หัวใจขายแพงๆ 4 โดย mamตี 4
ผมจะต้องตื่นมาทำอะไรตั้งแต่ตี 4 น่ะเหรอ?
โน่น~คนข้างห้องผมโน่นมาเคาะประตูเรียก บอกว่ามรกตที่สั่งจากโคลัมเบียมีปัญหาติดอยู่ที่ด่านจะไปดูซักหน่อย
จะไปดูก็ไปสิไม่เห็นต้องปลุกผมเลย ผมไม่รู้หรอกเรื่องอัญมณีพวกนั้น รู้แต่ว่าพวกผู้หญิงเขาชอบกัน ก็ไม่รู้อีกนั่นล่ะว่าจะใส่ไปทำไมหนักจะตาย คุณลองคิดดูเอาหินก้อนเล็ก ๆ มาถ่วงไว้เต็มคอไปหมดถ้าถอดออกละก็….ผมจินตนาการไปถึงพวกกะเหรี่ยงคอยาวโน่น แต่ก็เถอะ ความสุขของคนเรา เธอเหล่านั้นอาจจะมีความสุขกับการแบกหินไว้บนคอก็ได้
“วันนี้พ่อผมอาจจะมานะ น่าจะเป็นช่วงบ่าย ๆ “
ห๋า!!?
“เดี๋ยวก่อน!! ไหนคุณว่าอีก 2 วันไง นี่เพิ่งวันเดียวเองนะ!!”
หมอนั่นทำหน้าลำบากใจเอาเนคไทพาดคอเดินติดกระดุมเสื้อเข้ามาหาผม
“ตอนนั้นผมพูดว่าคงจะต่างหากล่ะ แล้วเมื่อกี้ผมก็พูดว่าอาจจะ แต่ยังไม่แน่ใจคุณก็เตรียมตัวไว้ก่อนก็แล้วกัน”
เขาก้มหน้ามองผมเหลือบไปที่เนคไท
“อะไร?”
“ทำไมอะไร? ก็นี่ไง ผูกให้หน่อยผมต้องรีบนะ”
รีบขนาดผูกเนคไทเองไม่ได้รึไงนะ!? ผมยื่นมือไปผูกให้หมอนั่นก็ติดกระดุมแขนเสื้อไปด้วย
“แล้วตี 4 แบบนี้ด่านเขาจะปล่อยสินค้าให้รึไง?”
“ยังหรอก ผมต้องไปตรวจสอบสินค้าก่อนน่ะว่าถูกต้องทั้งหมดรึเปล่า อ้อ!!! นี่… คุณเก็บไว้ใช้นะ รหัสก็ XXXX คุณกดไปใช้ก่อนแล้วกัน วันหลังผมจะทำบัตรเครดิตให้” เขาส่งบัตรเอทีเอ็มของเขาให้
“อะไร?”
“อ้าว!!~ นี่คุณไม่รู้จักบัตรเอทีเอ็มหรอกเหรอ!?”
ทำหน้าตากวนประสาทจริง ๆ น่าจะรูดเนคไทให้หายใจไม่ออกตายไปเลย
“บัตรน่ะผมรู้จัก แต่คุณให้ผมมาทำไม ผมอยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหนซักหน่อย”
“ก็ผมจะให้คุณไปใช้นี่ไง ถ้าเกิดพ่อผมมาเห็นว่าแฟนผมอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่มีเงินใช้ ไม่มีของใช้ส่วนตัวเลยท่านก็สงสัยน่ะสิ”
อยู่ ๆ หมอนั่นก็หันไปทางต้อยที่เดินผ่านมา
“ต้อย เดี๋ยวเอาเสื้อผ้าคุณธรไปไว้ในห้องฉันซัก 4-5 ชุดนะ”
เสื้อผ้าผม? เอาไปทำอะไร?
“ค่ะคุณยะ” ต้อยเดินเข้าห้องผมทันทีตามคำสั่ง
“เอาไปไว้ทำไม?”
มาอีกแล้ว ไอ้ยิ้มขำ ๆ แบบนี้
“โธ่~ ที่รัก จนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้วไม่นอนห้องเดียวกันก็แปลกซิจ๊ะ” มือนั่นเอื้อมมาจับคางผม
“ไอ้บ้า!! โรคจิต!!” ไอ้ทุเรศนี่!! ลามก!! ผมปัดมือเขาออก เขาก็ทำท่ายอมแพ้
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณธร!!!” ต้อยรีบวิ่งออกมาจากห้องหมอนั่น
“โอ๊ะโอ~ องครักษ์รวดเร็วดีมาก ไม่มีอะไรหรอกต้อย ฉันแค่หยอกล้อกับแฟนฉันเท่านั้นเอง ข้องใจอะไรรึเปล่า?”
“…เปล่าค่ะ…” ต้อยยิ้มแห้ง ๆ แล้วก็ถอยกลับไปทำงานต่อ
“จะรีบไปไม่ใช่รึไง!? ก็ไปสิ”
นายยะหันกลับมายิ้มแล้วก็เอากุญแจรถใส่กระเป๋าเสื้อผม
“คันสีดำนะ อยากได้อะไรก็ซื้อมา ถ้าคุณไม่ซื้อบ้านกับที่ดินเงินในบัตรนั่นก็คงพอใช้อยู่หรอก ถ้าไม่อยากขับรถให้ต้องขับให้ก็ได้ กลับมาก่อนเที่ยงล่ะเผื่อพ่อผมมาคุณจะได้อยู่รับหน้าทัน ผมจะรีบกลับ” หมอนั่นคว้าสูทแล้วก็หันเดินออกไป
“ไม่กลัวผมหนีเหรอ?”
ผมเชื่อว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดจากหมอนั่นที่ผมเคยเห็น
“ผมเชื่อ คุณมีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่หนี” แล้วเขาก็ลงเรือนไป
เขารู้… เขารู้ว่าผมจะไม่หนีไปในขณะที่ผมยังเป็นหนี้เขาอยู่ ถึงแม้จะเคยขู่บ่อยครั้งก็เถอะ
ก็ได้ในเมื่อนายเชื่อแบบนั้น ฉันก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันก็ยังมีศักดิ์ศรีของฉันอยู่อย่างที่นายเข้าใจ
“ต้อย…”
“คะ?” ต้อยรีบวิ่งออกมาจากห้อง
“ตอนสาย ๆ เราจะไปซื้อของกัน เตรียมตัวไว้ บอกต้องด้วยให้ขับรถให้ผม” ผมส่งกุญแจให้ต้อย
เด็กคนนั้นยิ้มกว้างเหมือนดีใจที่ได้เที่ยว รับปากรับคำแล้ววิ่งลงเรือนไปหาพี่ชายด้วยความรวดเร็ว
ใครบอกว่าการเดินไปเดินมาในห้างเป็นเรื่องสนุกล่ะก็ ผมคนนึงล่ะที่เถียงคอเป็นเอ็น เพราะนอกจากมันจะเหนื่อยแล้วมันยังเต็มไปด้วยผู้คนที่เวลาเดินผ่านทีจะต้องคอยมองหน้าคนที่เดินผ่านอยู่ตลอด
สิ่งที่อยู่ในห้างที่พอจะทำให้ผมรู้สึกดีกับห้างบ้างก็คือร้านหนังสือ ความเป็นส่วนตัวจะเกิดขึ้นในร้านหนังสือเพราะว่าแต่ละคนที่มาเลือกก็จะมัวแต่มองหาหนังสือของตัวเองไม่มีใครคอยมองหน้าใคร วันนี้คนที่ดูมีความสุขที่สุดเห็นจะเป็นต้อย
“คุณธร หนูขอไปกินไอศครีมชั้นล่างได้มั้ยคะ?” ต้อยมาเกาะแขนผมยิ้มแป้น
“เอาสิ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
“ต้อย ไปรบกวนคุณธรแบบนั้นได้ยังไง” ฝ่ายพี่ชายก็ปรามเสียงเขียวจนน้องคอตก
“ไม่เป็นไรหรอกต้อง ผมเองก็อยากดื่มกาแฟเหมือนกัน”
“คุณธรตามใจแบบนี้มันจะเหลิงนะครับ”
“ก็นาน ๆ ทีนี่นา ไม่ได้มาบ่อยซักหน่อย ใช่มั้ย?” ผมหันไปถามต้อย ต้อยก็พยักหน้าตอบจนหัวแทบจะหลุดออกจากคอ
บางครั้งการมานั่งดูเด็ก ๆ เขามีความสุขก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขตามไปด้วยได้ อย่างต้อยที่กำลังมีความสุขกับการกินไอศครีมหรือต้องที่สนุกกับการแย่งน้องกิน
ภาพที่เห็นมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ไม่จำเป็นต้องโกรธหรือโมโหกับคำพูดของใคร ความสุขก็เพียงแค่นั่งมองเฉย ๆ
“เอาล่ะ เราคงต้องกลับกันแล้ว” ผมหยิบบิลเตรียมไปจ่ายเงิน
“จริงด้วยสิ!! วันนี้ท่านจะมานี่นา~”
“ต้อง ก่อนกลับแวะดูต้นมะลิให้ผมอีกต้นนะ ผมอยากได้ไปไว้ในห้อง”
“ครับคุณธร”
เรารีบไปซื้อต้นไม้แล้วรีบกลับบ้านกันทันที โชคดีที่เรากลับมาเร็ว ยังไม่มีใครมาบ้าน แต่ก็ยังไม่ทันที่จะยกต้นไม้ลงจากรถก็มีรถคันสีดำอีกคันเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้าน คนที่ลงมาเป็นลุงท่าทางดุ ๆ ลงมาแล้วยืนมองหน้าผมอยู่พักใหญ่ ผมรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องให้แนะนำว่าลุงคนนี้เป็นใคร
“นี่ถ้าฉันมาเร็วกว่านี้ก็คงไม่ได้เจอสินะ” มาถึงก็เริ่มเรื่องเลย ถ้าบอกว่าเป็นพ่อลูกกันแท้ ๆ ก็เชื่อนะนี่
“ผมไปทำธุระข้างนอกมาครับ”
“จะปลูกให้เป็นป่ากันเลยรึไง?”
“กระถางนี้ผมจะไปไว้ในห้องครับ”
“อ๋อเหรอ… ดีนะ อยู่บ้านไม้เลยทำให้เป็นบ้านกลางป่าซะเลย”
“เป็นป่าดีกว่าอยู่คอนกรีตดมกลิ่นควันนะครับพ่อ” หมอนั่นเดินเข้ามาพอดี
เฮ่อ~ โชคดีของผม ไม่อย่างนั้นผมคงต้องฆ่าคนแก่ฝังใต้ถุนเรือนแน่ ๆ
“รีบมาเชียวนะ” คุณลุงหันไปมองลูกชายแล้วหันมามองผมอีกที อยู่ ๆ ก็ทำหน้าแปลก ๆ
“นี่อะไร? นึกว่าฉันจะทำอะไรเจ้านายพวกแกรึไง?”
ผมหันไปมองด้านหลังเห็นกองทัพคนรับใช้มายืนเรียงหน้าอยู่ด้านหลังผม โดยเฉพาะต้อยกับต้องดูออกหน้าเป็นพิเศษ
“อย่างนี้ล่ะครับพ่อ ผมเองยังแตะไม่ค่อยจะได้เลย” นายนั่นแกล้งแซวจนต้อยหน้าเป็นสีชมพู
“ไปทำงานกันเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลเอง”
ทุกคนยอมสลายตัวไปทำงานของตน ต้องยกกระถางมะลิไปไว้ในห้องผมตามคำสั่ง
“คุณพ่อเชิญขึ้นข้างบนเถอะครับ”
“ฉันขึ้นแน่ ไม่ต้องเชิญหรอก” ว่าแล้วก็เดินฉับ ๆ ขึ้นไป
ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อนายยะ เป็นคนแก่นะผมจะเอาต้นมะลิทุ่มซะ
คุณลุงขึ้นเรือนมาก็ตรงไปนั่งที่โซฟาทันที นายยะก็จูงมือผมไปนั่งข้าง ๆ ทำไมผมยอมให้จูงน่ะเหรอก็เพราะก่อนขึ้นเรือนนายนี่หันมากระซิบให้ผมทำตามแผนที่เป็นคนรักกันน่ะสิ พอนั่งปุ๊บหมอนี่ก็มือกาวทันทีเกาะเอวหมับแกะก็ไม่ออก
“ไม่เห็นแกบอกฉันว่าไปรักกันตอนไหน” สายตาดุ ๆ นั่นมองอย่างกับจะให้ทะลุตัวผมให้ได้
“เราไปเจอกันที่อังกฤษครับ ธรเขาไปเรียนส่วนผมก็ไปติดต่อเรื่องสั่งเจียระไนเพชร พอดีว่าผมแวะไปหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่ธรเขาเรียนอยู่ก็เลยได้รู้จักกันน่ะครับ”
เฮ่อ~ รอดตัวไปที แต่เดี๋ยวก่อน!!! หมอนี่รู้ได้ยังไงว่าผมไปเรียนที่อังกฤษ!!?
พ่อของนายยะทำสายตาเหมือนกับจะไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ
“แล้วแกจะเอายังไงกับหนูวิชุดา พ่อไปคุยกับเขาไว้ ทางโน้นเขาก็ตกลงแล้วด้วย”
“ผมก็จะไปบอกเธอว่าผมมีคนรักอยู่แล้ว แต่งงานกับเธอไม่ได้”
“…ถ้าแก….”
“ผมว่าพ่ออย่าพูดเลย ผมเองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพ่อนักหรอก ผมไม่อยากให้มีคนต้องเป็นเหมือนแม่อีก” หมอนั่นพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พ่อตัวเองจะพูดจบประโยค
ไม่แตกต่าง? เป็นเหมือนแม่? อะไร?….
“….ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีเรื่องจะพูดกับแกอีก ปัญหาที่เหลือแกจัดการเอาเองก็แล้วกัน” พูดจบคุณลุงก็ลุกพรวดขึ้น
“เอ่อ…ไม่อยู่ค้างหรือครับท่าน?” ผมเรียกไว้ คุณลุงก็หยุดแต่ไม่ได้หันมา
“ไม่ค้าง ไม่อยากค้าง” ว่าแล้วก็ลงเรือนไป
คนอะไรกันเนี่ย!? ผมหันไปมองนายยะ หมอนั่นก็ถอนหายใจแล้วก็ลุกจะเดินเข้าห้อง โชคดีที่ผมคว้าแขนเสื้อไว้ได้
“ไปไหน?”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้งานของผมหมดแล้ว”
ยังจะมายิ้มอีก เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจะซักให้สะอาดเลยคอยดู
“ผมอยากรู้เรื่อง” พอป๋องตั้งโต๊ะของว่างเสร็จผมก็ได้เวลาซัก
“เรื่องอะไร?” ทำหน้ากวนประสาทอีกแล้ว
“ก็เรื่องพ่อคุณไง”
“พ่อผม?”
“ใช่”
“ทำไม?”
ถ้าผมฆ่าเจ้าของบ้านตายแล้วหมกไว้ใต้ต้นมะลิจะมีใครรู้มั้ยเนี่ย
“ฮ่าๆๆ ขอโทษ ๆ ก็คุณน่าแกล้งนี่นา” หมอนั่นหัวเราะรีบยกมือห้ามเพราะเห็นผมยกกระโถนเตรียมฟาดหัวคนบ้า
“เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย”
“OK ๆ คือ… เริ่มจากที่ตอนหนุ่ม ๆ พ่อผมกับแม่ผมถูกผู้ใหญ่ท่านบังคับให้แต่งงานกัน แต่ว่าพ่อผมมีคนรักอยู่แล้ว เป็นผู้ชาย…”
“เป็นผู้ชาย!!!”
“ฟังให้จบก่อนซี่ พ่อผมก็เลยไปคุยกับแม่ว่าคงแต่งกันไม่ได้เพราะพ่อมีคนรักอยู่แล้ว แต่แม่บอกว่าแต่งได้เพราะแม่ไม่ได้รังเกียจเกย์ แม่พร้อมที่จะแต่งเพื่อให้พ่อยังคงรักษาหน้าตาทางสังคม แม้ว่าจะไม่ได้รักกันก็เถอะ แต่ว่าให้พ่อไปถามความเห็นของฝ่ายคนรักก่อน”
“อืม…” อย่างนี้นี่เอง จะว่าไป…แม่นายนี่ก็เป็นคนน่ากลัวเหมือนกันนะนี่
“ทีนี้คนรักของพ่อก็คือพ่อแท้ ๆ ของผมเนี่ย..”
“พ่อแท้ ๆ ?”
“บอกว่าให้ฟังให้จบก่อน…”
โอ้ย!~ หมอนั่นมันหยิกแก้มผม!~
“พ่อโยธาของผมก็ตกลง พ่อกับแม่ตกลงแต่งงานกันแต่มีข้อแม้ว่าอยู่กันฉันธ์เพื่อนเท่านั้น พอแต่งแล้วพ่อก็ปลูกบ้านหลังนี้ให้แม่ แล้วพ่อธัชพลก็ไปอยู่กับพ่อโยธาที่บ้านหลังใหญ่ แต่งกันได้ไม่นานพ่อธัชกับพ่อโยก็มีปากเสียงกัน พ่อโยหนีมาอยู่กับแม่ที่บ้านนี้ด้วยความที่พ่อโยกำลังเสียใจและแม่ก็คอยปลอบจึงได้เกิดผมขึ้นมา”
อ๋อ~ แบบนี้เอง
“แล้วพ่อโยของคุณล่ะ? ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
หมอนั่นทำหน้าเศร้า
“ท่านเสียไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน ท่านเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด”
“….ผมเสียใจด้วย” ผมยื่นมือไปจับมือเขาไว้ แต่…ปล่อยซักทีสิ จับนานแล้วนะ
“ขอบคุณ”
“แล้วแม่คุณล่ะ?”
“ท่านเสียไปเมื่อปีที่แล้วนี่ โรคหัวใจ”
“แย่จริง…”
“ไม่หรอก ก่อนสิ้นท่านสั่งไว้อย่างนึง”
“อะไร?”
“ท่านสั่งให้มีลูกเขยเป็นผู้ชายให้ที” ไอ้บ้าเอ้ย!!~ ผมเอาหมอนตีผั่วะๆ ยังไม่รู้สำนึก หัวเราะให้ลั่นบ้าน ไอ้โรคจิตนี่ ไอ้เราก็หลงอุตส่าห์เสียใจตามไปด้วย ไม่น่าเคลิ้มตามเลย
“อ้าว~ โธ่ ผมพูดจริง ๆ นะ”
ยัง… ยังไม่เลิก
“คุณนี่น้า~”
“เอาน่า…. ยังไงก็ถือซะว่าคุณมาเที่ยวบ้านผมกับช่วยเล่นละครกับผมก็แล้วกัน” หมอนั่นขยิบตาให้
ผมโชคร้ายแน่ ๆ เลยที่ต้องมาทำงานให้หมอนี่เนี่ย…..