Chapter 13
First and Only
[Patrick]“ทำไมตอนเด็กนายแก้มเยอะจัง”
“ไหนคุณบอกจะไม่ล้อ”
“ถามเฉยๆ ล้อตรงไหน”
“ก็คุณ…” ผมมองเข้าไปในดวงตาเขา แววตาเซบาสเตียนมีรอยยิ้มอยู่ข้างใน แล้วอย่างนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ล้ออีกหรือไง?
“ขอถ่ายรูปเก็บไว้ได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มเจือหัวเราะ ผมหน้ามุ่ย รีบดึงอัลบั้มรูปวัยเด็กคืนมาทันที
“ไม่ครับ”
“ไม่เอาน่าแมวยักษ์”
“ถ้าอยากได้รูปผมไว้ดูตอนคิดถึงก็ถ่ายใหม่สิครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อมยิ้มมุมปาก “ตอนนี้หล่อกว่าตอนเด็กเยอะเลยน้า”
“หน้าตอนโตเห็นแล้วน่าหงุดหงิดน่ะสิ” เซบาสเตียนดันหน้าผมหนี เขาลุกจากเตียง “ลงไปข้างล่างเถอะ แม่นายน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว ลงไปช่วยกัน”
“หนีผมอีก”
“อยากให้หนีจริงไหมล่ะ”
“ล้อเล่นครับ” ผมหัวเราะ เดินตามหลังเขาลงไปด้านล่าง กลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูก ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที
“อ้าว ลงมากันแล้ว”
“อะไรครับพ่อ ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นเลย” ผมพูดดัก พ่อหัวเราะลั่นจนแก้มแดงเถือก ผมหันมองเซบาสเตียน “คุณนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน คุยกับพ่อผมไปพลางๆ เดี๋ยวผมไปช่วยแม่ยกมื้อเย็นมาเสิร์ฟ”
“อืม”
เซบาสเตียนพยักหน้ารับ ผมเลยแยกตัวเดินเข้าไปในครัว
“วันนี้ทำอะไรทานครับ หอมเชียว”
“ของโปรดลูกไง”
“หืม สตูเนื้อแกะเลยเหรอครับ” ผมหัวเราะ “มีลาซานญ่าผักโขมอบชีสด้วย ว้าว นานๆ ทีแม่จะลงมือทำเองชุดใหญ่ขนาดนี้นะเนี่ย”
“ให้น้อยหน้าได้ยังไงกัน” แม่หัวเราะ “นั่นน่ะ...รอสซ์เชียวนะ”
“เซ็บเขาเป็นคนง่ายๆ กว่าที่คิดนะแม่”
“ไม่รู้ล่ะ เขาอุตส่าห์มาทั้งที ต้องต้อนรับดีๆ หน่อย” แม่ยักไหล่ “ไปเปิดไวน์แดงมาสักขวดไปแพท”
“ทุ่มสุดๆ”
“อย่าล้อแม่สิ” เธอจุ๊ปากดุผม “แล้วนี่ทิ้งเซบาสเตียนไว้กับพ่อเรางั้นเหรอ”
“ครับ ก็ผมจะมาช่วยแม่ไง”
“เดี๋ยวพ่อเราก็ไปพูดอะไรแปลกๆ ใส่เขาหรอก” แม่ส่ายหัวในขณะตักสตูใส่ชาม “ยกถาดนี้ไปแล้วไปนั่งเป็นเพื่อนเซบาสเตียนเขาซะ แม่กลัวแฟนลูกอึดอัด”
“ยังไม่ใช่แฟนสักหน่อยครับ”
“แล้วอนาคตจะไม่เป็น?”
“โธ่แม่” ผมโอดครวญ “อยากสิครับ”
“เขาจะอยากเหมือนลูกไหมน้า?”
“แม่!”
“ล้อเล่นจ้ะ” เธอหัวเราะ มองผมด้วยดวงตาสีฟ้าซีด “ไอ้ลูกหมาของแม่ตื๊อเก่งขนาดนี้ เซบาสเตียนจะใจแข็งได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว”
พอแม่พูดจบ พวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมคิดว่าแม่รู้ว่าสถานะระหว่างผมกับเซบาสเตียนมันไม่ได้ตกลงกันง่ายขนาดนั้น และแม่รู้ดีว่าจะทำยังไงให้ผมไม่เครียดกับมันมากเกินไป
“รีบตามออกมานะครับ”
ผมทิ้งท้ายในขณะยกถาดวางชามสตูเดินออกจากห้องครัว แม่ส่งเสียงขานรับก่อนฮัมเพลงต่อ แม่ชอบฮัมเพลงเวลาทำอาหาร เธอบอกว่าเวลาเรามีความสุขในการทำอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นจะออกมาดี เหมือนอาหารของแม่ที่ออกมารสชาติดีถูกปากผมทุกครั้ง
“สตูเนื้อแกะมาเสิร์ฟแล้วครับ”
ผมจัดวางชามสตูลงบนโต๊ะ พ่อส่งเสียงชมไม่หยุดพร้อมกับบ่นว่าไม่ได้ทานเมนูนี้มานานแล้ว ผมหัวเราะ เหลือบมองเซบาสเตียนที่ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่พูดอะไร
ว่าแต่…
แก้มเขาดูแดงกว่าปกติหรือเปล่านะ?
“พ่อให้คุณดื่มเบียร์เหรอเซ็บ”
“เปล่านี่ ฉันไม่ได้ดื่ม”
“อ้าว ผมเห็นคุณหน้าแดง นึกว่าพ่อมอมคุณไปซะแล้ว” ผมตอบกลับด้วยความแปลกใจ เซบาสเตียนขมวดคิ้ว เขาเม้มปากก่อนหันหน้าไปทางอื่น ส่วนพ่อหัวเราะลั่นไปแล้ว “มีอะไรกันหรือเปล่าครับเนี่ย พ่อแกล้งอะไรเซ็บ?”
“อย่ากล่าวหาพ่อได้ไหมไอ้ลูกหมา”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย นั่งได้แล้ว” เซบาสเตียนว่าเสียงดุ เขาดึงแขนผมให้นั่งบนเก้าอี้ตัวติดกัน ริ้วสีแดงบนแก้มหายไปแล้ว เหลือแต่แววตาขวางที่จ้องมองมา
“อย่าดุสิ คุณดุทีไร…” ผมยื่นหน้าชิดใบหูเขา ลดเสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคน “ผมใจสั่นแทบบ้าแน่ะ”
“อะแฮ่มๆ”
พ่อส่งเสียงกระแอม เขายกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ ส่งสายตาล้อเลียน
“ขอโทษทีครับ” เซบาสเตียนพูดขึ้นมา “แพทชอบเล่นอะไรไม่รู้เวลา ผมเตือนหลายรอบแล้วแต่เด็กคนนี้ดื้อเกินไป”
“ผมไม่เด็กแล้วนะครับ”
“แกเด็กกว่าเขานะไอ้หมา”
“นายเด็กกว่าฉัน”
ทั้งพ่อและเซบาสเตียนพร้อมใจกันรุม ผมหน้ามุ่ย โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
“เด็กกว่าแล้วไง โตพอจะเป็นแฟนคุณได้แล้วกัน”
เกิดเดดแอร์ขึ้นราวสามวินาที
ก่อนพ่อจะสำลักเบียร์
และเซบาสเตียนกระทืบเท้าผมใต้โต๊ะเต็มแรง
“โอ๊ย!”
“สมควรโดนแล้ว” เสียงทุ้มกดต่ำ ผมคงกลัวถ้าไม่เหลือบเห็นใบหูแดงเรื่อของเซบาสเตียนเข้าซะก่อน “ยิ้มอะไร!”
“เปล่าครับ เปล่า”
ผมส่ายหน้า แต่ห้ามปากตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้ เซบาสเตียนหรี่ตามอง เขามีสีหน้าไม่ไว้ใจ ใบหน้าดุๆ ของอีกฝ่ายทำผมใจสั่นแทบบ้า สาบานได้ว่าถ้าพ่อไม่นั่งอยู่ตรงนี้ผมคงจู่โจมเขาไปแล้ว
“คุยอะไรกันจ๊ะหนุ่มๆ เสียงดังเชียว”
“ไอ้หมาน่ะสิ” พ่อหัวเราะร่า “พูดจาเพ้อเจ้อจนโดนเข้าให้”
“หืม ไปทำอะไรอีกฮึเรา?”
“เปล่าสักหน่อยครับ” ผมรีบปฏิเสธ อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้ ไม่งั้นเท้าผมคงไม่ปลอดภัย เซบาสเตียนอาจจะอยากกระทืบซ้ำอีกรอบก็ได้ “ทานมื้อเย็นกันครับ คิดถึงฝีมือแม่จะแย่”
“คิดถึงหรือหิวกันแน่?”
“ทั้งสองอย่าง” ผมยิ้มหวานเอาใจ “แต่หิวมากกว่าคิดถึงนิดนึง”
แม่ส่ายหัวอย่างระอาใจ ผมหัวเราะ บรรยากาศรอบตัวพวกเราผ่อนคลายและเป็นไปอย่างเรียบง่าย เซบาสเตียนไม่เกร็งมากอย่างที่ผมคิด เขาไม่ได้พูดมากขึ้นกว่าเดิม หรือยิ้มกว้างกว่าเดิม เซบาสเตียนยังเป็นคนติดจะเงียบๆ กับคนที่ไม่คุ้นชินเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือแววตาและบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัว
เขาผ่อนคลายและดูเข้ากับครอบครัวผมได้ดีทีเดียว
“แพทเล่าว่าเธอเป็นอาจารย์ใช่ไหม สอนอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ครับป้าแม็ก” เขาพยักหน้ารับ “ผมเป็นอาจารย์พิเศษ สอนอยู่ที่…” เซบาสเตียนพูดชื่อมหาวิทยาลัยดังในตัวเมืองขึ้นมา แม่ร้องอ้อ รีบพยักพเยิดไปทางพ่อ
“พีทก็เป็นอาจารย์เหมือนเธอเลย”
“ฉันสอนเด็กๆ น่ะ” พ่อว่า “โรงเรียนประถมแถวๆ นี้แหละ งานอดิเรกของคนแก่”
“ไม่ได้ทำเป็นงานหลักเหรอครับ ขอโทษที ผมถามได้ไหม”
“ได้ๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” พ่อโบกมือไปมา “ฉันน่ะ เห็นแบบนี้เป็นคุณครูเก่านะ พอเกษียณออกมาแล้วก็หันมาจับพวกงานฟาร์ม ปลูกผัก ทำไร่ไป มารอบหน้าไปเดินดูก็ได้ หลังบ้านนู่น ทีนี้มันเหงาไง ฉันเคยชินกับการมีเด็กๆ อยู่รอบตัว เลยไปสอนพิเศษซะเลย”
“สงสัยคงต้องมีหลาน” แม่ล้อพ่อ ก่อนทำหน้าตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ เธอหันมองเซบาสเตียน “ตายจริง ป้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ ขอโทษด้วยที่พูดแบบนั้นออกไป”
“ไม่เป็นไรนี่ครับ”
“เธอไม่คิดมากเหรอเซบาสเตียน” แม่ถามด้วยความสงสัย ผมเองก็มองหน้าเขา อยากรู้อีกฝ่ายจะตอบยังไงเหมือนกัน
เซบาสเตียนเหลือบตามองผม เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ท่าทีเรียบนิ่งไม่แสดงอาการอะไร มันยิ่งทำให้ผมอยากรู้คำตอบเขาเข้าไปใหญ่
“รับอุปการะเด็กสักคนก็ได้นี่ครับ หรือไม่ก็ใช้วิทยาการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยอย่างการอุ้มบุญ” เซบาสเตียนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหันมาทางผม แววตาคล้ายกำลังสนุก “นายชอบแบบไหนล่ะแพท?”
“ฮะ?!”
“เรื่องค่าใช้จ่ายฉันไม่มีปัญหาหรอกนะ”
“เฮ้ย?!”
ผมแทบตกเก้าอี้ เซบาสเตียนพูดเรื่องนี้เหมือนว่าเขากับผมกำลังหารือกันเรื่องสร้างครอบครัวอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด และไม่คิดด้วยว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ขึ้นมา
“ล้อเล่น”
ประโยคสั้นๆ หลุดออกจากปากที่ยกยิ้ม เซบาสเตียนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ หันกลับไปสนใจสตูเนื้อแกะตรงหน้า จิบไวน์อ้อยอิ่งอย่างสบายใจ ทิ้งให้ผมมองคนล้อเล่นหน้าตายตาค้าง
เสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ดังขึ้น
ผมรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย
“อย่าแกล้งผมน่า”
“เปล่านี่ พ่อยังไม่ทันทำอะไรเลย”
“แม่ก็เปล่าสักหน่อย”
“ขี้แกล้งนักนะคุณ” ผมอดตัดพ้อไม่ได้ เซบาสเตียนมองมา เขาเลิกคิ้วให้ คล้ายถามว่าตัวเองทำอะไรผิด “ไม่ต้องเลยเซ็บ คุณแกล้งผม นี่เอาคืนกันใช่ไหม?”
เซบาสเตียนไม่ตอบ เขายิ้มน้อยๆ หันไปคุยกับพ่อแม่ผมแทน
ผมเคยบอกว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี
แต่ดูท่าจะดีจนลืมไปว่าผมเป็นลูกชายบ้านนี้
รู้ตัวอีกทีก็ถูกลืม
ผมพยายามหาช่องแทรก แต่พ่อกับแม่ดูจะรักลูกชายคนใหม่มากกว่า ผมเลย ‘จำเป็น’ ต้องหาทางเรียกร้องความสนใจกลับคืนมา
ไม่ใช่ความสนใจจากพ่อหรือแม่ แต่เป็นความสนใจจากเซบาสเตียน
ผมวางมือลงบนหน้าขาเขา สะกิดลูบเบาๆ จนเซบาสเตียนหันมาตวัดตาดุใส่ ผมยิ้ม ไม่ยอมหยุดมือจนเขาต้องเอามือมาจับผมไว้ให้อยู่นิ่งๆ ผมพลิกมือตัวเอง ประสานมือเข้ากับเขา
พวกเราแอบจับมือกันอยู่ใต้โต๊ะ ตรงข้ามคือพ่อกับแม่
ตื่นเต้นเป็นบ้า
เซบาสเตียนพยายามดึงมือออก แต่ผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก คนขี้แกล้งต้องโดนเอาคืนซะบ้าง อีกอย่างเขาไม่กล้าโวยวาย ผมมองเขาแสร้งทำตัวเป็นปกติ พูดคุยกับพ่อแม่ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนึกขำ รู้ตัวอีกทีก็หลุดหัวเราะออกไปจนได้ ทุกสายตาเบนมาทางผมทันที
“จู่ๆ ก็หัวเราะ ไอ้หมา แกสบายดีใช่ไหม”
“สบายดีสิครับ”
“หน้าตาแบบนี้มีพิรุธ” แม่หรี่ตาจ้อง
“พิรุธอะไรกันแม่” ผมหัวเราะ กระชับฝ่ามือใหญ่ของเซบาสเตียนเอาไว้ “จู่ๆ มาว่าแบบนี้ผมน้อยใจนะ คุยกันสามคนผมน้อยใจจะแย่อยู่แล้ว แบบนี้ยิ่งน้อยใจใหญ่เลย”
“จ้าๆ นี่แม่มีลูกชายขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่ฮึ?”
“ตั้งแต่แม่กับพ่อแย่งความสนใจจากเซ็บไปจากผมไงครับ”
ผมตอบกลั้วหัวเราะ มองเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแน่น ผมขยับนิ้วโป้งไล้วนหลังมือเขา เซบาสเตียนยังพยายามดึงมือหนีเหมือนเดิมทั้งที่รู้ดีว่าผมไม่ปล่อยง่ายๆ
ไม่ปล่อยทั้งมือ…
...ทั้งตัวเขานั่นแหละ
“อาหารอร่อยมาก ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะครับ”
“เห็นเธอชอบฉันก็ดีใจจ้ะ”
“ไว้ว่างๆ มาอีกสิ” พ่อยักคิ้วให้ “ฉันมีเรื่องของเจ้าหมาโง่เล่าให้เธอฟังเยอะแยะเชียวล่ะ”
“ถ้าผมว่างนะครับ”
เซบาสเตียนยิ้มรับ เขาถูกพ่อกับแม่ดึงตัวไปกอดลา ผมกลายเป็นส่วนเกินอีกครั้งจนต้องอ้าแขนสวมกอดพวกเขาทั้งสามเอาไว้อีกทีนึง
“กอดกันไม่รอผมเลย”
“เอาๆ งั้นมากอดกันทั้งหมดนี่แหละ”
พ่อหัวเราะร่วนจนคนอื่นๆ หัวเราะตาม พวกเรากอดกันอย่างนั้นอยู่สักพักถึงผละออก ผมส่งยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง
“ไว้อาทิตย์หน้าผมมาเยี่ยมใหม่นะ”
“พามาคัสมาด้วย พ่อไม่มีเพื่อนเล่นหมากรุกเลย”
“ครับ ไว้ผมจะชวนลุงมาคัสให้”
หลังร่ำลากันเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถขับกลับเข้าตัวเมือง คราวนี้เซบาสเตียนเป็นคนขับ ผมอดกังวลไม่ได้เพราะกลัวเขาไม่คุ้นเส้นทาง ยิ่งตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทด้วยแล้ว แต่อีกฝ่ายยังยืนยันคำเดิม ผมเลยไม่อยากขัดใจ
ผมเปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงดังกลบความเงียบระหว่างเรา
“เป็นไงครับ มาบ้านผม”
“ก็ดีนะ”
“ขยายความคำว่าก็ดีหน่อยสิครับ”
“ป้าแม็กกับลุงพีทน่ารัก” เซบาสเตียนทำตามที่ผมขอ ผมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขา พบว่าอีกฝ่ายยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มันดีกว่าที่คิด ฉันไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่กังวลตอนแรก บ้านนายเป็นกันเองดี”
“ชอบล่ะสิ”
“อืม ชอบ”
“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆ” ผมยิ้ม “ผมมาเยี่ยมพ่อกับแม่ทุกอาทิตย์ มาพร้อมกันก็ได้นะครับ”
“ฉันไม่หลงกลนายง่ายๆ หรอกแมวยักษ์”
“โธ่คุณ ผมไม่ได้ล่อลวงอะไรคุณสักหน่อย”
“นายกำลังล่อลวงฉัน” เขาย้ำ หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “นายรู้ตัวเองดี”
“ถ้าผมล่อลวงคุณจริงๆ ป่านนี้…”
“ป่านนี้อะไร”
“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ สบตากับเซบาสเตียนที่ตวัดสายตามองมาแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปสนใจถนนตรงหน้า “พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว เบื่อจัง”
“ทำไมเป็นแมวขี้เกียจแบบนี้ฮึ?” เขาถาม “ฉันได้ยินนายบ่นเรื่องไปทำงานหลายครั้งแล้ว”
“บ่นไปอย่างนั้นแหละ ผมแค่อยากให้คุณสนใจ”
“ดี งั้นต่อไปฉันจะไม่สนใจนายอีก”
“โธ่เซ็บ อย่าใจร้ายกับผมน่า”
“อย่างนายต้องโดนซะบ้าง”
“โอเคๆ ไม่เรียกร้องความสนใจแล้วก็ได้ ว่าแต่…” ผมเงียบไป ชั่งใจว่าจะพูดดีไหม “พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า? วันจันทร์คุณไม่มีสอนนี่ ตอนเย็นหลังผมเลิกงานไปหาอะไรทานกันไหม”
“ฉันไม่ว่าง”
“อ้าว?”
“ต้องเตรียมแผนการสอนกับตรวจงานนักศึกษา” เซบาสเตียนอธิบาย “ถึงไม่ได้สอนเต็มอาทิตย์แต่ฉันก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะแพท”
“คุณเตรียมแผนการสอนกับตรวจงานทั้งวันเลยเหรอครับ” ผมถาม เซบาสเตียนเงียบไปนานกว่าปกติ ผมหรี่ตาลง รู้สึกว่าเขากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง “งานเยอะขนาดนั้นเชียว”
“เยอะจนทับนายตายได้เลย”
“ฮ่าๆๆๆ”
ผมหัวเราะไปกับคำพูดเขา จากนั้นเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น เซบาสเตียนคงไม่สะดวกใจจะบอกเรื่องนั้นกับผม ว่าเพราะอะไรทำไมเขาไม่ว่าง แต่ผมคิดว่าตัวเองรู้ บางที…
...มันอาจเกี่ยวข้องกับสายที่โทรเข้าหาเซบาสเตียนตอนนั้นก็ได้
พวกเราคุยสรรพเพเหระกันมาตลอดทาง รู้ตัวอีกทีเซบาสเตียนก็มาจอดหน้าคอนโดฯ ผมซะแล้ว ผมหันไปจะบอกลา แต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“ถามหน่อยสิ”
“หืม?”
“ลุงพีทบอกว่านายไม่เคยพาใครมาบ้านมาก่อน ฉันเป็นคนแรก?” เขาเท้าแขนกับพวงมาลัยรถ หันหน้ามาทางผม สายตาฉายแววสงสัยติดจะไม่เชื่อ
ให้ผมเดา นี่คงเป็นเรื่องที่พ่อคุยกับเซบาสเตียนตอนผมเข้าไปหาแม่ในครัว
“ครับ คุณเป็นคนแรก”
ผมตอบตามตรง เซบาสเตียนขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาชอบขมวดคิ้วเวลาคิดหรือตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมรู้ดีเพราะสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา ความเงียบโอบล้อมพวกเรา ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด แค่ปล่อยให้เซบาสเตียนใช้เวลากับตัวเองและตัดสินใจพูดออกมาเมื่อเขาพร้อม
“แล้ว…” เขาเกริ่นหลังเงียบไปนาน ดวงตาสีมรกตสบผมนิ่ง น้ำเสียงทุ้มแหบพร่า “...คนแรกและคนเดียวด้วยไหม”
“ก็ถ้าคุณรับความรู้สึกผม”
ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ เซบาสเตียนไม่ขยับหนี สายตาจับจ้องผมไม่ละไปไหน
“...”
“คุณก็จะเป็นคนแรก...”
ผมกดจูบลงบนขมับเขา ผละออกมาสบตาอีกฝ่าย อมยิ้มเมื่อเห็นเซบาสเตียนมีท่าทีทำตัวไม่ถูก
“และคนเดียว...ต่อจากนี้ไป
”
___________________________________________________________