[Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]  (อ่าน 50666 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 11

Will you kiss me?

 

[Patrick]


ผมกำลังตกที่นั่งลำบาก…

ห้องรับแขกในคอนโดฯ กลายเป็นที่ประชุมชั่วคราว บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ไปทั่ว ผมห่อไหล่ อยากปิดหูไม่รับรู้อะไร แต่ทำไม่ได้

“นายจะร่วมมือด้วยไหมน้องชาย”

แมทธิวถามเซบาสเตียน เขายิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้มตาม ผมลอบปาดเหงื่อ รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาจากอีกด้าน ไม่หันกลับไปก็รู้ว่าผู้ช่วยของแมทธิวกำลังจับตามองผม

สาบานเลยว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องราวของพวกรอสซ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากออกจากห้องไปก่อน แต่เซบาสเตียนให้ผมอยู่ อีกอย่าง...นี่ก็ห้องของผม

“ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากร่วมมือ ในเมื่อฉันเองปฏิเสธการเป็นรอสซ์มาตลอด”

“เพราะ...อย่างน้อยนายก็คือรอสซ์” แมทธิวประสานมือเข้าด้วยกัน ดวงตาหรี่ลง “รอสซ์ไม่มีวันปล่อยให้พวกพ้องโดนทำร้าย โดยเฉพาะคนนั้นคือ ‘พ่อ’ ของพวกเรา หรือไม่ใช่?”

“ฉันว่าไม่เกี่ยว” เซบาสเตียนกอดอก เขาเอนหลังพิงโซฟา เลิกคิ้วจ้องหน้าแมทธิว “คิดว่าฉันมองไม่ออก?”

“หืม อะไรกัน” แมทธิวหัวเราะ

“จากัวร์แห่งรอสซ์” เซบาสเตียนสบตากับแมทธิว “ถ้านายอยากสืบเรื่องไหนสักเรื่องคงไม่เกินความสามารถ มันไม่ยากสำหรับนายแมท ไม่จำเป็นต้องให้ฉันร่วมมือด้วย อย่าอ้างอะไรให้ดูดี นายแค่ต้องการคนเบี่ยงเบนความสนใจจากพ่อ คนที่ออกหน้าแทนนาย ซึ่งก็คือฉัน”

“อา...นายมองฉันขาดจริงๆ”

“เพราะฉันเป็นน้องชายนาย”

“ส่วนฉันเป็นพี่ชายนาย” แมทธิวยักไหล่ มองเซบาสเตียนไม่วางตา มุมปากยกยิ้ม “และฉันรู้ว่านายสนใจอยากร่วมมือเหมือนกัน”

“หึ”

“ตกลงตามนี้ พวกเราร่วมมือกัน” แมทธิวยื่นมือออกมา ผมลอบมองหน้าเซบาสเตียน เขาหลุบตาจ้องมือแมทธิวอยู่สักพักก่อนยื่นมือออกไปจับ

“เกลียดนายชะมัด”

“แน่นอน นายคงไม่รักฉันเหมือนโซลเมตของนายหรอก”

“แมท”

เซบาสเตียนกดเสียงเข้ม เขาเหลือบตามองผมแวบนึง...แค่นั้น ไม่ได้แสดงสีหน้าเขินอายอย่างที่ผมคาดหวัง

“ยุ่งเรื่องคนอื่น”

“นายก็กำลังยุ่งเรื่องฉันอยู่เหมือนกัน” แมทธิวหันไปพูดกับแจสเปอร์ อีกฝ่ายกลอกตา แค่นเสียงเหอะในลำคอ “จะโกรธอะไรขนาดนั้น แค่ฉันไปขัดจังหวะตอนนายกำลังจะอึ๊บสาว”

“เจ้านายเวร!”

“ให้เกียรติคนจ่ายเงินเดือนนายหน่อย”

“ถ้าจะทะเลาะกันเชิญด้านนอก” เซบาสเตียนพูดแทรก “จบเรื่องแล้วก็ไป พวกนายกำลังรบกวนแพทริค”

“อา ลืมไปเลย” แมทธิวทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่สนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “ขอโทษด้วยนะครับแพทริค อืม...เรื่องนี้ผมค่อนข้างใจร้อน แถมเซ็บเองก็ไม่อยู่ห้อง”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมได้พูดเป็นครั้งแรก “ผมขอให้เซ็บเขาค้างที่นี่เอง”

แมทธิวผิวปาก เขาหรี่ตาลง แววตาที่ใช้มองผมกับเซบาสเตียนฉายประกายเจ้าเล่ห์กว่าเดิม

ผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

น่าเสียดายที่ยังทำแบบนั้นไม่ได้

“อืม...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ครับ”

แมทธิวลุกเดินนำ แจสเปอร์เดินตาม เขาเหลือบตามองผมอยู่ชั่วครู่จนแมทธิวต้องออกปาก

“ไม่เอาน่าแจส” เสียงหัวเราะดังขึ้น “เขาไม่มีอันตรายหรอก นายไม่จำเป็นต้องหมายหัวเขาขนาดนั้น”

“เผื่อไว้ก่อน...ฉันจะได้ตามเก็บถูกคน”

อืม อยู่ๆ ผมก็โดนหมายหัวล่ะ…

“แพทเป็นคนของผมแจสเปอร์” เซบาสเตียนพูดขึ้นมา ผมเบิกตา หันมองหน้าเขา อีกฝ่ายสบตาแจสเปอร์ “ถ้ามีเรื่องอะไรผมรับผิดชอบเขาเอง ไม่ต้องถึงมือคุณ ขอบคุณ”

“คุณหวงเขาน่าดู”

เซบาสเตียนยักไหล่ ปรายตามองผม ดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนห้วงน้ำวน ผมถูกเขาดึงดูดเข้าไปอีกครั้ง และทุกครั้งหาทางกลับออกมาได้ยากขึ้นทุกที

“ช่วยไม่ได้ เผลอรับเลี้ยงแมวหลงมาแล้ว”

“เฮ้อ น่าอิจฉา” แมทธิวหัวเราะ “เราเอาแบบคู่นั้นบ้างดีไหมแจสเปอร์?”

“พกปืนมาไหม?”

“หืม?”

“ฉันจะยิงกรอกปากตัวเอง” แจสเปอร์แค่นเสียงเหอะ “ได้กับนายฉันตายแล้วเกิดใหม่ดีกว่า”

แจสเปอร์เดินหนี สีหน้าไม่สบอารมณ์ เสียงประตูปิดดังปังจนผมเผลอนิ่วหน้า แต่แมทธิวกลับหัวเราะร่วน ผมคิดว่าเขาคงชอบยั่วโมโหแจสเปอร์บ่อยๆ

“ไว้เจอกัน”

“รีบๆ ไปเถอะ”

เซบาสเตียนไล่ แมทธิวยักไหล่ เขาหันมาขยิบตาให้ผมทีนึงแล้วเดินจากไป เสียงประตูถูกเปิดและปิดลงอีกครั้ง ทั้งห้องกลับมาเงียบสงบและมีเพียงเราสองคนเหมือนเดิม

“เซ็บ”

“อะไร”

“ผมเป็นคนของคุณเหรอ” ผมถามเขายิ้มๆ สบกับดวงตาที่น่าหลงใหล “คุณรับเลี้ยงผมตอนไหนน่ะ ดีใจจัง”

เซบาสเตียนไม่ตอบในทันที เขาลุกเดินมาใกล้ ยืนทิ้งน้ำหนักเอนตัวพิงโซฟาที่ผมนั่ง ผมเงยหน้า คางถูกปลายนิ้วของเซบาสเตียนแตะเชยขึ้น

“อยากเป็นไหมล่ะ?”

“คุณก็รู้คำตอบดี”

“ทั้งที่โลกของฉันต่างจากนายขนาดนี้?” เขาเลิกคิ้ว “โลกของฉันอันตรายมากนะแพท”

“น่าตื่นเต้นดีออก”

“แมวดื้อ”

“ก็เป็นแมวดื้อของคุณคนเดียวไง” ผมยิ้มให้เขา “อีกอย่าง คุณบอกว่าโลกของคุณอันตราย ผมจะปล่อยให้คุณอยู่ในโลกนั้นคนเดียวได้ยังไง”

“นายพูดเอาใจคนเก่ง” เซบาสเตียนแทรกปลายนิ้วสางเส้นผมบริเวณท้ายทอยผม “สาวๆ คงติดนายน่าดู”

“ถ้าอยากให้คุณหวง ผมต้องตอบแบบไหน?”

“ลองคิดดู”

“งั้นมีเยอะเลย”

“ยังไม่รู้สึกหวงเท่าไหร่” เขาคลี่ยิ้มเยาะ “ลองใหม่ไหม?”

“เซ็บ~”

“หึๆ”

เซบาสเตียนหัวเราะในลำคอ ดูพอใจที่ทำผมโอดครวญได้ เพิ่งรู้ว่าภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งนั้นซ่อนความขี้แกล้งเอาไว้ แต่เอาเถอะ เหมือนเขาจะชอบแกล้งผมคนเดียว ซึ่งนั่นก็ดี เพราะเหมือนผมเป็นคนพิเศษสำหรับเขา

ไม่สิ...ผมน่ะเป็นแมวยักษ์ตัวพิเศษของเซบาสเตียนอยู่แล้ว

“ทำไมเงียบ...โกรธ?”

“เปล่าครับ”

“จริงเหรอ”

เซบาสเตียนเชยคางผมขึ้นอีกครั้ง ผมสบตาเขา ห้วงน้ำวนในดวงตาเซบาสเตียนสวยงาม...แต่แฝงแววอันตราย และผมรู้ดีว่าตัวเองหลงรักความอันตรายนี้จนดิ้นไม่หลุด

เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ปั่นป่วนผมด้วยลมหายใจร้อนเป่ารดผิวเนื้อ มอมเมาผมด้วยรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกาย เซบาสเตียนเก่งเรื่องปั่นหัวคน โดยเฉพาะผมที่โดนปั่นจนแทบละเอียดเป็นผง

“จะจูบผม?”

“อยากให้จูบไหมล่ะ”

“คุณรู้คำตอบดี” ผมหลุบตามองริมฝีปากเขา ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม

“แพท…”

“ครับ?”

“อย่าหวังเยอะเกินไป” เซบาสเตียนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เขาเบี่ยงใบหน้าไปด้านข้าง กดริมฝีปากบนขมับผมและผละออก เราสบตากัน ในดวงตาเซบาสเตียนมีประกายวาววาบผ่าน “บนหน้านายมีคำว่าเสียดายตัวใหญ่ๆ แปะอยู่เต็มหน้าผากเลยนะ”

“โธ่เซ็บ”

“ขอโทษอีกครั้งแล้วกันที่ทำให้แมทบุกมาถึงนี่”

จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง เดินไปหยิบกระป๋องเบียร์ของตัวเองที่ยังไม่ได้แตะมาเปิดแล้วยกดื่ม ฟองเบียร์เลอะติดริมฝีปาก เซบาสเตียนแลบลิ้นเลียมันออก ผมเผลอจ้องตาวาว อยากทำหน้าที่เช็ดฟองเบียร์ให้เขาใจจะขาด

“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงถ้าผมไม่รั้งคุณไว้แมทก็ไม่มาถึงนี่”

“เชื่อเถอะ ยังไงเขาก็จะมาอยู่ดี ช้าเร็วเท่านั้น” เซบาสเตียนนั่งบนโต๊ะรับแขก เขาหันมาทางผม

“หืม”

“เรื่องแค่นี้โทรคุยก็ได้ไม่จำเป็นต้องคุยต่อหน้าด้วยซ้ำ”

“คุณหมายความว่า…”

“ไม่แปลกใจเหรอว่าแมทรู้ที่อยู่นายได้ยังไง” เซบาสเตียนเลิกคิ้ว “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาคงสืบหาที่อยู่นายตั้งแต่วันที่พวกเราเจอกันที่โรงพยาบาลแล้ว”

อา จริงอย่างที่เซบาสเตียนว่า

“นายเป็นโซลเมตฉัน ส่วนฉันเป็นน้องชายเขา แมทคงไม่ปล่อยนายรอดหูตาโดยไม่สแกน” เซบาสเตียนยักไหล่ ดวงตาคมปรายมอง “แต่จะให้บุกมาหานายโดยไร้สาเหตุก็ไม่ได้”

“บังเอิญพอดีสินะครับ”

“แมทมักโชคดีในเรื่องแบบนี้” เขายักไหล่ กระป๋องเบียร์ถูกยกดื่มอีกครั้ง ฟองเบียร์ขาวเกาะริมฝีปาก เซบาสเตียนจัดการมันด้วยวิธีเดิมอีกครั้ง “บางทีฉันก็สงสัยว่าคนอย่างนั้นทำไมถึงโชคเข้าข้างอยู่บ่อยๆ เฮ้! จะทำอะไร?”

“เซ็บ”

“จะทำอะไรฉันแมวยักษ์”

“คุณน่ะไม่รู้ตัวสักนิด” ผมยืนตรงหน้าเขา โน้มตัวลงไป แตะปลายนิ้วกับข้างแก้มเซบาสเตียน ออกแรงนิดเดียวเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ฟองเบียร์สีขาวเด่นชัดบนริมฝีปาก “ทุกการกระทำของคุณปั่นป่วนผมจนแทบบ้า”

“ฉันคิดว่าปัญหานี้ควรแก้ที่ตัวนายมากกว่า”

“ไม่ครับ ผมคิดว่าเราควรแก้ด้วยกัน”

ผมยิ้ม โน้มหน้าลง ใกล้พอจะตวัดลิ้นเลียฟองเบียร์บนริมฝีปากเขา หัวใจเริ่มเต้นแรง ความต้องการในตัวเซบาสเตียนเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกครั้ง

“แพท”

“จะห้ามผมเหรอครับ”

พวกเราสบตากัน เซบาสเตียนแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากผม ความอบอุ่นจากอีกฝ่ายคล้ายมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นผ่าน ผมอ้าปาก งับปลายนิ้วเขาไว้ เซบาสเตียนนิ่วหน้า เขาวางกระป๋องเบียร์ลง ดึงมือออกจากปากผม วางมือบนไหล่ ออกแรงกดให้ผมทรุดตัวนั่งคุกเข่าตรงหน้า

เซบาสเตียนในมุมนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเท่มาก ใบหน้าคมดูดีไร้ที่ติ ผมมองเลยไปยังไหล่กว้างแข็งแรง ทุกอย่างที่เป็นเขาล้วนมีเสน่ห์จนยากละสายตา ผมรู้สึกว่าตัวเองเล็กลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเซบาสเตียน

ผมสบตาเขา ดวงตาคมเปล่งประกายคล้ายดวงดาว...

...ไม่แน่ใจว่าดาวดวงนี้ไกลเกินเอื้อมไหมถ้าผมอยากคว้าไว้

“เป็นเด็กดี ไม่ดื้อนะครับแพท”

ผมโดนมอมเมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและรอยยิ้มอันตราย

ค่ำคืนนั้นคนใจร้ายนอนหลับสบาย

ส่วนแมวยักษ์ทำได้แค่เฝ้ามอง...


ผมคิดว่าผมฝัน ห้วงน้ำวนสีเขียวมรกตดูดดึงให้จมลงไป ไร้ซึ่งทางออก กระแสน้ำเย็นเยียบผลักดันให้ว่ายหนีขึ้นมา เงยหน้าสูดอากาศเหนือผิวน้ำ กลิ่นหอมเย็นๆ ลอยแตะจมูก ผมนิ่งงันคล้ายโดนสะกดก่อนถูกเกลียวคลื่นสีขาวถาโถมเข้าใส่

ผมลืมตา คลื่นสีขาวกลายเป็นผ้าห่มยับยู่ยี่ อากาศเย็นลงจนรู้สึกได้ ผมฝังตัวกับผ้าห่ม มือไขว่คว้าหาความอบอุ่นจากคนข้างกาย

“แพท...ปล่อย”

“อือ”

“แพท” เสียงเซบาสเตียนกระซิบอยู่ข้างหู มันแหบพร่ากว่าปกติ ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ออกแรงกอดเอวเขาไว้แน่น  อุณหภูมิจากตัวเซบาสเตียนอุ่นสบาย ผมอยากอยู่แบบนี้ให้นานกว่าเดิม

“...”

“เจ้าแมว”

“หนาว…” ผมพึมพำ ขยับตัวซุกหน้ากับไหล่กว้าง กลิ่นหอมเย็นจากในฝันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก “ขอกอดหน่อยไม่ได้เหรอครับ”

“แพท...มันอึดอัด”

“กอดผมคืนสิ”

“แพท”

เสียงเข้มกดต่ำ ผมคิดว่าเซบาสเตียนจะดันตัวผมออก ขืนตัวรออยู่ตั้งนานแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ้มทั้งที่ยังหลับตา ความใจดีของเซบาสเตียนไม่จำเป็นต้องมองหาแต่สัมผัสได้จากการกระทำ

เส้นผมปรกใบหน้าถูกสางเบาๆ ปลายนิ้วอุ่นนวดคลึงศีรษะผม สบายจนเผลอส่งเสียงในลำคอ เซบาสเตียนหัวเราะ เขาพึมพำว่าผมเหมือนแมวยักษ์ขี้เกียจ

ไม่ปฏิเสธหรอก

ถ้าขี้เกียจแล้วทำให้คุณใส่ใจผมแบบนี้

“หืม...ฝนตกเหรอครับ?”

ผมถามเมื่อรู้สึกว่าโสตประสาทการได้ยินของตัวเองเปลี่ยนไป มันอื้ออึงอยู่ในหู เสียงเข็มนาฬิกาและเสียงนกร้องเบาลงจนเงียบหาย ผมได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเองและเซบาสเตียน

โซลเมตที่เป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง

“เพิ่งตกเมื่อกี้ ไม่หนักมาก”

“ขี้เกียจจัง ไม่อยากไปทำงานเลย”

“ฉันไม่ชอบคนขี้เกียจ”

“ผมไม่ใช่คนขี้เกียจ” ผมเงยหน้าจากไหล่กว้างอันอบอุ่น ลืมตามองคนที่นอนข้างกัน ห้วงน้ำวนในฝันปรากฏอยู่ตรงหน้า...ในดวงตาของเซบาสเตียน ในฝันผมว่ายหนีขึ้นมาได้ แต่ห้วงน้ำวนตรงหน้านี้หาทางออกไม่ได้สักที “ผมเป็นแมวยักษ์ที่ขี้เกียจต่างหาก”

“ตื่นแล้วก็ลุก จะเจ็ดโมงแล้ว”

“ก็บอกว่าเข้างานเก้าโมงไงครับ” ผมพึมพำ ยังโหยหาความอบอุ่นจากเตียงนอนและร่างกายของเซบาสเตียน “วันนี้คุณไม่มีสอนใช่ไหม?”

“อืม พรุ่งนี้ถึงมีสอนตอนบ่าย” เซบาสเตียนลุกนั่งพิงหัวเตียง เขายกมือเสยผมยุ่งๆ ดวงตาคมตวัดมองผมที่ยังนอนตะแคงซุกผ้าห่ม

ผมยังยืนยันคำเดิมว่าเขาเท่มาก

“ดีจัง”

ผมบิดขี้เกียจ ชันตัวลุกนั่ง มองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามเช้ามืดครึ้ม ม่านสายฝนบดบังทัศนวิสัยภายนอกจนพร่ามัว กระจกหน้าต่างขึ้นเป็นไอสีขาวจากความเย็น บรรยากาศแบบนี้มันน่า…

“คิดอะไรอยู่”

“ฮะ ครับ?”

“ฉันถามว่าคิดอะไรอยู่” เซบาสเตียนเลิกคิ้ว เขาหรี่ตาจ้องหน้าผม “สีหน้านายเมื่อกี้ไม่น่าไว้ใจสักนิด”

“เปล่านี่ครับ” ผมปฏิเสธหน้าซื่อ “แค่คิดว่าบรรยากาศแบบนี้น่านอนอยู่บ้านมากกว่าไปทำงาน”

เซบาสเตียนดูไม่เชื่อเท่าไหร่ ผมเลยแสร้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเช็กอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอดีกับข้อความจากแอพลิเคชั่นแชตชื่อดังเด้งขึ้น มันส่งมาจากคุณนายแม็กเคนซี บราวน์…แม่ผมเอง

“อา…”

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“คือ...เซ็บ” ผมสบตาเขา หัวเราะแห้งๆ จนอีกฝ่ายขมวดคิ้ว “วันอาทิตย์นี้คุณพอจะ...อ่า มีเวลาว่างช่วงเย็นๆ หน่อยไหมครับ”

“ทำไม”

“คือ…”

“ตอบมาตรงๆ แพท”

“ลุงมาคัสเล่าเรื่องคุณให้แม่ผมฟัง แม่กับพ่อผมเลยอยากพบคุณ พวกเขานัดให้ผมพาคุณไปทานอาหารเย็นกันวันอาทิตย์นี้” ผมตอบออกไปทีเดียวเมื่อเซบาสเตียนกดเสียงเข้มใส่ ก่อนรีบพูดต่อเมื่อเห็นท่าทีเรียบนิ่งของอีกฝ่าย “แต่...แต่ถ้าคุณไม่สะดวกหรือไม่สบายใจก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ ไม่ได้น้อยใจเลยนะถ้าคุณจะปฏิเสธ แค่…”

“แพท” เซบาสเตียนฟาดหน้าผากผมไปทีนึง “ใจเย็นหน่อย อย่าเพิ่งสติแตก”

“ขอโทษครับ”

ผมลูบหน้าผากตัวเอง

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ นายกลับโวยวาย”

“ก็ผม…”

“วันอาทิตย์ฉันสอนเสร็จตอนบ่ายสี่โมง” คำพูดของเซบาสเตียนทำให้ผมเงยหน้ามองเขาตาโต “ทันไหม ถ้าทันก็ไป ฉันตกลง”

“เซ็บ~”

ผมกระโจนเข้าหาเขา ตั้งใจจะกอดอีกฝ่ายให้แน่น แต่เซบาสเตียนเร็วกว่านั้น เขาเบี่ยงตัว ยื่นมือผลักหัวผมจนหน้าคะมำลงกับเตียง

เสียงหัวเราะดังขึ้น ชัดเจนในความเงียบงัน

ผมผุดลุก ยกมือลูบจมูกตัวเอง

คุณเสือดำส่งยิ้มร้าย ดวงตาเป็นประกาย

ผมทดเหตุการณ์นี้ไว้ในใจ สักวันจะเอาคืนให้ได้

แมวยักษ์จะไม่ยอมเป็นเหยื่อของเสือดำอีกต่อไป คอยดู


*****************************************************************************************



ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คุณเซ็บน่ารักกกกก

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
โอยยย ทำไมหวานนน อ่านมาถึงคอนนี้ทำไมเราเดาไม่ออกนะว่าใครเคะ ใครเมะ บางตอนก็อีกคนนึงพอมาอีกตอนอ้าวลังเลล่ะ  555 มาต่ออีกนะคะ

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เหมือนจะมีเรื่องเครียดแต่ไม่เลย โดนกลบด้วยความละมุนของเสือดำและแมวยักษ์ ขอบคุณมากค่ะ :3123:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
โอเค สมกับเป็นพี่น้องกันค่ะ
และแพทก็สมควรเป็นเจ้าเหมียวยักษ์สุดๆ ขี้อ้อนไม่มีใครเกิน แถมยังถูกเขาดักทางได้ตลอด

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 12

Family

 

[Sebastian]


แปลก...

ผมรู้สึกตัวเองวันนี้แปลกไปจากเดิม ทั้งที่การดำเนินชีวิตไม่ต่างจากปกติ ผมมาสอนในห้องเรียนเดิม เนื้อหาวิชาเดิมกับนักศึกษาหน้าตาคุ้นเคย

ทว่ามันไม่เหมือนเดิม ใจผมกำลังพะวงกับอะไรบางอย่าง

“อาจารย์คะ?”

“...ครับ?” ใช้เวลาเกือบสามวินาที ผมมองหน้าเธอ ขานรับสั้นๆ “คุณมีคำถามตรงไหนนะครับ?”

“ตรง…” เธอทวนคำถามซ้ำ ขมวดคิ้วจ้องหน้าผม สีหน้าแสดงออกชัดเจนไม่ปิดบัง “วันนี้คุณดูใจลอยนะคะ ไม่สบายหรือเปล่า พวกเราเห็นคุณเหม่อตั้งแต่ต้นคาบแล้ว”

ทุกคนในคลาสพยักหน้าเห็นด้วย

“ไม่เชิง” ผมส่ายหน้า ตัดบทสนทนานั้นทิ้งไป “เรียนกันต่อนะครับ ขอโทษพวกคุณด้วยที่เหม่อ ผมมีเรื่องให้คิดมากไปหน่อย”

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ ‘เกือบ’ เหมือนเดิม บางสิ่งยังวิ่งวนในหัวแต่ผมพยายามไม่คิดถึงมันและโฟกัสกับการสอนตรงหน้า ใช้เวลาเกือบทั้งคาบในการค้นหาคำตอบและสาเหตุที่ทำให้ตัวเองกระวนกระวาย

ในที่สุดก็รู้ตัว

สาเหตุนั้นโคตรงี่เง่า

ผมเผลอสบถออกไมค์

นักศึกษาพวกนั้นสะดุ้ง ผมขอโทษพวกเขาอีกครั้ง ได้รับสายตาแปลกๆ หลายสิบคู่มองมา ผมหันกลับไปยังจอโพรเจกเตอร์ตรงหน้า ทำเป็นไม่สนใจ

แต่เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ

จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าแมวส้มตัวยักษ์

แพทริคทำให้ผมเป็นบ้าเพียงเพราะวันนี้มีนัดทานอาหารเย็นกับที่บ้านเขา

 

มนุษย์สัมพันธ์ผมติดลบ หรือถึงไม่ติดลบก็ใกล้ติดลบเต็มที

ตรงหน้าผมคืออาจารย์พิเศษที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เมลิน่าใช้ห้องนี้สอนต่อจากผม เธอสวยและเข้ากับคนง่าย ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งเวลาเธอมาคุยด้วย

ครับ เธอคือเมลิน่า มอเรน คนที่เกือบจะเป็น ‘คู่หมั้น’ ผม พวกเราเหมือนกันอย่างนึงตรงที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีเทาของที่บ้าน ความบังเอิญทำให้เรามาสอนที่เดียวกัน

“วันนี้โชคดีจัง ฉันมาทันตอนคุณยังไม่หนีออกจากห้อง”

“คุณมาเร็วกว่าปกติ” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง คลาสของเธอเริ่มตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาสอน

“มองนาฬิกาผิดน่ะ” เมลิน่ายักไหล่

เธอวางกระเป๋าและโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะที่ผมเพิ่งเก็บของตัวเองไป “กว่าจะรู้ตัวก็ขับรถออกมาครึ่งทางแล้ว ย้อนกลับก็เสียเวลา”

เมลิน่าหัวเราะ เธอเงยหน้ามองผม ดวงตาสีฟ้าใสทำให้นึกถึงใครบางคน

“แย่หน่อยนะครับ” ผมเก็บของเข้ากระเป๋าจนเรียบร้อย “วันนี้ผมมีธุระ คงอยู่คุยกับคุณไม่ได้”

“ปกติคุณก็อยู่คุยกับฉันไม่เกินสองสามนาทีนี่คะ”

ผมยิ้มนิดๆ ไม่ได้ตอบอะไร เมลิน่าสนใจผม เธอรู้ว่าตระกูลผมกับเธอเป็นคู่ค้ากัน ไม่งั้นเรื่องหมั้นคงไม่เกิดขึ้น เมลิน่านั่นแหละที่เป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้มาตลอด แต่ผมไม่ได้สนใจเธอเลยไม่จำเป็นต้องให้ความหวังอะไร ช่างความขัดแย้งระหว่างตระกูลเถอะ ผมไม่สนใจธุรกิจของพ่ออยู่แล้ว โชคดีที่ทางฝั่งมอเรนไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น

ไม่เหมือนเจ้าแมวยักษ์หรอก รายนั้นดีกับคนอื่นไปทั่ว

“เซบาสเตียนคะ”

ในเมื่อเธอเรียกไว้ ผมเลยจำต้องหันกลับไปอย่างเสียไม่ได้

“ครับ?”

“รู้หรือยังคะว่างานวิชาการของยูฯ ปีนี้คุณต้องเข้าร่วมบรรยายด้วย”

“ผมได้รับเอกสารแจ้งแล้ว” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆ “ต้องบรรยายกับคุณ ใช่ไหม?”

“แหม อย่าขัดกันสิคะ ฉันกำลังจะพูดเลย”

“งั้นเรื่องนี้ไว้คุยกันอีกทีนะครับ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ”

“นัดใครไว้เหรอคะ”

“ประมาณนั้นครับ”

“คนสำคัญ?”

เมลิน่าสบตาผม แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและท้าทาย เธอรู้ดีว่าผมกำแพงสูงแค่ไหน และคงคิดว่ามันสูงจนผมคงจะไม่ตอบรับ เหมือนที่ผมไม่ตอบรับเธอ

แต่บางทีเธอก็คิดผิด

“เขาเป็นโซลเมตผม…” ผมเว้นจังหวะ มองสีหน้าตกใจของเมลิน่าแล้วนึกขำ “...คุณคิดว่าเขาสำคัญกับผมไหมเมลิน่า?”

คราวนี้เมลิน่าไม่ตอบและไม่ได้รั้งไว้อีก ซึ่งดีสำหรับผม การรับมือเธอมันน่ารำคาญเกินไป ผมเดินผ่านโถงตึกเรียนออกมาด้านนอก ร่างคุ้นตาของใครบางคนยืนพิงตัวตึกหันหลังให้ เขายืนคุยกับผู้หญิงอีกสองคน หนึ่งในนั้นผมคุ้นตาว่าเป็นนักศึกษาในมหา’ลัย ส่วนอีกคนผมเห็นเธอเป็นเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสเดียวกับแพทริค

ไม่ต้องเดาว่าเขาคือใคร ผมจำเขาได้ แม้จะไม่เห็นเส้นผมสีจินเจอร์โดดเด่นนั่นก็ตาม

“แพท”

ผมส่งเสียงเรียกเมื่อเดินไปใกล้ อีกฝ่ายหันกลับมาและยิ้มหวาน

ผมชอบรอยยิ้มของเขา มันสดใส...เจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ในหน้าร้อน ละลายบางสิ่งบางอย่างในใจผมจนเจิ่งนองและรอวันตกตะกอน

“เซ็บ” แพทริคกวักมือเรียกให้เดินไปหา “คุณมาพอดีเลย เดี๋ยวผมแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันไว้”

“สวัสดีค่ะ” เทรนเนอร์คนนั้นทักผมก่อน

“ครับ”

“นี่เทเรซ่า เพื่อนผม คุณคงเคยเห็นเธอแล้วตอนแวะไปหาผมวันนั้น” แพทริคอธิบาย ผมพยักหน้า กล่าวทักทายเทเรซ่าตามมารยาทอีกครั้ง “ส่วนนี่ทีน่า น้องของเทซ เธอเรียนที่นี่ คุณเคยสอนเธอไหม?”

“คุณเรียนคณะไหน?” ผมถามเธอ

“BA ค่ะ”

“ชั้นปีหนึ่ง?”

“ค่ะ”

“ไว้ขึ้นปีสองคุณถึงจะได้เรียนกับผม”

“ผมอยากเรียนกับคุณมั่งจัง” แพทริคพูดแทรก เขามองผมตาเป็นประกาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแมวยักษ์กำลังคิดอะไรแผลงๆ “คุณในลุคอาจารย์มันเซ็กซี่เป็นบ้า โอ๊ย!”

แพทริคกุมหน้าผากตัวเอง สีหน้าเหยเก ผมมองเขานิ่งๆ ไม่รู้สึกผิดสักนิดที่ดีดหน้าผากเขาไปเต็มแรง

“จะไปได้หรือยัง”

“เซ็บ...เจ็บนะครับ”

“ก็ตั้งใจให้เจ็บ” ผมยักไหล่ หันมองสองสาวที่พยายามกลั้นหัวเราะ “ยังไงขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ คิกๆ ฝากแพทเขาด้วยนะคะ” เทเรซ่ากล่าวยิ้มๆ ตามด้วยทีน่าน้องสาวของเธอ

“อาจารย์อย่ารังแกแพทของฉันแรงแบบนี้สิคะ”

“อันที่จริง…” ผมทอดเสียง เหลือบมองแพทริค หน้าผากเขาแดงแจ๋จนน่าขัน ผมหันกลับไปสบตาทีน่าอีกครั้ง “...ผมว่าเขาเป็นของผมนะ”

“ว้าว”

ทีน่าเบิกตากว้าง สีหน้าตกใจ แต่คงไม่เท่าแมวยักษ์ที่ตาโตเกือบถลน ถ้าผมตาไม่ฝาด ผมคิดว่าแก้มแพทริคมีริ้วสีแดงจางๆ พาดผ่าน

แค่นี้ก็เขินแล้ว เจ้าเด็กยักษ์เอ๊ย

“ไปได้แล้วแพท”

ผมแตะมือลงบนท้ายทอยเขา ขยี้เส้นผมบริเวณนั้นเบาๆ ออกแรงดันให้เขาก้าวเดิน เสียงหัวเราะจากสองสาวดังไล่หลัง ผมคิดว่าพวกเธอคงขำท่าเดินเก้กังของแพทริคที่คล้ายหุ่นยนต์

“ร้ายชะมัดเลยเซ็บ”

“ฉันทำอะไรนายอีกหรือไง”

“ผมต้องตอบเหรอ คุณรู้ตัวดี”

“อ้อ ฉันทำนายเขิน”

“ไปรถคุณนะเซ็บ” แพทริคเปลี่ยนเรื่อง นอกจากแก้มที่แดงแล้ว ใบหูก็ไม่แพ้กัน

“แล้วรถนาย?”

“ให้เทซขับไปส่งทีน่าครับ” เขาตอบ “พรุ่งนี้เธอจะขับมาคืนที่ฟิตเนส”

“โอเค”

ผมพยักหน้ารับ เป็นฝ่ายเดินนำแพทริคไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางแพทริคชวนผมคุยไม่หยุดปาก ผมคิดว่าเขาคงหายเขินแล้ว รู้อย่างนี้น่าจะแกล้งหนักๆ เจ้าแมวยักษ์จะได้สงบปากนานขึ้นอีกหน่อย

เดินมาใกล้ถึงตัวรถ เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ผมชะงักฝีเท้า หยิบมันมาดู รายชื่อบนหน้าจอทำเอาเผลอขมวดคิ้ว ผมส่งกุญแจรถให้แพทริคก่อนกดรับสาย

“มีอะไร” ปลายสายบอกความต้องการตัวเอง ผมขมวดคิ้วอีกครั้ง เหลือบตามองแพทริคที่ขึ้นไปสตาร์ทรถรอเรียบร้อย “วันนี้ไม่ได้ มีนัดแล้ว...ใครใช้ให้บอกกะทันหัน?”

ผมก้าวขึ้นไปบนรถ แพทริคหันมอง สายตาเขาคล้ายถามว่าให้ออกรถเลยไหม ผมทำมือให้เขาออกรถในขณะเดียวกันก็นัดแนะกับปลายสายไปด้วย

“ไม่ ยกเลิกไม่ได้” ผมถอนใจ “อืม โอเค ไว้คุยกันอีกทีฉันไม่ว่าง...หุบปากไปซะ!”

ผมกดวางสาย น้ำเสียงล้อเลียนของอีกฝ่ายดังก้องในหัว

“คุณ...จะไม่แคนเซิลผมใช่ไหมเนี่ย?”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น” ผมหันมองเขา แพทริคมองถนนตรงหน้า เขาไม่ได้หันมาสบตาผม แต่คิ้วขมวดแน่น

“ก็…”

“รับปากนายแล้ว ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น”

“เซ็บ…”

“นายสำคัญกว่าที่ตัวเองคิดนะ เลิกคิดมากได้แล้วเจ้าแมวยักษ์ ตั้งใจขับรถเถอะ”

หลังจากนั้นแมวยักษ์ก็เป็นบ้า

เพราะเขาเอาแต่ยิ้มตลอดทาง

ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไง...

...คงต้องยอมรับว่าตัวเองก็ลอบมองเขาตลอดทางเหมือนกัน

 

บ้านของแพทริคอยู่แถบชานเมือง ห่างจากตัวเมืองมากพอสมควร ใช้เวลาชั่วโมงกว่ากว่าจะมาถึง ตัวบ้านสองชั้นเป็นไม้ระแนงสีขาว หน้าบ้านปลูกดอกไม้พันธุ์เล็กสีสันสดใส ผสมผสานสไตล์ความเป็นชนบทและความทันสมัยอย่างลงตัว รอบด้านเป็นสนามหญ้ากว้าง โอบล้อมด้วยต้นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางธรรมชาติ

ชานหน้าบ้านมีเก้าอี้ตั้งไว้สองตัว สุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ พอเห็นรถเลี้ยวเข้ามาก็ผุดลุกนั่งหูตั้งพร้อมส่งเสียงเห่าทะลุเข้ามาในรถ แพทริคลดกระจกลง เขาส่งเสียงทักทายมัน

“เฮ้ทิมมี่ ฉันเอง”

“โฮ่ง!”

เจ้าหมาสะบัดหางเป็นพวงไปมา มันตื่นเต้นที่เห็นแพทริคจนวิ่งออกมาเห่าเสียงดังลั่นข้างตัวรถ ผมอดกังวลไม่ได้ กลัวว่ามันจะถูกล้อทับเข้าให้

แพทริคจอดรถไว้บริเวณหน้าโรงรถข้างตัวบ้าน พวกเราเปิดประตูออกมา ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอด มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายไร้มลพิษไม่เหมือนในตัวเมือง

“โฮ่ง!”

“ฮ่าๆๆ ไงทิม สบายดีไหม”

แพทริคย่อตัวลงไปเล่นกับเจ้าโกลเด้นตัวใหญ่ มันส่งเสียงเห่าไม่หยุดพอๆ กับหางที่สะบัดไปมา ทำท่าจะเลียใบหน้าแพทริคให้ได้ ดีที่เขาเบี่ยงหนีทันไม่งั้นทั้งหน้าคงเต็มไปด้วยน้ำลาย

“โฮ่ง!”

“อย่าเห่าเซ็บสิทิม” แพทริคหัวเราะร่วน เขาขยี้หัวเจ้าหมาตัวโต “นี่คุณเสือดำเลยนะ แกจะโดนขย้ำเอา”

“ไร้สาระ”

“ฮ่าๆๆ คุณยังไม่ชินอีกเหรอ” แพทริคหันมายิ้ม เขาลุกขึ้น ปัดมือตัวเองไปมาก่อนโคลงศีรษะไปยังตัวบ้าน “เข้าบ้านกันครับ อยากแนะนำคุณให้ทุกคนรู้จักแล้ว”

“นายตื่นเต้นเกินไปหรือเปล่า”

“คุณไม่ตื่นเต้น?”

“เฉยๆ”

ถ้าไม่นับเหงื่อที่เริ่มชื้นตามมือกับความคิดที่ตีอยู่ในหัว ผมคิดว่าตัวเองยัง ‘เฉยๆ’ อยู่

“แพท มาเร็วกว่าที่คิดนะ”

แพทริคยังไม่ทันเอื้อมมือแตะลูกบิด ประตูบ้านก็เปิดออกก่อน หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีส่งยิ้มให้พวกเรา เธอมีเส้นผมสีจินเจอร์ ดวงตาสีฟ้าและผิวขาวซีดตกกระเหมือนแพทริคไม่มีผิด ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเจ้าแมวยักษ์

“คิดถึงจังครับ”

แพทริคตรงเข้าไปกอดแม่ของตัวเอง ผมยืนมองพวกเขากอดกัน ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นจนจุกอยู่บริเวณลำคอ ผมสูดหายใจลึก ไล่มันทิ้งไป

“ส่วนพ่อหนุ่มคนนี้คงจะเป็น...เซบาสเตียนใช่ไหมจ๊ะ?” เธอหันมาทางผม รอยยิ้มใจดีทำให้ผมยิ้มตอบ

“ครับ สวัสดีครับ คุณ…?”

“แม็กเคนซีจ้ะ เรียกป้าแม็กก็ได้”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับป้าแม็ก”

ผมจับมือทักทายเธอ ป้าแม็กดึงผมเข้าไปกอด ผมได้กลิ่นหวานๆ จากตัวเธอ คล้ายกลิ่นขนมปังเพิ่งออกจากเตา บางทีพวกเราอาจมาตอนที่เธอเพิ่งอบขนมปังเสร็จก็ได้ อ้อมกอดป้าแม็กอุ่นไม่ต่างจากแพทริค ผมเผลอตัวไปกับความอ่อนโยนนั้นกระทั่งแพทริคส่งเสียงเรียก

“แม่ครับปล่อยเซ็บได้แล้วน่า”

“แหม หวงเหรอจ๊ะ”

“หวงสิครับ” แพทริคดึงตัวผมมากอดไว้ เขาเกยคางกับไหล่ผม ส่งยิ้มให้ป้าแม็ก “กว่าผมจะกอดเขาได้แต่ละทียากจะตาย แม่จะกอดเซ็บได้ง่ายๆ ได้ยังไง”

“โธ่เจ้าลูกคนนี้” ป้าแม็กหัวเราะร่วน เธอมองผมสลับกับแพทริคตาเป็นประกาย “มาจ้ะ เข้ามาในบ้านกันก่อน คุณพ่อรอเจอพวกเราเหมือนกันนะ”

ผมกับแพทริคเดินตามป้าแม็กเข้าไปข้างใน ตัวบ้านกว้างขวางประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายไม่ได้หรูหราอะไร เน้นความสบายตา บ้านแพทริคไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่กว้างมากถ้าเทียบกับคฤหาสน์ของพ่อ

และคงเป็นเพราะความกว้างนั้นทำให้ผมสัมผัสความอบอุ่นได้เจือจางลงทุกที

“คุณคะ ดูซิใครมา”

“เฮ้ ไอ้ลูกหมา ไม่เจอกันนานเลยนะ!”

ชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดลำลองส่งเสียงทักทาย เขาพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านวางลงบนโต๊ะรับแขก ผุดลุกกางแขนเดินเข้ามากอดแพทริค

“ผมเพิ่งมาเยี่ยมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองนะพ่อ”

“นั่นแหละ นานแล้ว ตั้งเจ็ดวันเชียว!”

“พ่อเถอะ ออกกำลังกายบ้างไหมเนี่ย” แพทริคทำเสียงดุ “ดูแลสุขภาพตัวเองมั่งน่า เบียร์น่ะลดๆ ลงบ้างครับ”

“เจ้าลูกคนนี้ เจอกันทีไรไม่พ้นเรื่องเดิม” พ่อแพทริคส่ายหัวไปมา เขาหันมาทางผม ส่งยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มนี้เหมือนแพทริคไม่ผิดเพี้ยน “สวัสดีๆ ไอ้หนุ่ม...เซบาสตี้หรือเปล่าน่ะ”

“เซบาสเตียนครับ”

ผมเอ่ยแก้ ส่วนแพทริคหัวเราะลั่น

“โอ้ ขอโทษที ฉันแก่แล้วหลงๆ ลืมๆ ยินดีต้อนรับนะ ทำตัวตามสบาย ฉันพีเตอร์ เรียกลุงพีทก็ได้” ลุงพีทเดินมากอดผม เขาตบหนักๆ ลงที่กลางหลัง เป็นการทักทายกันอย่างลูกผู้ชาย ผมกอดเขาตอบ อดคิดไม่ได้ว่าผมกอดกับพ่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

หรือบางทีอาจไม่เคยเลย?

ผมจำไม่ได้ ระยะเวลายาวนานเกินไปจนความทรงจำเลือนราง

“แม่ไม่คิดว่าพวกเธอจะมากันเร็วแบบนี้ อาหารเย็นยังไม่เสร็จเลยจ้ะ” ป้าแม็กมีสีหน้าเสียดาย “ลูกพาเซบาสเตียนไปเดินเล่นรอก่อนสิ หรือไม่ก็พาเดินชมบ้าน ถึงบ้านเราจะไม่ค่อยมีอะไรให้ชมก็เถอะ”

“งั้นเดี๋ยวผมพาเซ็บไปรอบนห้องแล้วกัน”

“หักห้ามใจตัวเองไว้ไอ้ลูกหมา พ่อแม่ยังอยู่ข้างล่าง”

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” แพทริครีบแก้ความเข้าใจผิดจนลิ้นพันกัน ผมมองท่าทีลุกลนของเขาแล้วลอบยิ้ม แก้มแดงหูแดงขนาดนี้ ไม่รู้คิดอะไรอยู่

“ยิ่งนายแก้ตัวยิ่งแย่นะ” ผมโน้มหน้ากระซิบชิดใบหูเขา แพทริคหันขวับ

“เซ็บ!”

“ไอ้ลูกหมา เสียท่าหมดแล้ว”

ลุงพีทหัวเราะลั่น เขาดูชอบใจที่เห็นแพทริคเสียอาการกับผม ป้าแม็กเองก็ไม่ต่างกัน เธอหัวเราะจนใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาหยีโค้งจนเห็นร่องรอยแห่งวัย ลุงพีทโอบแขนรอบเอวป้าแม็ก ดึงเธอมาหอมแก้มต่อหน้าพวกเราฟอดใหญ่

“สู้พ่อก็ไม่ได้ โธ่ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”

ผมยิ้มกับภาพตรงหน้า ในขณะเดียวกันหัวใจก็โหยหาสิ่งเหล่านี้

ครอบครัวที่อบอุ่น

ไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่

ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือรวยล้นฟ้า

ความสุขที่ผมต้องการเป็นแค่เรื่องง่ายๆ ที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถครอบครองมันได้ง่ายๆ

ผมจมดิ่งกับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีตอนแพทริควางมือลงบนไหล่ ผมสบตาเขา ในดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายสงสัยเจือเป็นห่วง ผมยิ้มนิดๆ ส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ถึงอย่างนั้นก็ลบร่องรอยความเป็นห่วงในแววตาของแมวยักษ์ไม่ได้อยู่ดี

“ขึ้นข้างบนกันครับ”

ฝ่ามือใหญ่แตะหลังผม ออกแรงดันเบาๆ ให้เดินไปข้างหน้า เสียงหัวเราะจากป้าแม็กและลุงพีทเบาลงตามระยะทางที่เดินห่างออกมา ผมมองสำรวจรอบตัว บนกำแพงบ้านประดับไปด้วยกรอบรูป มีทั้งรูปเดี่ยว รูปครอบครัว และรูปวัยเด็กของแพทริค

เด็กชายแก้มยุ้ยที่มีเส้นผมสีจินเจอร์และดวงตาสีฟ้าซีดแต่กลับส่องประกายสดใส

แพทริคตอนเด็กน่ารักยังไง ตอนโตก็ไม่ต่างกัน

คงเป็นเพราะเขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่รอยยิ้มล่ะมั้ง?

“สัญญาก่อนว่าเข้าห้องผมแล้วจะไม่บ่นว่ามันรก”

จู่ๆ แพทริคก็พูดขึ้นมา ผมเลิกคิ้ว หันมาสบตาเขา

“ขึ้นอยู่กับว่ามันรกมากหรือน้อย”

“พูดแบบนี้ต้องบ่นแน่ๆ”

แพทริคพึมพำกับตัวเอง เขาเดินไปหยุดหน้าประตูบานหนึ่ง ป้ายเก่าๆ สีซีดเขียนด้วยลายมือโย้เย้ว่า ‘Patrick’ ผมเดินตามแพทริคเข้าไปข้างใน มันเรียบร้อยกว่าที่คิด คงเพราะส่วนใหญ่แพทริคไม่ได้นอนที่นี่บ่อยเหมือนคอนโดฯ กับห้องพักที่ฟิตเนส

ในห้องตกแต่งด้วยโทนสีสว่าง เน้นขาว ฟ้าและน้ำตาลอ่อนมองแล้วสบายตา เตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง หัวเตียงตั้งกรอบรูปเรียงเอาไว้ เป็นรูปเจ้าของห้องตัวน้อยฉีกยิ้มให้กับกล้อง ตัวรูปกลายเป็นสีเหลืองซีดไปตามกาลเวลา แต่รอยยิ้มของแพทริคยังสดใสไม่ต่างจากเดิม

ผมเดินเลยเตียงไปยังประตูระเบียง ถือวิสาสะเปิดออกไป ลมเย็นพัดปะทะใบหน้า ท้องฟ้าวันนี้ไม่มืดครึ้มอย่างทุกวัน แสงแดดช่วงเย็นทอประกาย ผมมองไปสุดสายตา พระอาทิตย์ดวงใหญ่คล้อยต่ำ อีกไม่กี่ชั่วโมงคงหายลับขอบฟ้า

“วิวห้องผมสวยที่สุดเลยนะ”

แพทริคเดินมาซ้อนหลัง มือซนๆ โอบกอดผมเอาไว้ แผ่นหลังผมแนบชิดกับหน้าอกกว้าง แมวยักษ์เบียดตัวชิดเข้ามามากกว่าเดิม ริมฝีปากอุ่นประทับบนท้ายทอยผม

“ซนอีกแล้วนะแมวยักษ์”

“อยากให้คุณสนใจ รู้ไหมว่าเวลาแมวไถแบบนี้มันต้องการอะไร” เขาไถแก้มลงบนไหล่ผม กระซิบเฉลยข้างใบหู “แมวกำลังแสดงความเป็นเจ้าของล่ะ”

“วิวห้องนายสวยดี” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่ได้ผละตัวออก ปล่อยให้แพทริคนัวเนียไปอย่างนั้น สนามหญ้ากว้างขวางสีเขียวสดตัดกับท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวลอยประดับอยู่บนนั้น เป็นวิวที่มองแล้วชวนให้สบายใจ

“เปลี่ยนเรื่องเก่งจังนะครับ”

“นายโตที่นี่เหรอ”

“อื้ม ใช่ครับ” เขาตอบรับ ผละตัวจากผมมายืนด้านข้าง กอดอกเอนตัวพิงกรอบประตู ผมหันมองเขา พวกเราสบตากัน “ผมอยู่ที่นี่จนจบไฮสกูลถึงไปเรียนต่อในตัวเมือง บางทีก็คิดถึงที่นี่เหมือนกัน คิดถึงบรรยากาศสบายๆ แบบนี้”

“นายน่าอิจฉา”

“มาอิจฉาอะไรผม” เขาหัวเราะ “คนธรรมดาอย่างผมเนี่ยนะมีอะไรน่าอิจฉา”

“ความธรรมดาของนายไงที่น่าอิจฉา” ผมตอบ แพทริคมีสีหน้าไม่เข้าใจ “บ้านนาย ครอบครัวนาย ยอมรับตามตรงว่าฉันอิจฉา เพราะฉันไม่เคยได้สัมผัสอะไรแบบนี้”

“เซ็บ…” แพทริคบีบมือผมไว้ สีหน้าเขาดูกังวลใจ “ขอโทษนะ ผมไม่คิดว่า…”

“นายจะขอโทษทำไม”

“ไม่รู้สิ ผมแค่…” พูดได้แค่นั้นก็เงียบไป อย่างที่ผมบอก แพทริคไม่จำเป็นต้องขอโทษ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะอย่างนั้นเขาถึงบอกผมไม่ได้ว่าขอโทษทำไม

แพทริคก็เป็นแบบนี้ แคร์คนอื่นจนมักเอ่ยปากขอโทษก่อนเสมอ

“พ่อแม่นายรักกันดี ครอบครัวนายเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ ฉันเองก็อยากมีครอบครัวแบบนี้บ้าง ครอบครัวธรรมดาที่ทุกคนมีรอยยิ้มให้กัน”

“...”

“ฉันเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งที่ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ แต่รู้อะไรไหม...ฉันเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าสุดท้ายลึกๆ ในใจตัวเองยังโหยหาตลอดมา”

ผมหลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้า หวังว่ามันจะพัดความหนักอึ้งในใจผมให้จางหายไป

“เซ็บ...คุณยังมีผม”

ประโยคสั้นๆ แต่ปลดล็อกอะไรบางอย่าง ผมลืมตาขึ้นมา แพทริคสบตาผม เขายิ้มให้เหมือนอย่างทุกครั้ง

“ฉันน่าจะตอบรับเสียงนายให้เร็วกว่านี้” ผมยิ้ม มองแพทริคด้วยสายตาที่อ่อนลง “นายเยียวยาคนเก่ง มันอาจดีกว่านี้ถ้าฉันตอบรับเสียงของนายเมื่อหลายปีก่อน”

“คุณก็ตอบรับเสียงผมแล้วไง”

“แต่ช้า”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ไม่แน่นะ ถ้าตอนนั้นคุณตอบรับผม เหตุการณ์มันอาจจะต่างจากตอนนี้ก็ได้” แพทริคหัวเราะเบาๆ เขาตบไหล่ผมสองสามที “ผมชอบตอนนี้นะ คิดว่าทุกอย่างคงถูกกำหนดเอาไว้แล้วล่ะ”

“คงจริงอย่างที่นายว่า”

“นี่เซ็บ”

“หืม?”

“ครอบครัวน่ะ…” เขาเกริ่นขึ้นในขณะสบตาผม “ถ้าคุณไม่รังเกียจ คิดซะว่าครอบครัวผมเป็นอีกครอบครัวของคุณก็ได้ เป็นที่ๆ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเอง เป็นพื้นที่สบายใจอีกที่ของคุณ กับผม กับพ่อ แม่ เจ้าทิมมี่” แพทริคหัวเราะ “อ้อ เจ้าซูกกี้ด้วย”

“แพท…”

“ผมรู้ว่ามันแทนกันไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าครอบครัว ถึงคุณจะไม่ชอบสิ่งที่ครอบครัวคุณเป็น แต่ผมรู้ว่ามันตัดไม่ขาดหรอก แค่…” เขาก้าวเข้ามาใกล้ ระยะห่างของพวกเราลดลง ไม่ต่างกับกำแพงในใจผมที่ค่อยๆ พังทลาย “...ผมขอแค่คุณยิ้มได้สักนิดก็พอ เวลาคุณยิ้มคุณมีความสุข และเวลาคุณมีความสุข ผมก็มีความสุขเหมือนกัน”

ถ้อยคำเขาอ่อนหวานแต่ซื่อตรง

แววตานั้นก็เช่นกัน

ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง

ตอนนี้ผมมีความสุข

และผมหวังว่า…

“คุณยิ้มแล้ว ผมมีความสุขจัง”

สิ่งที่ผมหวัง...เป็นจริงในวินาทีต่อมา



_____________________________________________________________________



ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แมวยักษ์อบอุ่นมาก..กกกกก   :catrun:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เซบาสเตียนโชคดีนะที่มีโซลเมตเป็นแพทริค
แบ่งเบาความรู้สึกได้เยอะ
ยิ่งอ่านยิ่งหลง อยากมีแมวยักษ์เองบ้าง

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 13

First and Only


[Patrick]


“ทำไมตอนเด็กนายแก้มเยอะจัง”

“ไหนคุณบอกจะไม่ล้อ”

“ถามเฉยๆ ล้อตรงไหน”

“ก็คุณ…” ผมมองเข้าไปในดวงตาเขา แววตาเซบาสเตียนมีรอยยิ้มอยู่ข้างใน แล้วอย่างนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ล้ออีกหรือไง?

“ขอถ่ายรูปเก็บไว้ได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มเจือหัวเราะ ผมหน้ามุ่ย รีบดึงอัลบั้มรูปวัยเด็กคืนมาทันที

“ไม่ครับ”

“ไม่เอาน่าแมวยักษ์”

“ถ้าอยากได้รูปผมไว้ดูตอนคิดถึงก็ถ่ายใหม่สิครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อมยิ้มมุมปาก “ตอนนี้หล่อกว่าตอนเด็กเยอะเลยน้า”

“หน้าตอนโตเห็นแล้วน่าหงุดหงิดน่ะสิ” เซบาสเตียนดันหน้าผมหนี เขาลุกจากเตียง “ลงไปข้างล่างเถอะ แม่นายน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว ลงไปช่วยกัน”

“หนีผมอีก”

“อยากให้หนีจริงไหมล่ะ”

“ล้อเล่นครับ” ผมหัวเราะ เดินตามหลังเขาลงไปด้านล่าง กลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูก ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที

“อ้าว ลงมากันแล้ว”

“อะไรครับพ่อ ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นเลย” ผมพูดดัก พ่อหัวเราะลั่นจนแก้มแดงเถือก ผมหันมองเซบาสเตียน “คุณนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน คุยกับพ่อผมไปพลางๆ เดี๋ยวผมไปช่วยแม่ยกมื้อเย็นมาเสิร์ฟ”

“อืม”

เซบาสเตียนพยักหน้ารับ ผมเลยแยกตัวเดินเข้าไปในครัว

“วันนี้ทำอะไรทานครับ หอมเชียว”

“ของโปรดลูกไง”

“หืม สตูเนื้อแกะเลยเหรอครับ” ผมหัวเราะ “มีลาซานญ่าผักโขมอบชีสด้วย ว้าว นานๆ ทีแม่จะลงมือทำเองชุดใหญ่ขนาดนี้นะเนี่ย”

“ให้น้อยหน้าได้ยังไงกัน” แม่หัวเราะ “นั่นน่ะ...รอสซ์เชียวนะ”

“เซ็บเขาเป็นคนง่ายๆ กว่าที่คิดนะแม่”

“ไม่รู้ล่ะ เขาอุตส่าห์มาทั้งที ต้องต้อนรับดีๆ หน่อย” แม่ยักไหล่ “ไปเปิดไวน์แดงมาสักขวดไปแพท”

“ทุ่มสุดๆ”

“อย่าล้อแม่สิ” เธอจุ๊ปากดุผม “แล้วนี่ทิ้งเซบาสเตียนไว้กับพ่อเรางั้นเหรอ”

“ครับ ก็ผมจะมาช่วยแม่ไง”

“เดี๋ยวพ่อเราก็ไปพูดอะไรแปลกๆ ใส่เขาหรอก” แม่ส่ายหัวในขณะตักสตูใส่ชาม “ยกถาดนี้ไปแล้วไปนั่งเป็นเพื่อนเซบาสเตียนเขาซะ แม่กลัวแฟนลูกอึดอัด”

“ยังไม่ใช่แฟนสักหน่อยครับ”

“แล้วอนาคตจะไม่เป็น?”

“โธ่แม่” ผมโอดครวญ “อยากสิครับ”

“เขาจะอยากเหมือนลูกไหมน้า?”

“แม่!”

“ล้อเล่นจ้ะ” เธอหัวเราะ มองผมด้วยดวงตาสีฟ้าซีด “ไอ้ลูกหมาของแม่ตื๊อเก่งขนาดนี้ เซบาสเตียนจะใจแข็งได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว”

พอแม่พูดจบ พวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมคิดว่าแม่รู้ว่าสถานะระหว่างผมกับเซบาสเตียนมันไม่ได้ตกลงกันง่ายขนาดนั้น และแม่รู้ดีว่าจะทำยังไงให้ผมไม่เครียดกับมันมากเกินไป

“รีบตามออกมานะครับ”

ผมทิ้งท้ายในขณะยกถาดวางชามสตูเดินออกจากห้องครัว แม่ส่งเสียงขานรับก่อนฮัมเพลงต่อ แม่ชอบฮัมเพลงเวลาทำอาหาร เธอบอกว่าเวลาเรามีความสุขในการทำอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นจะออกมาดี เหมือนอาหารของแม่ที่ออกมารสชาติดีถูกปากผมทุกครั้ง

“สตูเนื้อแกะมาเสิร์ฟแล้วครับ”

ผมจัดวางชามสตูลงบนโต๊ะ พ่อส่งเสียงชมไม่หยุดพร้อมกับบ่นว่าไม่ได้ทานเมนูนี้มานานแล้ว ผมหัวเราะ เหลือบมองเซบาสเตียนที่ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่พูดอะไร

ว่าแต่…

แก้มเขาดูแดงกว่าปกติหรือเปล่านะ?

“พ่อให้คุณดื่มเบียร์เหรอเซ็บ”

“เปล่านี่ ฉันไม่ได้ดื่ม”

“อ้าว ผมเห็นคุณหน้าแดง นึกว่าพ่อมอมคุณไปซะแล้ว” ผมตอบกลับด้วยความแปลกใจ เซบาสเตียนขมวดคิ้ว เขาเม้มปากก่อนหันหน้าไปทางอื่น ส่วนพ่อหัวเราะลั่นไปแล้ว “มีอะไรกันหรือเปล่าครับเนี่ย พ่อแกล้งอะไรเซ็บ?”

“อย่ากล่าวหาพ่อได้ไหมไอ้ลูกหมา”

“ไม่มีอะไรสักหน่อย นั่งได้แล้ว” เซบาสเตียนว่าเสียงดุ เขาดึงแขนผมให้นั่งบนเก้าอี้ตัวติดกัน ริ้วสีแดงบนแก้มหายไปแล้ว เหลือแต่แววตาขวางที่จ้องมองมา

“อย่าดุสิ คุณดุทีไร…” ผมยื่นหน้าชิดใบหูเขา ลดเสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคน “ผมใจสั่นแทบบ้าแน่ะ”

“อะแฮ่มๆ”

พ่อส่งเสียงกระแอม เขายกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ ส่งสายตาล้อเลียน

“ขอโทษทีครับ” เซบาสเตียนพูดขึ้นมา “แพทชอบเล่นอะไรไม่รู้เวลา ผมเตือนหลายรอบแล้วแต่เด็กคนนี้ดื้อเกินไป”

“ผมไม่เด็กแล้วนะครับ”

“แกเด็กกว่าเขานะไอ้หมา”

“นายเด็กกว่าฉัน”

ทั้งพ่อและเซบาสเตียนพร้อมใจกันรุม ผมหน้ามุ่ย โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้

“เด็กกว่าแล้วไง โตพอจะเป็นแฟนคุณได้แล้วกัน”

เกิดเดดแอร์ขึ้นราวสามวินาที

ก่อนพ่อจะสำลักเบียร์

และเซบาสเตียนกระทืบเท้าผมใต้โต๊ะเต็มแรง

“โอ๊ย!”

“สมควรโดนแล้ว” เสียงทุ้มกดต่ำ ผมคงกลัวถ้าไม่เหลือบเห็นใบหูแดงเรื่อของเซบาสเตียนเข้าซะก่อน “ยิ้มอะไร!”

“เปล่าครับ เปล่า”

ผมส่ายหน้า แต่ห้ามปากตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้ เซบาสเตียนหรี่ตามอง เขามีสีหน้าไม่ไว้ใจ ใบหน้าดุๆ ของอีกฝ่ายทำผมใจสั่นแทบบ้า สาบานได้ว่าถ้าพ่อไม่นั่งอยู่ตรงนี้ผมคงจู่โจมเขาไปแล้ว

“คุยอะไรกันจ๊ะหนุ่มๆ เสียงดังเชียว”

“ไอ้หมาน่ะสิ” พ่อหัวเราะร่า “พูดจาเพ้อเจ้อจนโดนเข้าให้”

“หืม ไปทำอะไรอีกฮึเรา?”

“เปล่าสักหน่อยครับ” ผมรีบปฏิเสธ อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้ ไม่งั้นเท้าผมคงไม่ปลอดภัย เซบาสเตียนอาจจะอยากกระทืบซ้ำอีกรอบก็ได้ “ทานมื้อเย็นกันครับ คิดถึงฝีมือแม่จะแย่”

“คิดถึงหรือหิวกันแน่?”

“ทั้งสองอย่าง” ผมยิ้มหวานเอาใจ “แต่หิวมากกว่าคิดถึงนิดนึง”

แม่ส่ายหัวอย่างระอาใจ ผมหัวเราะ บรรยากาศรอบตัวพวกเราผ่อนคลายและเป็นไปอย่างเรียบง่าย เซบาสเตียนไม่เกร็งมากอย่างที่ผมคิด เขาไม่ได้พูดมากขึ้นกว่าเดิม หรือยิ้มกว้างกว่าเดิม เซบาสเตียนยังเป็นคนติดจะเงียบๆ กับคนที่ไม่คุ้นชินเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือแววตาและบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัว

เขาผ่อนคลายและดูเข้ากับครอบครัวผมได้ดีทีเดียว

“แพทเล่าว่าเธอเป็นอาจารย์ใช่ไหม สอนอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ครับป้าแม็ก” เขาพยักหน้ารับ “ผมเป็นอาจารย์พิเศษ สอนอยู่ที่…” เซบาสเตียนพูดชื่อมหาวิทยาลัยดังในตัวเมืองขึ้นมา แม่ร้องอ้อ รีบพยักพเยิดไปทางพ่อ

“พีทก็เป็นอาจารย์เหมือนเธอเลย”

“ฉันสอนเด็กๆ น่ะ” พ่อว่า “โรงเรียนประถมแถวๆ นี้แหละ งานอดิเรกของคนแก่”

“ไม่ได้ทำเป็นงานหลักเหรอครับ ขอโทษที ผมถามได้ไหม”

“ได้ๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” พ่อโบกมือไปมา “ฉันน่ะ เห็นแบบนี้เป็นคุณครูเก่านะ พอเกษียณออกมาแล้วก็หันมาจับพวกงานฟาร์ม ปลูกผัก ทำไร่ไป มารอบหน้าไปเดินดูก็ได้ หลังบ้านนู่น ทีนี้มันเหงาไง ฉันเคยชินกับการมีเด็กๆ อยู่รอบตัว เลยไปสอนพิเศษซะเลย”

“สงสัยคงต้องมีหลาน” แม่ล้อพ่อ ก่อนทำหน้าตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ เธอหันมองเซบาสเตียน “ตายจริง ป้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ ขอโทษด้วยที่พูดแบบนั้นออกไป”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ”

“เธอไม่คิดมากเหรอเซบาสเตียน” แม่ถามด้วยความสงสัย ผมเองก็มองหน้าเขา อยากรู้อีกฝ่ายจะตอบยังไงเหมือนกัน

เซบาสเตียนเหลือบตามองผม เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ท่าทีเรียบนิ่งไม่แสดงอาการอะไร มันยิ่งทำให้ผมอยากรู้คำตอบเขาเข้าไปใหญ่

“รับอุปการะเด็กสักคนก็ได้นี่ครับ หรือไม่ก็ใช้วิทยาการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยอย่างการอุ้มบุญ” เซบาสเตียนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหันมาทางผม แววตาคล้ายกำลังสนุก “นายชอบแบบไหนล่ะแพท?”

“ฮะ?!”

“เรื่องค่าใช้จ่ายฉันไม่มีปัญหาหรอกนะ”

“เฮ้ย?!”

ผมแทบตกเก้าอี้ เซบาสเตียนพูดเรื่องนี้เหมือนว่าเขากับผมกำลังหารือกันเรื่องสร้างครอบครัวอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด และไม่คิดด้วยว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ขึ้นมา

“ล้อเล่น”

ประโยคสั้นๆ หลุดออกจากปากที่ยกยิ้ม เซบาสเตียนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ หันกลับไปสนใจสตูเนื้อแกะตรงหน้า จิบไวน์อ้อยอิ่งอย่างสบายใจ ทิ้งให้ผมมองคนล้อเล่นหน้าตายตาค้าง

เสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ดังขึ้น

ผมรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย

“อย่าแกล้งผมน่า”

“เปล่านี่ พ่อยังไม่ทันทำอะไรเลย”

“แม่ก็เปล่าสักหน่อย”

“ขี้แกล้งนักนะคุณ” ผมอดตัดพ้อไม่ได้ เซบาสเตียนมองมา เขาเลิกคิ้วให้ คล้ายถามว่าตัวเองทำอะไรผิด “ไม่ต้องเลยเซ็บ คุณแกล้งผม นี่เอาคืนกันใช่ไหม?”

เซบาสเตียนไม่ตอบ เขายิ้มน้อยๆ หันไปคุยกับพ่อแม่ผมแทน

ผมเคยบอกว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี

แต่ดูท่าจะดีจนลืมไปว่าผมเป็นลูกชายบ้านนี้

รู้ตัวอีกทีก็ถูกลืม

ผมพยายามหาช่องแทรก แต่พ่อกับแม่ดูจะรักลูกชายคนใหม่มากกว่า ผมเลย ‘จำเป็น’ ต้องหาทางเรียกร้องความสนใจกลับคืนมา

ไม่ใช่ความสนใจจากพ่อหรือแม่ แต่เป็นความสนใจจากเซบาสเตียน

ผมวางมือลงบนหน้าขาเขา สะกิดลูบเบาๆ จนเซบาสเตียนหันมาตวัดตาดุใส่ ผมยิ้ม ไม่ยอมหยุดมือจนเขาต้องเอามือมาจับผมไว้ให้อยู่นิ่งๆ ผมพลิกมือตัวเอง ประสานมือเข้ากับเขา

พวกเราแอบจับมือกันอยู่ใต้โต๊ะ ตรงข้ามคือพ่อกับแม่

ตื่นเต้นเป็นบ้า

เซบาสเตียนพยายามดึงมือออก แต่ผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก คนขี้แกล้งต้องโดนเอาคืนซะบ้าง อีกอย่างเขาไม่กล้าโวยวาย ผมมองเขาแสร้งทำตัวเป็นปกติ พูดคุยกับพ่อแม่ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนึกขำ รู้ตัวอีกทีก็หลุดหัวเราะออกไปจนได้ ทุกสายตาเบนมาทางผมทันที

“จู่ๆ ก็หัวเราะ ไอ้หมา แกสบายดีใช่ไหม”

“สบายดีสิครับ”

“หน้าตาแบบนี้มีพิรุธ” แม่หรี่ตาจ้อง

“พิรุธอะไรกันแม่” ผมหัวเราะ กระชับฝ่ามือใหญ่ของเซบาสเตียนเอาไว้ “จู่ๆ มาว่าแบบนี้ผมน้อยใจนะ คุยกันสามคนผมน้อยใจจะแย่อยู่แล้ว แบบนี้ยิ่งน้อยใจใหญ่เลย”

“จ้าๆ นี่แม่มีลูกชายขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่ฮึ?”

“ตั้งแต่แม่กับพ่อแย่งความสนใจจากเซ็บไปจากผมไงครับ”

ผมตอบกลั้วหัวเราะ มองเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแน่น ผมขยับนิ้วโป้งไล้วนหลังมือเขา เซบาสเตียนยังพยายามดึงมือหนีเหมือนเดิมทั้งที่รู้ดีว่าผมไม่ปล่อยง่ายๆ

ไม่ปล่อยทั้งมือ…

...ทั้งตัวเขานั่นแหละ :)


“อาหารอร่อยมาก ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะครับ”

“เห็นเธอชอบฉันก็ดีใจจ้ะ”

“ไว้ว่างๆ มาอีกสิ” พ่อยักคิ้วให้ “ฉันมีเรื่องของเจ้าหมาโง่เล่าให้เธอฟังเยอะแยะเชียวล่ะ”

“ถ้าผมว่างนะครับ”

เซบาสเตียนยิ้มรับ เขาถูกพ่อกับแม่ดึงตัวไปกอดลา ผมกลายเป็นส่วนเกินอีกครั้งจนต้องอ้าแขนสวมกอดพวกเขาทั้งสามเอาไว้อีกทีนึง

“กอดกันไม่รอผมเลย”

“เอาๆ งั้นมากอดกันทั้งหมดนี่แหละ”

พ่อหัวเราะร่วนจนคนอื่นๆ หัวเราะตาม พวกเรากอดกันอย่างนั้นอยู่สักพักถึงผละออก ผมส่งยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง

“ไว้อาทิตย์หน้าผมมาเยี่ยมใหม่นะ”

“พามาคัสมาด้วย พ่อไม่มีเพื่อนเล่นหมากรุกเลย”

“ครับ ไว้ผมจะชวนลุงมาคัสให้”

หลังร่ำลากันเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถขับกลับเข้าตัวเมือง คราวนี้เซบาสเตียนเป็นคนขับ ผมอดกังวลไม่ได้เพราะกลัวเขาไม่คุ้นเส้นทาง ยิ่งตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทด้วยแล้ว แต่อีกฝ่ายยังยืนยันคำเดิม ผมเลยไม่อยากขัดใจ

ผมเปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงดังกลบความเงียบระหว่างเรา

“เป็นไงครับ มาบ้านผม”

“ก็ดีนะ”

“ขยายความคำว่าก็ดีหน่อยสิครับ”

“ป้าแม็กกับลุงพีทน่ารัก” เซบาสเตียนทำตามที่ผมขอ ผมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขา พบว่าอีกฝ่ายยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มันดีกว่าที่คิด ฉันไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่กังวลตอนแรก บ้านนายเป็นกันเองดี”

“ชอบล่ะสิ”

“อืม ชอบ”

“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆ” ผมยิ้ม “ผมมาเยี่ยมพ่อกับแม่ทุกอาทิตย์ มาพร้อมกันก็ได้นะครับ”

“ฉันไม่หลงกลนายง่ายๆ หรอกแมวยักษ์”

“โธ่คุณ ผมไม่ได้ล่อลวงอะไรคุณสักหน่อย”

“นายกำลังล่อลวงฉัน” เขาย้ำ หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “นายรู้ตัวเองดี”

“ถ้าผมล่อลวงคุณจริงๆ ป่านนี้…”

“ป่านนี้อะไร”

“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ สบตากับเซบาสเตียนที่ตวัดสายตามองมาแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปสนใจถนนตรงหน้า “พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว เบื่อจัง”

“ทำไมเป็นแมวขี้เกียจแบบนี้ฮึ?” เขาถาม “ฉันได้ยินนายบ่นเรื่องไปทำงานหลายครั้งแล้ว”

“บ่นไปอย่างนั้นแหละ ผมแค่อยากให้คุณสนใจ”

“ดี งั้นต่อไปฉันจะไม่สนใจนายอีก”

“โธ่เซ็บ อย่าใจร้ายกับผมน่า”

“อย่างนายต้องโดนซะบ้าง”

“โอเคๆ ไม่เรียกร้องความสนใจแล้วก็ได้ ว่าแต่…” ผมเงียบไป ชั่งใจว่าจะพูดดีไหม “พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า? วันจันทร์คุณไม่มีสอนนี่ ตอนเย็นหลังผมเลิกงานไปหาอะไรทานกันไหม”

“ฉันไม่ว่าง”

“อ้าว?”

“ต้องเตรียมแผนการสอนกับตรวจงานนักศึกษา” เซบาสเตียนอธิบาย “ถึงไม่ได้สอนเต็มอาทิตย์แต่ฉันก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะแพท”

“คุณเตรียมแผนการสอนกับตรวจงานทั้งวันเลยเหรอครับ” ผมถาม เซบาสเตียนเงียบไปนานกว่าปกติ ผมหรี่ตาลง รู้สึกว่าเขากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง “งานเยอะขนาดนั้นเชียว”

“เยอะจนทับนายตายได้เลย”

“ฮ่าๆๆๆ”

ผมหัวเราะไปกับคำพูดเขา จากนั้นเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น เซบาสเตียนคงไม่สะดวกใจจะบอกเรื่องนั้นกับผม ว่าเพราะอะไรทำไมเขาไม่ว่าง แต่ผมคิดว่าตัวเองรู้ บางที…

...มันอาจเกี่ยวข้องกับสายที่โทรเข้าหาเซบาสเตียนตอนนั้นก็ได้


พวกเราคุยสรรพเพเหระกันมาตลอดทาง รู้ตัวอีกทีเซบาสเตียนก็มาจอดหน้าคอนโดฯ ผมซะแล้ว ผมหันไปจะบอกลา แต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

“ถามหน่อยสิ”

“หืม?”

“ลุงพีทบอกว่านายไม่เคยพาใครมาบ้านมาก่อน ฉันเป็นคนแรก?” เขาเท้าแขนกับพวงมาลัยรถ หันหน้ามาทางผม สายตาฉายแววสงสัยติดจะไม่เชื่อ

ให้ผมเดา นี่คงเป็นเรื่องที่พ่อคุยกับเซบาสเตียนตอนผมเข้าไปหาแม่ในครัว

“ครับ คุณเป็นคนแรก”

ผมตอบตามตรง เซบาสเตียนขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาชอบขมวดคิ้วเวลาคิดหรือตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมรู้ดีเพราะสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา ความเงียบโอบล้อมพวกเรา ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด แค่ปล่อยให้เซบาสเตียนใช้เวลากับตัวเองและตัดสินใจพูดออกมาเมื่อเขาพร้อม

“แล้ว…” เขาเกริ่นหลังเงียบไปนาน ดวงตาสีมรกตสบผมนิ่ง น้ำเสียงทุ้มแหบพร่า “...คนแรกและคนเดียวด้วยไหม”

“ก็ถ้าคุณรับความรู้สึกผม”

ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ เซบาสเตียนไม่ขยับหนี สายตาจับจ้องผมไม่ละไปไหน

“...”

“คุณก็จะเป็นคนแรก...”

ผมกดจูบลงบนขมับเขา ผละออกมาสบตาอีกฝ่าย อมยิ้มเมื่อเห็นเซบาสเตียนมีท่าทีทำตัวไม่ถูก

“และคนเดียว...ต่อจากนี้ไป :)


___________________________________________________________



ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้โหหห คือเขินมาก   :o8:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หูย...ยยยย หวานนะแมวยักษ์  :hao3:

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
โอ๊ยยยยย เขาหวานกันไม่เกรงใจคนอ่านบ้างเลย
ครอบครัวนี้เขาอบอุ่น ต้อนรับดี๊ดี ลูกชายคนใหม่ก็เข้ากันได้ด้วย ฉลุยเลยสิคุณเซบาสเตียน ><

เท่าที่อ่านมา เซบาสเตียนก็ท่าจะชอบให้แพทอ้อนมากเหมือนกันนะเนี่ย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
หยอดได้ทุกจังหวะจริงๆ 5555

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เขินไม่ไหวแล้ว ขยันหยอดกันจัง ฮือออ บ้านแพทอบอุ่นเป็นกันเอง เซ็บมาบ่อยๆน้า ขอบคุณมากค่ะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 14

I care about you


[Sebastian]


‘เธอรู้ไหม ไอ้ลูกหมาไม่เคยพาใครมาบ้านเลยนะ’

‘ครับ?’

‘ฉันกับแม็กเคยบอกให้แพทพาคนรักมาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักบ้าง เจ้าลูกคนนี้เสน่ห์แรง สาวๆ ติดตรึม คบมาก็หลายคนแต่กลับไม่เคยพาใครมาบ้านสักครั้ง’

‘ลุงกำลังจะบอกอะไรผมเหรอครับลุงพีท’

‘ลูกชายฉันจริงจังกับเธอนะ’

‘เขาเคยบอกผมอยู่ครับ’

‘แล้วเธอจริงจังกับลูกชายฉันบ้างไหม?’

‘ผมยังไม่แน่ใจ พูดออกไปตอนนี้คงไม่ดี’

‘เธอรู้ไหมเซบาสเตียน...ว่าแววตาเธอเวลามองลูกชายฉันเป็นยังไง’

‘...’

‘น่าเสียดาย แววตาตอนเธอมองแพท ตัวเธอไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ฉันน่ะ...เห็นชัดเจนเชียวล่ะ’


“เห็นชัดเจน...งั้นเหรอ?”

ผมหมุนปากกาในมือ บทสนทนาเมื่อวานย้อนเข้ามาในหัว หมุนวนซ้ำไปมาโดยเฉพาะคำว่า ‘เห็นชัดเจนเชียวล่ะ’ ของลุงพีท ผมจำรายละเอียดทุกอย่างได้แม่นยำเหมือนมันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า

สายตาของลุงพีท รอยยิ้มของเขา ราวกับรู้ทัน

บางเรื่อง คนนอกก็รู้ดีกว่าตัวเราเอง

ผมถอนหายใจ สลัดเรื่องของลุงพีทและแพทริคออกจากหัว กลับมาโฟกัสกับงานนักศึกษาที่กำลังตรวจ ผมใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการวางแผนการสอนในครั้งถัดไปและตรวจงาน กาแฟดำกับขนมปังสองแผ่นไม่ทำให้อิ่มท้องเท่าไหร่ ถ้าแพทริครู้คงบ่นผมไม่หยุด แต่ทำไงได้ ในเมื่อมันสะดวกที่สุด

เวลาไหลผ่านไปจนเกือบเที่ยง เสียงแจ้งเตือนข้อความดังจากสมาร์ตโฟนที่วางบนโต๊ะข้างตัว ผมเหลือบมอง ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เผลอถอนใจ

‘อย่าลืมไปตามนัด’

บางทีแมทธิวก็เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำเกินไป ผมกดอ่านให้เขารับรู้แต่ไม่ตอบกลับ ใช้เวลาที่เหลือเคลียร์งานตัวเองจนเรียบร้อยจากนั้นลุกไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดเจอใครบางคน

ใครบางคนที่สามารถช่วยพวกเราสืบเรื่องมือปืนที่ลอบยิงพ่อได้


ร้านกาแฟใกล้สำนักงานตำรวจเขตสองเป็นสถานที่นัดพบ ผมเดินเข้าไปข้างใน สบตากับชายผิวสีร่างใหญ่ที่นั่งอยู่โต๊ะในสุด เส้นผมหยิกจากกรรมพันธ์ถูกตัดสั้นจนเกรียน ดวงตาดุดันรับกับรอยแผลเป็นเส้นยาวพาดบากข้างแก้มซ้าย เขาสวมแจ็คเกตหนังสีดำสนิท ยิ่งเสริมให้ลักษณะภายนอกน่าเกรงกลัว

ผมคงคิดว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลประจำถิ่น ถ้าแมทธิวไม่บอกก่อนว่าเพื่อนเขาคนนี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยสืบสวนซึ่งประจำอยู่ที่เขตสองนี้

“เชิญนั่งครับ” เขายิ้มให้ ดูเป็นมิตรกว่าที่เห็นภายนอก

“คุณคงจะเป็นเจคอป” ผมจับมือทักทายอีกฝ่าย “ผมเซบาสเตียน”

“เสือดำแห่งรอสซ์” เจคอปยิ้ม “เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงคุณชัดๆ ก็วันนี้ แมทบอกผมว่าคุณค่อนข้างเก็บตัว?”

“ผมแค่เลี่ยงความวุ่นวาย”

“ส่วนแมทชอบพุ่งเข้าหาความวุ่นวาย”

ผมเผลอกระตุกยิ้ม นึกชอบใจการเปรียบเทียบของเจคอป

“แมทนัดผมให้มาเจอคุณ” ผมเข้าเรื่องหลังทักทายกันพอสมควร “เขาบอกคุณมีเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของพ่อ”

“ไม่เชิงเบาะแสเพิ่มเติมเท่าไหร่”

“ยังไงครับ?”

“เพิ่มเติมน่ะใช่ แต่สำหรับพวกคุณเท่านั้น”

“คุณหมายความว่า…” ผมหรี่ตาลง “...ที่ผมกับแมทรู้มันไม่ใช่ทั้งหมด?”

“คุณซีมอนต้องการให้พวกคุณรู้แค่นั้น” เจคอปพยักหน้ารับ “หลักฐานนอกจากภาพในกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้กับปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุและหัวกระสุนเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”

“มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีก”

“นี่ครับ”

เจคอปเลื่อนแฟ้มเอกสารมาตรงหน้า ผมสบตาเขา อีกฝ่ายพยักหน้าให้ ผมเลยเปิดแฟ้มออกดู มันเป็นรูปถ่ายรอยล้อรถบนถนน ลายดอกยางล้อรถค่อนข้างชัดเจน หน้าต่อไปเป็นรูปยางรถมอเตอร์ไซค์และรายละเอียดประเภทของยางไว้อย่างละเอียด

“รอยยางที่พบบนที่เกิดเหตุ ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้วได้ข้อมูลว่าเป็นยางประเภท Sport Tyre หรือยางสปอร์ต ลักษณะเด่นของยางประเภทนี้คือดอกยางที่มีจำนวนมากเพื่อใช้ในการยึดเกาะถนน ความลึกของร่องยางที่ตื้นกว่า ไม่ลึกเหมือนยางวิบาก (Off-Road Tyre) คุณสมบัติที่ผมว่ามาทั้งหมดนี้ทำให้ยางประเภทนี้นิยมใช้กันมากในสนามการแข่งขัน”

“ข้อมูลแค่นี้ก็ยังเจาะจงไม่ได้อยู่ดี”

“ใช่ครับ เราเลยตรวจละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม” เจคอปเอื้อมมาพลิกเอกสารหน้าถัดไปให้ผมดู “พวกเราพบว่ายางเจ้าปัญหานี้มีเอกลักษณ์ต่างจากดอกยางลายอื่นมากพอสมควร”

“คุณหมายถึงลายพิเศษ?”

ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อเจคอปพยักหน้า ผมก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทาง

“เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาบริษัท JX Tyres เปิดตัวยางรุ่นพิเศษ หนึ่งในซีรี่ส์ลิมิเต็ดอิดิชัน ที่ร่วมมือกับองค์กร Green World ในแคมเปญอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” เจคอปอธิบาย เขาพลิกเอกสารหน้าถัดไป มันเป็นรายละเอียดยางรุ่นพิเศษที่ว่านี้ ภาพซูมเข้าไปยังลายดอกยางที่มีตราสัญลักษณ์ของแคมเปญบนผิวและข้างตัวล้อ “รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะถูกนำไปสมทบทุน บลาๆ ผมเราข้ามตรงนี้กันดีกว่าครับ ประเด็นคือแคมเปญนี้นักแข่งรถให้ความสนใจกันมากทีเดียว จึงทำให้กำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ และในประเทศเรามีตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ไม่กี่รายที่นำเข้ายางของ JX Tyres”

“คุณมีรายชื่อตัวแทนจำหน่ายพวกนั้น?” ผมเลิกคิ้ว ประสานมือวางบนโต๊ะ สบตากับเจคอป “แต่ถึงจะมีไม่กี่ราย ตัวแทนจัดจำหน่ายก็ไม่ได้ขายโดยตรงให้กับผู้บริโภครายสุดท้ายนี่ครับ”

ตามหลัก Supply Chain ที่ผมเรียนมา พวก Distributor จะทำธุรกิจแบบ Business to Business หรือขายสินค้าในราคาส่งให้พวกค้าส่ง/ปลีก (Wholesaler/Retailer) เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภครายสุดท้ายอีกที ซึ่งผมคิดว่าร้านค้าปลีกที่เกี่ยวกับอะไหล่รถ ล้อรถพวกนี้มีนับไม่ถ้วน จำนวนรายชื่อลูกค้าที่ซื้อไปก็ไม่น้อย ยากต่อการเจาะจงตัวบุคคลอยู่ดี

“อย่างที่คุณว่า”

“แมทคงไม่ให้ผมมานั่งฟังคุณตั้งหลายนาทีเพื่อจบที่คำนี้หรอกนะครับ”

“ใจเย็นสิครับคุณรอสซ์” เขาหัวเราะ “อย่างที่ผมบอกว่ากำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทาง JX Tyres จึงค่อนข้างเลือกเป็นพิเศษว่าจะส่งให้ตัวแทนจำหน่ายรายไหน และบังเอิญว่าจากตัวแทนจำหน่ายทั้งห้ารายในเมืองเรา รายที่ทำยอดขายได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดมานั้น…”

“อยู่ที่เขตกลางนี่” ผมต่อประโยคนั้น เจคอปพยักหน้า ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มชอบใจ

“ครับ อยู่ที่นี่ เขตสองติดหัวมุมถนนถัดออกไปอีกสามบล็อก JY Tyre Distributors คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง” เจคอปโคลงศีรษะ เขาสบตาผม “ส่วนเรื่องที่คุณกังวลว่าตัวแทนจำหน่าย จำหน่ายให้ค้าส่งและปลีกเท่านั้น ข้อนี้ตัดทิ้งได้เลยครับ เพราะยางรุ่นนี้ทาง JX Tyres ให้สั่งซื้อโดยตรงกับทางตัวแทนจัดจำหน่ายเท่านั้นครับ”

“คุณบอกว่าจากตัวแทนจัดจำหน่ายภายในเมืองนี้” ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะ “คุณปักใจว่าคนที่ลงมือเป็นคนพื้นที่?”

“ครับ พวกเราสัณนิษฐานว่ามือปืนน่าจะเป็นบุคคลในพื้นที่”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น” ผมย่นคิ้ว “เขาอาจถูกจ้างมาจากที่อื่นก็ได้”

“คุณยังไม่เห็นไฟล์วิดีโอจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นสินะครับ”

“ผมกับแมทรู้ข้อมูลเท่าที่ซีมอน รอสซ์ ‘อนุญาต’ ให้รู้”

ผมแค่นเสียง นึกหงุดหงิดในใจอย่างห้ามไม่ได้ เจคอปหัวเราะเบาๆ เขาหยิบไอแพดขึ้นมา เลื่อนปลายนิ้วแตะมันอยู่ไม่กี่ทีก็ยื่นมาให้ ผมรับมาดู บนหน้าจอปรากฏคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ในวันเกิดเรื่องเอาไว้ รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งขึ้นมาขนาบข้าง คนขับแต่งตัวมิดชิดด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำสนิท ศีรษะสวมทับด้วยหมวกกันกระแทกปิดหน้าตา พอขับตีคู่รถพ่อได้ ปืนในมือซ้ายก็ถูกยกจ่อและลั่นไกทันทีก่อนเลี้ยวหนีหลุดจากการมองเห็นไป

คลิปจบลงแค่นั้น มันคือหลักฐานเบื้องต้นที่ผมรู้

คนลงมือถนัดมือซ้าย

ปลอกกระสุนและหัวกระสุนอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ และผมคิดว่าพ่อคงไม่บอกพวกเราแน่

“คลิปนี้ผมได้ดูแล้ว”

“ครับ แต่จริงๆ แล้วไฟล์จากกล้องวงจรปิดไม่ได้มีแค่นี้” เขาสบตาผม น้ำเสียงจริงจัง “ยังมีอีกหลายไฟล์ แต่...มันมีปัญหานิดหน่อย พวกเราจึงเปิดเผยได้แค่นั้น”

“อย่าบอกนะว่ากล้องวงจรปิดตัวอื่นเกิดเสียขึ้นมา”

“พูดเป็นเล่น คุณก็รู้ว่าเรื่องงี่เง่าแบบนั้นไม่เกิดขึ้นกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างเราหรอก”

“แล้วมันมีอะไรครับ”

“หลักฐานที่ได้มานอกจากไฟล์คลิปจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุแล้ว พวกเรายังมีไฟล์อื่นอีกแต่คุณซีมอนไม่ให้พวกเราเปิดเผยให้คุณกับแมททราบ นั่นแหละครับปัญหาที่ผมว่า คุณลองเลื่อนดูไฟล์ถัดไปสิครับ”

ผมเลื่อนดูไฟล์ถัดไปตามที่เจคอปบอก มันเป็นคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ที่ถูกนำมาเรียงกันเป็นไฟล์เดียว ผมเห็นเงาแวบๆ ของมอเตอร์ไซค์คันนั้นขับผ่าน แต่แทบมองไม่เห็นแบบชัดๆ เลยสักกล้องเดียว

“เขาหลบกล้องวงจรปิด?”

“ถูกต้องครับ ดูเชี่ยวชาญมากเลยใช่ไหม” เจคอปถาม ผมพยักหน้า “เชี่ยวชาญเหมือนเป็นคนในพื้นที่ เขาหลบหลีกกล้องวงจรปิดในบริเวณนี้ได้แทบทุกตัว บางตัวจับภาพเขาได้แต่ก็แค่นั้น เบาะแสไม่เพียงพอจะสืบค้นไปมากกว่านี้”

ผมพยักหน้ารับ ไฟล์จากกล้องวงจรปิดพวกนี้ทำให้ข้อสัณนิษฐานว่าคนร้ายเป็นคนในพื้นที่มีเปอร์เซ็นต์ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นมากทีเดียว พ่อถึงไม่อยากให้พวกผมรู้ คงกลัวว่าจะเข้าถึงหลักฐานอื่นๆ นั่นแหละ

ผมถอนใจ เอ่ยถามรายละเอียดจากเจคอปต่อ

“คุณได้ไปขอรายชื่อลูกค้าที่สั่งซื้อยางรุ่นนี้หรือยัง”

“ยังครับ”

“อะไรกัน” ผมขมวดคิ้ว “ทั้งที่มันเป็นเบาะแสเดียวที่สามารถสืบต่อได้เนี่ยนะ?”

“ความจริงแล้ว” เจคอปขมวดคิ้ว สีหน้าลำบากใจ เขาสบตาผม “พวกเราได้รับคำสั่งจากซีมอน รอสซ์ว่าให้หยุดการสืบค้นเพียงเท่านี้ นอกนั้นเขาจะจัดการเอง”

“ให้ตายสิ!”

ผมเผลอสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด

“อย่างน้อยคุณก็ได้เบาะแสเพิ่มเติม” เจคอปพยายามปลอบ เขาส่งยิ้มให้ “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะเอาเบาะแสจากผมนี้ไปสืบต่อไหม”

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลพวกนี้นะครับ” ผมเคาะเบาๆ ลงบนแฟ้ม เงยหน้าสบตาเจคอป “แต่คุณจะไม่เดือดร้อนใช่ไหมที่เอาข้อมูลพวกนี้มาให้คนนอกอย่างผม”

“แมทขอร้องให้ผมช่วยทั้งที จะเมินคำขอเพื่อนก็ยากหน่อย” เขาหัวเราะ “อีกอย่าง...คนนอกที่เป็นลูกชายของผู้เสียหาย ผมคิดว่าพอจะผ่อนผันได้ หรือถึงถูกจับได้ขึ้นมา ผมก็หวังว่าคุณกับแมทน่าจะมีวิธีช่วยไม่ให้ผมโดนเด้งจากตำแหน่ง”

“แมทคงไม่ปล่อยให้คุณโดนเด้งหรอก”

“ฟังแล้วสบายใจขึ้นนิดนึงครับ” เขาหัวเราะ พยักพเยิดมาทางแฟ้มตรงหน้าผม “แฟ้มนั้นคุณเก็บไปได้เลยนะครับ มันเป็นแค่ก็อปปี้ ตัวจริงผมไม่กล้าเอาออกมาหรอก ส่วนไฟล์จากกล้องวงจรปิดทั้งหมดผมส่งไปให้แมทแล้ว คุณไปขอจากเขาได้ถ้าต้องการดูเพิ่มเติมอีกรอบ”

“ครับ ขอบคุณมาก”

“ขอให้โชคดีนะครับ”

ผมพยักหน้ารับคำอวยพรนั้น พึมพำขอตัวก่อนลุกเดินออกจากร้าน เบาะแสทั้งหมดวิ่งวนอยู่ในหัว

คนร้ายถนัดซ้าย

สัณนิษฐานว่าเป็นคนในพื้นที่

และอาจจะอยู่ในวงการรถแข่ง

ผมคิดจนหัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นเงื่อน เห็นทีคงต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาแมทธิวให้เขาช่วยคิดสักหน่อย ผมหวังว่าช่วงนี้งานเขาคงไม่ยุ่งเกินไป และพ่อที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจะไม่จับตามองเขาจนเกินเหตุ


หลังคุยกับเจคอปเสร็จผมเลือกแวะสถานที่หนึ่ง และใครคนหนึ่งที่ผมคิดถึงเธออยู่ทุกวินาที คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ขับรถมาถึงจุดหมาย

คฤหาสน์ตระกูลเปเรซตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ประตูรั้วเปิดออกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ดูแลเห็นว่าเป็นรถผม ผมขับเข้าไปข้างใน ก่อนดับเครื่องจอดที่หน้าประตู

“คุณเซบาสเตียน?”

“สวัสดีครับป้าแมรี่” ผมทักทายแม่นมร่างท้วมที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก “คุณแม่อยู่ไหมครับ”

“คุณเบลอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสามค่ะ ให้ป้าไปตามให้ไหมคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธ “เดี๋ยวผมขึ้นไปเอง”

“คุณเบลคงตกใจแย่” เธอหัวเราะเบาๆ “จู่ๆ คุณก็มา ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าแบบนี้”

“เซอร์ไพรส์ไงครับ”

“ป้าก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันค่ะ”

ป้าแมรี่หัวเราะจนแก้มแดง ผมยิ้มให้เธอ พึมพำขอตัวและเดินแยกไป

คฤหาสน์ตระกูลเปเรซกว้างขวางไม่แพ้ตระกูลรอซส์ และยังให้ความรู้สึกอ้างว้างเหมือนกันไม่มีผิด ผมเผลอนึกถึงบ้านของแพทริค บรรยากาศแบบนั้นชวนให้น่าอิจฉากว่าเป็นไหนๆ

ก๊อกๆ

ผมเคาะประตูบอกให้เจ้าของห้องรู้ว่ามีแขก ได้ยินเสียงแม่ขานรับมาจากด้านใน ผมเปิดประตูเข้าไป แม่นั่งก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารหนาเป็นปึก เส้นผมสีน้ำตาลเข้มรวบเป็นมวยเรียบร้อย แม่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีเข้มจ้องผมผ่านกรอบแว่นใส

“โอ้ เซ็บ ลูกมาได้ยังไงน่ะ?!”

เธอเบิกตากว้างจนหลุดมาด ผมยิ้ม เดินอ้อมโต๊ะหาแม่ ก้มหน้าจูบทักทายเธอที่ผิวแก้ม แม่วางงานทุกอย่างในมือ เธอลุกขึ้นตรงมาโอบกอดผมเอาไว้

“เซอร์ไพรส์ครับ” ผมกอดแม่ไว้ เหมือนที่ตอนเด็กๆ ชอบทำ ต่างกันแค่ตอนเด็กผมแม่กอดจนผมจมอกเธอ ส่วนตอนนี้ผมโตกว่าเดิมจนแม่เหลือตัวนิดเดียว “ผมมาทำธุระแถวนี้พอดีเลยแวะมาหาแม่ ไม่รบกวนใช่ไหมครับ”

“ลูกไม่เคยรบกวนแม่สักหน่อย”

เธอว่าเสียงดุแบบไม่จริงจังนักก่อนดันตัวผมให้ไปนั่งคุยกันที่โซฟารับรองที่ตั้งอยู่ในห้องทำงาน ส่วนใหญ่แม่ชอบทำงานที่บ้าน นานๆ ทีจะเข้าไปดูงานในบริษัทช่วยลุงกับลูกพี่ลูกน้องผมอีกคนหนึ่ง

“สบายดีไหมครับ” ผมถามเมื่อเรานั่งกันเรียบร้อย แม่พยักหน้า คลี่ยิ้มให้เหมือนทุกที

“สบายดี ลูกล่ะเซ็บ”

“เหมือนกันครับ”

“แม่ได้ข่าวว่า…” เธอมีสีหน้าลังเล “พ่อของลูก…เขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นต่อที่บ้านแล้ว” ผมเผลอบีบมือตัวเอง “แม่ยังคิดมากเรื่องพ่ออยู่ไหม…”

“ไม่เชิง แม่รู้ดีว่าสักวันจะเป็นแบบนี้” แม่ยิ้มให้ผม ดวงตาสีเข้มของแม่ไม่มีร่องรอยความอ่อนแออย่างที่ผมนึกกลัว “แม่มีเวลาทำใจมาหลายปี แต่จะให้ตัดขาดไม่เป็นห่วงเขาเลยมันก็ทำไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวไม่ดีกับเขาด้วย”

“พ่อแก้ไขสถานการณ์ได้อยู่แล้ว”

“แต่ครั้งนี้ดูแย่กว่าทุกครั้ง” แม่ถอนใจ “ได้ฟังข่าวบ้างไหม เรื่องที่พ่อของลูกประมูลโครงการนั้นมาได้”

“ผมพอได้ยินมาบ้างครับ” ทั้งจากทางโทรทัศน์และจากปากแมทธิวเอง “การทำงานติดขัดแถมสร้างปัญหาให้กับชุมชนในละแวกนั้นจนมีคนเรียกร้องให้เปลี่ยนบริษัทที่ดูแล ทุกอย่างเอื้อให้เข้าทางฝั่งพวกมิลาโนเสนอตัวรับช่วงต่อ แม่คิดว่าไงครับ?”

“อาจจะมีส่วน แม่ไม่แน่ใจ พ่อลูกศัตรูน้อยซะที่ไหน” แม่ถอนใจ สบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “แต่ที่แม่กังวลที่สุดคือลูกต่างหากเซ็บ ได้ข่าวว่าพอแม่ย้ายออกจากที่นั่นลูกก็ย้ายออกตาม”

“เรื่องตั้งนานแล้ว แม่เพิ่งจะเอามาพูดเนี่ยนะครับ?”

“เพราะแม่รู้นิสัยลูกดี” แม่ลูบหัวผมเบาๆ “เวลาลูกตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว ลูกไม่ชอบให้ซักไซ้นี่ หงุดหงิดทุกครั้งเลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อยครับ”

“ขนาดนั้นแหละ” เสียงหัวเราะดังก้อง แม่ตบไหล่ผม แววตาที่มองมาอ่อนลง “แม่เลยรอให้ผ่านไปสักระยะถึงถาม อารมณ์ลูกตอนนี้คงไม่ร้อนเหมือนตอนนั้นแล้ว”

“อยู่คนเดียวสะดวกกว่าครับ ใกล้ที่ทำงานผมด้วย”

“นี่เซ็บ แม่พูดตรงๆ ได้ไหม”

“ครับ?”

“กลับไปอยู่ที่รอสซ์ก่อนเถอะ” แม่สบตาผม แววตาปะปนทั้งความเป็นห่วงและจริงจัง “แม่กลัวลูกจะโดนลูกหลง แม่ไม่สบายใจเลย”

“อย่าคิดมากเลยครับ มันไม่มีอะไรหรอก”

“แต่เซ็บ…”

“หรือถึงมันจะเล่นงานผมจริง ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันคือใคร” น้ำเสียงผมแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ผมอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมของมันมากกว่าเดิม”

“เดี๋ยวนะ…” แม่ขมวดคิ้วแน่น “ลูกพูดเหมือนรู้ข้อมูลมันบางส่วน?”

“...”

“เซ็บ บอกแม่มานะว่าลูกกำลังทำอะไร”

แม่ว่าเสียงแข็ง สายตาจริงจัง ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเราหนักอึ้ง แม่เป็นคนสร้างบรรยากาศนี้ขึ้นมา เธอผมเป็นคนอ่อนหวาน แต่ก็น่ากลัวได้ในเวลาเดียวกัน

“พ่อตามสืบเรื่องนี้ เขาไม่ยอมให้ตำรวจยุ่ง แถมปิดบังข้อมูลบางส่วนกับผมและแมท แม่ไม่คิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นเหรอ?” ผมย้อนถามแม่ เธอเงียบไป ผมเลยพูดต่อ “ใช่ครับ ผมตามสืบเรื่องนี้ แม่เคยถามผมใช่ไหมว่าผมเกลียดพ่อหรือเปล่า ผมไม่ชอบเขา แต่ไม่ได้เกลียด และคนที่คิดร้ายกับพ่อ...กับรอสซ์ ผมไม่มีทางนิ่งเฉยได้หรอก”

“ลูกกำลังทำเรื่องอันตราย”

“ผมรู้ดี”

“ไหนลูกเคยบอกไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับรอสซ์” แววตาของแม่สับสน “เอาล่ะ ถ้าลูกไม่สะดวกใจกลับไปรอสซ์ ลูกมาอยู่ที่นี่ก็ได้ ตระกูลเปเรซของเรายินดีต้อนรับลูกเสมอ”

“ผมไม่อยากรบกวนลุงเบอนาร์ดกับอเล็กซ์” ผมอ้างชื่อสองคนนั้น ถึงรู้ดีว่าลุงกับลูกพี่ลูกน้องผมคนนี้นานๆ ทีจะกลับมาก็ตาม “อีกอย่าง ผมตัดสินใจแล้ว ถึงผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับรอสซ์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในตัวผมมีเลือดรอสซ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ผมปล่อยไปไม่ได้จริงๆ”

“แม่ไม่น่าปล่อยให้ลูกซึมซับวิถีของรอสซ์มามากขนาดนี้เลย” เธอส่ายหัว รอยยิ้มอ่อนใจถูกส่งมาให้ “แม่คงเปลี่ยนความคิดลูกไม่ได้แล้วจริงๆ แต่เซ็บ...ระวังตัวด้วย แม่ขอแค่นี้ ถ้ามีอะไรผิดสังเกตหรือต้องการความช่วยเหลือแม่ขออย่างเดียวคือบอกแม่ อย่าปิดบังกัน”

“แม่ปวดหัวกับงานตัวเองก็พอแล้ว”

“กับความปลอดภัยของลูกไม่มีคำว่าปวดหัว”

“แม่…”

“รับปากแม่สิเซ็บ”

“เฮ้อ...ครับ ผมรับปาก”

ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้แม่สบายใจน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี แม่ยิ้ม สีหน้าคลายกังวลขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศหนักๆ เมื่อสักครู่หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริง

“ดีมากจ้ะ” แม่ลูบหัวผมอีกครั้ง คราวนี้เธอเปลี่ยนเรื่องจนผมตั้งตัวไม่ทัน “ได้ข่าวว่าช่วงนี้ลูกมีคนคุย...โซลเมตของลูกคนนั้น?”

“ใครบอกแม่ครับ” ผมขมวดคิ้ว จำได้ว่าตัวเองไม่เคยพูดเรื่องแพทริคให้แม่ฟัง

“แมทธิวแวะมาเยี่ยมแม่น่ะ”

คำตอบอ้อมๆ ที่ผมไม่จำเป็นต้องถามต่อ พี่ชายตัวดีปากมากขึ้นทุกวัน

“ก็...ครับ”

“เล่นเอาแม่แปลกใจมากเลยตอนที่ได้ยิน”

“แปลกตรงไหนครับ”

“แปลกตรงที่ลูกเปิดใจกับคนอื่นนอกจากครอบครัว” เสียงหัวเราะดังขึ้น ผมพยายามบังคับสีหน้าไม่ให้แสดงอาการแปลกๆ ออกไป โดยเฉพาะตอนที่แม่มองผมด้วยสายตาค้นหา “เธอคนนั้นพิเศษมากเลยสินะ”

“อันที่จริง…” ผมกระแอม “...‘เขา’ พิเศษอย่างที่แม่ว่า”

“เขา?”

“แพทริค” ผมพูดชื่อเจ้าแมวส้มออกมา รู้สึกไม่กล้าสบตาแม่ตรงๆ จนนึกหงุดหงิดตัวเอง “เขาเป็นผู้ชาย แม่โอเคหรือเปล่าที่มันเป็นแบบนี้”

“โอ้เซ็บ” เธอหัวเราะอีกครั้ง “แน่นอนแม่โอเค ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้สักนิด”

“ผมคิดว่าแม่จะ…” ผมเงียบไป ไม่รู้จะต่อประโยคตัวเองยังไง สุดท้ายเลยเว้นไว้อย่างนั้น “แพทเข้ากับคนง่าย บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมสบายใจเวลาคุยกับเขา”

“แม่ชักอยากเจอแพทของลูกซะแล้วสิ”

“ไว้ถ้าผมว่างจะพาเขามาเจอแม่” ผมทำเมินคำว่า ‘แพทของลูก’ ไปซะ

“แม่จะรอนะ”

ผมคุยกับแม่ต่อเกือบชั่วโมงก่อนขอตัวกลับ แม่ไม่ลืมกำชับผมเรื่องแพทริค เห็นทีคงต้องหาเวลาว่างพาเขามาพบแม่จริงๆ สักที ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เกือบบ่ายสี่โมงแล้ว ผมไม่มีธุระต่อที่ไหนอีกและยังไม่อยากกลับคอนโดฯ


V
V
V


ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

‘พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า? วันจันทร์คุณไม่มีสอนนี่ ตอนเย็นหลังผมเลิกงานไปหาอะไรทานกันไหม’


เสียงของแพทริคดังในหัว เจ้าแมวยักษ์เลิกงานหกโมงเย็น อีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น ผมขมวดคิ้ว เคาะปลายนิ้วกับพวงมาลัยรถ ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็สตาร์ตรถและขับออกไป

นั่งรอเจ้าแมวยักษ์สักสองชั่วโมงก็ไม่ได้ลำบากอะไร


“เซ็บ?!”

“ไง”

“คุณมาได้ไงเนี่ย?”

“ขับรถมา”

“ไม่สิ ที่ผมหมายถึงน่ะ…” แพทริคดูคล้ายแมวยักษ์ที่กำลังสับสน เขาเดินวนรอบตัวผมไปมาไม่หยุด ดวงตาสีฟ้าซีดเบิกกว้าง “คุณบอกคุณไม่ว่าง แต่ทำไมพอผมตอกบัตรเลิกงานแล้วถึงเจอคุณยืนรอหน้าฟิตเนสเนี่ย?!”

“สติแตกไปแล้วหรือไง”

“เซ็บ”

“ทำธุระเสร็จแล้วเลยมาหา” ผมตอบสั้นๆ ไม่ได้ขยายความว่าไปนั่งฆ่าเวลารอในร้านกาแฟใกล้ๆ ฟิตเนสเกือบสองชั่วโมงเพื่อรอให้ถึงเวลาเขาเลิกงาน “นายไม่อยากให้ฉันมา?”

“แน่นอน อยากสิ!”

เขาว่าหน้าตาตื่น ผมหัวเราะ คว้ามือแพทริคมาจับเอาไว้ มืออุ่นๆ ของเขาให้ความรู้สึกดีเหมือนทุกครั้ง

“ดินเนอร์กัน”

“เดี๋ยวๆ แล้วรถผม?”

“จอดทิ้งไว้นี่แหละ” ผมตอบหน้าตาย “ไปรถฉัน เดี๋ยวขากลับแวะไปส่งที่คอนโดฯ นายเลย”

“แล้วพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานยังไงครับคุณ”

“จะไปส่ง”

“ฮะ?”

“เดี๋ยวตอนเช้าฉันมาส่งนาย” ผมขยายความ แพทริคตาโตไปแล้ว เหมือนเขายังงงว่าผมนึกอะไรถึงทำตัวแปลกไปแบบนี้ “จะไปไหม ตัดสินใจนานเกินไปหรือเปล่า”

“ไปครับไป”

แพทริคยิ้มออกมา

จากนั้นความเครียดที่วิ่งวนอยู่ในหัวผมก็ถูกรอยยิ้มนั้นทำให้หายไปทันที


“คราวหลังโทรมาบอกกันก่อนก็ดีนะครับ”

“นายจะได้หนีฉัน?” ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้น แต่แพทริคกลับทำหน้าตื่นใส่

“ผมจะหนีคุณทำไมกัน แต่จู่ๆ โผล่มาแบบนี้ผมเกือบหัวใจวาย”

“อย่าเวอร์น่า”

“ไม่เวอร์สักหน่อย” แพทริคทำหน้ามุ่ย เขาตักกุ้งตัวโตใส่จานอาหารผม “หัวใจเต้นแรงเป็นบ้าตอนเปิดประตูมาเห็นคุณดักรออยู่แบบนั้น”

“ถ้าบอกก็ไม่ได้เห็นหน้าตลกๆ ของนายน่ะสิ”

“โอเค ใจจริงคุณแค่อยากแกล้งผมสินะ”

“เปล่า ใจจริงแค่อยากเจอนาย” ผมยักไหล่ สบตากับแพทริค “วันนี้ไม่ได้เจอทั้งวัน คิดถึง...ก็แค่นั้น”

“เซ็บ” แพทริคหรี่ตา เขาดูอยู่ไม่สุขอีกต่อไป “ทำไงดี คุณน่ารักมาก ผมอยากฟัดคุณตรงนี้เลย”

“นี่ร้านอาหาร”

“งั้นไปต่อที่ห้องคุณก็ได้ใช่ไหม?” ผมเตะขาแพทริคใต้โต๊ะไปทีนึงจนเขาหน้าเบ้ด้วยความเจ็บ แน่ล่ะ ผมไม่ได้ออมแรงให้เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้เลยสักนิด “ผมเจ็บนะ”

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาน่าสงสาร”

“เซ็บ…”

แมวส้มงอแงอีกแล้ว ถ้าอยู่กันแค่สองคนเขาคงทิ้งตัวมาซุกมาซบผมแน่ๆ และผมคงเผลอใจอ่อนอีกตามเคย...แพ้ทุกครั้งที่โดนเจ้าแมวส้มตัวนี้อ้อนนั่นแหละ

“เปลี่ยนเรื่องคุยได้แล้ว”

“ครับๆ เปลี่ยนก็ได้” แพทริคหัวเราะ ดวงตาสีฟ้ามองตรงมาที่ผม “วันนี้ธุระเป็นยังไงบ้างครับ ผ่านไปด้วยดีไหม”

“ก็...ดีนะ”

ผมเสหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ แอบเหลือบมองแพทริค เขายังยิ้มให้ผมเหมือนเดิม แต่แววตาเขา...ไม่รู้สิ ผมคิดว่าแพทริคกำลังพยายามไล่ต้อนผมอยู่ หรือความจริงแล้วไม่มีอะไร ผมแค่ร้อนตัวไปเท่านั้น

“คุยงานเหรอครับ ดูสิ พอผมพูดถึงคุณหน้าเครียดเชียว งี้แหละ เป็นเรื่องงานทีไรผมนี่ปวดหัวทุกที” เขายังคงหัวเราะเหมือนไม่มีอะไร ส่วนผมที่ปิดบังเขาไว้เริ่มอยู่ไม่สุข

“ก็เครียดนิดหน่อย” ผมยักไหล่ “บางอย่างมันไม่ลงตัวน่ะ”

“เฮ้อเซ็บ…”

“อะไรเจ้าแมวยักษ์”

“มีอะไรบอกผมตรงๆ ได้นะครับ” เขายิ้มให้ ยื่นเท้ามาเขี่ยขาผมเบาๆ คงอยากให้ผมผ่อนคลายลง “บางทีผมอาจคิดมากไป แต่ลางสังหรณ์มันบอกว่าธุระของคุณคือเรื่องนั้นที่คุณคุยกับแมทใช่ไหม”

“...”

“ขมวดคิ้วแบบนี้ใช่แน่ๆ” แพทริคดีดนิ้ว เขาเท้าแขนกับโต๊ะ ยื่นหน้ามาหาผม รอยยิ้มหายไป เหลือใบหน้าที่ดูจริงจังขึ้นกว่าเดิม “มันอันตรายไหมครับ”

“แค่พูดคุยเกี่ยวกับเบาะแสที่พ่อปิดบังฉันไว้” ผมพูดความจริงในที่สุด “ไม่มีอะไรอันตรายเลยแพท”

“ผมเป็นห่วงคุณนะ”

“ฉันรู้”

“คุณไม่ต้องไปสืบต่อเองเลยนะครับ” เขาว่าเสียงดุ “มีอะไรให้ลูกน้องคุณจัดการไป”

“ฉันไม่มีลูกน้องสักหน่อย”

“เซ็บ…”

“โอเคๆ” ผมยกสองมือขึ้นยอมแพ้ “ฉันจะทำแค่สืบข้อมูล ไม่ลงสนามเอง เท่านี้นายสบายใจหรือยัง”

“คุณรับปากผมแล้วนะ”

“อืม”

“ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายคุณหรอก แต่ผมเป็นห่วง เข้าใจไหมครับเซ็บ”

“รู้แล้วน่าเจ้าแมวยักษ์”

คำว่าห่วงประกอบไปด้วยคำหนึ่งพยางค์

สั้น

ง่าย

แต่อัดแน่นไปทั้งหัวใจ


หลังส่งแพทริคเรียบร้อยผมก็ตรงกลับคอนโดฯ ตัวเองและโทรหาแมทธิวเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้จากเจคอป มันกินเวลานานพอดูกว่าที่ผมจะวางสายจากเขา ส่วนเรื่องการสืบต่อนั้นแมทธิวบอกจะรับช่วงต่อเอง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร การกระทำของแมทธิวมักอยู่นอกเหนือการคาดเดาเสมอ บางทีเขาก็ทำไปเพราะเห็นว่าสนุก ไม่ก็ตื่นเต้นท้าทายดี

ผมกำลังจะอาบน้ำ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นซะก่อน

‘ลุงเบอนาร์ด’

นานแล้วที่เขาไม่ได้โทรหาผมสายตรงแบบนี้

“สวัสดีครับ”

“ไงหลายชาย” เสียงลุงทักมาจากปลายสาย “ได้ข่าวว่าวันนี้เข้าไปเยี่ยมเบลมาใช่ไหม”

“ครับ ทำธุระแถวนั้นเลยแวะไปเยี่ยมแม่” ผมตอบรับ “ลุงมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อืม…” เขาลากเสียง ดูจริงจังขึ้นจนผมสัมผัสได้ “เบลบอกลุงว่าเธอสืบเรื่องคนที่ลอบทำร้ายหมอนั่น”

หมอนั่น...เป็นคำที่ลุงมักใช้เรียกพ่อผม เขาไม่ถูกกันเท่าไหร่ สาเหตุหลักไม่ได้ซับซ้อน ลุงแค่เป็นพี่ชายที่รักน้องสาวยิ่งกว่าอะไร และพ่อผมทำให้น้องสาวของลุง หรืออีกนัยหนึ่งคือแม่ผมเสียใจ…

“ลุงจะห้ามผม?”

“เซ็บ...เชื่อลุงเถอะ อย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลย”

“แม่น่าจะบอกลุงด้วยใช่ไหม ว่าแม่พยายามห้ามแล้วแต่ผมไม่ฟัง”

“ลุงคิดว่าเธออาจจะเห็นแก่ลุงบ้าง” คนปลายสายถอนใจเฮือกใหญ่ “วงการนี้มันอันตรายกว่าที่เธอคิด ถ้าพวกมันรู้ว่าเธอพยายามจะสืบหา มันอาจวกมาเล่นงานเธอได้ ลุงเป็นห่วง”

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะครับ”

“เฮ้อ เจ้าหลานชายจอมดื้อ!”

“ส่วนอันนี้เป็นคำชมหรือเปล่าครับ”

“ลุงจริงจังนะเซ็บ” น้ำเสียงเขาทำให้ผมเลิกพูดเล่น “ลุงรู้ว่าเธอดื้อแค่ไหน แต่ครั้งนี้ฟังลุงบ้างได้ไหม”

“ขอบคุณนะครับลุงเบอนาร์ด”

ผมเลือกตอบรับสั้นๆ ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น แต่แค่นี้ลุงเบอนาร์ดคงรู้ดีว่าคำตอบผมคืออะไร เขาเงียบไปสักพัก เสียงถอนใจดังมาเป็นระยะ

“รักษาตัวเองดีๆ”

“ครับ”

บทสนทนาสิ้นสุดตรงนั้น ผมลดโทรศัพท์ลง จ้องหน้าจอดำมืดที่ดับไปหลังไม่ได้ใช้งาน มันสะท้อนใบหน้าผม แววตาดื้อดึงที่มองกลับมาคล้ายคลึงกับแววตาของพ่อไม่มีผิด

ผมตัดเขาไม่ขาดไม่ว่าจะทางไหน

โลกของพ่อที่พยายามวิ่งหนี สุดท้ายผมก็วิ่งกลับไปอยู่ดี


_________________________________________________

สวัสดีค่ะ ฝากเพื่อนให้เอานิยายลงเล้าให้ตั้งหลายบทแต่ไม่ได้ลงทอล์กเลย วันนี้เลยมาพูดคุยท้ายเรื่องสักหน่อย ขอบคุณที่กดมาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ เราอ่านทุกคอมเมนต์เลย ดีใจที่ชอบค่ะ จะพยายามมาอัปบ่อยๆ นะ หวีด สกรีม หรือทวงนิยายได้ที่ #คุณผู้มากับสายฝน ได้เลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เห็นเค้าลางอันตรายมารำไร หวังว่าคงจะไม่มีอะไรมากนะ

คุณเซ็บเขาเข้าใจคำว่าห่วงเลยพลอยหัวใจพองฟูไปด้วย
ขอเถอะค่ะ อย่าน่ารักมากไปกว่านี้ได้ไหม
นี่คนอ่านก็หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว ไม่รู้จะโดนกล้ามแขนล่ำๆของแมวส้มเข้าวันไหน

ปล. แอบสงสัยมานานว่าทำไมเรื่องนี้ไม่มีคนเขียนทอล์กเลย วันนี้กระจ่างแล้วค่ะ
อยากบอกว่าเราชอบการเขียนของคุณมากยิ่งคำผิดนี่แทบไม่มี อ่านได้ไหลลื่นสุดๆ
ติดหนึบหนับ ต้องเข้ามาดูแทบทุกวันว่าอัพหรือยัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2018 13:12:41 โดย u_cosmos »

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
จะมีบทบู้ไหมนะ  //ได้แต่สงสัย 

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เป็นห่วงเสือดำ  :mew2:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราไม่อยากเดาโพ เดี๋ยวจะแหก ขอเก็บข้อมูลเรื่อยๆก่อน  :hao7:

ออฟไลน์ Stmmltww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากกก ชอบมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย เดาว่าเซ็บจะได้กินแพท~ อยากเห็นแมวน้อยโดนกิน :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ แมว

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากค่ะ พล็อตดี  :mew1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด