18
หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้แต่ข้ามข้าวเย็นไปเรียบร้อย นับเวลาดูแล้วน่าจะหลับไปร่วมๆ สิบห้าสิบหกชั่วโมง เรียกว่าหลับลืมบ้านลืมช่องกันเลยทีเดียว ตอนที่ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ตุ๊กตากบที่ผมนอนกอดอยู่ก็ดิ้นขยุกขยิก ก่อนจะถามด้วยเสียงงัวเงีย
“ตื่นแล้ว? เป็นไงบ้าง นายเล่นหลับแบบหมดสติจนฉันเกือบเรียกรถพยายม เอ๊ย รถพยาบาลแล้ว”
ผมขยับแข้งขยับขาเพื่อทดสอบ ก่อนตอบ “ปกติดี”
“งั้นจูบฉันอีกสักทีไหวไหม”
“อืม...น่าจะ...นะ” ว่าแล้วผมก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนกลับมาจูบเจ้าชายกบแต่โดยดี
พี่เอื้อใช้มือลูบใบหน้าผมคล้ายจะเช็กความเสียหาย “ง่วงไหม”
“นิดหน่อย”
“ไม่เวียนหัวนะ”
“ม่าย”
“ปวดหัว?”
“ไม่เลย”
“ไปเรียนไหวไหม”
“ไม่ไหวจ้า”
“...ลุกแล้วไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วผมก็โดนหิ้วจนตัวลอยแล้วเอาไปทิ้งในห้องน้ำ พอจะโวยวายว่ายังไม่ได้หยิบเสื้อผ้า สักพักก็มีเสื้อชุดนักศึกษารีดแล้วมาให้ถึงที่
“ให้อาบน้ำให้ด้วยเลยไหม”
“ได้ กะละมังอยู่หลังบ้าน”
“ตัวใหญ่แบบนี้ใช้สายยางน่าจะดีกว่า” พี่เอื้อเอ่ยล้อๆ ขณะที่ผมเห่าโฮ่งๆ แทนคำตอบ
พออาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยผมก็ออกจากบ้านไป พี่เอื้อที่ดูเหมือนกำลังจัดการเอกสารบางอย่างในโน้ตบุ๊กของตัวเองหันมาโบกมือให้ “เดินทางดีๆ”
“โอ้ บ๊ายบาย”
“บายยย”
ก่อนผมจะเดินออกจากบ้านก็อดชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมองคนที่ยังคงนั่งสาละวนกับงานตัวเองไม่ได้ “เตง...ไม่จูบให้กำลังใจเค้าหน่อยหรา”
“...รีบๆ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” จบที่ถูกพระเอกไล่อย่างไม่ไยดี ฮือๆๆๆ
ขณะนั่งรถเมล์ไป ผมก็เตรียมใจอยู่หน่อยๆ ว่าน่าจะโดนรุมทึ้งด้วยสารพัดคำถามร้อยแปดพันประการ แต่ปรากฏว่าผมคาดผิด เพื่อนๆ ที่คณะของผมไม่มีใครถามอะไรทั้งนั้น ผมยังคงมีการบ้านให้ลอกตามปกติ โดนอาจารย์โอ๋ปลุกให้ไปล้างหน้าตามปกติ ที่ไม่ปกติคงจะเป็นสายตาที่เหมือนอยากจะถามอะไรอยู่ตลอดเวลาของบรรดาสหายทั้งหลาย เจือกับสายตาเห็นอกเห็นใจ เวทนา และเย้ยหยัน แต่ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย
ที่ตลกคือไม่รู้อาจารย์โอ๋ถูกหวยหรือยังไง แต่ปล่อยพวกผมเร็วขึ้นตั้งสิบนาที ซึ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ ด้วยล่ะ ฮะฮะฮะ พระอาทิตย์ช่างสดใสเหลือเกิน อา...ที่บานอยู่ตรงข้างบ่อตะไคร่ขึ้นนั่นใช่ลาเวนเดอร์ไหมนะ
“เดือน... นั่น นั่น” นั่นๆ อะไรของแก ติดอ่างหรือไง พอผมหันกลับไปแยกเขี้ยวอย่างรำคาญคนที่เอาแต่สะกิดอยู่ได้...ไม่เห็นหรือไงว่ากูกำลังชื่นชมดอกลาเวนเดอร์อยู่ ทว่ามันก็ยังพยายามจะชี้โบ๊ชี้เบ๊ พอผมมองตามเท่านั้นแหละ ลูกตาผมแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
“นั่น... นั่น.... นั่นมัน” ผมอ้าปากพะงาบๆ...โรคติดอ่างดูเหมือนจะเป็นโรคติดต่อ
ที่โต๊ะหินอ่านหน้าคณะผมยามนี้มีพี่สาลี่นั่งไขว้ห้างอวดขาอ่อน สายตาจิกมาทางผมที่เพื่อนรอบข้างพร้อมใจกันถอยห่างประหนึ่งโมเสสแหวกทะเลสร้างปาฏิหาริย์...โฮก ตอนนี้กูก็ว่ากูต้องการปาติหานนนกับเขาเหมือนกันแล้ว
พี่สาลี่ลุกปุ๊บ ผมก็สะดุ้งเฮือกปั๊บ ตายหอง รู้งี้พกเบอร์ร้านเจเล่โลงศพมาด้วยก็ดีหรอก อย่างน้อยผมก็อยากเลือกโลงเองก่อนตายนะ
วันนี้ไม่รู้ทำไมพี่สาลี่มามาดนางพญาอียิปต์โบราณ กรีดรอบตาซะเข้มเชียว ข้างหลังพี่สาลี่คือแก๊งสาวสาวสาว มาแบบกะใช้พวกเข้าข่มนี่หว่า ที่นี่สถานศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์เท่งทึง เราไม่ควรใช้กำลังนะครับพี่น้อง
“น้องเดือนใช่ไหมคะ” รุ่นพี่คนสวยของผมยิ้ม
...ไม่ใช่ครับ นั่นพี่ชายฝาแฝดผม ผมแค่สวมรอยมาเรียนแทน ไอ้นี่คือที่อยากตอบ แต่กลัวตอบไปจะโดนตบ ในโลกแห่งความเป็นจริงผมฉีกยิ้มสดใสแบบฉากหลังมีดอกไม้สะพรั่ง...พวงหรีดล้วนๆ “ครับพี่ มีอะไรหรือครับ”
“พี่ได้ยินมาว่าน้องเดือนสนิทกับพี่โอบเอื้อ... อ้อ น้องเดือนคงจำรุ่นพี่ที่อยู่กับพี่บ่อยๆ ได้นะคะ”
ผมอยากจะร้องเป็นภาษาสเปนนนนนน โฮกกกกกกก เชี่ยเอ๊ย บทพูดแมสชิบหายวายป่วงนี่มันอะไรกัน นี่มันฉากนางร้ายตามมาจิกนายเอกชัดๆ โฮกกกกก พี่ครับ ผมเป็นแค่ตัวประกอบห้าบาทสิบบาทเท่านั้น รวมๆ กันยังไม่ถึงยี่สิบเลย อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ โฮ
“พอดี...พี่เห็นรูปของน้องเดือนกับพี่โอบเอื้อ...ดูจะ สนิทสนมกันน่าดูเลยเนอะ”
ผมยังคงกะพริบตาปริบๆ ใช้กลยุทธ์สล็อธยิ้มเข้าสู้ แต่ว่าพี่สาลี่แข็งแกร่งมาก สมกับที่สามารถรับมือสกิลใบหน้าสวยสะพรั่งของภาธีมาได้ตั้งอาทิตย์หนึ่ง กระพือขนตายังไงก็ทำลายเกราะป้องกันของพี่สาลี่ไม่ได้
“พี่เคยได้ยินมาอีกว่า...”
ใครมันเพ็ดทูล! ไม่จริงเพคะหม่อมแม่!
“น้องเดือนเนี่ย ชอบผู้ชายหน้าตาดีๆ นะคะ”
...แล้วมีใครบ้างไม่ชอบคนหน้าตาดี ตอบสิ ตอบ!
เพื่อนของพี่สาลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พากันหัวเราะคิกคักประหนึ่งเพลงประกอบฉากหลัง
สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเป็นเกมก็มีปุ่มให้เลือกกด A. เถียงมาเถียงกลับไม่โกง B. ยืนนิ่งๆ และรับฝ่ามือแต่โดยดี C. วิ่งหนีสิวะรออะไร...ไม่มีช้อยส์ไหนน่าเลือกเลยสักนิด ผมได้แต่น้ำตาไหลพรากๆ ในใจ ฝ่ายพี่สาลี่ก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้
“ช้าก่อน!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนพากันหันกลับไปมอง
ฮ่า คิดว่าพระเอกต้องมาแล้วใช่ม้ายยยย
ผิดครับ...ที่ออกมาประจันหน้ากับพี่สาลี่ไม่ใช่พระเอก แต่เป็นไอ้กิ่งและอกคัพดีของมัน โฮก เพื่อน กูรักมึงงง
“พี่สาลี่ ตัวร้ายแบบนี้มันตกยุคไปแล้วนะคะ”
“น้องกิ่งคะ นี่ไม่ใช่เรื่องของน้อง”
ตอนแรกผมคิดว่าไอ้กิ่งจะพูดกลับด้วยประโยคประมาณว่า ‘เดือนเป็นเพื่อนกิ่ง เรื่องของเดือนคือเรื่องของกิ่ง’ แต่เปล่าเลย ผมประเมินศักยภาพความเป็นเพื่อนของมันต่ำไป เพราะสิ่งที่มันทำคือพยักหน้า “อื้อ ไม่ใช่เรื่องของกิ่งจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
“...” อ้าวเฮ้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า...นี่ตกลงมึงออกมาทำอะไรวะเพื่อน
“แต่เป็นเรื่องของคุณพี่คนโน้น” ไอ้กิ่งยิ้มหวานเจี๊ยบ ก่อนพยักเพยิดไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งทุกคนที่อยู่ในบริเวณพากันหันขวับ รวมถึงผม
ที่อยู่ตรงนั้นเป็นผู้ชายในชุดนักศึกษาราคาแพงใส่แล้วเจ้าตัวบอกไม่คันคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินมาพร้อมอาจารย์โอ๋ ทั้งคู่ดูเหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเหล่าไทยมุงจีนมุงทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่
“พวกเธอ ทำอะไรกันอยู่ ไม่กลับบ้านกลับช่อง อยากเรียนต่ออีกคาบเหรอ” อาจารย์โอ๋ถามยิ้มๆ
เท่านั้นแหละครับ วงแตก! งานนี้ยิ่งกว่าตำรวจบุกจับทลายบ่อน แต่ละคนต่างปฏิเสธด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
ตอนนี้มาย้อนคิดดูดีๆ แล้ว พี่สาลี่เลือกชัยภูมิเป็นหน้าคณะนี่นับว่าพลาดโดยแท้ จะดักตีผมมันควรจะเป็นซอยเปลี่ยวๆ ร้างๆ แต่ก็นะ ขึ้นชื่อว่าแมสคงเล่นใหญ่ ผมคิดว่าพี่สาลี่คงแค่อยากมาปรากฏตัวเพื่อประกาศศักดา...แค่ก อย่าเรียกฉี่ทับที่สิ เสียมารยาทต่อสุภาพสตรี!
“อ้าว แล้วนี่มากันทำไม มีงานอะไรเหรอวันนี้” อาจารย์โอ๋เปลี่ยนเป้าไปโจมตีเหล่าแก๊งพี่สาลี่ที่พร้อมใจกันส่ายหัวเป็นกลองป๋องแป๋ง “อ้า หรือว่าปีที่แล้วเรียนกับอาจารย์ยังไม่พอ? อยากเรียนกันอีกรอบหรือไง”
เหล่ารุ่นพี่พร้อมใจกันปฏิเสธรัวๆ อาจารย์โอ๋ยิ้มขันๆ ก่อนหันกลับมามองพวกผม “เอาเถอะ อยู่กันก็ดีแล้ว นี่อาจารย์เพิ่งคุยกับเอื้อการย์ เขาปรึกษาเรื่องติวเด็กใหม่ช่วงมิดเทอม”
ทุกสายตาเลื่อนไปหาพี่เอื้อการย์ผู้เป็นถังน้ำมันใบใหญ่ของสถานการณ์ ทว่าฝ่ายนั้นยังคงยิ้มอย่างไม่สะกสะท้าน นี่ก็แข็งแกร่งอีกคน “ก็ดูน้องๆ แล้วผมว่าจัดกลุ่มติวสักหน่อยน่าจะดี งั้นไว้ผมไปร่างแผนเข้าประชุมสโมฯ แล้วเอากลับมาคุยอีกทีนะครับ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ’จารย์”
“ได้ เธอนี่ก็ขยันจริง วันก่อนเห็นนายมรรคกับเดอะแก๊งเธอหนีไปเที่ยวไต้หวันกัน ไม่ได้ไปด้วยกับเขาเหรอ” อาจารย์โอ๋ถาม...เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน นายมรรคคือชื่อพี่ตี๋ครับ
พี่เอื้อยิ้มๆ ก่อนตอบ “แหม ก็เพราะแฟนผมติดเรียนซัมเมอร์กะ’จารย์อ่ะแหละ ไม่งั้นป่านนี้ผมก็หอบแฟนไปเที่ยวแล้ว”
คำตอบนี้เรียกความสนใจจากอาจารย์โอ๋และเหล่าไทยมุงจีนมุงรวมถึงผม “เอ๋ ตายจริง นี่กินเด็กเหรอ” ...ว่าแล้วอาจารย์ก็เลื่อนสายตากลับมาทางพวกผมประหนึ่งจะแสกนหาว่าผู้โชคดีคือคนไหน
พี่เอื้อหัวเราะร่วมก่อนก้าวยาวๆ ตรงมาหาผมที่เกือบยกการ์ดขึ้นป้องกันตัว ทว่าเอื้อการย์พลิ้วกว่า สามารถหลบหมัดฮุกผมแล้วเอื้อมมือมาคล้องไหล่ผมได้อย่างลื่นไหลสวยงามเฟรมเรตไม่ตก ก่อนจะหันกลับไปหลิ่วตาใส่อาจารย์โอ๋ที่อ้าปากค้างเหมือนคนอื่นๆ “กินเด็กเขาว่าเป็นอมตะนะครับ’จารย์”
อาจารย์โอ๋นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนทำท่าทุบมือเป็นเชิงเข้าใจ “เห มาภาเหรอ อ้อ ตายจริง...ตะกี้ที่เธอขอดูใบคะแนน”
“แหม ผมติวให้ก็ต้องขอดูผลงานตัวเองหน่อยสิครับ” พี่เอื้อหัวเราะร่วน ก่อนเอื้อมมือมาบิดจมูกผม “...ทำได้ไม่เลว แต่ผิดแบบเลินเล่อไปเยอะนะเราน่ะ”
ผมในเวลานั้นทำได้แค่ยืนตัวแข็งจ้องพี่เอื้อด้วยสายตางุนงง เลยถูกพี่เอื้อดีดกะโหลกไปอีกที “เอ้า งงอีก ควิซคราวก่อนไง พี่บอกแล้วให้ระวังตัวหารๆ ...ลืมหมด”
อาจารย์โอ๋หัวเราะแล้วพูดอะไรบางอย่างกับพี่เอื้อ ซึ่งผมฟังไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้ว ขณะกวาดตาไปรอบๆ ก็เห็นเพื่อนพ้อนน้องพี่แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้างุนงงสงสัย ตลอดจนตื่นตะลึง ส่วนพี่สาลี่คลีโอพัตรายามนี้หน้าซีดเผือด จนกระทั่งอาจารย์โอ๋เดินไปลับสายตาถึงค่อยเคลื่อนไหว
“พะ พี่โอบเอื้อ” ...โอ้โห เสียงอ่อนเสียงหวาน อะไรวะ เมื่อกี้ไม่ใช่แบบนี้
“สาลี่” พี่เอื้อยิ้มๆ ทว่าผมที่เห็นเขามาตลอดหลายอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันเริ่มจับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มไปไม่ถึงลูกตา
“พี่โอบเอื้อ เมื่อกี้...หมายความว่ายังไงกันคะ”
พี่เอื้อยังคงยิ้ม “สาลี่...พี่บอกครั้งเดียวนะครับ น้องที่อยู่ด้านหลังก็ตั้งใจฟังด้วย รู้ใช่ไหม...ไม่สิ เอาว่าจะรู้ไม่รู้ ก็อยากจะให้รู้ไว้ พี่ไม่โอเคกับการบูลลี่คนอื่นครับ จะด้วยความเป็นรุ่นพี่ หรือพวกมาก หรืออะไรก็แล้วแต่”
ใบหน้าของพี่สาลี่ซีดราวกับกระดาษ ก็น่าตกใจอยู่ ขนาดผมได้ยินยังตกใจกับหมัดฮุกตรงหมัดนี้เลย แต่พอนึกถึงอดีตของพี่เอื้อ ก็พอเข้าใจอยู่ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้
พอเห็นทุกคนอึ้งๆ พี่เอื้อก็หัวเราะออกมา “ทำไม คิดว่าต้องเหมือนในละครเหรอ ที่พระเอกเอาแต่กลัวคนนั้นจะโกรธ คนนี้จะเกลียด เลยไม่พูดเข้าเรื่องตรงๆ เสียที ปล่อยให้มันคาราคาซังต่อไป”
“พวกน้องอาจจะคิดว่าทำไมพี่ต้องเอามาพูดกลางที่สาธารณะแบบนี้...น้องครับ แล้วตอนน้องลากคนอื่นมาสาวไส้กันเล่น คิดบ้างหรือเปล่าว่ามันก็เป็นที่สาธารณะ”
เหล่าเพื่อนผมพากันก้มหน้านิ่ง
“แต่พี่ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้มันใหญ่โตลุกลามไปกว่านี้ ใครทำอะไร รู้ตัวเองนะครับ โตๆ กันแล้วเนอะ จบมหาวิทยาลัยก็เข้าวัยทำงาน เป็นผู้ใหญ่แล้ว รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองด้วยนะครับ”
ผมรู้สึกว่ามือที่จับต้นแขนของผมอยู่ออกแรงบีบเล็กน้อย “ส่วนสาลี่ พี่ขอพูดครั้งเดียวนะครับ...นายมาภานี่เป็นแฟนพี่ ไม่ว่าก่อนนี้เราสองคนจะสนิทสนมกันอย่างไรก็แล้วแต่ นั่นคือเรื่องก่อนนี้ พี่ก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้สาลี่คิดไปไกล อันนี้พี่ผิด พี่รู้ตัว...แต่ตอนนี้พี่เลือกแล้ว พี่ก็อยากทำให้มันชัดเจนกับคนของพี่ ช่วยเคารพในการตัดสินใจของพี่หน่อยนะครับ ทำแบบที่สาลี่กับเพื่อนๆ กำลังทำอยู่ หรือกำลังจะทำมันไม่น่ารักเลยนะ”
ผมเห็นร่างของพี่สาลี่สั่นเทิ้ม ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “พี่โอบเอื้อ...”
“เฮ้อ สาลี่” พี่เอื้อส่งผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “พี่ไม่มีค่าพอให้ร้องหรอกครับ เอ้า เช็ดน้ำตาซะนะครับ”
พี่สาลี่รับผ้าเช็ดหน้าแบรนด์เนมของพี่เอื้อไปกำไว้แน่น ก่อนพึมพำขอโทษเสียงเบา
พี่เอื้อยิ้มๆ ก่อนเอ่ยเสียงเนิบนาบกับคนอื่นๆ ที่เหลือ “น้องๆ แถวนี้ก็จำไว้อย่างหนึ่งนะครับ ผู้ชายที่แฟนตัวเองยังปกป้องไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเอามันทำพันธุ์ โอเคนะ”
“โอ๊ยยยย พี่อยากเป็นพ่อพันธุ์ให้หนูไหมคะ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของผมตะโกนออกมา คนที่เหลือเลยเสริมต่อ “หนูก็อยากได้” “หล่อออออ” “ผัวเหลือเกิน” “พี่เอื้อไม่อ่อนโยนกับน้องเลยค่า~”
“...” พี่เอื้อกับผมมองหน้ากันก่อนพยักหน้าหงึกหงัก “เอาเป็นว่าพวกพี่ขอตัวก่อน ลานะครับเหล่าไทยมุงจีนมุง กลับบ้านครับ กลับไปรีบไปอัปโซเชียลนะครับว่าพี่เอื้อการย์มีเจ้าของแล้ว”
ว่าแล้วพี่เอื้อก็หลิ่วตาให้กลุ่มผู้ชุมนุม ก่อนจะลากผมชิ่งหนีออกมาในทันที
หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็พยายามเลี่ยงพี่สาลี่ อีกฝ่ายเองก็เลี่ยงผมในระดับหนึ่ง ก็เลยไม่เคยมองหน้ากันตรงๆ กันอีกจนเรียนจบ ไอ้จะทำตัวแบบในละครที่ว่าไปขออภัยยิ้มให้กันนั่นไม่มีหรอกนะในชีวิตจริง ผมไม่โดนเอาเปลือกทุเรียนมาตบก็เป็นบุญแค่ไหนแล้ว
เห อะไรนะน้องเอก เห็นว่าเร็วๆ นี้พี่สาลี่เพิ่งกำลังจะแต่งงานกับรุ่นน้องที่ทำงานเหรอ เห... ฮื่อ เอาเถอะ ในที่สุดก็หาจนได้ โล่งอกไปที ต่อไปไหล่ที่หนักๆ จะได้เบาลง อะไรนะ ออฟฟิศซินโดรมเพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย...ฮือๆๆๆ ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!
ลับสายตาคน ผมที่ถูกพี่เอื้อลากมาตลอดทางก็ขืนตัวในทันที
“พี่อะเอื้ออออออ พี่ทำอะรายลงปายยย พี่ทำอะรายลงป๊ายยย” ตอนนี้หน้าผมแดงแปร๊ดจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว
พี่เอื้อสลัดมาดแฟนหนุ่มน่ารักเมื่อครู่ทิ้ง กลับไปเป็นพี่เอื้อผู้ยียวนกวนบาทาผมเหมือนเดิม “อ้าว ก็ช่วยนายไง เหมือนในละครไง พระเอกออกมาช่วยด้วยการประกาศตัว โอ้โห หล่อจริงๆ เลยกู”
“...” จะถามว่ายางอายมันมีอยู่บ้างไหมก็ดันเสือกหล่อจริงจนถามไม่ออก
“เหอะน่า” เขายักไหล่ “ยังไงถ้าฉันต้องเป็นตุ๊กตากบไปชั่วชีวิต ฉันก็ต้องพึ่งนายไปชั่วชีวิตอยู่ดีนี่นา”
“อย่างน้อยก็ช่วยถามความสมัครใจผมก่อนก็ดีนะ”
พี่เอื้อชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มหล่อร้ายแบบที่เห็นแล้วผมอยากจะละลายตายไปตรงนั้นเลย “มาภา พรอาภา... น้องเดือนปลอมยินดีจะนับมดกับพี่เอื้อการย์ไปตลอดชีวิตไหมครับ”
เอาล่ะ ผมตายแล้ว...ลาก่อน จังหวะนี้จะโลงบานเลื่อนหรือฝาพับผมก็โอเคทั้งนั้น แต่ภาพขอเป็นโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ใช้อยู่นี่ก็แล้วกัน มันจะได้ดูดีหน่อย “พี่เอื้อ...วันแรกผมขอข้าวต้มปลานะ”
“...”
“แพ็กเกจเอาแบบสามวันพอ จัดเยอะเปลือง”
“งานแต่ง?”
“งานศพ!”
เห็นผมยังพล่ามไม่หยุด พี่เอื้อหลุดหัวเราะออกมา “เฮ้ย ได้พี่ทั้งที จะรีบทิ้งพี่ไปไหน”
“ไปสวรรค์” ...ชั้นดาวดึงส์ด้วยจะดีมาก
“งั้นไปกันเถอะ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาให้จับ ผมละล้าละลังเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปคว้ามือของเขา และเดินตามเขาไป
“...ไม่ได้ไปสวรรค์ใช่ไหม”
“บ้าเรอะ” พี่เอื้อใช้มืออีกข้างที่ว่างเขกกบาลผม ก่อนเคลื่อนเข้ามากระซิบข้างหู “แต่ถ้าอยากไปสวรรค์อีกแบบ อันนั้นอยู่ในโปรโมชันอยู่แล้ว”
...หลังจากนั้นผมก็หัวใจวายตาย จบ แค่กๆๆๆ
เอาใหม่ หลังจากนั้น พี่เอื้อกับผมก็หาวิธีแก้คำสาปได้...ส่วนผมก็สอบซ่อมผ่านไปด้วยดี ดังนั้นก็ถึงเวลาปิดม่านของเรื่องราวทั้งหมดนี่...
ในเรื่องเล่าบางครั้งก็บอกว่าเจ้าชายกบคืนร่างด้วยจุมพิตของหญิงสาวบริสุทธิ์ บ้างก็ว่าเป็นหญิงสาวผู้มีรักแท้ หรือบ้างก็ว่าใช้เพียงน้ำตาเพียงหยดเดียว แต่จะด้วยวิธีการไหน ถ่ายทอดโดยปลายปากกาของใคร
สุดท้ายแล้วผู้ที่ช่วยให้เจ้าชายกบได้กลับเป็นมนุษย์ก็คือผู้เป็นที่รักนั่นเอง
“พระองค์ได้ทำลายคำสาปอันชั่วร้ายของกระหม่อม บัดนี้ สิ่งเดียวที่กระหม่อมปรารถนาคือการพาพระองค์กลับสู่อาณาจักรของกระหม่อม ซึ่งกระหม่อมจะได้อภิเษกกับพระองค์ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปตลอดกาล”
จากนั้นทั้งเจ้าชายและคนรักก็ครองรักกันอย่างมีความสุข...
ไปตลอดกาล
พวกผมสองคนกุมมือกันมองอาทิตย์อัสดง พลางหันไปยิ้มให้กัน
“ตลอดกาลนี่เห็นจะมีแต่ในนิยายล่ะมั้ง”
“ก็นี่นิยายไม่ใช่เหรอ...” พี่เอื้อยื่นมือมาดีดหัวผมดังป๊อก
“เอ้อ จริงด้วยเนอะ” ผมหัวเราะออกมา
ที่แท้แล้ว...ความรักเริ่มจากอะไรกันนะ?
ความประทับใจในรูปลักษณ์ภายนอกอันฉาบฉวยแต่แรกเห็น?
ความสัมพันธ์ที่พอกพูนผ่านวันและเวลา?
แต่จะแบบไหนก็แล้วแต่ ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่าผมไม่ได้ชอบเขาเพราะเขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์พร้อมแบบพระเอกในนิยาย ‘แมสๆ’ แบบที่เราสองคนชอบล้อกัน แต่ผมชอบเขา เพราะเขาเป็นตัวเขา เป็นเอื้อการย์ที่ ‘ไม่แมส’ แบบนี้นี่แหละ
พวกผมสองคนหันมามองหน้าและฉีกยิ้มให้กัน ก่อนเอ่ยสี่พยางค์ออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“จบบริ---”
CUT! CUT! CUT!
-เดี๋ยวววววววววก่อนครับ พวกพี่ใจคอจะจบแบบนี้เลยเหรอครับ-
น้องเอกรัวที่ตีเปรตและตีเดือนรัวๆ
ผมกะพริบตาปริบๆ “อ้าว พระนายรักกัน เรื่องก็จบได้แล้วป่ะวะน้อง จะเอาอะไรอีก หม่อมแม่กีดกัน? แฟนเก่า? คู่หมั้นทวงบัลลังก์? อุบัติเหตุรถชนความจำเสื่อม? ชาติกำเนิดที่แท้จริงถูกเปิดเผย?”
พี่เอื้อฟังผมแล้วหัวเราะก๊าก
“ซึ่งพวกพี่ไม่มีเลยสักอีเว้นต์” ผมทำท่าแบมือว่าบ๋อแบ๋ “จบตรงนี้ก็ถูกต้องแล้ว”
“นั่นสิ เจ็ดสเตจพวกพี่ก็มีครบแล้วด้วย แมสๆ” พี่เอื้อเอ่ยยิ้มๆ ส่วนผมฟังแล้วอดกลอกตาไม่ได้ นี่ต้องถูกไอ้จิ๊บบี้มันล้างสมองมาอย่างแน่นอน เดี๋ยวกลับไปผมจะไปเฉ่งมัน
-แล้วคำสาปล่ะพี่ คำสาปน่ะ! พี่จะสรุปแค่บรรทัดเดียวว่าแก้คำสาปแล้วไม่ได้นะครับ!-
“ต้องสนด้วยเหรอ”
“นั่นสิ ไม่ได้เป็นประเด็นหลักของเรื่องสักหน่อย”
-สนสิครับ!-
ผมมองน้องเอกคนสัมภาษณ์ที่ทำท่าเหมือนอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ส่วนพี่เอื้อก็ยังดำเนินการกลั่นแกล้งต่อไป
“น้องครับ น้องกำลังทำลายเคิร์ฟของนิยายนะเนี่ย คิดสิคิด นิยายเนี่ย พอพ้นไคลแม็กซ์สุดท้ายก็จบไปได้แล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นแล้วเนี่ย มันทำให้เรื่องเป็นเส้นตรงราบเรียบนะ”
ผมส่งเสียงร้องสนับสนุนทันที ถึงในความเป็นจริงแล้วผมจะคิดว่ากราฟนิยายเรามันเหมือนเส้นตรงแบบกราฟหัวใจหยุดเต้น หาไคลแม็กซ์ไม่เจอก็ตามที “ช่ายยยย”
-ช่างหัวเคิร์ฟมัน พี่จะเล่าแล้วค้างแค่นี้ไม่ได้!-
ผมหันไปมองหน้าพี่เอื้อที่ยามนี้มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เอาล่ะ พอแล้ว เลิกรังแกน้องเอกได้แล้ว น้องเอกมีแบ็กใหญ่นะพี่”
“เออเอ้า งั้นเล่าต่อ ตกลงจะเอาจนถึงแก้คำสาปได้ก็ได้ แต่มันไม่น่าสนใจเลยสักนิดนะ”
“จริง มันธรรมดามากกกกก”
-นั่นแหละครับ ช่วยเล่ามาเถอะ-
“อาทิตย์อัสดงไม่ดีตรงไหน” ผมบ่น
“เออ ไอ้กุมมือกันชมอาทิตย์อัสดงมาจากไหนวะ”
“ละครเกาหลีที่ดูเมื่อวาน” เพราะชีวิตจริงช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยนี่อย่าว่าแต่อาทิตย์อัสดงเลย ดวงอาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้เห็น กว่าจะปั่นโปรเจ็กต์เสร็จกลับออกมาจากคณะฟ้าก็มืดแล้ว
“ไม่ให้พี่แบกขึ้นหลังแล้วเดินบนชายหาดเลยล่ะ”
“ได้ งั้นพี่แบกผมขึ้นหลังเดินเลียบชายหาด มองออกไปเห็นผืนทะเลที่อาบด้วยแสงของอาทิตย์ยามอัสดง...เป็นไง”
-พอแล้วครับ! พวกพี่ช่วยกลับไปแถวๆ คณะเราได้แล้วครับ สรุปแล้วหลังจากล้มพี่สาลี่ได้แล้วพวกพี่ทำยังไงกันต่อ-
ผมหยุดคิดทบทวนเล็กน้อยว่าเมื่อครู่ถึงตรงไหน เอ้อ หลังจากเปิดตัวกันแล้ว...ก็ใช้ชีวิตต่อไป “แบบนี้จะเล่ายังไงต่อ สเตจหมดแล้วอ่ะ”
พี่เอื้อดีดนิ้ว “ง่ายมาก...”