Chapter 7 : I don’t know even his name!
ท่ามกลางความมืดภายนอกที่โรยตัวลงมาอย่างช้า..
ภายในห้อง ผมเก็บเสื้อผ้าเหม็นๆของตัวเองลงตะกร้า พร้อมจะขนใส่รถกลับไปซักที่บ้าน
พวกขี้เกียจอย่างผมก็งี้แหละ มาอีกทีพร้อมเสื้อผ้าหอมๆ
อีกไม่กี่วันมหา’ลัยเปิด ไว้ผมค่อยกลับมาหอใหม่ แต่ตอนนี้ขอเผ่นแน่บกลับไปปรับความเข้าใจกับคุณแม่ที่รักก่อนละกัน
ผมมองเสื้อผ้า ข้าวของ โอเค ครบหมดแล้ว
เหลือแต่.. ไอเสื้อยืด กางเกงยีนส์ที่แขวนเอาไว้ตรงระเบียง ..ไม่ใช่ของผม
ผมไม่มีชุดเน่าๆอย่างนั้นหรอก ยกเว้นชุดที่ให้มันยืมใส่นะ
ไอ้หมอนั่นคงซักไว้ตอนไหนซักตอน มันคงกะจะใส่ชุดเดิมกลับ
แต่แม่ง.. นึกถึงมันแล้วส้นติงผมกระตุกแปลกๆ อย่าให้ผมเจอมันอีกรอบก็แล้วกัน!
ตอนนี้ฝนตกหนักแล้ว และคงสาดโดนเสื้อผ้ามัน แต่ผมไม่ใส่ใจ ใช่เรื่องอะไรของผมมั๊ยละ
ผมจะไปบ้านละ
.
.
ผมนั่งจิ๊ปากหงุดหงิดอยู่บนโซฟาตัวเล็ก ครับ ผมยังไม่ได้ออกจากห้องเลย
บ่ายก็แล้ว เย็นก็แล้ว ค่ำก็แล้ว..
ทำไมมัน ..มันยังไม่มาวะ ก็ไหนว่าจะไปพรุ่งนี้ไงเล่า ไอ้นี่หนิ..
ไม่ ไม่ แต่อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้นึกเป็นห่วงมันขึ้นมา
ผมรอคิดบัญชีกับมันต่างหาก มันยังติดตังค์ค่าขนมอยู่ร้อยนึง
ที่ยิ่งกว่านั้น และผมไม่มีทางให้อภัยได้แน่ ..มันเหยียบติงผม สองข้างเชียวนะ!!
เดี๋ยวก่อนนะ รอเหรอ? เพี้ยนใหญ่ละกู
ไม่ๆ ผมไม่ได้รอมัน แม่งปากหมา น่ารำคาญ บ้าบิ่น แถมชอบใช้ความรุนแรงอะ คิดดู
มันไม่มาอีกน่ะดีแล้ว ไม่งั้นผมจะเอาตูด เอ้ย เตะตูดมัน
อะไรวะ ช่างมันเถอะ ผมพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยวันนี้
คงเบลอๆน่ะ อาจเพราะกลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า เชื้อราบนหนังศรีษะ [ใช้โทนาฟ] -*-
ผมถอนหายใจ มองประตูบ้าบอหน้าห้อง แล้วสะพายเป้บนบ่า พร้อมโอบอุ้มตะกร้าผ้าไว้
ผมจะกลับบ้านแล้ว
ผมสตาร์ทมาสด้าสองที่ขโมยแม่มา บ่นหงุดหงิดคนเดียว “แม่งจะนอนที่ไหนวะนั่น”
แต่แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า มันเป็นคนประเภทไหน.. ไม่น่าห่วง ก็คงจบที่ห้องใครซักคนนั่นละ
.
.
“เกินความคาดหมายจัง”
แม่ผมเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นผมโผล่กลับบ้าน
“คิดถึงนี่ครับ”
ผมวางตะกร้าผ้า แล้วโอบกอดเธอเบาๆ
“คิดถึงอะไร ป้าพิม แม่บ้านน่ะเหรอ??”
เธอยิ้มล้อๆ เหล่มองตะกร้าผ้า ทำให้ผมต้องหัวเราะตามไปด้วย
“พ่อล่ะครับ”
“อาบน้ำล่ะมั้ง ช่วงนี้งานเยอะน่ะ”
“อืม ครับ”
แล้วผมก็เดินลูบหัวขึ้นห้องไป อยากนอนก่อนซักสองสามชั่วโมง เพราะดึกนี้จะตื่นมาเชียร์บาร์เซโลน่า แมชต์สุดท้ายของฤดูกาลนี้แล้ว หวังแชมป์จริงๆเลย [หมายเหตุ สถานการณ์ในความเป็นจริง บาร์เซโลน่า แชมป์ลาลีกาแล้ว]
เอาล่ะ ผมไม่คิดอะไรแล้ว วันนี้มันยาวนานและรวมมิตรเกินไป ผมอยากจะนอน
“แล้วมอเปิดวันไหนล่ะทัศน์”
แม่โผล่หน้ามาถามผม
“อีกสามสี่วันมังครับ ผมของีบของาบให้สาสมใจกับเวลาอิสระที่เหลือก่อน”
ผมปิดเปลือกตาลง แล้วทิ้งตัวลงบนเตียง
“แล้วล็อคห้อง เก็บผ้าอะไรดีแล้วเหรอที่หอ”
แม่ยังคงไม่ยอมแพ้มาถามต่อ
.
.
แว่บหนึ่งผมนึกถึงชุดของไอ้เวรนั่นที่ยังแขวนอยู่ตรงระเบียง
“เรียบร้อยแล้วแม่”
แล้วเธอก็ปิดไฟ ปล่อยให้ผมนอน
ผมกำลังจะหลับอย่างผาสุก..
,,I try so hard and dust so far
But in the end, it doesn’t even matter
ผมครางอย่างรำคาญใจ หยิบโทรศัพท์มากดรับ
“ครับ”
“ไอ้ทัศน์เว้ย”
เสียงไอ้โจซี้ผมตะโกนมาตามสาย
“อะไรของมึงวะ”
“พวกกูมีเรื่องกับพวกเทคโนฯว่ะ”
แหงล่ะ พวกผมวิศวะ มช. มีเรื่องกับเทคโนฯบ่อยๆอยู่แล้ว
เทคโนฯ อยู่เยื้องมหา’ลัยผมเท่านั้นเอง
“อะไรวะ ยังไม่ทันเปิดเรียน พวกมึงไปมีเรื่องกันอีท่าไหน บังเอิญไปจ้องตากันเหรอวะ”
ผมค่อนข้างหงุดหงิด เพราะอยากนอน
“พวกเชี้ยวิทย์นั่งแดร๊กเหล้าหน้ามอมัน พวกกูเพิ่งแว๊นมอร์ไซค์ลงมาจากดอยสุเทพ มันชูนิ้วกลางวอนตีนนี่หว่า”
“เออ แล้วสรุปสุดท้าย ฝ่ายไหนโดนตีนวะ”
เสียงไอ้โจเงียบไปแป๊บนึง
“พวกกู”
ผมเป็นห่วงเพื่อน แต่แทบกลั้นขำไม่ไหว
“ก็กูอยู่กับไอ้หนุ่มแค่สองคนนี้หว่า”
มันอธิบายเสียงเบา
“เออ แล้วมึงไปพลอดรักกันมารึไงวะ ไปดอยสุเทพกันสองคน”
“มึงแดกผู้ชายไปคืนนั้น เป็นบ้าเลยเหรอวะ คนอื่นลงมาก่อนค่ำ ล่วงหน้าพวกกูไปเว้ย”
“โธ่เอ้ย พ่อแม่มึงส่งให้เรียน”
ผมข่มอารมณ์ฮา ถือโอกาสสั่งสอนมัน
“ทัศน์เว้ย จะมาไหมมึง?”
ผมแสร้งถอนหายใจ ทั้งๆที่กำกุญแจรถไว้ในมือลงบันไดมาตั้งแต่คุยอยู่แล้ว
หลังถามมันเสร็จสรรพว่าหมดสภาพกันอยู่ตรงไหน จึงออกรถมุ่งหน้าไป
กลุ่มผมกับกลุ่มไอ้วิทย์เทคโนฯ มีเรื่องกันบ่อย แต่ไม่เคยถึงบาดเจ็บสาหัสหรอกครับ แค่หอมปากหอมคอเท่านั้น
เหมือนต่างคนต่างมีอาณาเขตบริเวณของตัวเอง อย่าได้แหยม ..แหม่ เหมือนพวกกูเป็นหมาใน
.
.
“เซ็งชิบ คืนนี้โคตรซวย”
ไอ้หนุ่มบ่น เมื่อขึ้นรถผมมาได้
ปรากฏว่าพวกไอ้วิทย์ที่กำลังเตรียมตัวจะไปเที่ยวผับไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากชูนิ้วกลางใส่เพื่อนผม
และล็อคตัวมันสองคนไว้ และเจาะยางรถมอเตอร์ไซค์ ดูท่าว่าจะจบแค่นั้น
แต่ด้วยความที่ไอ้หนุ่มไปสรรเสริญพวกมันเข้า เลยได้รับติงไปหนึ่งดอก
ผมรับพวกมันไปส่งที่หอ หลังจากจัดการโทรหาพี่ที่อู่ให้เอารถไอ้โจไปปะยาง
เด็กหญิงเล็กๆมาเคาะกระจกรถขณะเรากำลังติดไฟแดง
ใช่ ผมเจอพวกเธอบ่อยๆ มาขายพวงมาลัย ทั้งที่ค่ำแล้วพวกเธอน่าจะได้กลับบ้านไปกินข้าว รอฟังนิทานก่อนนอนได้แล้ว
ผมลงกระจก ยิ้มให้เธอ..
ผมไม่กินขนมถุงก๊อบแก๊บที่เด็กๆชอบ แต่มักจะมีติดรถไว้เสมอ และวันนี้ผมก็ซื้อติดรถไว้อีก
ผมยื่นป๊อกกี้สีชมพูสองกล่องให้เธอ ซึ่งรับไปอย่างงงๆ
โจยิ้ม ยื่นมือไปรับพวงมาลัยมาและส่งเงินเป็นค่ามาลัยให้เธอ
“ไม่ ยัดใส่กระเป๋าเธอ ให้เธอเก็บไว้”
ไอ้หนุ่มเถียง หน้าตามันบ่งบอกว่าเงินค่ามาลัยอาจไม่เป็นของเธอ
“เก็บนี่ใส่กระเป๋าไว้นะครับ แบบเผื่อว่า เอิ่ม แบบว่าขนม..”
แล้วไฟก็เขียว รถหลังบีบแตรไล่
ผมขับรถไปตามถนน รู้สึกหลากหลาย และหนึ่งในนั้น ผมขอโทษ..ที่ผมกับเพื่อนๆทำได้แค่นี้
และหวังว่าวันนึงจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ..ผมไม่ดีเลิศ เพื่อนผมก็ไม่ แต่เราก็ไม่ได้ต่ำช้า
ไม่รู้สิ ผมว่าผมอยู่ทั้งด้านมืด และด้านสว่าง..
หรือไม่.. ชีวิตแบบผม ก็อาจไม่อยู่เลยซักที่ ไม่ดำ.. ไม่ขาว..
.
.
“ใจมากเว้ย”
ไอ้โจว่าเมื่อถึงหอมัน และผมพยักหน้าน้อยๆ
“เออ แล้วคืนนั้นเป็นไงวะ กูนึกว่าตายคาตูดไปแล้ว ฮ่ะๆ”
ไอ้หนุ่มแซวมาก่อนที่ผมจะออกรถ
ผมเลิกคิ้วมองมัน งงครับ
“เอ้า ก็กูเห็นลากใครออกไปข้างนอกละ พันลิ้นกันนัวเนียเชียวมึง”
อ้อ..
“ไม่รู้สิวะ กูไม่เคยรู้ด้วย มึงก็รู้ พอน้ำแตกแล้วก็-” ผมตั้งใจจะบอกปณิธานที่ยึดถือมานานปี
“อ๋อใช่ ใช่..” ไอ้หนุ่มขัดขึ้น
“กูคงไม่ถามหรอก ถ้าไอ้โกไม่ได้บอกว่าเห็นมึงนั่งมองผู้ชายคนนึงแดกป็อกกี้ในบ่ายวันต่อมาน่ะนะ”
ไอ้หนุ่มเหล่มองป็อกกี้อีกหลายๆกล่องที่ยังอยู่ในรถ
แม่ง ทุกวันก็ซื้อพวกเบเกอรี่นะ แต่ทำไมวันนี้ผมเสือกเลือกหยิบป๊อกกี้มาไว้ให้เด็กวะ!?
แล้วเพื่อนผมก็ยักไหล่ และเดินขึ้นหอไปทั้งคู่
ผมนั่งเม้มปากอยู่ในรถ
ให้ตาย มันไม่ใช่ความผิดผมเลยนะ ก็ใช่ว่าจะเต็มใจให้มันอยู่ด้วย
แม้แต่ชื่อมันผมยังไม่รู้จักเลยเถอะ..
ป่านนี้คนแบบมันไปถึงไหนต่อไหน กับใครต่อใครบ้างแล้วก็ไม่รู้
ถ้าเจอมันอีก สิ่งที่ผมจะทำคือเตะแม่งซักสองสามป้าบ ตามด้วยบ้องหูซักที แค่นั้น --
..ส่วนเรื่องอื่น สำหรับผม ผ่านแล้วคือจบ ผมแค่ระบายอารมณ์คืนเดียว ถัดจากนั้น..มันก็ไม่มีค่าอะไรพอให้ผมจดจำไว้
……………………………………………………………………………………………..