีกที แต่จากที่นี่ไปปราสาทใช้เวลาเดินทางเป็นอาทิตย์พวกเราเลยแอบสร้างภาพลวงตาแล้วเปิดทางเชื่อมระหว่างที่นี่กับปราสาทไว้โดยไม่ให้ใครรู้” คำอธิบายต่อมาทำเอาคนฟังอย่างผมถึงกับตาโต
แอบเปิดทางเชื่อมโดยไม่ให้ใครรู้?
แปลว่าเบียทรีซเองก็ไม่รู้เรื่องนี้สินะ
“แต่ไม่คิดว่าจะมีใครมองออก เจ้านี่สายตาแหลมคมไม่เบา อายุเท่าไหร่ล่ะ”
“...30ครับ”
“โอ้! เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานรึนี่ น่าดีใจจริงๆ ที่มีความสามารถแต่เด็กแบบนี้”
“เอ่อ ผมขอเสียมารยาทถามอายุได้ไหมครับ” ไหนๆ ก็มีโอกาสเลยไม่อยากปล่อยไป
“ข้า 1,082 ปี”
“อะไร เจ้าอย่ามาโกงอายุ เท่าที่ข้านับ 1,130 ปีนี่”
“ข้า 1,000 ปีพอดี”
“1,500 น่ะสิเจ้า!” เหล่าคุณปู่คนแคระพากันบอกอายุพร้อมถกเถียงกันอย่างครื้นเครงผิดกับผมที่ยิ้มค้างไปแล้วเมื่อได้รู้อายุจริงๆ ของเหล่าคนแคระ
อายุห่างจากผมไม่รู้กี่สิบรอบ ดีไม่ดีอาจเป็นร้อยรอบด้วยซ้ำ
“พวกคุณปู่ยังแข็งแรงเหมือนอายุยังไม่ถึง 1,000 เลยนะครับ” ความสดใสร่าเริงนี่ดูเหมือนวัยรุ่นที่มารวมตัวในงานวันเลี้ยงรุ่น พอมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“เจ้านี่ตาแหลมจริงๆ ด้วย”
“ชักถูกใจแล้วสิ”
“ทำเจ้านั่นให้ดีไหม” หนึ่งในกลุ่มคนแคระพูดขึ้น
“เอาสิๆ เป็นเด็กที่ควรค่าแก่การทำให้”
“ทั้งบริสุทธิ์ ใสซื่อและเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ”
“เห็นด้วย เจ้าหนู บอกวันเกิดมาซิ” เมื่อความเห็นกันเสร็จก็หันมาถามผม
“ครับ...ผมเกิดวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคมครับ” ผมตอบไปตามตรง
“สิงหา...เดือน 8 รึ ใช้เจ้านั่นที่เพิ่งขุดได้ละกัน”
“เลข 2 กับ 4 ก็ต้องนี่”
“เอาล่ะ เจียระไนกันเถอะ” สิ้นคำพูดนั้นพลังปิศาจจากเหล่าคนแคระทั้งสิบก็แผ่ขยายออกมากินบริเวณไม่กี่เมตรราวกับสามารถควบคุมพลังของตนเองให้อยู่ในขอบเขตที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
วัตถุหลากสีถูกโยนขึ้นเหนือพลังปิศาจก่อนจะหลนลงมาท่ามกลางกระแสของพลังที่บีบอัดจนเกิดการผสมและแปรเปลี่ยนรูปร่างในชั่วพริบตา ภาพอันน่าตกตะลึงปรากฎขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีวัตถุสีขาวใสทอประกายสีน้ำตาลแดงก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผม
“...พวกท่านให้ผมเหรอครับ” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ใช่ พวกเราให้สิ่งนี้กับเจ้า”
“แต่ผมไม่ได้ทำอะไร...” อยู่ๆ ก็มาให้แบบนี้มันแปลก
“ทำสิ กี่ร้อยปีแล้วนะที่ไม่มีใครมาเยือนที่แห่งนี้ แถมเจ้ายังสามารถภาพลวงตาของพวกเราได้อย่างง่ายดายอีก นี่ถือเป็นของขวัญตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ”
“แต่ผมแค่หลงเข้ามา”
“มีใครเคยบอกให้เจ้าเลิกแต่ไหม”
“...มีครับ” ผมนึงถึงเบียทรีซขึ้นมาทันที
จำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยถูกบอกว่าให้เลิกแต่
หรือผมจะพูดแต่เยอะไปจริงๆ
“เวลาผู้ใหญ่ให้ของรับ เข้าใจนะ” คุณปู่คนแคระสอน
“ครับ ขอบคุณคุณปู่ทุกท่านนะครับ ผมจะรักษาอย่างดีเลย” ผมรับอัญมณีสีน้ำตาลแดงโปร่งใสขนาดเล็กมากำไว้ในมือแน่น
“มันจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าแน่ เอาล่ะ คงถึงเวลาที่จะคลายภาพลวงตาที่ปกคลุมอาณาเขตนี้สักที”
“นั่นสิ ถ้ามากกว่านี้พวกเราก็ทนไม่ไหวแล้ว”
“หมายถึงอะไรเหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้
ไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรอยู่
“เหมือนจะมีคนมารับเจ้า” คำตอบนั่นเรียกคิ้วสองข้างของผมให้ขมวดเข้าหากันแน่นทันที
“มารับผม?”
“มาเยือนตัวตนเองแบบนี้พวกข้าเตรียมการต้อนรับไม่ทันนะองค์ราชา” สิ้นคำพูดของคุณปู่ท้องฟ้าสีส้มก็เกิดรอยร้าวขึ้น พริบตาต่อมาเสียงคล้ายกระจกแตกดังก้องพร้อมเศษเล็กๆ คล้ายแก้วที่ล่วงหล่นแล้วสลายไป
นั่นคงเป็นภาพลวงตาสินะ
ภาพลวงตาที่ว่าน่าตกใจแล้วยังไม่เท่ากับร่างสูงสง่าในสุดสีทองขลิบดำที่ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าด้วยปีกสีดำคู่ใหญ่ ดวงตาสีทองสว่างไม่ได้สนใจเหล่าคุณปู่คนแคระแต่จับจ้องมาทางผม เพียงแค่สบสายตาร่างกายก็ก้าวถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ
“...เบียทรีซ...”
“เจ้าจะทำให้ข้าหงุดหงิดขนาดไหนถึงจะพอฮะวิณณ์!” เบียทรีซลงมาบนพื้นพร้อมก้าวมาประชิดผมที่ไม่อาจขยับร่างกายได้
“ขอโทษ...”
“เจ้าขอโทษเรื่องอะไร” อีกฝ่ายชิงถามต่อทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ
“ขอโทษที่ทำให้คุณหงุดหงิด”
“ถ้ารู้ก็อย่าทำอีก เข้าใจไหม!” น้ำเสียงของเบียทรีซในเวลานี้ผมไม่สามารถตอบอย่างอื่นได้นอกจากพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว”
“ต่อให้สัมผัสเจ้าดีแต่ใช่ว่าต้องอยากรู้อยากเห็นไปซะทุกที่ ถ้าทางเชื่อมไม่ได้เป็นที่นี่แต่เป็นสถานที่อันตรายขึ้นมาเจ้าจะทำยังไงวิณณ์”
“...เบียทรีซ”
“ถ้ามีครั้งหน้าอีกข้าจะล่ามโซ่เจ้า!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากเบียทรีซ
อีกฝ่ายเอาจริงแน่...ไม่ใช่คำขู่
ผมสัมผัสได้
เบียทรีซในตอนนี้อาจดูทั้งหงุดหงิดและน่ากลัวจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้แม้แต่ผมเองในตอนแรกยังถอยหนีแต่พอผ่านไปสักพักผมกลับเป็นฝ่ายก้าวเข้าหาเบียทรีซแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อให้หน้าผากสัมผัสกับอกอีกฝ่าย เบียทรีซสะดุ้งกับการกระทำของผมเล็กน้อยแต่ไม่ผละออก
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะ” ผมบอกเสียงเบาแต่ด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่เซนเบียทรีซต้องได้ยินแน่
“...ชอบคิดไปเองเรื่อยเลยนะ”
“อืม คิดไปเองก็ได้” แต่ไม่ว่าจะคิดอีกกี่รอบคำตอบก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี
คนที่ไม่เป็นห่วงจะมาหาผมที่นี่ได้ยังไง
คนที่ไม่เป็นห่วงจะบ่น เตือนด้วยน้ำเสียงแบบนั้นไปทำไม
มันไม่ใช่การคิดไปเอง เบียทรีซเป็นห่วงผมถึงได้มาอยู่ที่นี่เพื่อพาผมที่หายตัวไปกลับปราสาท
“พวกเจ้าแอบเปิดทางเชื่อม แถมยังสร้างภาพลวงตาปิดไว้ในปราสาทของข้าอีก” เบียทรีซพูดระหว่างหันไปมองเหล่าคุณปู่คนแคระทีละตน
“เรื่องนั้นเป็นเพราะพวกข้าอายุมากแล้วจะให้เดินทางหลายวันเพื่อเอาอัญมณีไปส่งให้ถึงมือมันก็ลำบากเกินไป” คุณปู่ให้เหตุผล
“พวกหนุ่มสาวก็มีเยอะนี่ ในหมู่บ้านน่ะ”
“ท่านก็รู้กฎของพวกเราดี คนแคระที่อายุไม่ถึง 800 ปีจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากอาณาเขตหมู่บ้านเพื่อป้องกันภัยจากปิศาจตนอื่นๆ”
“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะปล่อยไป”
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะปิดทางเชื่อมและเปิดเฉพาะตอนที่จะเดินทาง แบบนี้ได้หรือไม่องค์ราชา” ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบเบียทรีซกลับไป
“พวกเจ้าควรทำแบบนั้นตั้งนานแล้ว ไม่รู้มีปิศาจเท่าไหร่ที่เผลอผ่านทางเชื่อมมาหลงอยู่นี่!” เบียทรีซเริ่มบ่นอีกรอบ
“เรื่องนั้นขออย่าได้เป็นกังวล ภาพลวงตาของเผ่าคนแคระมีพลังมากที่สุดในหมู่ปิศาจเผ่าอื่น ต่อให้เผลอสัมผัสภาพลวงตาก็จะให้ความรู้สึกเหมือนของจริงไม่สามารถผ่านทางเชื่อมมาได้”
“แต่หมอนี่ก็ผ่านมาได้แล้ว” เบียทรีซพูดถึงผม
“เขาเป็นข้อยกเว้นพิเศษ สัมผัสของเขาไม่เพียงแค่ดีมากแต่ยังสามารถมองทะลุผ่านภาพลวงตาได้อย่างง่ายดาย ปิศาจตนอื่นหรือแม้แต่ท่านซึ่งเป็นราชายังต้องใช้พลังปิศาจเพื่อทำลายไม่ใช่ทะลุผ่านเข้ามา” คุณปู่คนแคระให้คำอธิบาย
“ยังไงก็ต้องปิดไว้”
“ท่านกังวลว่าเขาจะมาหาพวกเราแล้วท่านต้องมาตามด้วยตัวเองใช่หรือไม่”
“หุบปาก! เปิดทางเชื่อมข้าจะกลับแล้ว” เบียทรีซรีบเปลี่ยนเรื่องท่ามกลางรอยยิ้มกรุ๋งกริ่มของบรรดาคุณปู่คนแคระ
ทางเชื่อมกลับไปยังปราสาทถูกเปิดขึ้นตรงหน้าของพวกเรา ผมบอกลาคุณปู่คนแคระทุกคนแล้วเดินตามหลังเบียทรีซเข้าไปด้านในทางเชื่อมจนทะลุออกมายังสวนบริเวณเดิมกับที่ผมเผลอก้าวเข้าไป
“เบียทรีซ ขอบคุณที่ไปรับผมนะ” ผมวิ่งไปขนาบข้างอีกฝ่ายระหว่างบอก
“ถ้าข้าไม่ไปเจ้าจะเดินกลับมาเองรึไง”
“แฮะๆ ไม่รู้เหมือนกัน” บอกตรงๆ ว่าถาเบียทรีซไม่มารับผมก็คงยืนงงๆ อยู่พักใหญ่กว่าจะหาทางกลับได้ วิธีง่ายๆ อย่างให้พวกคุณปู่เปิดทางเชื่อมกลับมายังปราสาทไม่ได้อยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว
“ข้าควรจะทำยังไงกับเจ้าดี”
“อย่าล่ามโซ่ผมเลย” ขอแค่นี้แหละ
“หึ งั้นใส่ปลอกคอแทนละกัน”
“แบบนั้นก็ไม่เอา”
“เขียนป้ายชื่อติดไว้เวลาหลงจะได้ให้คนพามาส่งถูก”
“...ก็ไม่เลวนะ” ผมชักเห็นด้วยกับข้อเสนอนนี้ของเบียทรีซซะแล้ว ที่โลกมนษย์เองก็มีเยอะที่มีนามบัตรติดตัวเด็กไว้เผื่อเกิดหลงทางจะได้พาไปส่งถูก
“บางทีข้าก็เริ่มกลัวความซื่อปนบื้อของเจ้า” เขาหยุดหันมามองหน้าผมสักพักจึงกลับไปเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮะ? โอ๊ะ! ผมมีเรื่องจะบอกกับคุณเบียทรีซ” ผมพูดพลางก้าวยาวๆ ให้ทันอีกฝ่าย
“ว่ามา เร็วๆ หน่อยข้าหิวจนจะกินเจ้าได้อยู่แล้ว”
“ผมว่าจะกลับไปนอนห้องที่แกรนเตรียมให้ที่ชั้น 8”
กึก!
พอผมพูดจบประโยคเบียทรีซที่กำลังก้าวหยุดเดินแทบจะทันทีแถมยังหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ อีก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรนหาที่ ทั้งที่บรรยากาศเริ่มดีขึ้นแต่ผมทำให้มันเย็นลงซะงั้น
“เจ้าเป็นคนมาเคาะประตูห้องข้าเพื่อขอนอนด้วย” เบียทรีซเอ่ยเสียงเย็น
“ก็ใช่...คือผมไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นเลยนอนต่างที่ไม่ไหว”
“แล้วตอนนี้นอนได้แล้ว?”
“อืม...คิดว่าได้แล้ว” อยู่มาตั้งหลายเดือน ผมชินกับชีวิตความเป็นอยู่ในโลกปิศาจแล้วเพราะงั้นก็น่าจะนอนคนเดียวได้
จะให้ไปกวนเบียทรีซทุกคืนแบบนี้คงไม่ดี
ดูจากนิสัยก็เดาได้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
ชอบความสะดวกสบายและไม่แออัด
การมีผมเข้าไปอยู่ในห้องด้วยมันคงไม่เหมาะสมนัก นี่ยังไม่นับเรื่องฐานะราชาของเบียทรีซอีกนะ
ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองผ่านเลนส์แว่นเงยขึ้นไปสบดวงตาสีทองสว่างเพื่อรอคอยความตอบอย่างไม่เร่งรัดนัก ใบหน้านิ่งๆ ของอีกฝ่ายทำเอาผมเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวกันกันแน่
“วิณณ์”
“ฮืม?” ผมขานรับเสียงเรียก
“เจ้าบอกว่านอนคนเดียวได้?” เบียทรีซถามย้ำอีกครั้ง
“อืม ผมนอนได้” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าถามซ้ำไปทำไมแต่ผมก็ยอมตอบ
“เจ้านอนได้แต่ข้าไม่ จบเรื่องนี้แล้วอย่าขุดมันขึ้นมาให้ข้าได้ยินอีก” พูดจบเบียทรีซก็เดินต่อโดยทิ้งผมไว้กับความงงงวยและสงสัยที่ตีกันวุ่นอยู่ภายในหัว
ผมไม่รู้ว่าคำพูดของเบียทรีซหมายถึงอะไรแต่ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้หรือวันถัดไปผมก็ไม่ได้กลับลงไปนอนที่ห้องชั้น 8 อีกเลย
....................................................
มาต่อกันค่ะ
จบไปแล้วอีกตอน
ความเอาแต่ใจของเบียทรีซยังคงระดับอย่างต่อเนื่อง
ค่อนข้างชอบนิสัยแบบนี้ของเบียทรีซโดยเฉพาะฉากจบที่คุยกันเรื่องห้องนอน
แต่งเองก็ชอบเอง 555
หวังว่าทุกคนก็็จะชอบนะคะ
ไว้้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪