Chapter 9 : Well, we meet!
..ผมทำหน้าบอกไม่ถูก
มองเข้าไปข้างในถุงนั้นอีกรอบหลังจากสำรวจมันแล้วก่อนเอาเข้ามาในห้องว่าของผมแน่
เสื้อยืดกับกางเกงเจเจของผมถูกซักหอมฉุยมาแล้ว ธนบัตรใบละร้อยพับไว้ก้นถุง มีกระดาษแผ่นหนึ่ง
ผมหยิบมาดู
“ดี เอ เอ็น เค อี” ผมอ่าน
“อะไรวะ?”
มันเป็นตัวอักษรแค่ 5 ตัว ซึ่งผมไม่รู้แปลว่าอะไร
ผมเลิกคิ้ว ไอ้ตัวแสบนั่นมาที่ห้องผม เอาเสื้อผ้ากับเงินมาคืนเรอะ
เฮอะ.. ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมารยาทดีขนาดนั้น
งั้นเรื่องไม่มีที่ไปก็โกหกทั้งเพรึเปล่า เด็กหนีออกจากบ้าน แม่ง..
ผมมองกระดาษแผ่นเล็กๆนั่นอีกรอบ
แล้วไอ้ ดี เอ เอ็น เค อี นี่มันอะไร
ที่ไม่เขียนให้กูอ่านออกนี่เพราะมึงเกรียนหรือมึงอะไรวะ ผมคิดอย่างหัวเสีย
หรือหลอกด่ากุใช่มั๊ย อย่าให้เจอตัวนะมึง ! กุจะทำให้รู้ว่าคราวนี้หลบลูกติงพิฆาตกุไม่พ้นแน่
ผมวางกระดาษนั่นไว้บนโต๊ะข้างเตียง เมื่อคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าคืออะไร
แต่ยังไงซะ มันมาแล้วก็น่าจะรอเอาเสื้อผ้ามันไปด้วยนะ แขวนไว้ห้องผมแล้วหลอนสาด
เฮ้ย.. แต่แล้วผมก็ใจหายวูบขึ้นมาทันที ก้าวยาวๆไปที่ประตูระเบียง
..
….
ว่างเปล่า..
โอเค ว่ากันตรงๆ ผมก็ไม่ได้คาดหวังจะเห็นใครอยู่ที่นั่นหรอก
แต่ผมก็เปิดประตูกระจกออกไปชำเลืองดูตรงที่หมอนั่นเคยคุดคู้อยู่เพื่อความชัวร์
ผมมองเสื้อผ้ามันที่แขวนอยู่อย่างชั่งใจ
“เอาน่ะ ไม่มีใครบ้าพอปีนระเบียงชั้นห้าหรอก”
ผมบอกตัวเองเบาๆ โดยลืมไปว่า ไอ้บ้านั่นเคยปีนแล้วนี่หว่า
………………………………………………….
ถิ่นมช.ยังคงกว้างใหญ่ บรรจุไว้ด้วยนักศึกษามากหน้าหลายตาเช่นทุกเทอม
ผมนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆท่ามกลางสาวหนุ่มเดินกันขวักไขว่ในโรงอาหารใหญ่ใต้อาคารกิจกรรมนักศึกษา
ไอ้โจครับ มันคือคนที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโต๊ะตอนนี้ เพราะใช้น้องปีหนึ่งมานวดหลังนวดไหล่ขณะกินข้าว
“ถ้ามึงถาม ว่ากูคิดยังไงกับมึงตอนนี้นะโจ กูจะบอกอย่างจริงใจว่าขอให้มึงโดนนวดจนสำลัก ให้ตายๆแม่งไป”
ไอ้หนุ่มจิกกัด
ผมหัวเราะเบาๆไม่สนใจมัน การด่าไอ้โจเป็นอาชีพหลักของไอ้หนุ่มอยู่แล้ว
ผมตักข้าวเข้าปาก และส่งสายตามองไปรอบๆ
เฮ้ย นั่น
นั่นมัน.. น้องรหัสผมนี่หว่า
ผมมองร่างโปร่งๆผิวคล้ำๆของน้องรหัส ที่กำลังยืนคุยกับเด็กหนุ่มอีกคนท่าทางโลโซ ใส่ยีนส์เก่าๆที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว
แหม่ น่าจะเรียกมารับใช้แบบไอ้โจบ้างท่าจะดีไม่น้อย
“แอร์”
ผมลองตะโกนเรียก และกวักมือ
ดีจริง มันผละจากคนนั้น ก้าวมาหาผมโดยเร็ว ยกมือไหว้รอบโต๊ะ
“หวัดดีพี่ทัศน์ ดีครับๆ”
“ไง”
ผมถามเสียงเข้มๆ จริงๆอยากคุยกะน้องรหัสครับไม่ใช่อะไร
“ก็ดีครับพี่ ว่าจะกินข้าว พอดีเจอเพื่อน”
มันหันกลับไปมองหาเพื่อน
“ไอ้ยีนส์เก่านั่นน่ะเรอะ”
ผมถาม พยักเพยิดไปที่เด็กหนุ่มที่คุยกับมันเมื่อกี้ ที่ผมเห็นแต่ด้านหลัง
“ใช่พี่ จริงๆมันเป็นเมทผมอ่ะพี่ มันอยู่มนุษยฯ”
ไอ้แอร์แจง
ผมเลิกคิ้วทึ่งจัด
“ไอ้ยีนส์เก่านั่นอ่ะนะคณะมนุษยฯ กูเห็นสาวหนุ่มมนุษยฯแต่งตัวสวยหล่อ เนี๊ยบจัดกันจะตายห่ะ ไหงเมทมึงพิศดารแท้วะ”
น้องรหัสผมหัวเราะน้อยๆ
“ฮ่าๆ มันเป็นงี้แหละพี่ พวกปรัชญา”
ผมส่งเสียงอืมในลำคอ แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรไอ้หนุ่มยีนส์เก่าที่เห็นแต่หลังนั่นอีก
.
.
วันเข้าชั้นเรียนวันแรกวันนี้ก็ธรรมดาอย่างมาก
ธรรมดาจนผมคาดว่าผมคงต้องเรียนห้าปีเป็นอย่างน้อย เหอะๆ
เอาวะ โชคดี คงซักสี่ปีครึ่ง
“อ้าวพี่ เรียนเสร็จละเหรอ”
ผมเจอไอ้แอร์อีกครั้งตอนเย็น
“เออ เอ็งละ”
“เสร็จละพี่ จะกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าละ เย็นนี้ผมว่าผมมีนัดกะพวกพี่เนี่ยแหละ”
มันทำหน้าเหยเกน้อยๆ แน่ละ ผมรับน้องแบบโซตัสนี่หว่า แต่นี่น้องรหัส ผมอดใจอ่อนกะมันไม่ได้หรอก
“มาๆ อยู่หอไหนนะเอ็ง เดี๋ยวไปส่ง”
“หอสามแค่นี้เองพี่”
“เออ มาน่ะ พี่ออกไปหน้ามออยู่แล้ว ไงก็ผ่าน”
ผมบอกขณะเดินไปหามาสด้าน้อย
“เอาซะรถยนต์เลยพี่ แหะๆ”
ไอ้แอร์เกรงใจจัด
.
.
คณะผมกับหอไอ้แอร์ใกล้นิดเดียวจนนั่งตูดไม่ทันร้อน น้องรหัสผมขอบคุณแล้วเปิดประตูลงไป
ผมหันมองน้องอีกครั้ง เห็นมันเจอไอ้ยีนส์เก่านั่นอีกละ อ่อ เมทมันนี่หว่า ก็อยู่หอเดียวกันนี่นะ
ผมออกรถไป แต่กระจกข้างทำให้ผมเห็นบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ผมหยุดรถกึก
และกระตุกยิ้มมุมปาก..
กุน่าจะรู้นะ ว่าท่าทางเกรียนๆแบบนั้น มันใคร!!
ผมดับเครื่อง ลงจากรถทันที เดินตรงไปหาไอ้แอร์ และหยุดอยู่ข้างหลังไอ้ยีนส์เก่า
น้องรหัสผมทำหน้าประหลาดใจ
“หือ พี่มี-”
“เพื่อนมึงเหรอแอร์?”
ผมถามตัดบททันที รู้สึกได้ว่าคนข้างหน้าชะงักนิดหนึ่ง
ผมน่าจะจำทรงผมยุ่งๆของมันได้ตั้งแต่ที่โรงอาหารแล้ว
ให้ตายสิ ยิ่งเห็นใกล้ๆยิ่งคุ้น..
“อ๋อ นี่เกรย์ มันเป็นเมทผมไงพี่”
ไอ้แอร์ตอบคำถาม มองผมแบบประหลาดๆอีกที
“เกรย์รึ..”
ผมทวนคำเสียงนิ่ง ไอ้ตัวดียังไม่ยอมหันหลังมาดูผม ผมจึงขยับไปชิดอีก
“เฮ้ย มึง นั่นพี่ทัศน์ รุ่นพี่คณะกูเอง”
ไอ้แอร์บอกเพื่อนมันอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงนอกจากแนะนำผม
คำว่า ทัศน์ ทำให้ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากร่างตรงหน้า
.
.
….
…..
“ห๊ะ..”
เสียงไอ้ยีนส์เก่าออกแนวตกใจดังเบาๆ
……
……..มันค่อยๆหันหลัง และมองเห็นผม
.
.
“ไม่หรอก ประสาทตาคงลวงกูแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
มันพูดกับอากาศ สายตามองผ่านหน้าผมไป แล้วก็หันกลับไปหาไอ้แอร์
ผมได้ยินเสียงสูดหายใจอย่างจริงจัง แล้วมันก็หันกลับมามองผมอีกที
.
.
“พระเจ้าไม่ใจร้ายกับกูขนาดนั้นมั้ง..”
ร่างเล็กกว่าผมพึมพำ หยดเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นบนใบหน้าขาว
ผมยิ้มมุมปาก แววตาดุดัน มองมันอย่างอยากเอาตีนประเคนใส่พานให้อย่างนอบน้อม
ปากนั่นกลืนน้ำลาย และปั้นยิ้มหวานให้ผม
“พี่ทัศน์..?”
ผมพยักหน้าตอบคำถามเสียงสูงๆและคิ้วที่เลิกขึ้นของไอ้ตัวดีตรงหน้า
.
.
“เออ แต่กูไม่ยินดีเลยที่ได้รู้จัก”
มันว่า แล้วก็วิ่งสุดตีน เหมือนกำลังแข่งวิ่งผลัดและมันเป็นไม้สุดท้าย
บ๊ะ ไอ้นี่
เดี๋ยวเถอะมึง กูจะเอามึงโกนหัว โกนหาง แล้วทำเป็นไม้กระดานโต้คลื่นซะ!
“ไอ้ มึงหยุด!”
ผมตะโกนไล่หลังไป ลืมชื่อมัน อะไรเกย์ๆนะ
แต่เหมือนมันไม่รับรู้ ไม่ได้ยิน และไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แม่งวิ่งหน้าตั้งอย่างเดียว
“หยุดสิโว้ย!”
มันคิดได้ไงวะ ว่าจะวิ่งเร็วกว่าผม
แค่อึดใจต่อมา ผมก็วิ่งทันมัน
มือแกร่งผมกระชากคอเสื้อมันกลับหลัง
ร่างเตี้ยๆของแม่งพยายามดิ้นให้หลุด
ผมหัวเราะหึหึอย่างผู้กำชัยชนะ ให้ตายสิ มันคงมีเหตุผลเป็นล้านข้อที่ไม่อยากเจอผม
“หนีเก่งนะมึงอ่ะ”
ผมดึงมันมาแนบลำตัว กระซิบนิ่งๆด้วยอารมณ์ที่ความต้องการทางส้นติงพุ่งพรวดฉุดไม่อยู่
นึกถึงตอนที่มันเหยียบติงผมเต็มแรง นึกถึงเวลาปากหมาๆนั่นด่า
“ไอ้ตอนไล่ไม่ไป ทีกูบอกให้หยุดล่ะวิ่งจัง”
แขนใหญ่ผมรัดรอบเอวมันไว้ มองเห็นหน้าซีดๆนั้นมีเลือดฝาดขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
“พระเจ้า ช่วยเอาไอ้เหี้ยนี่กลับสวนเอเดนที”
มันพึมพำเบาๆอย่างหมดหนทาง แล้วก็ตีหน้าตาย
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่รู้จักคุณ ปล่อยเว้ยครับ”
ผมพ่นลมหายใจ มองมันแบบดูถูก ประมาณ คิดได้แค่นี้เหรอมึงอะ
แล้วก็จ้องมันอยู่อย่างนั้น
แม่งหลับตาปี๋ แล้วก็ลืมตานิดๆขึ้นมามองผม
“สองหนึ่งสอง สองสองสี่ สองสามหก”
เอิ่ม..
อะไรของมันวะ?
กูรู้ กูเคยท่องสูตรคูณตอนปอสาม แต่มึงพ่นมาทำไมตอนนี้ ซึ่งกูปีสามแล้ว ไอ้ฟาย
“สองสี่แปด สองห้าสิบ สองหกสิบสอง”
มึง.. อะไร ทำไม ยังไง
ต้องการอะไรจากสังคมวะ!!
ผมเอ๋อแดก วงแขนที่รัดเอวนั่นอยู่คลายออกน้อยๆ
“สองเจ็ดสิบสี่ สองแปดสิบหก สองเก้ายี่เสียบ!!”
แม่งตบท้ายซะกูสะดุ้ง
ก่อนจะอาศัยจังหวะที่ผมงง ดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี สลัดหลุด แล้วออกวิ่งสุดตีนไปอีกครั้ง
ผมยืนเอ๋อๆมองตาม ทั้งสองขานิ่งสนิทด้วยความที่ยังงงๆ แต่ก็ตะโกนไล่หลังมันไปราวกับระบบตอบกลับอัตโนมัติ
“สองเก้ามันแค่สิบแปดโว้ยไอ้เกรียน!?”
………………………………………………………………….