ตอนที่ 4 tsuki to usagi
หลังจากเสร็จกิจไปเป็นรอบที่สาม ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมหลงใหลในทุกสิ่งทุกอย่างของมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ศิลปินคนโปรดที่อยู่ในดวงใจของใครหลายๆ คน ตอนนี้มันมาอยู่ในอ้อมกอดของผม และแน่นอน... ผมจะทำให้มันเป็นของผมคนเดียว...ตลอดไป
“คืนนี้เราจะนอนที่นี่กันเหรอ?” เสียงไอ้วอกถามขึ้นทั้งที่กำลังหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หมดแรงข้าวต้มอยู่ใต้ร่าง ผมปล่อยขาให้มันลงไปยืนแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยเหลือแรงแม้แต่จะทรงกายจึงใช้แขนยาวเก้งก้างโอบกอดรอบคอแล้วซบศีรษะลงบนอกผม
“ตามสบายถ้ามึงอยากอยู่” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนตีนแล้วค่อยถอนกายออกแผ่วเบา เริ่มต้นทำความสะอาดคราบต่างๆ อย่างลวกๆ แล้วควานหาเสื้อผ้าอาภรณ์มาสวมจนเรียบร้อย
“อืดอาดอยู่นั่นแหละ ออกไปเถอะน่า อายอะไรนักหนา” โวยวายเพราะไอ้นักร้องมันเปิดประตูออกอย่างแผ่วเบาแล้วมัวมองซ้ายมองขวาไม่เคลื่อนกายออกไปจากห้องน้ำสักที คงกลัวจะมีคนอยู่ข้างนอก แต่นี่ก็ปาเข้าไปจะตีหนึ่งกว่าแล้ว ลูกค้าในร้านก็คงเหลือน้อยเต็มทน แล้วไอ้ว่าจะมาห้องน้ำก็คงยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ แต่ถึงจะมีใครอยู่ผมก็ไม่แคร์อยู่ดี
“เชี่ยตุลย์ หุบปากหมาๆ มึงไปเลย ห่าเอ๊ย.... ถ้าแฟนคลับกูรู้ว่ากูมาเสร็จมึงแบบนี้เรตติ้งกูตกหมดพอดี กูยังต้องทำมาหากินอยู่นะโว้ย” มันโวยวายแต่ผมไม่สนใจผลักมันออกจากห้องน้ำหนึ่งในสี่ห้องโชคดีไม่มีคนอยู่ข้างนอก
“ช่างปะไร กูนี่ไงแฟนคลับมึง มึงนอนกับกูคืนเดียว กูให้มึงได้มากกว่ามึงร้องเพลงทั้งเดือนอีก”
“เชี่ย เก็บปากไว้แตกหน้าหนาวเหอะ”
“หึ!! อย่ามาขู่ ก็มึงเพิ่งทำปากกูแตกอยู่เมื่อกี้กูยังเจ็บอยู่เลย”
“อย่ามาพูดเลย ปากมึงแตกแค่นี้ทำบ่น แล้วที่มึงทำก้นกูระบมล่ะไม่คิดบ้าง”
“เออ กูจะรับผิดชอบ ฉีดยาให้มึงบ่อยๆ แล้วกัน เขาบอกว่าทำบ่อยๆ แล้วมันจะชิน จนเลิกเจ็บไปเอง”
“เชี่ย!!! ฝันไปเถอะว่ากูจะยอมมึงอีก”
“ไม่ต้องยอมก็ได้ เพราะถ้ามึงไม่ยอม....กูก็จะบังคับอยู่ดี”
“ไอ้สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” มันด่ามาอย่างไม่พอใจแต่ยิ่งทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไปอีกที่ได้แกล้งมัน
......................................................................
BY ผม
“กูจะรอที่รถนะ” เสียงตุลย์บอกมาแล้วเดินแยกออกไปที่หน้าร้าน พอลับหลังผมก็ชูนิ้วกลางตามหลังมันไปโดยที่ไม่ให้มันเห็น
ฝันไปเถอะว่ากูจะตามมึงไปที่รถ
ในร้านอาหารแทบไม่เหลือคนแล้ว ผมเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองในครัวทั้งที่สภาพร่างกายไม่ค่อยอำนวยเท่าไรนัก เดินออกมาที่รถตัวเองแล้วล้วงลงไปที่กระเป๋ากางเกงแล้วหาจนทั่ว
ตายห่า.....กุญแจรถกู!!!
วิ่งกลับไปหาที่ห้องน้ำ ก็ไม่เจอ โอ๊ย......ซวยจริง
ย้อนกลับมาที่รถตัวเองด้วยสายตาละห้อย
“ทำห่าไรอยู่ ชักช้าจริงมึง” ผมเงยหน้ามองหน้าไอ้เชี่ยตุลย์อย่างหงุดหงิดงุ่นง่านนอยด์แดก
“ใครบอกว่ากูจะกลับกับมึงล่ะ”
“ถามโง่ๆ ถ้ามึงไม่กลับกับกูแล้วมึงจะกลับยังไง จะนอนที่ร้านว่างั้น?”
“ทำไมมึง....” มันถอนใจเหมือนเหนื่อยระอาขณะชูของสิ่งหนึ่งขึ้นมา
“ไอ้เชี่ย!!” ด่าแล้วรีบตวัดมือตะครุบกุญแจรถผมที่อยู่ในอุ้งมือมาร “เอามานะ”
“ไม่ให้... สังขารก็เดี้ยงขนาดนี้แล้วจะฝืนทำไม จะพานั่งรถเก๋งกลับสบายๆ ไม่ชอบ มึงบ้าหรือเปล่า” ห่าเอ๊ย กูขับรถกลับเองยังดีกว่ากลับไปเจ็บต่อที่บ้านมึงล่ะวะ ผมยืนจ้องหน้ามันอย่างโมโหสุดบรรยาย มันยิ้มกวนประสาทมาให้ก่อนจะพลิกกายเดินหนีไปพร้อมกับกุญแจรถของผม แล้วจะให้ทำยังไง....นอกจากเดินตามมันไป
“เข้าไปสิ” เชี่ยตุลย์มันสั่งครับเมื่อผมเดินตามมันมาถึง BMW ของมัน มีการเปิดประตูตรงที่นั่งคู่กับคนขับให้ด้วย เรื่องอะไรผมจะขึ้น แค่ที่โดนกะซวกไปเมื่อกี้ยังไม่หายแสบ ขืนหลวมตัวขึ้นรถไป ช่วงล่างผมไม่ชำรุดแย่หรอกเหรอเนี่ย
“ไม่ไป คืนกุญแจกูมา”
“ไม่คืน” ไอ้เชี่ยตุลย์.... สมแล้วที่เป็นกระต่าย ทำตัวเป็นเจ้านายกูเชียวนะ! **
คิดอย่างเคียดแค้นแล้วถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“มึงปล่อยกูไปตามทางของกูไม่ได้เหรอไง” ถามอย่างเหลืออด
“ไม่ได้....” ก่อนตอบช่วยใช้เวลาคิดสักสองวิจะตายไหมไอ้ห่า...
“คนอย่างมึงไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย เกย์กระเทย ก็คงมีแต่คนอยากได้มึงทั้งนั้น แล้ว.. ทำไมต้องเป็นกูวะ”
“มึงนี่ ชอบถามอะไรที่กูตอบไม่ได้ทุกที ขอโทษแล้วกันที่กูมันชอบทำอะไรด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล” ตอบมาแบบนี้แล้วจะให้เอายังไงต่อไปดี กูปวดประสาท
หมดปัญญาจะขัดขืนความเอาแต่ใจของมัน ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี แต่อยากยั่วโมโหมันอีกสักหน่อย จึงไม่ยอมเข้าไปนั่งคู่กับมันด้านหน้า แต่เลือกที่จะเปิดประตูหลังแทน มันมองตามด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์ที่ผมดันเข้าไปนั่งเบาะหลัง
“ทำไมมึงไม่นั่งหน้า” มันถามด้วยเสียงขุ่น
“ก็กูอยากนั่งหลัง” ลอยหน้าลอยตาตอบอย่างกวนตีน มันขมวดคิ้วใส่แต่ผมไม่สนใจ
“ไอ้นักร้องตัวแสบ” มันพึมพำแล้วดันประตูด้านหน้าให้ปิดแล้วเข้ามาแทรกกายเบียดผมที่เบาะหลังจนผมต้องขยับกายเข้าไปข้างในรถเรื่อยๆ สีหน้าที่มองมาเหมือนหาเรื่องทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจในสวัสดิภาพของตัวเองอีกครา จนต้องพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปจากมัน
“เออ...ตุลย์ ตั้งแต่รู้จักกันมา กูยังไม่เคยได้ยินมึงเรียกชื่อกูเลย กูถามจริงๆ เถอะ มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร ชื่ออะไร”
“กูจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอว่ามึงชื่ออะไร” ความกวนตีนเป็นสันดานที่ตุลย์คงไม่สามารถรักษาให้หายได้ตลอดชีวิต
“......” ผมไม่ตอบเป็นคำพูดแค่ชูนิ้วกลางพร้อมกับแยกเขี้ยวให้
“อ๋อ....มึงชื่อจวยเหรอ?” ถามมาด้วยหน้านิ่ง แต่ยิ่งทำให้ผมโมโหหนัก
“ฟายเอ๊ย... อย่ามากวนตีนกู เชี่ยตุลย์”
“ว่าแต่กู มึงก็เรียกกูผิดนะ บอกแล้วไงว่ากูเป็นกระต่าย”
“เออไอ้กระต่ายหื่น”
“หึหึ... ดีมาก คนอื่นเขาจะเรียกมึงว่าอะไรก็ช่าง แต่มึงเป็นดวงจันทร์ของกู”
“ทำไมกูต้องเป็นดวงจันทร์ด้วย”
“อ้าว มึงไม่รู้เหรอ?” มันถามมาเหมือนกับสิ่งนั้นสำคัญมากจนลงข่าวหน้าหนึ่งใครๆ ก็ต้องรู้น่ะครับ
“รู้ว่า?”
“ว่ากูเป็นกระต่าย” ไอ้เชี่ย!!!!
“เออ กูรู้ แล้วไงต่อวะ”
“ก็กระต่ายอย่างกู...มันชอบอยู่...บนดวงจันทร์อย่างมึงไง”
“กูก็อยากเป็นกระต่ายที่ได้อยู่บนดวงจันทร์อย่างมึงเหมือนกันนะโว้ยยยยยยยยย”
“กูเป็นกระต่ายโดดเดี่ยวไม่ชอบอยู่เป็นฝูงว่ะ มึงเป็นดวงจันทร์ไปน่ะดีแล้ว” เชี่ย....ไอ้เห็นแก่ตัว คิดอยากจะเป็นกระต่ายอยู่ตัวเดียว
ผมทำตาโตใส่มันอ้าปากค้างและกำลังคิดหาคำด่าแต่ก็ยังนึกไม่ออก ปลายนิ้วชี้หน้ามัน ซึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาจับมือผมไว้มั่นก่อนจะอ้าปากงับที่ปลายนิ้วชี้ของผมแรงๆ แต่ไม่ทำให้เจ็บมากนัก ผมพยายามดึงนิ้วออกแต่ยิ่งดึงอีกฝ่ายยิ่งออกแรงกัดหนักเข้าไปใหญ่
“มึงกัดกูทำไม” โวยวายใส่กระต่ายที่กลายร่างเป็นหมา(จิ้งจอก) ไปแล้วตอนนี้ มันคลายคมเขี้ยวแล้วส่งยิ้มกวนๆ มาให้อีก
“กูไม่ชอบให้ใครชี้หน้า เห็นแล้วหมั่นเขี้ยว”
“เชี่ยตุลย์ กระต่ายมันไม่กัดนะโว้ย แต่มึงกัดกูอย่างนี้ มึงอ่ะหมาชัดๆ”
“ไม่ใช่หมาก็กัดได้ กูไม่เป็นหรอกหมา กูขอเป็นตุลย์เฉยๆ ดีที่สุด” ยิ้มยียวนกวนประสาทใส่มาน่าหมั่นไส้จริง
“ดีที่สุดยังไง?”
“มึงไม่รู้เหรอ....” แม่งเอ๊ย.... คนบ้าอะไรวะชอบตอบคำถามด้วยการถามกลับอยู่เรื่อยเชียว ยังไม่พอดันกระแซะกายเบียดเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น จนผมได้แต่ขยับกายหนีจนพบว่าตัวเองไปติดประตูรถอีกฝั่งแล้ว....
“ว่ากูชอบกิน....” ลีลาจริงวุ้ยจะพูดก็ไม่ตอบมาทีเดียวให้จบประโยค แล้วมึงตอบคำถามเฉยๆ ไม่ได้หรือไงวะ ทำไมมึงต้องก้มหน้าลงมาใกล้กูขนาดนั้นด้วยวะ? มือข้างหนึ่งของมันเท้ากระจกรถไว้จนรู้สึกได้ถึงอำนาจคุกคามของมัน พยายามเอามือยันหน้าอกมันไว้แต่ก็เหมือนจะไร้ผล...
“....ขนม....” มันรู้ไหมเนี่ยว่าใบหน้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จนเกือบชิดแบบนี้ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจที่รินรดมันทำให้หัวใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ แม้จะพยายามเอียงหน้าหนีเท่าไรก็ยิ่งรู้ว่าไปไหนไม่รอด จวบจนริมฝีปากของมันแตะลงที่ริมฝีปากของผมเพียงเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำสุดท้าย....
“...ปังปอนด์....” สิ้นคำพร้อมกับมันเริ่มจะกินขอบ(ปาก) “ปังปอนด์” ลิ้มรสชาติปลายลิ้นและรสจุมพิตของ “ปังปอนด์” และไล่เล็มจนเหมือนอยากจะกลืนกิน “ขนมปังปอนด์” เข้าไปทั้งตัวถ้าทำได้
เชี่ยเอ๊ย...... กูรู้แล้วว่ามึงจำชื่อกูได้ แต่ไม่ต้องแสดงออกขนาดนี้ก็ได้ว่ามึงชอบกินกูแบบนี้!!
เพิ่งจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้กระต่ายเขาเลิกกินผักแต่หันมากินขนมปังกันแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
..................................................................