ตอนที่ 4 Part I
ตึง!!
วาดหมัดใส่ประตูไปอีกครั้งเมื่อวายุเดินออกจากห้อง รุนแรงเสียจนเสียงกร้าวดังสนั่นห้อง
กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็สามารถยั่วโมโหผมได้สำเร็จ ทว่านั่นก็เทียบเท่าไม่ได้กับที่ผมกำลังรู้สึก โมโหตัวเอง ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดที่ควบคุมอะไรไม่ได้
ทำไมถึงปล่อยให้เขาทำตามใจอยู่ได้นะ?
ก้มหน้าฟุบลงกับฝ่ามือ ทั้งๆ ที่ควรจะรังเกียจ หากแต่ภาพใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับเย้ยหยันยังคงติดตา กลิ่นหอมอ่อนๆ ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ราวกับว่าเจ้าของสัมผัสวาบหวามยังคงมีตัวตนอยู่ในละแวกใกล้ อยู่ใกล้เกินไปเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปแล้ว
ทำไมถึงยังคิดถึงเรื่องของวายุอยู่
ทั้งจูบและสัมผัสเมื่อก่อนหน้า ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ใต้ทะเลลึก จมลงเรื่อยๆ สู่เวิ้งน้ำดำมืดและหนาวเหน็บ หากปล่อยตัวให้จมลงอีกนิด ก็คงยากที่จะตะเกียกตะกายขึ้นมา
แต่ถึงจะตระหนักได้อย่างนั้น ความร้อนรุ่มที่ก่อตัวยามอยู่ใกล้หรือแม้แต่ยามที่ได้สัมผัส ก็ทำให้หลงลืมอันตรายเหล่านั้นไปเสียหมด
ไม่สมกับเป็นนายเลยเพลิง
รู้ทั้งรู้ว่าคนแบบนั้นอันตรายเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ แล้วยังปล่อยให้ตัวเองโอนอ่อนไปตามแรงยั่วยุอย่างไม่น่าให้อภัย
แล้วการปลุกเร้าเมื่อครู่ ก็ดูท่าจะไม่ยอมดับมอดลงง่ายๆ ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น และสัมผัสยังตกค้าง จนทำให้มวนท้องน้อยป่วนปั่นจนน่าหงุดหงิด
“บ้าเอ๊ย”
สบถอย่างเหลืออด ความโมโหสุมอกจนแทบระเบิด
ผมไม่รู้สึกอยากกลับหอพักอีกต่อไป จึงตัดสินใจที่จะไปพักอยู่กับเพื่อนแทน กดโทรศัพท์หาไอ้ณพเพื่อนสนิท ก่อนจะไปเก็บตัวอยู่คอนโดหมอนั่น
และเขาก็ทำหน้าตกใจเมื่อมาเปิประตูให้
“ลมอะไรหอบมาวะเนี่ยไอ้เพลิง”
แค่ได้ยินก็ตะหงิด ไม่มีลมอะไรหอบมาทั้งนั้น ผมไม่พูดอะไรนอกจากบอกว่าขอมาอยู่ที่นี่สักพัก แม้ณพจะทำหน้าเหวอ แต่ก็ไม่ขัดอะไรที่จะปล่อยให้ผมอยู่ด้วย
คอนโดขนาดสามห้องนอนของหมอนี่กว้างขวาง และมีห้องว่างให้ผมพักอยู่ชั่วคราว ที่จริงที่นี่เคยปล่อยให้เช่า แต่พอณพเข้ามหา'ลัยทางบ้านก็ให้ย้ายมาอยู่ที่นี่แทนเพื่อจะได้สะดวกต่อการเดินทางไปกลับเวลาเรียน
“ดีเลยว่ะ ฉันจะได้บอกยัยน้ำแข็งว่าห้องไม่ว่างเพราะมีเพื่อนมาอยู่ด้วย ผู้หญิงอะไรวะตามติดเป็นปลิง นี่ขนาดไม่ได้เป็นอะไรกันนะเนี่ย ทำท่าจะหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ด้วยละ หลวมตัวคุยด้วยชะมัด”
ไม่มีเหตุผลอะไรมากที่หมอนี่จะมีผู้หญิงมาตามตื๊อ นอกจากเป็นทายาทเศรษฐี และหน้าตาและการแต่งตัวก็ดูดีมากพอจะดึงดูดให้คนเข้าหา
และเขาก็ใช้ผมเป็นไม้กันหมาอยู่บ่อยๆ
บางครั้งพี่ชายณพที่ทำงานไปๆ กลับๆ ไทยกับต่างประเทศก็จะมาอยู่คอนโดกับน้องชายบ้าง ส่วนพ่อแม่ก็อาศัยอยู่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่แถวชานเมือง
ตอนนี้ผมไม่อยากเจอหน้าวายุ เพราะหากเจออีก ก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้โมโหได้ไหม เพราะงั้นอยู่ที่นี่ไปสักพักน่าจะดีกว่า
แค่คิดก็หัวเสียขึ้นมา จึงเดินไปห้องน้ำของคอนโดใหญ่อย่างถือวิสาสะ ตรงไปเปิดฝักบัวปล่อยให้สายน้ำเย็นฉ่ำชโลมร่างทั้งๆ ที่ยังสวมใส่เสื้อผ้า หวังเพียงแค่ว่าสายน้ำเย็นจะช่วยผ่อนคลายความร้อนรุ่มจากภายในกายออกไปได้บ้าง
ความเย็นตกกระทบใบหน้าร้อนผ่าว ไหลรินชโลมไปทั้งร่างจนเปียก ถึงอย่างนั้นไอเย็นและสายน้ำก็แทบไร้ความหมาย เมื่อองศาความร้อนภายในกายยังคงขึ้นสูง
สองมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก เพื่อให้ความเย็นเยือกสัมผัสกับร่างกายได้โดยตรง หากแต่ความรู้สึกร้อนรุ่มยังคงอยู่ สัมผัสของวายุยังตกค้าง ความรู้สึกปวดหนึบตรงช่วงท้องก็ยังคงไม่จางหาย กลับยิ่งรุนแรงขึ้นรุนแรงขึ้น ความเดือดพล่านสุมอกลามไปจนถึงใบหน้า
สบถต่อว่าตัวเองไปเท่าไหร่ ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ น่าสมเพชเสียจริง
“ฮะๆๆๆ”
ได้แต่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน มือปลดเข็มขัดกางเกงลง
แม้ว่าภายในใจตะโกนกร้าวด้วยเสียงคัดค้าน และไม่อยากยอมรับว่าขณะนี้ตัวเองต้องการปลดเปลื้องอารมณ์มากขนาดไหน สายน้ำก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายที่ร้อนระอุแทบจะลุกเป็นไฟนั้นสงบลงได้แม้แต่เพียงนิด จนต้องใช้มือเลื่อนไปกอบกุมส่วนกลางร่างกายที่แข็งขืน
ความต้องการก่อเกิดจากภายในเตลิดไปไกลยากจะกู่กลับ แม้พยายามข่มใจไม่ให้หลงไปกับอารมณ์วูบไหว และอยากคิดโทษคนคนนั้นให้ถึงที่สุด หากแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับว่า
คนที่ต้องคาดโทษมากที่สุดก็คือตัวผมเอง
ไม่ใช่ใคร
คนที่ยอมปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิด คนที่หักห้ามควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ ยินยอมปล่อยให้อารมณ์ไหลไปตามที่ถูกชักนำ ก็คือผม ไม่ใช่วายุ
ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแรง โกรธเกลียด ในตัวเขายังคงอยู่
เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงเผชิญกับความมืด ฝ่ามือขยับรูดไปตามแก่นกายจนกระทั่งความร้อนถูกผ่อนออกจากร่าง ในที่สุดก็รับรู้ได้ถึงกระแสความฉ่ำเย็นจากสายน้ำเมื่อทุกอย่างถูกปลดปล่อยออก
รู้ตัวอีกทีร่างกายก็แข็งชาไปหมดด้วยความเย็น ทั้งที่ทรมาน ก็ยังคงยืนปล่อยให้สายน้ำเฉียบเย็นอาบร่างอีกนานพอดูกว่าจะยอมกลับออกมา
แค่เดินออกมาเห็นตัวเองในกระจก ก็ยิ่งตอกย้ำความน่าสมเพชมากขึ้น
ร่องรอยสีจางที่วายุเป็นคนฝากไว้บริเวณลำคอทำให้รู้สึกรกหูรกตา มือฝังคมเล็บลงกับรอยไปอย่างไม่ทันคิดด้วยอารมณ์หุนหัน สุดท้ายก็ยิ่งตอกย้ำเพิ่มความเจ็บใจเสียอย่างนั้น
ณพที่ตามเข้ามาในห้องเพื่อพูดคุยด้วยตกใจที่เห็นสภาพผมแบบนี้ เขารู้ว่าผมอารมณ์ไม่ดี เลยทำแค่โยนผ้าเช้ดตัวและให้ยืมเสื้อผ้ามาใส่ ผมคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงกับเตียงนอน ปิดการรับรู้ตัวเองด้วยการพยายามข่มตาให้หลับ บอกตัวเองให้คิดในแง่ดีเข้าไว้ เอาไว้จบเทอมก็ย้ายออกจากหอซะ แล้วหลังจากนั้นทั้งผมและวายุก็ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก
ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องใดๆ กันทั้งสิ้น!
.
.
(มีต่อ)