ช่วงสุดท้ายของการฝึกคือการเข้าป่า พูดไปเหมือนเป็นอะไรยิ่งใหญ่อย่างกับหนังมหาสงครามกู้ชาติ แต่ที่จริงพวกเราก็แค่ไปเข้าค่ายที่เขาชนไก่แค่นั้นเอง
ก่อนเข้าป่าที่หน่วยฝึกฯ เขาก็จัดให้ทหารใหม่มานอนกางเต็นท์ที่ด้านนอกหน่วย มันก็ไม่มีบ้าอะไรหรอก เหมือนจับปูใส่กระด้งมากกว่า เรากับไอซ่าช่วยกันกางเต็นท์นอน ซึ่งส่วนใหญ่เราทำของเราคนเดียวเพราะไอ้ซ่าช่วงหลัง ๆ มันไปสนิทกับพี่ครูทหารใหม่คนหนึ่งชื่อพี่แจ๊ค เห็นคุยกันถูกคออย่างกับผัวเมีย เราก็ไม่ได้อะไรกับมันหรอกเพราะเรากับมันก็ไม่มีอะไรเข้ากันได้อยู่แล้ว เหตุผลเดียวที่ไอ้ซ่ากับเราคุยกันก็เพราะเป็นบัดดี้กันมากกว่าจะเป็นเพื่อนกันด้วยใจจริง ๆ ส่วนไอ้เหมาก็ไม่ค่อยได้เรื่อง หยิบจับอะไรก็เป็นอันเจ๊งบ้งไปหมด เราเลยให้มันไปช่วยจ่าหาฝืนมาก่อไฟ พอตกค่ำก็ไม่เป็นอันนอน จ่าเอาแต่เป่านกหวีดเรียกทั้งคืน เดี๋ยวก็ข้าศึกบุก เดี๋ยวคนหาย เดี๋ยวกระโจมปืนแถว หนักหน่อยก็พี่ทหารใหม่เกิดผีบ้าอะไรเข้าสิงไม่รู้ เดินไล่ตัดสายโยงเต็นท์จนเต็นท์ทหารใหม่ล้มไปหลายสิบหลัง พวกเราต้องมานั่งกางใหม่ แต่จนแล้วจนรอดก็ผ่านคืนเหล่านั้นมาได้
พออีกวันต่อมาพวกเราทั้งหมดก็เดินทางไปค้างคืนที่บนเขาชนไก่ด้วยการเดินเท้าจากค่ายซึ่งถ้านั่งรถคงกินเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น แต่เมื่อต้องเดินเท้าและแบกร๊อกแซกไปด้วย มันจึงกินเวลาไปนานหลายชั่วโมงเหมือนกัน
หลายคนตื่นเต้นที่ได้ออกมาจากค่ายหลังจากทนอุดอู้อยู่ในหน่วยฝึกฯ มาแรมเดือนซึ่งความจริงมันไม่ใช่ครั้งแรกที่หน่วยฝึกฯ พาทหารไปฝึกภายนอก ที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยออกมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกก็ไปทัศนศึกษา (จ่าเรียกไปเที่ยว) ที่อุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ ก็ไม่มีอะไรให้ดูมาก แต่ผู้บรรยาย บรรยายสนุกมาก เป็นผู้พันที่แต่งตัวแบบทหารสมัยก่อนมาบรรยาย
ส่วนอีกครั้งก็ไปฝึกเข้าฐานทดสอบร่างกายที่หน่วยรบซึ่งอยู่ห่างจากหน่วยฝึกไปไม่มากนัก (นั่งรถหกล้อกันไปครึ่งชั่วโมงได้) ก็เป็นฐานแบบ โหนบาร์ ไต่บันไดลิง วิ่งข้ามเครื่องกีดขวาง แล้วก็กระโดดหอ
แต่ไม่มีสักครั้งที่พวกเราจะได้ออกไปค้างแรมข้างนอกเลย ครั้งนี้จึงพิเศษกว่า หลายคนทำหน้าตาเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก เราเองตอนที่เดินผ่านตลาดแล้วเห็นคนคุยโทรศัพท์มือถือก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังอยู่ในศตวรรษที่ 21 เกือบลืมไปแล้วว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าไอโฟนอยู่ น่าแปลกที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ไม่ได้คิดถึงการพูดคุยกับคนอื่น ๆ ผ่านเครื่องมือไร้สายที่เรียกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่ได้คิดถึงอาชัยกับอาน้อย ไม่ได้คิดถึงคนที่เซเว่นที่เราเคยทำงาน ไม่ได้คิดถึงห้องนอนของตัวเอง เตียงของตัวเอง บ้านของตัวเอง เราแทบจะลืมไปหมดแล้วว่าสิ่งพวกนั้นมันมีรูปร่างและรสสัมผัสเป็นอย่างไร การเป็นทหารเกณฑ์ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการเอาแต่คิดถึงสิ่งที่อยู่ข้างนอกมันไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนัก รังแต่จะทำให้เจ็บปวดเสียเปล่า ๆ เราเลยเลือกที่จะไม่คิดถึงมัน ลืมมันไป แกล้งทำเป็นว่าโลกภายนอกล่มสลายไปหมดแล้ว กลายเป็นดินแดนร้างที่เต็มไปด้วยซอมบี้เหมือนในซีรี่ย์เดอะวอร์คกิ้งเดธ และน่าแปลกนะ เราสามารถหลงลืมอะไรไปได้อย่างง่ายดายทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรามากขนาดนั้น ตอนนี้พอเราคิดถึงชีวิตก่อนหน้านี้ เรารู้สึกเหมือนกำลังคิดถึงฉากหนังเก่า ๆ สักเรื่องที่ได้ดูเมื่อนานมาแล้ว มันไม่เป็นจริง ไร้สาระ และบางครั้งก็เศร้ามาก
พวกเราทุกคนเดินผ่านย่านชุมชน ตลาด หมู่บ้านพักของนายทหารรวมถึงบ้านพักของผู้กองด้วย บ้านพักแกเป็นห้องแถวสองชั้นที่ทำด้วยไม้เก่า ๆ ไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนยศของแก เมียผู้กองออกมายืนดูแถวทหารที่เดินผ่าน ในมืออุ้มลูกเล็ก ๆ พลางยิ้มให้คู่ชีวิตที่เดินเข้าไปทักทายพลางช่วยอุ้มลูก เขาจับมือเด็กคนนั้นโบกมือไปมาให้ทหาร...อย่างกับฉากในละครซิทคอม แปลกดีเหมือนกัน
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ๆ เราก็ไปถึงวัดป่าแห่งหนึ่ง จ่ายักษ์นำสวดมนต์ไหว้พระและร้องเพลงชาติก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งไปตามไหล่ทางถนนลาดยาง พอสักสิบโมงได้พวกเราทั้งหมดก็มาถึงที่หมาย
มันเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ตรงกลางมีร่องรอยกองไฟ พอไปถึงจ่าก็ให้ทหารกระจายตัวไปรอบ ๆ เป็นรูปตัวยู เอาสำภาระวางไว้และแบ่งหมวดฝึก
การฝึกก็ไม่มีอะไรมาก ถึงจะเป็นเรื่องใหม่อย่างการใช้พลุแฟร์กำหนดจุดลงจอดเฮลิคอบเตอร์ การใส่หน้ากากกันแก๊สพิษ การหาอาหารตามภูมิประเทศ (ก็คือหาของแดกในป่านั้นเอง) แต่มันก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากมายนัก จ่าแกเองก็คงจะเหนื่อยเหมือนกันแหละเลยเหมือนว่าก็สอน ๆ ไปที รู้ว่าสอนไปแล้วก็ไม่ได้เอาไปใช้จริงอะไรหรอก
ที่ดูเหมือนจะสนุกหน่อยก็พวกจ่า ๆ ที่ว่างไม่มีงานทำเลยได้รับหน้าที่ตรวจดูรอบ ๆ การฝึก เห็นแกขับรถฮัมวี่แว้นส์กันอย่างกับอยู่ในสนามแข่ง
พอตกเย็น รอง.ผบ.มทบ. ก็มากล่าวเปิดการฝึก (คนละคนกับตอนเปิดการฝึกครั้งแรกนะ) แกก็พูดอะไรไปตามเรื่องตามราวของแก เราไม่ได้ฟังหรอก...เอาจริง ๆ ไหม โอเค เราเล่าก็ได้ เห็นแก่เป้เลยนะเราถึงเล่า คือ ตอนฝึกจุดพลุแฟร์ ไอ้โชค คนในหมวดเดียวกันกับเราเกิดตกใจพลุแฟร์แล้วกระโดดจนสะดุดก้อนหินล้ม กางเกงเลยขาดเป็นทางยาวจนเห็นตูด...แล้วมันก็ไม่ได้ใส่กางเกงใน พอตอนเข้าแถวมันตัวสูงกว่าเราเวลาเข้าแถวมันก็จะอยู่หน้าเราพอดี วันนั้นทั้งวันเราก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย เดินดูตูดขาว ๆ ของมันทั้งวัน
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปกางเต็นท์ ทำอาหาร (จ่าแกมีไก่สดกับข้าวสารแล้วก็เครื่องปรุงพวกน้ำตาลน้ำปลาให้ ที่เหลือก็หากันเอง บางคนญาติเอามาม่ามาให้ทหารเป็นกล่องใหญ่ ๆ ก็มี) เรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหรอก แล้วหลังจากนั้นก็แบ่งเวรกัน แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย กลายเป็นว่าเหมือนแบคแพคไปตั้งแค้มป์กันเล่น ๆ ทหารก็เดินไปเดินมาคุยหยอกกัน พวกจ่าก็ไปตั้งวงไฮโลกันอยู่ในศาลาที่พวกเขาใช้พัก แต่จนแล้วจนรอดไอ้เหมาก็หางานให้เราจนได้ มันดันไปขี้อยู่ในป่าแล้ววางปืนทิ้งไว้ ครูทหารใหม่เห็นก็ยึดปืนไป
พอรู้ตัวแทนที่จะไปตามหาปืน ไอ้ห่าเหมาก็วิ่งทะเล่อทะล่าหูตาตื่นมาหาเรา บอก “ปืนหาย”
เราก็ถามว่าแล้วหายได้ยังไง มึงไปวางไว้ไหน มันก็บอก มันไม่ได้ลืมวางทิ้งไว้ พี่ครูทหารใหม่เอาไป
เราก็อ่าว ไหนบอกหาย แล้วมาบอกโดนขโมย มึงจะเอายังไงกันแน่วะ แต่จนแล้วจนรอดเราก็ต้องไปช่วยมันตามหา ปรากฏว่าพี่ครูทหารใหม่ที่เอาปืนมันไปคือพี่มิ้นท์ ตอนแรกเราก็เข้าไปถามดี ๆ พี่แกก็ดึงหน้าใส่บอกไม่รู้ ๆ
เราก็เลยบอกว่า “ไม่เอาน่าพี่ พี่ก็รู้ ไอ้เหมามันเป็นยังไง อย่าไปแกล้งมันเลย”
อีกฝ่ายมองเราเรียบ ๆ แล้วบอก “ปืนของเอ็งเหรอ” เราก็บอกว่าเปล่า “แล้วเอ็งจะเดือดร้อนทำไม”
ใจเราตอนนั้นคือโกรธมาก อะไรของมันวะ ถามดี ๆ พูดดี ๆ ทำไมต้องกวน เราเลยตอบไปว่า “เปล่าพี่ แต่มันบัดดี้ผม”
แล้วไอ้ครูพี่มิ้นท์ก็เดินหนีไป เราเลยให้ไอ้เหมาไปคุย คุยไปคุยมาปรากฏว่าพี่มิ้นท์มันเอาปืนไปให้จ่าแล้ว เรากับไอ้เหมาเลยโดนพุ่งหลังไปเป็นร้อยกว่าจะได้ปืนคืน ส่วนไอ้ซ่าไม่รู้หายหัวไปไหน คงไปคลุกอยู่กับพี่แจ๊คอีกแหละ
เย็นวันนั้นเราเลยไม่คุยกับไอ้เหมาอีกเลย เราเบื่อที่ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้มันเต็มที พอมันมุดเข้ามานอนในเต็นท์เราก็เลยย้ายออกมานอนข้างนอกกับไอ้จีน ไอ้โชค แล้วก็ไอ้บอยที่ปูเสื้อกันฝนนอนกันอยู่ที่ลานโล่งเล็ก ๆ ห่างจากแถวเต็นท์ไม่เยอะนัก เราจำไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไรกันแต่มันโคตรตลก พวกเราสี่คนนอนมองดาวบนฟ้า เล่าเรื่องตลกลามกจกเปรตกันไปมาเหมือนรู้จักกันมานานหลายปีใต้ผืนดาวที่สว่างชัดกว่าครั้งไหน ๆ ที่เราเคยเห็น เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าท้องฟ้ามันจะเป็นระยับได้ขนาดนี้ ลมเย็น ๆ พัดผ่านมาหอบเอาเสียงหัวเราะของพวกเราไปตามสายลม นาน ๆ ครั้งจะมีคนเดินมาถามว่าคุยห่าไรกันเสียงดัง พวกเราก็ไม่สนใจหรอก เอาจริง ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยอะไรกันแล้วก็ไม่สนใจด้วย เรารู้แค่ว่า วันนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้ เรามีความสุขและอยากหัวเราะออกมาเสียงดัง ๆ
หลายครั้งเราคิดถึงเป้ขึ้นมา คิดถึงคืนนั้น ที่ดาดฟ้าบ้านเรา แต่เราก็พยายามไล่ความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัว การคิดถึงเป้บางครั้งมันก็ยากนะที่จะไม่รู้สึกเศร้าขึ้นมา
ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ถึงคิวเราเข้าเวร มันก็ไม่มีบ้าอะไรหรอก แค่เดินถือปืนไปมา เราไปยืนดูกองไฟที่อยู่ตรงกลางลาน เห็นทหารสี่ห้าคนนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น บางคนแอบเอาขนมมานั่งกิน หลายคนแค่นอนแผ่ไปบนพื้นดินคลุกฝุ่น
พอเดินเข้าไปข้าง ๆ กองไฟก็เห็นไอ้เบนซ์นั่งอยู่ตรงนั้น วางแขนไว้บนหัวเข่าสองข้างที่ยกชันขึ้นมาแล้วก็หยิบกินมาม่าแห้งจากซอง เราแกล้งเอาด้ามปืนเขี่ยมันเบา ๆ
“อย่านั่งชันเข่า” เราบอกไปแบบนั้นตอนมันหันมามอง ในตาสีน้ำตาลวาววับสะท้อนแสงจากกองไฟ
“ทำไมล่ะ” มันพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะบอกให้เรานั่งลงข้าง ๆ “กินไหม”
เราแบบมือให้มันเทใส่ แต่มันกลับเทมาม่าใส่มือตัวเองแล้วป้อนใส่ปากเรา ตอนแรกก็คิดว่าทำไมมันดีจังวะ แล้วมันก็แกล้งเทมาม่าใส่หน้าเราจนไหลเข้าจมูก
“ไอ้เบนซ์ ไอ้ห่า” เราร้องออกมาพลางไอ ไอ้เบนซ์หัวเราะ
“ขอโทษ ๆ” มันว่าแล้วก็ตบหลังเราเบา ๆ จากนั้นก็เงียบไป มันเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ เท้าข้อศอกไปที่หัวเขา ส่วนคางก็วางไว้กับมือที่ประสานกัน จ้องมองเข้าไปในกองไฟ มองดูแมลงเม่าที่โง่งมคิดว่าแสงนั้นคือดวงจันทร์แล้วบินเข้าไปปลิดชีพตัวเอง
“คิดอะไรอยู่” เราถามมัน มองดูและจากด้านข้าง ยิ่งมองจากมุมนี้มันยิ่งเหมือนเป้
มันหันมองเราแวบหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “คิดเรื่องหลังจากนี้น่ะ ว่าจะเอายังไงดี”
“ไปตกหน่วยไหนล่ะ” พูดแล้วก็แย่งซองมาม่ามาจากมือมัน ล้วงนิ้วเข้าไปหยิบกิน
“การสัตว์...” มันว่า “แต่คิดอยู่ว่าอยากสมัครลงใต้”
ได้ยินแบบนั้นทำเอาเราสำลักมาม่าแห้งไปอีกรอบ ไอ้เบนซ์เห็นแบบนั้นก็หัวเราะแล้วเอนตัวไปด้านหลัง
“พูดไปเรื่อยอ่ะมึงน่ะ” เราไอ้โครกออกมาพลางทุบหน้าอกตัวเอง
“อาจจะพูดจริงก็ได้ มึงจะรู้ได้ยังไง” มันว่า “คนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว จะตายทั้งทีก็ตายให้มันคุ้มค่าหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“มึงก็พูดเหมือนถ้ามึงตายจะทำให้โลกสงบสุขงั้นแหละ” เราหันมองมันตรง ๆ “มันไม่ใช่แบบนั้นนะเบนซ์...พูดไปก็ยืดยาว เอาเป็นว่า มันมีทางอื่นที่มึงไม่จำเป็นต้องลงไปตาย”
อีกฝ่ายมองหน้าเราอย่างสงสัย “ยังไง”
“มึงก็ไม่ต้องสมัครลงไปไง”
มันหัวเราะ ยิ้มจนตาหยี แล้วบอกว่าเราพูดถูก “มึงไม่ต้องห่วงหรอกเต้อ มันไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้หรอก แล้วถ้ากูจะไปตายกูก็อยากจะทำเรื่องอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่เคยทำ”
เรานิ่วหน้า ถามว่า “เช่น?”
“เช่นมีอะไรกับผู้ชายเป็นต้น” แล้วมันก็เอนตัวกลับมานั่งขัดสมาธิ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร ใบหน้ามันเป็นสีส้มนวลจากกองไฟ ขนตายาวทำให้ตามันดูน่าหลงใหล เรานึกอย่างจะเอื้อมมือไปสัมผัสผิดใบหน้านั้น แต่...
...แต่แล้วเสียงเป่านกหวีดก็ดังขึ้นลั่นเขาชนไก่ “ไอ้เวร ไปไหนกันหมดวะ” จ่ายักษ์ตะโกนลั่น เรารีบผุดลุกขึ้นแล้วขานว่า “ครับ” ดัง ๆ ก่อนจะวิ่งไปทางต้นเสียง จ่าแกสั่งพุ่งหลังไปยี่สิบยกก่อนจะสั่งให้พวกเข้าเวรกระจายตัวเดินไปรอบ ๆ ที่พัก
เราเดินไปตามแถวเต็นท์เรื่อย ๆ สมองพยายามคิดหาเหตุผลต่าง ๆ ที่ทำให้ไอ้เบนซ์พูดเรื่องเหล่านั้นออกมา เราไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างในตัวมัน ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวมันเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งมันหมายความตามพี่พูดจริง ๆ หรือเปล่า แต่มันก็ทำให้เราเป็นห่วงได้สำเร็จ
เราเดินไปเดินมาอยู่สักพักจนได้ยินเสียงเรียก หันไปหันมาอยู่ตั้งนานถึงจะรู้ว่าคนที่เรียกนอนอยู่ในเปลผ้าที่ผูกไว้กับต้นไผ่
“เข้าเวรเหรอ” เสียงครูมิ้นท์ถามเรา ตัวมันเองยังนอนอยู่ในเปล มือคีบบุหรี่ ปากก็ปล่อยควันโขมง ใจหนึ่งเรายังเคืองเรื่องไอ้เหมาไม่หาย แต่ใจหนึ่งก็คิดได้ว่าถ้าไม่ตอบอาจจะมีปัญหาตามมาทีหลัง
เราเลยตอบว่า ‘ครับ’ ไปคำหนึ่งก่อนจะตั้งท่าเดินหนี แต่พี่แกก็เรียกเราไว้อีก “ฝึกเสร็จแล้วไปอยู่ไหนล่ะเอ็ง”
“กองร้อยครับ”
ครูมิ้นท์ผุดลุกตัวขึ้นนั่ง อัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วดีดก้นกรองทิ้ง “มาอยู่ บก.ร้อยกับกูไหมล่ะ”
ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเองคงขมวดคิ้วหนักเลยแหละ งงก็งงว่าอะไรคือ บก.ร้อย แล้วอะไรไปดลใจให้มันมาชวนเรา “บก.ร้อยคืออะไรล่ะพี่ ผมไม่รู้จัก แล้วจะให้ผมไปทำอะไร”
“มึงจบอะไรมา” มันลุกขึ้นมานั่งแกว่งขาไกวเปลตัวเองไปมา
“ม.6...แต่ว่า...”
“ใช้คอมเป็นหรือเปล่า พวกพิมพ์เอกสาร พิมพ์งาน อะไรพวกนี้”
ใครมันจะใช้ไม่เป็นวะ เด็กห้าขวบยังพิมพ์งานในเวิร์ดได้เลย เราคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ “ก็ได้แหละพี่ ง่าย ๆ”
“มันไม่ง่ายนะเว้ย เอกสารราชการ มันมีแบบของมัน ก่อนหน้านี้เคยทำอะไรมาล่ะ”
“ผมทำงานเซเว่นพี่”
แล้วมันก็ร้อง “โอ๊ะ” ออกมาเหมือนเสียเวลาคุยกับเรา ตอนนั้นในหูเราเหมือนได้ยินเสียงเส้นด้ายความอดทนขาดดัง ‘ผึ่ง’ ไม่รู้มันมีปัญหาอะไรกับเรานักหนา ตั้งแต่เรื่องตามจี้ที่หน่วยฝึกฯ แล้วมาเรื่องไอ้เหมา แล้วยังเรื่องนี้อีก เราเลยทำเสียงจิ๊ปากดัง ๆ แล้วเดินหนีมา ตัวมันเองคงได้ยิน เราก็ตั้งใจให้มันได้ยินแหละ มันเลยเรียกเราไว้แล้วถามว่าเรามีปัญหาเหรอ
“มีพี่ ผมบอกตรง ๆ ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไรหรือมีปัญหาอะไรกับผม เห็นตามจี้ ๆ ผมมาเป็นเดือน แล้วเรื่องไอ้เหมาอีก เมื่อตอนเย็นผมถามดี ๆ พี่ก็กวน แล้วมาตอนนี้ยังมาพูดแบบนี้อีก ทำไมวะพี่ ผมทำงานเซเว่นมันต่ำต้อยมากเหรอ”
เรารู้ว่าตอนนั้นเราพูดเสียงดังแต่เราไม่รู้ว่ามีจ่าเดินมาตรวจเต็นท์แถวนั้นพอดี แกเลยถามว่ามีอะไรกัน จะทะเลาะกันเหรอ เราก็เลยบอกว่าเปล่าครับ แล้วจ่าแกก็ไล่เราไปเข้าเวรต่อ
พอวันต่อมาเราก็ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนเช้าตรู่จ่าเป่านกหวีดเรียกรวมทหารแล้วพาออกเดินทางไกลขึ้นเขาชนไก่ บรรยากาศก็ไม่ได้มีอะไรเคร่งเครียด เดินแถวสลับวิ่งกันไป ส่วนทางก็ชันจนเหมือนเดินขึ้นบันไดแต่ก็ไม่ได้หนักหนา พอขึ้นไปถึงก็เจอศาลและซากองค์เจดีย์เก่า จ่าให้ทหารนั่งพักแล้วก็เล่าประวัติยืดยาว เราจำไม่ได้หรอก จากนั้นก็พักผ่อนกันสักครึ่งชั่วโมงได้ จ่ายักษ์เอากล้องถ่ายรูปมาส่งให้หัวหน้ากองร้อยเดินเก็บภาพทหาร
จากนั้นพวกเราก็เดินกลับมาที่ค่ายพัก ตอนเดินกลับต่างคนต่างเดิน สาย ๆ ก็เริ่มออกฝึกอีกครั้ง ก็เป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปเหมือนเดิม การกะระยะทางด้วยตาเปล่า การใช้วิทยุสื่อสาร การพรางตัว พอค่ำ ๆ หลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางไกลตอนกลางคืน ไอ้เหมาที่กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจก็เริ่มออกอาการทั้ง ๆ ที่ก็เดินกันไปเป็นหมวดไม่รู้จะกลัวทำไม มีการฝึกการสังเกตการณ์ตอนกลางคืน การดูดาว การเล็งเป้าตอนกลางคืน แล้วก็มีฐานทดสอบความกล้า ตอนแรกก็ให้ทหารนั่งรอที่พื้นถนนยางมะตอย แล้วให้เดินออกไปที่ข้างทางซึ่งเป็นป่าทีละคน แล้วเสียงกรี๊ดก็เริ่มดังมา
ไอ้เหมาหน้าเสีย ถามเราว่า “เขาทำอะไรกันวะ” แล้วเราจะรู้ไหมล่ะ ก็เลยบอกไปว่า “ไม่รู้” พอถึงคิวเรา เราก็เดินไป ระหว่างทางก็มีพี่ทหารใหม่ค่อยถือไฟฉายให้ทางเป็นระยะ พอไปถึงก็มีจ่านั่งอยู่หน้าปี๊บแล้วให้เอามือล้วง
“ล้วงเข้าไป ล้วงแล้วต้องบอกได้นะว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง อาจจะเป็นงูหรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องบอกให้ได้” ตอนแรกเราก็กล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตัดสินใจล้วงไป เพราะคิดว่าจ่าคงไม่ลงทุนไปเดินหางูมาให้ทหารใหม่จับหรอก พอล้วงลงไปก็จับ ๆ คลำ ๆ ดู ไม่นานก็รู้ว่าเป็นเปลือกเงาะ
เราบอกจ่าไปแบบนั้น แกทำเสียงเซ็ง ๆ ว่า “มึงไม่กลัวหน่อยเหรอวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ร้องเสียงดัง ๆ ให้เพื่อนมึงกลัวหน่อยเร็ว”
ไอ้เราก็ทำตาม แห่ม ร้องเพราะความกลัวนี่มันงานถนัดเราอยู่แล้วไง
พอกลับมารวมหมวดอีกครั้งไอ้เหมาก็ถามเราว่า “เต้อร้องอะไรเหรอเมื่อกี้ กลัวเงาะเหรอ” แล้วก็ขำ เราก็นึกในใจ ‘จ้า ๆ พ่อทหารเดนตาย พ่อหัวใจแกร่งดุจหินผา’
เช้าวันต่อมาเป็นวันกลับหน่วยฝึกฯ ผู้กองเรียกรวมทั้งกองร้อยแล้วบอกว่าจะให้ทุกคนเดินเท้ากลับไปที่วัดป่ากันเอง โดยต้องใช้เส้นทางผ่านป่าไปเท่านั้น เป็นการฝึกการหนีเอาตัวรอดจากเขตศัตรูหลังจากถูกจับเป็นเชลยศึกอะไรก็พูดไปเหอะ เราไม่ได้สนใจหรอก ไอ้เหมาก็หันมาบอกกับเราว่าให้รอมันด้วย ตัวเราเองใจก็ไม่ได้โกรธอะไรมันแล้วแหละ ทำหน้าเหมือนลูกหมาหิวนม เราก็เลยพยักหน้ารับไป ส่วนไอ้ซ่ามันก็เอาตัวรอดของมันได้หรอก
พอจ่าแกเป่านกหวีดให้สัญญาณทหารร่วมร้อยก็วิ่งเตลิดเข้าป่าไปพร้อม ๆ กับรถฮัมวีที่พวกจ่าใช้ขับตามไล่ต้อนทหาร เราเองก็ชะลอฝีเท้าพยายามรอไอ้เหมา แต่พอหันไปรอบตัวก็เจอว่าไอ้ห่าเหมาหายไปแล้วช่วงชุลมุน ตัวเรากลายเป็นล้าหลังสุดกับคนอื่น ๆ ในกองร้อยอีกสี่ห้าคน พอได้ยินเสียงรถฮัมวี้ใกล้เข้ามาพวกเราก็รีบวิ่งกันหน้าตั้ง แต่แรงขามันจะไปเร็วเท่าแรงล้อรถได้ยังไง สุดท้าย ใครสักคนก็ตะโกนว่าหลบเข้าข้างทางก่อน เราเลยกระโดดลงข้างทาง มุดตัวลงไปในกองใบไม้แห้ง
พอรถฮัมวี่มาถึงตอนแรกก็เหมือนจะผ่านไปเลย แต่จู่ ๆ ตัวรถก็หยุดกึก เข้าเกียร์ถอยหลังมาสักสามสี่เมตรแล้วคนในรถก็ตะโกนออกมาด้วยโทรโข่งว่า “ออกมาเลยพวกมึง กูเห็นหมดแหละแอบโดดลงข้างทางเมื่อกี้ ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวจะพาไปส่งที่ที่รวมพล” ตัวเราตอนแรกใจก็คิดจะออกไป แต่อีกใจหนึ่งก็รู้เกมพวกครูฝึกดีว่าถ้ามาทำใจดีแบบนี้ไม่มีหรอก ผ่านไปสักสองสามนาทีก็มีคนเดินออกไป ตอนแรกก็สองสามคน หลังจากนั้นจ่าก็พูดอีกว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ทำอะไรหรอก จะพาขึ้นรถไปส่งตอนนี้เขาไปถึงกันหมดแล้ว” พอจบคำนั้นก็มีคนออกไปเพิ่มจนสุดท้ายก็ครบหมด แล้วจ่าก็สั่งให้พวกมันถอดร๊อกแซกออกแล้วแก้ผ้า ตอนนั้นเรารู้เลยว่าอารมณ์คนถูกหวยมันเป็นยังไง พวกมันแก้ผ้าจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน บางคนโชคดีไปใส่กางเกงในมา บางคนโชคร้ายก็ตามนั้นแหละ แล้วจ่าก็สั่งให้พวกมันใส่สายเก่ง (เป็นสายรัดเหมือนเอี๊ยม ทำจากผ้าหนา ๆ ที่ปลายจะมีตะขอเอาไว้เกี่ยวกับเข็มขัดสนาม) แล้วไล่ต้อนพวกมันให้วิ่งกันต่อไป
ตัวเราเองรอให้ผ่านไปอีกหลายสิบนาทีกว่าจะออกมาจากที่ซ่อนแล้วร้องเรียกคนที่เหลือ ตอนแรกคิดว่าจะมีคนที่รออยู่เหมือนเราสักคนหรือสองคนแต่กลายเป็นว่าเหลือเราคนเดียว ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว มีแค่เรา ป่า ทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา แล้วก็ความเงียบเชียบ
มันประหลาดนะที่เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว การถูกปล่อยไว้คนเดียวแบบนี้ ถูกหลงลืม ปลีกวิเวก แปลกแยกจากคนอื่น ๆ รอบตัวมีแต่เสียงนก จักจั่น เสียงลมกระทบกับใบไม้แห้ง กลิ่นป่าหญ้าแห้ง ๆ ก็ชวนให้รู้สึกแร้นแค้นแต่สดชื่นอย่างประหลาด แสงแดดแรงกล้าแต่ก็อ่อนหวานในเวลาเดียวกัน เราเดินไปตามทางเล็ก ๆ แคบ ๆ โดยอาศัยดูรอยยางรถและรอยเท้าคอมแบตของคนที่เดินมาก่อนหน้า ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรมากนัก มันก็นานเป็นเดือน ๆ แล้วที่เราไม่ได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ แบบนี้ ไม่ต้องมีคำสั่ง ไม่ต้องมีคนที่เราต้องเป็นห่วงอย่างไอ้เหมา ไม่ต้องรีบร้อนทำอะไร เราแค่เดินไปเรื่อย ๆ ถูกหลงลืมจากโลกภายนอก ไม่คิดถึงเมื่อวานหรือพรุ่งนี้ มีแค่ตัวเราอยู่ตรงนั้น กับปัจจุบันที่ไม่ได้มีค่าความหมายอะไร
ณ จุดใดจุดหนึ่งของการเดินทาง ป่าไม้ก็หายไปกลายเป็นลานหินโล่ง ๆ พื้นหินตะปุ่มตะป่ำบ้างมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ค้างอยู่ข้างใน มันคงเป็นทางน้ำ เวลาฝนตกตรงนี้คงกลายเป็นธารน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก เลยออกไปเป็นเหมือนทางลาดชันคล้ายหน้าผา ไม่มีทางที่จะเดินเท้าลงไปได้แน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นวิวทิวทัศน์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมไม่น้อย
เลยออกไปนั้นเป็นพื้นที่ด้านล่างที่ว่างโล่งของทุ่งนาและผืนป่าสลับกันไป ภูเขาที่อยู่ไกลลับ ๆ เขียวจนเราคิดคำมาบรรยายไม่ถูก แม่น้ำสีน้ำตาลขุ่นเลื้อยลัดเหมือนงูไปตามท้องทุ่ง พอลมพัดโบกมาต้นข้าวจะกระดิกไหวเป็นรูปทรงของสายลม
เรานั่งลงใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ กับทางลาดนั้น รู้สึกเหนื่อยจากแดดที่เกือบจะตรงหัวอยู่รอมร่อ แถมยังหิวจนตาลายเลยนึกขึ้นมาได้ว่ามีมาม่าติดอยู่ในกระเป๋าห่อหนึ่ง (ไอ้จีนให้มาเพราะแม่มันซื้อมาฝากเยอะจนกินไม่หมด) เราปลดสัมภาระทุกอย่างออก ทั้งกระเป๋า สายเก่ง เข็มขัดสนาม แล้วหยิบมาม่าห่อมาบดกินทั้งแห้ง ๆ แบบนั้นแหละ ตาก็มองดูวิวไปด้วย มือก็หยิบสมุดลายไทยออกมาเขียนถึงเป้ไปพลาง ๆ ถือว่าเป็นมื้อกลางวันที่ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมดหรอก
พอกินมาม่าจนหมดเราก็กินน้ำตาม รู้สึกว่าน้ำในกระติกสนามจะพร่องลงเยอะ คงต้องรีบเดินไปให้ถึงวัดป่าก่อนจะขาดน้ำตาย
ต้องเดินต่อแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะเป้
พลทหารเต้อ
พลทหารนักเดินป่า
คุยกันท้ายบท
ทำไมช่วงนี้ฝนตกบ่อย...ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตากผ้ากว่าจะแห้งก็สามวันสี่วัน เบื่อมาก
ยังไงก็เถอะ เรายังไม่เคยได้คุยกันเลยเน้อ เขียนเรื่องลงบอร์ดนี้มาสองสามเรื่อง จบบ้างไม่จบบ้าง 555++ แต่ยังไม่เคยแนะนำตัวเป็นเรื่องเป็นราว เราชื่อนวิน อายุเพิ่้งขึ้นเลขสาม...พออายุเท่านี้การเขียนนิยายกลายเป็นเรื่องยากจริง ๆ นะ ทั้งความคิดความอ่าน ทั้งอายุ ทั้งภาระ เคยคิดจะเลิกเขียนเป็นล้านรอบแต่ก็ไม่เคยเลิกได้สักที สำหรับเรา เลิกกินของทอดยังง่ายกว่าเลิกเขียนเรื่อง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีเรื่องได้ตีพิมพ์หรือได้เงินได้ทองจากเรื่องที่เขียนเลย...ยกเว้นเมื่อสักเกือบสิบปีก่อนมั้งที่เคยส่งหนังสือประกวดแล้วได้รางวัลชมเชยมา (เรื่อง Seven Days 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย...ไม่แน่ใจว่ายังเหลือในบอร์ดนี้หรือเปล่าเพราะเคยลงไว้...แต่ก็เกือบสิบปีแล้วมั้ง) แต่ก็ยังใช้เวลาเขียนหนังสือ...ความจริงคือทั้งหมดที่เราอยากได้เป็นสิ่งตอบแทนคือมีคนอ่านเรื่องที่เราเขียนเยอะ ๆ แล้วบอกว่าไม่ดีหรือดีตรงไหนบ้าง...ปัญหาใหญ่สำหรับนักเขียน (หรือของเรานี่แหละ) ก็คือ ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องที่เขียนดีหรือไม่ดี ไม่รู้จะเอาไปให้ใครอ่าน ก็ได้แต่หวังว่านักอ่านที่น่ารักของบอร์ดนีั้จะช่วยวิจารณ์เรื่องของเราได้บ้าง
พูดเรื่องตัวเองมาซะเยอะแยะ ทุก ๆ คนเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ได้อ่านอะไรน่าสนใจบ้างหรือเปล่า ตัวเราเพิ่งอ่าน aristotle and dante discover the secrets of the universe จบ ชื่อยาวมาก 5555+ เป็นฉบับภาษาอังกฤษ แต่ศัพท์แสงไม่ยากมากนะ อ่านง่ายแต่ลึกซึ้ง คมคาย มีอะไร ๆ ให้คิดตามหลายอย่าง ถ้าใครไม่ถนัดภาษาอังกฤษก็รอแปลไทยก็ได้ รู้สึกมีสำนักพิมพ์ซื้อมาพิมพ์แล้ว รอแต่ตีพิมพ์แหละมั้ง
ส่วนนิยายเรื่องนี้ของเรา เราเขียนจากประสบการณ์ตอนไปเกณฑ์ทหารของตัวเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่ทำตามที่สั่ง อย่างที่บอก...ชีวิตในค่ายทหารมันง่ายนะถ้าไม่คิดอะไร ไม่ต้องการอะไร แค่อยู่ไปและทำหน้าที่ของตัวเองไห้ดีที่สุด...แต่สำหรับเรา มาอยู่ข้างนอกสบายใจกว่าเยอะ กฏระเบียบไม่ต้องมี แล้วยังใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการได้อีกต่างหาก
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจแฟน ๆ นักอ่านด้วยน๊ะจ๊ะ หวังว่าจะสนุกและใด้แง่คิดดี ๆ กลับไปคิดเล่น ๆ ให้เจ็บสมองเพลิน ๆ มีอะไรก็คอมเม้นท์กันได้น๊ะ เรายินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกคนจร้า
ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่