อีกสองสัปดาห์ถัดมา ผมก็ยังคงพักอยู่ที่โรงแรมไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่นะรักษาตัวอยู่ ข่าวดีคือหมอประจำตัวของนะและทางโรงพยาบาลยินยอมที่จะให้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ ได้ แต่ยังต้องรอจนกว่าสภาพร่างกายของนะจะดีขึ้นอีกสักพักหนึ่ง อีกเรื่องคือเพื่อนๆ ของพวกเราที่มหาวิทยาลัยต่างก็รู้ข่าวเรื่องของนะกันหมดแล้ว รวมทั้งยังรู้ด้วยว่าผมกับนะเป็นแฟนกัน จากเรื่องในครั้งนี้ทำให้แม้แต่ไอ้ก้องที่เคยหายหัวไปยังโทรมาถามไถ่และขอโทษผมสำหรับเรื่องทั้งหมดที่มันเคยทำลงไปด้วยเลย เพื่อนบางคนก็อุตส่าห์ขับรถมาเยี่ยมพร้อมกับให้กำลังใจผมว่านะจะต้องฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่น่าแปลกที่สำหรับผมในตอนนี้ คำพูดเหล่านั้นมันกลับแลดูว่างเปล่าและไร้ความหมายอย่างหาคำอธิบายไม่ได้ บางครั้งผมก็รู้สึกเชื่อว่านะจะต้องฟื้นขึ้นมาส่งยิ้มให้ผมเหมือนเดิม แต่ก็มีบางครั้งที่ผมนอนไม่หลับและต้องแอบร้องไห้เงียบๆ อยู่คนเดียว ในบางคืน ความฝันที่ผมฝันถึงเขามันช่างสวยงามและอบอุ่นจนทำให้ผมต้องเจ็บปวดและเสียน้ำตาในยามตื่นนอน แต่โดยรวมแล้ว ผมก็รู้สึกว่าผมเริ่มทำใจได้ดีขึ้น ความหวังว่าเขาจะต้องกลับมายังคงไม่ลดลง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความจริงที่ว่าผมอาจจะทำได้แค่นั่งจับมือเขา และมองดูใบหน้ายามหลับของเขาแบบนี้ไปตลอดด้วยเช่นเดียวกัน
“วันนี้หมอมาตรวจและบอกพี่ว่าภายในหนึ่งเดือนนะ...” พี่นายพูดกับผมหลังจากที่ผมเพิ่งเดินเข้าไปในห้อง “หมอบอกว่ารายงานจากคลื่นสมองและอื่นๆ แสดงว่านะยังอาการทรงตัว แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นทีละน้อยๆ เพราะฉะนั้นหมอเลยคิดว่า นะอาจจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ภายในหนึ่งเดือนนับจากนี้น่ะ”
เรื่องที่ผมได้ยินนับเป็นข่าวดีที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว แต่ทว่าสีหน้าของพี่นายกลับไม่มีวี่แว่วของความสุขอย่างที่ควรจะเป็นอยู่เลย ดังนั้นผมจึงรอให้เขาพูดต่อก่อนที่จะเผลอรู้สึกดีใจออกไป
“แต่... เปอร์เซ็นต์ก็ยังคงต่ำกว่า 20 หรือ 30% อยู่ดีว่ะ ดังนั้นเราจึงยังไม่ควรจะหวังอะไรมากนัก เพราะโอกาสที่นะจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยก็ยังมีอยู่สูงมากกว่า 70% โดยเฉพาะถ้าผ่านพ้นสองเดือนไปแล้วล่ะก็โอกาสมันก็คงจะยิ่ง...”
ผมคิดว่าหมอคนนี้นี่แม่งโคตรเก่งในเรื่องการทำลายความหวังของคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่นาย ผมเข้าใจและผมรับได้...” ผมหันไปมองใบหน้าหลับสนิทของนะ “ถึงจะยังไม่ยอมแพ้ แต่เราก็ต้องหัดยอมรับความเป็นจริงและเผื่อใจไว้บ้าง จริงมั้ยล่ะครับ”
“นั่นสินะ...” เขาหันไปมองน้องชายเพียงคนเดียวของตัวเองก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งและลุกขึ้นยืน “ถ้างั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเย็นๆ พี่จะพาพ่อมาเยี่ยมเหมือนเดิม”
“ครับ”
“ซี” เขาวางมือลงบนไหล่ของผม “พี่ขอบใจมากนะ ขอบใจจริงๆ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้เขา เขายิ้มจางๆ ตอบกลับมาแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ผมลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปเปิดผ้าม่านออกให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งลงที่หัวเตียงใกล้ๆ เขา
รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย อาการบวมลดน้อยลง ริมฝีปากก็ดูมีเลือดฝาดมากขึ้นกว่าเมื่อในวันแรก ผมใช้หลังมือลูบแก้มเขาเบาๆ แล้วจึงหันไปหยิบกระถางต้นไม้เล็กๆ ที่มีโฮย่าหัวใจปักเอาไว้อยู่ขึ้นมาดูก่อนจะวางมันกลับลงไปที่เดิมอีกครั้ง
“เฮ้อออ... อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเปิดเทอมแล้วว่ะ มึงต้องรีบๆ หายดีแล้วไปเรียนกับกูนะเว้ย ไอ้นะ ไม่งั้นกูคงเหงาแย่...” ผมกุมมือเขาเอาไว้ “เอ้อ เมื่อเช้ากิ๊กมันโทรมาหากูด้วยนะ บอกว่าจะมาเยี่ยมมึงแต่ยังไม่มีเวลาเลย กูว่ามันคงรู้แล้วล่ะว่าเราเป็นแฟนกันน่ะ แม่งเลยทำตัวไม่ค่อยถูกมั้ง ไม่รู้ดิ” ผมยักไหล่
ผมนั่งมองใบหน้าของเขาที่หลับอย่างสงบอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาเปิดออก หนังสือเล่มนี้คือวรรณกรรมแปลเกี่ยวกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องพัดพรากจากพ่อ แม่ และน้องสาวของตัวเอง และต้องพบกับการผจญภัยมากมายในการตามหาครอบครัวอันเป็นที่รักของเขา ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งเมื่อสี่วันก่อน และผมก็อ่านมันให้เขาฟังมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
“โอเค มา เดี๋ยวกูจะอ่านต่อจากที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนให้มึงฟังล่ะนะ” ผมหันไปยิ้มให้กับเขา “ตั้งใจฟังด้วยล่ะ ไอ้ตูด ถ้าแอบหลับแล้วปล่อยให้กูพูดอยู่คนเดียวล่ะ โดนแน่นะมึง”
บางครั้งผมก็รู้สึกนะว่าโชคชะตานี้ช่างเล่นตลกและโหดร้ายกับผมเสียเหลือเกินที่ทำให้ผมกับคนที่ผมรักต้องเป็นแบบนี้ แต่พอมาลองคิดดูอีกที ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เกิดมารักคนๆ หนึ่งที่ทำให้ผมสมบูรณ์แบบที่สุดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เขาคือชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายที่ผมตามหา ผมรักเขา และเขาก็รักผม ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เราก็ยังคงเป็นคนรักที่รักกันมากที่สุด นั่นคือสิ่งสำคัญที่ผมจะลืมไม่ได้เด็ดขาด และในอนาคตนับจากนี้ ผมก็จะรักเขาให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาจะกลับมาหาผมหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะผมรู้ดีว่าเรายังคงมีกันและกัน และจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่านานจนกว่าลมหายใจของเราจะหมดลง
เขาเปรียบเป็นดั่งดวงใจของผมที่ยังคงเต้นอยู่ตามทุกจังหวะของลมหายใจ ไม่มีอะไรที่จะมาทำลายความรักของเราลงได้ และไม่มีใครที่จะมาแทนที่เขาได้ด้วยเช่นกัน เพราะหัวใจของเราสองคนคือดวงเดียวกันมาตั้งนานแล้วนี่นา
หลังจากที่อ่านหนังสือไปได้หลายหย้าผมก็อ้าปากหาวและปิดหนังสือลงก่อนจะเหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ
“กูเริ่มง่วงแล้วว่ะ ขอนอนพักสักงีบแล้วกันนะเว้ย...” ผมวางหนังสือกลับลงไปที่เดิมและชะโงกตัวเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ อย่างทะนุถนอม “กูรักมึงนะ ชนะชัย... แล้วก็ขอบใจที่มึงเองก็รักกูเหมือนกัน ขอบใจจริงๆ”
.....................................................จบ .....................................................