เย็นวันนั้นนายเหมืองสั่งจัดงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อขอบคุณคนงานที่อาสามาช่วยดูแลความปลอดภัยให้พวกเขาทั้งคืน งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่หน้าบ้านตรงแคร่หน้าบ้าน โต๊ะสามสี่ตัวถูกลากออกมาต่อกันแล้วปูด้วยผ้าขาวม้าอย่างง่ายๆ บรรดาคนงานเหมืองที่เป็นผู้หญิงต่างก็ช่วยกันหุงข้าวทำกับข้าวกับแกงคนละไม้คนละมือ ส่วนบัวก็ช่วยทำบัวลอยพร้อมกับเด็กๆเตรียมไว้เพื่อเป็นของหวาน พอได้เวลาประมาณหกโมงครึ่งตอนเย็น เด็กๆสองแสบก็ตัวเลอะมอมแมมไปด้วยผงแป้งเต็มที่ บัวจึงจับเด็กชายทั้งคู่ขึ้นไปอาบน้ำแล้วจับใส่ชุดนอน พอเวลาทุ่มกว่าๆเสียงเฮฮาที่หน้าบ้านก็ดังขึ้นไปถึงชั้นสอง เรียกความกะตือรือร้นจากสองเด็กแสบให้รีบแต่งตัวแล้วยืนยิ้มแป้นแล้นให้ครูบัวประแป้งเสียขาวจั๊วะเรียงทีละคน
นายเหมืองสิงห์ขึ้นไปตามลูกๆกับครูบัวบนชั้นสอง หลังจากที่กลับมาจากเหมืองพร้อมคนงานแล้วไม่เจอคนของตัวอยู่ในบริเวณงาน
สภาพของสองแสบตอนที่คนเป็นพ่อเข้าไปเห็นคือกำลังมะรุมมะตุ้มจับครูบัวคลุกฝุ่นแป้งไปด้วยกันกับตน เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความสุขใจของคนทั้งสามทำเอานายเหมืองต้องอมยิ้มกริ่ม ยอมนั่งยองๆให้ลูกชายสองคนจับเขาประแป้งลงสองข้างแก้มไปด้วยอีกคน
นายเหมืองกับครูบัวจับจูงมือน้อยของไลเกอร์กับไทกอนกันคนละข้าง เสียงเฮต้อนรับก็ดังขึ้นทันทีที่คนทั้งสี่ปรากฏตัวตรงหน้าประตูบ้าน ลุงเกรียงกับนายเม่นที่แต่งตั้งตัวเองเป็นพ่องานก็รีบเข้ามาเชื้อเชิญนายของตัวเองพร้อมครอบครัวเข้าไปนั่งลงบนแคร่ ซึ่งถูกปูด้วยเบาะรองนั่งเตรียมไว้สองที่ ส่วนสองแสบผู้รู้หน้าที่ดีก็รีบเข้าไปนั่งตักคนเป็นพ่อและคนเป็นครูราวกับจะยึดเป็นที่ประจำ จากนั้นลุงเกรียงก็เชิญคนเฒ่าคนแก่ซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกหมู่บ้านซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตามาทำพิธีเรียกขวัญ ผูกข้อมือพันสายสิญจน์เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของคนงานในเหมือง ที่อยากจะปัดเป่าความชั่วร้ายให้กับเจ้านายของตัวเอง ซึ่งทั้งตัวนายเหมืองสิงห์และครูบัวไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน เพราะคนงานแอบช่วยกันเตรียมอย่างลับๆ ซึ่งงานนี้ก็ทำเอานายเหมืองสิงห์เก๊กหน้าดุตามปกติใส่คนงานของตัวเองไม่ไหว ส่วนครูบัวเองพลอยน้ำตาซึม ซาบซึ้งกับความหวังดีที่เผื่อแผ่มาถึงตนด้วย คำอวยพรต่างๆที่บัวฟังออกบ้างฟังไม่ออกบ้างเพราะเป็นภาษาถิ่นทำให้บัวยิ้มไม่หุบ ข้อมือสองข้างเต็มไปด้วยด้ายสายสิญจน์มงคลที่นายเม่นโพนทะนาไปทั่วว่าผ่านการปลุกเสกมาอย่างโชกโชน
เครื่องเสียงคาราโอเกะถูกยกมาเพื่อสร้างความสนุกสนาน อาหารการกินและเครื่องดื่มนายเหมืองสั่งเปิดแบบไม่อั้น เปิดโอกาสให้คนงานได้รื่นเริงกันอย่างเต็มที่ นายเหมืองสิงห์และครูบัวอยู่ร่วมงานเลี้ยงจนถึงสี่ทุ่มกว่าก็ขอตัวเข้านอน เพราะเด็กๆสองแสบคอพับคออ่อนคาตักของผู้เป็นพ่อและครูไปแล้วเรียบร้อย
เสียงเฮฮาของวงน้ำเมากลุ่มสุดท้ายยังดังขึ้นมาให้คนในห้องนอนได้ยินแผ่วๆ สองแสบที่หลับไปแล้วถูกวางไว้คู่กันบนเตียงนอนลายแมวกาฟิลด์ บัวนั่งลงริมเตียงแล้วยกมือลูบหัวกล่อมเด็กน้อยสองคนให้หลับใหลอย่างมีความสุข จูบกระหม่อมบางของทั้งสองคนพร้อมกระซิบเบาๆว่าขอให้ทั้งคู่หลับฝันดี ไลเกอร์กับไทกอนส่งเสียงอืออาคล้ายตอบรับ บัวเกลี่ยนิ้วที่แก้มนุ่มของเด็กสองคนเบาๆ เกือบจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างไปด้วยเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าท่อนแขนกลมกลึงกลับถูกยึดจับเอาไว้โดยเจ้าของบ้าน นายสิงห์หน้าคมกระตุกมือครูบัวให้ออกจากห้องไปด้วยกัน เพราะคืนนี้เขาอยากนอนกอดครูบัวตัวขาวมากกว่า
คืนนั้นอาจด้วยเพราะบรรยากาศพาไปหรืออะไรก็ตาม บัวไม่รู้ รู้แต่คืนนั้นนายเหมืองมีอิทธิพลเหนือตัวเขาทุกอย่าง เขาชี้นกบัวก็ว่านก เขาชี้ไม้บัวก็ว่าตามนั้น บัวยอมตามใจเขาตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำ จนกระทั่งมาจบลงที่เตียง ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง พวกเขาแทบจะไม่ได้แยกจากกันเลย เสียงพร่ำบอกคำหวานดังออกมาไม่ขาดปาก บัวจำได้ว่าคืนนั้นบัวหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม แม้จะเหนื่อยกาย แต่มีความสุขจนล้นใจ...
ก่อนนอนบัวก็ยังแอบภาวนา ว่าขอให้ทุกคืนเป็นอย่างนี้เรื่อยไป...หลับไปในอ้อมกอดของคนที่รัก แล้วก็คงจะตื่นมา...ในอ้อมกอดเดียวกันไปทุกวัน
—————————————————-
เสียงนกร้องยังคงดังปลุกเหมือนเช่นทุกวัน แต่บัวที่เพิ่งตื่นนอนกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีแปลกๆ แต่มันก็เป็นแค่วูบเดียวสั้นๆบัวจึงทำเป็นไม่สนใจ แล้วแอบลุกขึ้นไปอาบน้ำคนเดียว รอบตัวบ้านยังคงเงียบสงัดเพราะยังเป็นเวลาเช้ามืด บัวรีบอาบน้ำจนเสร็จอย่างรวดเร็วเพราะตั้งใจจะแวะไปตลาดเช้าซื้อของมาทำบุญตักบาตรด้วยตัวเอง จนเมื่อเสร็จสรรพคุณครูหนุ่มก็คว้ากระเป๋าย่ามคู่ใจซึ่งมีใส่ทั้งกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้านพร้อมของสำคัญติดตัวลงไปข้างล่าง ซึ่งดูเหมือนว่าป้าพุดคงยังไม่ตื่นแน่เพราะทั้งบ้านยังคงปิดไฟเงียบเชียบ นาฬิกาพรายน้ำริมฝาผนังบอกเวลาว่าเพิ่งจะตีสี่ บัวจึงตัดสินใจว่าจะยังไม่เปิดไฟดวงใหญ่ของบ้านก่อน แต่เลือกเดินไปเปิดโทรทัศน์ที่มีในห้องนั่งเล่นแล้วหรี่เสียงเบาแทนในตอนที่เขาเข้าไปดูของสดและจัดเตรียมอุปกรณ์ในห้องครัวก่อนออกไปจากบ้าน บัวยังคงรื้อของในตู้เย็นอยู่ตอนที่ได้ยินเสียงดนตรีบอกเวลาข่าวด่วนดังแว่วเข้ามาว่า...
“…เมื่อเวลาประมาณตี 2 ของเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณตลาด...ต้นเพลิงเกิดจากหม้อแปลงไฟระเบิด จึงทำให้เพลิงไหม้ลุกลามหลายหลัง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังช่วยกัน...”
“ไฟไหม้...ตลาด...มะ...แม่...”
ผลไม้ในมือที่ถือเอาไว้ร่วงหล่นลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวบางเอนพิงเคาเตอร์ทำอาหารเพราะเรี่ยวแรงเกิดอ่อนขึ้นมากะทันหัน เมื่อตลาดที่ว่านั่นเป็นที่อยู่ของบุพการีเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“โทรศัพท์...โทร...” ความกังวลเริ่มตีตื้นขึ้นจนล้นอก มือไม้เริ่มสั่นจนหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก โทรศัพท์เครื่องเก่าถูกกดโทรออกเบอร์เดิมซ้ำ ๆ แต่ปรากฎว่าไม่สามารถติดต่อได้เลย ความกลัวและเป็นห่วงแม่ทำให้บัวคิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ใหญ่ จนเมื่อหายใจเอาสติกลับมาส่วนหนึ่งได้แล้วจึงรีบเดินไปที่โต๊ะวางโทรศัพท์ ตรงนั้นจะมีกระดาษและปากกาเสียบไว้อยู่เสมอ บัวไม่รอช้ารีบเขียนข้อความบอกคนในบ้านไว้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นและบัวกำลังจะกลับไปที่ไหน ท้ายกระดาษยังมีเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ไว้ให้เผื่อนายเหมืองต้องการติดต่อเขาจะได้สามารถติดต่อได้
เมื่อเขียนข้อความทิ้งไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วบัวก็ไม่รอช้า ไม่คิดจะกลับขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าหรือของอื่นอีกเพราะแค่ในกระเป๋าย่ามก็มีสิ่งจำเป็นครบเรียบร้อย บัวสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวข้ามผ่านศพจากกองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อคืนแล้วจึงออกวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เวลาตอนนี้ยังเช้าอยู่มากเกินกว่าจะมีรถสองแถวรับจ้างผ่านทางมา แต่อย่างไรก็ตามบัวไม่อยากจะรอช้าอีกสักวินาที เพราะใจที่เป็นห่วงแม่มันนำหน้าตัวกลับบ้านที่กรุงเทพฯไปนานแล้ว
บัวยืนหาทางไปอยู่ไม่นานก็โชคดีมีรถชาวบ้านแถวนั้นที่ผ่านมาหลังกลับจากไปกรีดยางยินดีรับบัวเข้าไปส่งที่ท่ารถในเมืองให้ เพราะจำครูบัวตัวขาวแห่งเหมืองสิงห์ สุตนันท์ได้ เวลาช่วงเช้าแบบนี้ที่ท่ารถยังมีรถเข้ามาไม่มาก คนจึงยังไม่พลุกพล่านมากนัก บัวรีบตรงเข้าไปจองตั๋วขึ้นกรุงเทพฯเที่ยวที่เร็วที่สุดซึ่งก็ไม่ต้องรอนานอย่างที่หวังเพราะไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมารถก็เข้าเทียบจอดที่ชานชาลาพอดี
จนเมื่อบัวเข้าไปนั่งรอในรถได้แล้วจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้สมควรแก่เวลาที่เขาจะโทรเข้าไปบอกนายเหมืองที่บ้านเผื่ออีกฝ่ายยังไม่เห็นโน๊ตที่เขาตั้งไว้จะได้ไม่ทันตกใจกังวลว่าเขาเป็นอะไรไป แต่ทว่าหน้าจอที่ดับสนิทก็ทำให้บัวต้องทอดถอนใจด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ เพราะโทรศัพท์เข้ากรรมดันมาเลือกแบตหมดได้ถูกเวลาเหลือเกิน
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวนายเหมืองก็คงจะเห็นโน๊ตเอง” บัวปลอบใจตัวเองด้วยการคิดในแง่ดี
โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่เหมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ เพราะคล้อยหลังบัวไปไม่นาน ก็มีลมหอบหนึ่งพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วพัดกระดาษโน๊ตใบเล็กๆของบัวปลิวตกหายไปเพราะด้วยความที่เร่งรีบเลยทำให้เจ้าตัวลืมหาอะไรวางทับไว้ และตอนนี้เจ้าของเหมืองก็กำลังเริ่มก่อไฟปะทุ เพราะกำลังจะหาเมียรักของตัวเองไม่เจอ!
—————————————————-
หายหัวไปนาน...ข้าพเจ้าขออำภัยด้วย *คารวะ 3 จอก*