ตอนที่5
ผมตื่นขึ้นมาตอนเกือบ11โมงของเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อคืนเหรอครับ? ก็ไม่มีอะไร ผมไม่ได้ทำอะไรเกินเลยมันเลยนอกจากสูดกลิ่นตัวหอมๆของมันแล้วหลับไป เหมือนมีอโรมาเคลือบอยู่บนตัวมัน หลับสบายจนตื่นมาเกือบเที่ยง จริงๆวันนี้ผมไม่มีเรียนแต่มีนัดเอาเนื้อหาที่จะลงเล่มโปรเจคไปให้อาจารย์ตรวจ มองไอ้คนที่นอนคุดคู้มื้อข้างนึงถูกล็อคเข้ากับหัวเตียงแล้วก็ต้องชั่งใจ ถ้าไปแล้วจะเอามันไปไว้ไหน? แผนของผมคือต้องเก็บมันไว้ใกล้ๆตัวจนกว่าจะครบ7วันอะไรของมันนั่นแหล่ะ หวังว่าถ้าเส้นตายของมันหมดลงมันคงจะล่าถอยกลับไปที่ที่มันมา สงสัยวันนี้ต้องเปลี่ยนแผน ผมกดเบอร์หาอาจารย์ที่ปรึกษาวิชาโปรเจคจบแล้วแจ้งว่าขอเลื่อนปรึกษาเป็นวันอื่น โชคดีที่ผมทำงานนำหน้าคนอื่นอยู่พอสมควร เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไรเท่าไหร่ เพราะเนื้อหาที่มีอยู่อาจารย์ก็ตรวจผ่านหมดแล้ว วางสายจากอาจารย์ก็ต้องโทรหาอีกคนต่อ
“ฮัลโหลไอ้ต้น มึงเข้ามอยังอ่ะ”
“แล้ว มึงจะมากี่โมง? เออชิณณ์เสร็จแล้วก่อนกลับห้องพากูไปกินโจ๊กเปิดหม้อหน่อยดิอยากแดก ใต้คอนโดก็มีแต่ของเดิมๆ เบื่อ คืนนี้กูต้องอยู่แก้งานด้วยเนี่ย แม่ง เฮ้ย ..มึงเห็นทรัมป์ไดร์ฟอันสีแดงของกูป่ะวะ กูว่าวางไว้บนโต๊ะ เดี๋ยวคืนนี้แม่งต้องกลับไปหาละอยู่ดีๆแม่งหะ….
“ต้น”
“หึ๊?”
“ช่วงนี้มึงอย่าเพิ่งกลับมานอนที่นี่ได้ป่ะวะ คือ..กูมีธุระต้องใช้ห้องอ่ะ มึงนอนห้องเฮียไปสักพักก่อนนะ ถ้าเสร็จเรื่องเมื่อไหร่เดี๋ยวกูโทรบอก”
“……… ไอ้ชิณณ์! แค่มึงจะเอากับเด็กนี่ถึงห้ามไม่ให้กูกลับห้องเลยเหรอวะ? ทำไม? กะจะหมกตัวล่อกันทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไง” เสียงไอ้ต้นตะคอกมาตามสาย เสียงแข็งแถมพูดห้วนๆแบบนี้ถือว่าเตือนภัยระดับสาม ไอ้ต้นเป็นคนมีโลกส่วนตัวพอประมาณเหมือนกัน ปกติถ้าไม่มีอะไรมันก็ถือว่าเป็นคนติดห้องคนนึงเลย อยู่ได้แม่งทั้งวันแบบไม่ออกไปไหนเลย แต่พอจะออกทีก็หลายวันกว่าจะกลับ ผมก็เข้าใจแหล่ะถ้ามันจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
“คือกูมีธุระสำคัญมาก มึง...ช่วยๆกูหน่อยละกันนะ”
“……….”
“…ต้น”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
วางไปละ นี่แหล่ะเตือนภัยระดับสี่ เงียบแบบนี้แสดงว่าโกรธ ถ้าเป็นเหมือนทุกครั้งคือมันจะไม่พูดกับผมไปอีกวันสองวันเลย ฟีลลิ่งแบบ ถ้าผมนั่งอยู่ตรงไหนมันก็จะเดินทำหน้ากวนตีนๆเดินเฉียดๆผ่านไป จะหายก็ตอนผมไปชวนคุยก่อน ก็ดี มันจะได้ห่างๆที่คอนโดไว้ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้ามันกับไอ้คนในห้องเจอกันซึ่งๆหน้าแล้วผมจะยังเอาอยู่ไหม ผมหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมเดินเข้าไปอาบน้ำอาบท่า ถึงไม่ได้ออกข้างนอกแต่ก็ยังมีงานกองไว้ให้ทำอีกเยอะแยะ
“อ้าว ตื่นได้แล้วเหรอ” ออกมาจากห้องน้ำก็มาเจออีกคนนั่งหน้านิ่งอยู่บนเตียง เพิ่งตื่นแม่งยังดูดีเลย เมื่อคืนเห็นมันแว๊บแรกกว่าว่ามันหล่อแล้วนะ มาเจอตอตเช้านี่ยิ่งกว่าเมื่อคืนอีก “…เอาไง มึงจะอาบน้ำก่อนไหม?
“อาบ..น้ำ” มันเหลือบตามามองผม มองแบบหัวจรดตีนแล้วมองตีนขึ้นหัวอีกรอบ “..ทำความสะอาดร่างกายสินะครับ ผมไม่ต้องทำครับ ที่อนาคตร่างกายเราจะรับสารอาหารเข้าไปทางผิวหนังแล้วขับของเสียโดยการระเหยออกมาเป็นไอทำให้เราได้ขจัดของเสียจากภายในออกมาโดยตรง ไม่ต้องทำความสะอาดร่างกายผ่านทางผิวหนังซึ่งทำได้เพียงแค่ภายนอก”
“อ้ออ” ผมพยักหน้าน้อยๆกับสิ่งที่มันพูด คนบนเตียงพูดออกมาเหมือนกำลังอยู่ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ พูดเสร็จก็นั่งจ้องหน้าผมเหมือนเดิม เหมือนกูกำลังคุยกับเด็กปอหกที่สอบได้ที่1เมื่อเทอมที่แล้วเลย “แล้วงี้ไม่มีกลิ่นตัวเหรอวะ?”
“ก็ไม่นะครับ”
“เหรอวะ แต่เมื่อคืนกูว่ากูได้กลิ่นนะ ไหนมาดมใหม่ดิ๊” ผมเดินเข้าไปหอมแก้มมันซ้ายขวาอย่างละฟอด หอมเหมือนเดิม เมื่อคืนก็หอมแบบนี้แหล่ะ จริงๆผมก็รู้แหล่ะว่ามันไม่โกหก แค่เห็นหน้าเซื่องๆแล้วหมั่นเขี้ยวแค่นั้น
“เป็นไงครับ” อีกคนเงยหน้ามาถามผมด้วยแววตาสงสัยนิดๆ นึกว่ามันจะเขินแต่ก็เปล่า ทีเมื่อคืนแล้งเป่าหูนิดเดียวหน้าแดงหูแดงไปหมด
“ได้กลิ่นไม่ชัดว่ะ เดี๋ยวลองอีกที” ผมแกล้งทำหน้าไม่แน่ใจใส่ แล้วเพุ่งเข้าไปที่ซอกคอมัน แล้วกึ่งดมกึ่งฟัดที่ผิวเนื้อขาวๆนั่น กลิ่นหอมจริงๆ หอมจนทำให้มัวเมา จนเหมือนจะปลุกสัญชาตญาณดิบของผมขึ้นมา........ อยากกัดให้จมเขี้ยวเลย
“อึ๊...”
เสียงเบาๆของอีกคนเล็ดลอดมาเหมือนจะประท้วง นั่นเลยเรียกสติให้ผมเงยหน้าขึ้นมา ถ้าไม่หยุดเดี๋ยวจะเลยเถิด
“มีกลิ่นไหมครับ” ถามคิ้วขมวดเหมือนเริ่มกังวล
“ก็...มีนิดหน่อยอ่ะแต่ก็ไม่มาก ถ้าไม่อยากอาบน้ำมึงไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยดีกว่า ทำเป็นใช่มะ” ผมเหยียดตัวลุกขึ้นแล้วไล่ให้มันไปล้างหน้า ถึงจะไม่จำเป็นกับมันแต่ผมว่าตื่นนอนก็ต้องล้างหน้าล้างตารับวันใหม่อยู่ดี
“ก็พอรู้วิธีครับ ..แล้ว.....” มันกระตุกข้อมือที่ถูกล็อคเข้ากับหัวเตียง แล้วมองหน้าผมนิ่งๆ เอาไงดี ถ้าปล่อยแล้วแม่งจะคลั่งขึ้นมาอีกไหมวะ
“ถ้ากูปล่อยแล้วจะไปตามฆ่าไอ้ต้นอีกรึเปล่า”
“ผม..” อีกคนหลุบสายตาลงต่ำ น้ำเสียงเจือไปด้วยความกังวล “ผมทำไม่ได้ครับ ผมออกไปนอกที่นี่ไม่ได้ องศาของประตูมทางเข้าอยู่ได้แค่ภายในตึกนี้เท่านั้น ถึงออกไปได้ผมก็ไม่รู้จะไปตามหาคุณรุขชาติที่ไหนด้วยนี่ครับ”
“โอเค กูเชื่อ จะโกหกห็ได้แต่ถ้ากูจับได้ก็รู้ใช่ไหมว่ายังไงต่อ”
“ผมไม่โกหกครับ”
อีกคนเงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงจริงจัง ก็จริงของมัน แม้เรื่องที่มันพูดจะดูเหลือเชื่อแต่บางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้พูดโกหก และมันก็จะไม่โกหกด้วย หลังไล่มันเข้าไปล้างหน้า อาหารที่ผมสั่งไว้ก็มาส่งพอดี ผมไม่รู้ว่ามันจะกินได้ไหมแต่ก็สั่งเผื่อมันมาไว้ก่อน
“ไม่กินเหรอ” ผมพูดข้ามไปหาคนที่นั่งมองหน้าผมมาจากอีกฝั่งโต๊ะ
“ไม่ครับ ทานแบบนี้ไม่ได้”
“แล้วจะกินแบบไหน”
“ในร่างกายรับสารอาหารมากักตุนมากพอแล้วครับ มันจะค่อยๆดึงมาใช้ให้พอสำหรับเวลาที่คำนวณไว้”
อ๋อ แปลว่ากะกะมาอยู่หลายวันอยู่แล้วสินะ ผมพยักหน้าแล้วกลับมาจัดการอาหารตรงหน้าต่อจนเสร็จ มันก็นั่งเฉยๆไม่พูดอะไรเหมือนเดิม จนผมย้ายที่เตรียมตัวไปเปิดคอมพ์ทำงานต่อเลยบอกให้มันมานั่งดูทีวีที่โซฟา
“ถ้าเบื่อก็เปิดทีวีดูเอา รีโมทอยู่บนโต๊ะ”
“ทีวี? ”
“ใช้ไม่เป็นเหรอ” มันนั่งจ้องทีวี48นิ้วแล้วทำหน้าสงสัย
“ก็พอได้ครับ พวกอุปกรณ์ไอทีบางอย่างก็มีบันทึกวิธีใช้ไว้ก่อนนำไปพัฒนาเป็นนวัตกรรมต่อยอดในอนาคต ที่อนาคต..เราไม่มีเฟอร์นิเจอร์เหมือนแบบที่นี่ ทุกอย่างถูกบรรจุไว้ในสภาพอากาศ เราใช้โค้ดจากการวาดนิ้วมือผ่านเป็นการเรียกมันขึ้นมา เพราะไม่มีทรัพยากรอะไรเหลือพอที่จะทำให้ผลิตสิ่งของขึ้นมาอีก”
อยู่ดีๆมันก็เริ่มเล่าวิถีชีวิตของมัน ผมก็นั่งฟังไปเรื่อยๆ เหมือนมันเล่าเรื่องของอีกโลกนึงให้ฟัง ก็ตลกดีเหมือนกันที่ผมก็นั่งฟังได้ มือก็ทำงานไป ผมก็ไม่รู้หรอกว่าที่มันพูดจริงไหม ใครจะไปรู้ว่าโลกอีกร้อยปีจะเป็นยังไง แล้วผมก็คงอยู่ไม่ถึงจนพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่มันพุดเป็นเรื่องจริงรึป่าวด้วย เราต่างนั่งกันคนละมุมจนเวลาเลยมาจะหกโมงครึ่ง มันก็นั่งจ้องทีวีมาตั้งแต่บ่ายเลย แม่งตื่นเต้นกับทุกสิ่งในทีวีเหมือนไม่เคยเห็น ส่วนผมก็นั่งทำบุ๊คโปรเจคมายาวๆตั้งแต่บ่ายเหมือนกัน
“อื้มมมมมม ” ผมยืดแขนบิดขี้เกียจ นั่งหน้าคอมทั้งวันนี่มันล้าจริงโว้ย แต่ทำไงได้ ถึงผมจะเรียนบ้างเที่ยวบ้างเอาคนนู้นคนนี้ขึ้นมาเอาที่ห้องจนไปเรียนสายบ้าง แต่วิชาโปรเจคนี่เหมือนประตูสุดท้ายของเหล่านักศึกษาทุกคนก่อนก้าวไปยืนบนเวทีของสังคมแบบสง่างาม ความรู้ทั้งสี่ปีต้องเอามาผสมและต่อยอดให้งานออกมาดีที่สุด ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำให้ออกมาดีที่สุด เหลือบไปหน้าทีวีเห็นอีกคนนอนท้าวคางคว่ำข้างโซฟาดูสารคดีอะไรของมันไม่รู้อย่างสบายใจก็แบบอิจฉาไม่ได้ สบายจริงนะมึง… ผมลุกขึ้นเดินมาที่หน้าทีวีแล้วล้มตัวนอนทับไปบนหลังมันก่อนเอาหน้าแนบไปที่หลังผายนั่น หอมจัง มันเอี้ยวตัวขึ้นมาน้อยๆแล้วเลิกคิ้ว
“กูเช็คดูว่ายังมีกลิ่นอยู่ไหม” มันพยักหน้าน้อยๆแล้วหันกลับไป ผมเลยละเลงดมหลังมันจนทั่ว โรคจิตเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาตามดมกลิ่นคนอื่นแบบบ้าคลั่งขนาดนี้เลย ….นั่นแหล่ะครับ พอหายอยากแล้วเลยลุกไปสั่งข้าวมากิน นั่งทำนู่นนี่ก็จะสองทุ่มแล้ว วันนี้นอนเร็วหน่อยดีกว่า เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย ดูความเรียบร้อยเสร็จผมก็สะกิดอีกคนให้เข้าห้อง มือถือยาลดน้ำมูกกับแก้วน้ำเข้ามาด้วย อันนี้แหล่ะตัวช่วยให้ผมหลับเร็ว กินที่ไรหลับยาวตลอด
“ยาเหรอครับ”
“อืม กินแล้วหลับเร็ว” ผมตอบคำถามคนที่ยืนมองอยู่ข้างเตียง มันเดินมาหยิบกระปุกยาขึ้นเพ่งอ่าน
“หลับ”
“อืม...” ผมมองหน้ามันแล้วนึกอะไรดีๆขึ้นมา คว้ากระปุกมาหยิบยาใส่ปากหนึ่งเม็ด “เอาน้ำให้หน่อย” อีกคนเอื้อมมือไปหยิบแก้วมายื่นให้
“ป้อนสิ”
“ครับ..?”
“ไม่รู้เหรอว่าเขากินยากันยังไง” ผมดันแก้วในมือมันเข้าไปจ่อที่ปากมัน “กิน ...แล้วอมไว้” ผมดึงแก้วลงแล้วพุ่งไปฉกปากบางตรงหน้า น้ำจากปากมันไหลผ่านเข้ามาสู่ลำคอของผม ยาไหลลงไปตามทางเรียบร้อย แต่ผมยังไม่ละปากออก เค้าคลึงชิมรสหวานจากปากของมันอยู่ นานจนมันประท้วงเล็กๆว่าจะหมดอากาศหายใจ ผมผละออกมาแล้วมองหน้าแดงๆนั้นที่เหมือนจะเริ่มมีปฎิกริยา มันหอบแฮ่ก ตาคมก็เหลือบมาจ้องผมนิดๆ ผมยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถือว่าเป็นโบนัสก่อนนอนแล้วกัน ผมหันหลังเตรียมล้มตัวลงนอน แต่อยู่ดีๆมือขาวของอีกคนก็เอื้อมมาจับหน้าผมหันกลับ นิ้วเรียวยัดยาลดน้ำมูกเข้ามาในปากอีกเม็ด แล้วตามด้วยหน้าขาวๆที่พุ่งมาป้อนน้ำเข้าปากผมอีกครั้ง คราวนี้กลีบปากตรงหน้าเหมือนไม่ยอมให้ผมทำอยู่ฝ่ายเดียว ลิ้นเล็กกระหวัดเกี่ยวพันกับลิ้นของปมสลับกับดูดดุนปลายลิ้นให้เกิดความเสียวซ่าน ผมพลิกตัวมันให้ลงไปอยู่ข้างล่าง เรานัวเนียกันอยู่พักใหญ่ก่อนมันจะผละออกแล้วหันหลังนอนคลุมโปงใส่ผม ผมหัวเราะกับท่าทีแปรปรวนของมัน อะไรวะแบบนี้ก็ได้เหรอ ผมเลยล้มตัวลงนอนแล้วเอาขาไปก่ายตัวมัน วาดแขนกอดผ้าห่มที่มีตัวมันอยู่ข้างใน นอนก็นอนวะ
++++++++++++++++++++++++++++
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง ติ๊งต่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงสัญญาณถี่รัวหน้าประตูบ่งบอกถึงความเร่งรีบของผู้มาเยือน ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เหลือบมองคนข้างๆก็เจอแต่กองผ้าห่มที่ขยุกไว้ใจหายวูบเพราะไม่เจอไอ้คนข้างๆอยู่บนเตียง แต่ที่น่าตกใจกว่าคือมืออีกข้างที่ถูกใส่กุญแจเข้ากับตรงหัวเตียง แม่งเอ้ย! ผมใช้อีกมือควานหากุญแจที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่มี! ล้วงเอาไปตอนไหนวะ งั้นก้เหลือทางเลือกสุดท้าย ผมก้มลงที่พื้อแล้วเอื้อมมือไปควานที่ใต้เตียงเพื่อหยิบเอาวัตถุสีดำขึ้นมา ตั้งแต่คืนก่อนก็เปลี่ยนที่เก็บใหม่ ต้องขอบคุณมันด้วยที่ล็อคผมไว้เตียงฝั่งนี้ ผมยิงกระสุนไปตัดพันธนาการที่ข้อมือให้หลุดออก แน่นอนว่าเสียงดังแต่ห้องผมเก็บเสียงได้ วิ่งออกไปที่หน้าประตูแล้วรีบเปิดก็เจอไอ้เจฟฟี่ยืนลนลานอยู่ข้างหน้า ใจคอไม่ดีเลยไอ้เหี้ย
“ไอ้ชิณณ์ไอ้ต้นอยู่ไหน!” ไอ้เจฟถามพลางดันตัวเองเข้ามากวาดสายตาดูในห้อง
“ไอ้ ไอ้ต้นก็มันอยู่บ้านเฮียมันไง มึงมาตามหาอะไรที่นี่”
“อ้าวไอ่สัด ก็เมื่อกี๊มันอยู่ที่ห้องกู แล้วมันก็พรวดพราดออกมาบอกว่ามึงแมสเสจมาบอกให้รีบกลับห้อง มึงไข้ขึ้น ให้พาไปโรงบาล พอสักพักกูจะโทรถามว่าเป็นไงก็เป็นเสียงมันรับแล้วร้องเหี้ยไรไม่รู้อ่ะ”
“ห๊ะ” เหี้ยเอ้ย! มัน..... มันไม่ได้โกหกจริงๆ มันไม่ได้ออกไปตามฆ่าไอ้ต้น แต่มันเรียกไอ้ต้นมาฆ่าที่นี่ แล้วที่ยัดยามาให้ผมกินอีกเม็ดก็เพื่อจะให้หลับลึกไปอีกสินะ แม่ง!!! “ไอ้เจฟ เอาโทรศัพท์มาให้กู!” ผมคว้าโทรศัพท์เจฟฟี่ก่อนกดแอปหาไอโฟน กรอกไอดีกับรหัสผ่านเครื่องผมลงไป สักพักโลเคชั่นก็ขึ้น
ดาดฟ้า!
+++++++++++++++++++++++
ใกล้สว่างแล้ว
ผมมองท้องฟ้าสีอมม่วงที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเป็นท้องฟ้าสีครามยามเช้าในอีกไม่ช้า เหมือนกัน ... งานของผม อีกแค่ไม่กี่นาที งานของผมก็จะเสร็จ ใช้เวลาไม่เกินห้านาทีเพื่อจัดการฆ่าคนตรงหน้า เสร็จแล้วก็โดดลงไปข้างล่างเดินไปตำแหน่งทางเข้าที่จะเปิดออกตอนแสงแดดแรกส่อง ที่ต้องทำตอนกลับไปถึงก็แค่เอาข้อมูลของประวัติศาสตร์ที่ถูกแต่งขึ้นใหม่ใส่เข้าไปในที่เก็บบันทึกของกาลเวลา เท่านี้ประวัติศาสตร์ก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล ผมจะเขียนคำทำนายของอนาคตขึ้นใหม่ จะไม่มีสงคราม จะไม่มีผู้นำที่อำมหิต มนุษย์จะก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติสุข นี่คือหน้าที่ของผม ผมรู้ว่าสักวันผมจะต้องทำสิ่งนี้ ....ในโลกอนาคตเราดำรงอยู่ได้ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี พื้นดินด้านล่างไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์อีกต่อไป น้ำจะครอบครองทุกตารางนิ้วของพื้นดินอันเนื่องมาจากสภาวะที่คนปัจจุบันเรียกว่าน้ำท่วมโลกนั่นแหล่ะ มนุษย์ส่วนหนึ่งล้มตายไปกับมหัตภัยครั้งใหญ่นั้น แต่อีกส่วนหนึ่งก็ดิ้นลนเพื่อจะมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ ในเมื่ออยู่ข้างล่างไม่ได้ก็ต้องย้ายขึ้นมาอยู่ข้างบน เราเริ่มสร้างที่อยู่อาศัยที่อยู่ในอากาศ มนุษย์ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่ได้ เราถูกฉีดพันธุกรรมที่ค้นคว้ามาเพื่อให้มนุษย์ลอยตัวอยู่ได้ในอากาศ เพื่อสะดวกต่อการดำรงชีวิตอยู่ของเรา ร่างกายฉลาดที่จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ทุกอย่างถูกพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา เผ่าพันธุ์ที่เกือบล่มสลายก็ถูกฟื้นฟูขึ้นตามกาลเวลา มนุษย์ยุคใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปฎิสนธิภายในครรห์มารดา แต่เกิดขึ้นภายในห้องทดลอง เราสามารถกำหนดเพศ ลักษณะนิสัย จิตสำนึกหรือความสามารถพิเศษลงไปในมนุษย์ได้ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะขึ้นมาอย่างแท้จริง แต่ก็มีคนอยู่หลายกลุ่มที่ปฎิเสธความเปลี่ยนแปลงและยึดถืออยู่กับการดำรงอยู่แบบเก่า กลุ่มคนที่เหลือรอดจากภัยภิบัติและยืนยันจะสืบทอดความเป็นมนุษย์แบบดั้งเดิม ตระกูลของคุณรุขชาติก็เช่นกัน จิตวิญญาณอันป่าเถื่อน สันดานดิบภายใต้จิตสำนึกได้ส่งผ่านรุ่นสู่รุ่นจนไปถึงทายาทรุ่นที่4ซึ่งก็คือผู้นำที่เหี้ยมโหดที่หวังจะล้างเผ่าพันธ์ของมนุษย์ปัจจุบันแล้วสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่จากพันธุกรรมชั่วร้ายของตนเอง เป้าหมายก็เพื่อสั่งสมกำลังเพื่อล่าอำนาจจากประเทศอื่นๆ สงครามจะเกิดขึ้นอีกครั้ง .... มันเลยเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องมาหยุดมัน ครอบครัวเขาสืบเชื้อสายมาจากผู้มีญาณ หรือที่คนปัจจุบันจะเรียกทรงเจ้าอะไรก็แล้วแต่ เขาเกิดในห้องทดลองก็จริง แต่ปู่ได้ใส่สายเลือดของบรรพบุรุษเข้าไปในตัวเขา ทำให้เขามีความสามารถของตระกูลที่จะสามารถล่วงรู้และเปลี่ยนแปลงคำทำนายที่จะเกิดขึ้นได้ มันจึงเป็นเหตุผลให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ เขาลากอีกคนที่สลบจากการถูกด้ามเหล็กกระแทกเข้าจนสลบมาถึงตำแหน่งที่ริมขอบตึก จับอีกคนให้นั่งห้อยขาไว้ ....ต้องทำให้ตายแบบธรรมดาที่สุด ถึงแม้ตอนนี้จะมีปืนบอกตรงๆว่าเขาก็คงไม่กล้ายิง จะเอาแท่งเหล็กฟาดจนตายเขาก็ยังใจไม่ถึง ผลักตกตึกน่าจะง่ายที่สุดสำหรับเขา ฟ้าเริ่มสางขึ้นมาทุกที คงถึงเวลาแล้ว
“ขอโทษนะครับ”
มือที่ยันหลังคนหมดสติออกแรงผลักเบาๆ ร่างที่โงนเงนโน้มไปข้างหน้าแล้วหล่นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกสู่พื้นเบื้องล่าง ชั่ววินาทีที่เขาคิดว่าภาระหน้าที่ได้จบลงแล้ว พลันหางตาก็เห็นร่างๆหนึ่งพุ่งตัวผ่านเขาไปในทิศทางข้างหน้า มือข้างหลังถูกอีกมือจับล็อคไว้ หันไปเห็นคนที่เพิ่งนอนด้วยกันเมื่อคืนเบิกตากว้างจากความช็อค
“ต้น!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงตะโกนที่แผดออกมาข้างหูเขาทำให้เขาเบือนหน้า อีกคนรีบถลาไปที่ขอบดาดฟ้าทำให้ตัวเขาถูกกระชากไปตามแรงเคลื่อนไหวนั้นด้วย
“ไอ้ต้นนนน!!! ไอ้เจ……!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงตะโกนเรียกฃื่อขาดหายไปเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง เขาเงยหน้ามองอีกคนก่อนเบือนหน้าลงไปมองด้านล่าง ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาช็อคไม่แพ้กัน ผู้ชายอีกคนที่พุ่งผ่านตัวเขาไปกำลังอุ้มคนที่เขาคิดว่าน่าจะลงไปนอนอยู่ที่พื้นเบื้องล่างแล้วพาดบ่าอยู่ แน่นอนว่ามันไม่มีพื้นให้เหยียบหรืออะไรทั้งนั้น คนๆนี้กำลังลอยอยู่ในอากาศ สายตากร้าวมองกลับมาตำแหน่งที่เขายืน
คนจากอนาคต!!!!!!คนจากฝ่ายนู้นงั้นเหรอ!! ถ้าอย่างนั้นฝ่ายนั้นก็รู้แผนของทางฝ่ายเขาสินะ ผ่านประตูมาเพื่อปกป้องไม่ให้โดนฆ่างั้นเหรอ? ร่างสองร่างค่อยๆลอยขึ้นมาจนยืนอยู่ตรงหน้าผม เสียงคนข้างๆเอ่ยคำถามออกมาเบาๆ
“อ...ไอ้เจฟ มึงเป็น...”
“เชื่อกู กูไม่ได้มาทำร้ายพวกมึง ....กูพามันไปก่อนนะ เลือดออกที่หัวเยอะเลย มึงรู้ใช่ไหมว่าต้องจัดการที่เหลือยังไง”
คนพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนเหลือบมองผมด้วยแววตาเย็นชาแล้วเดินออกไปทางประตู ทิ้งอีกคนที่ยืนก้มหน้ากัดฟันไว้กับผม มือเขาที่ล็อคข้อมือผมอยู่เริ่มบีบแรงขึ้น เจ็บ เจ็บมากเหมือนกระดูกจะแหลก ใบหน้าคมเงยขึ้นบนฟ้าช้าๆค้างไว้อยู่หลายวิก่อนหันกลับมามองผม แววตาที่เปลี่ยนไปเป็นเหมือนอีกคนที่ผมไม่เคยเห็น
“มึงมานี่”
ผม....โดนฆ่าแน่ๆ
****จบตอน****