"รถไฟสายความทรงจำ" -
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "รถไฟสายความทรงจำ" -  (อ่าน 62477 ครั้ง)

napho

  • บุคคลทั่วไป
 
o9 o9 o9 o9 o9
จบตอนอีกแล้วเหรอ
 :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:
รีบมาต่อเลยนะครับ
 :m18: :m18: :m18: :m18: :m18: :m18:
รออยู่นะคร้าบ
 :m9: :m9: :m9: :m9: :m9:
จิงโจ้ที่รัก
 :m3: :m3: :m3: :m3:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เลือกผิด แล้วจะเลือกใหม่ได้ป่ะเนี่ย  :a11: :a11:  :a11:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 8 ผิดทาง

                 หลังจากนักเรียนทราบผลสอบกลางภาค อาจารย์หมวดวิชาคณิตศาสตร์มักเรียกต่อศักดิ์ไปช่วยงานเสมอ เช่นการสอบแข่งขันคณิตศาสตร์สายศิลป์กับโรงเรียนอื่น เนื่องจากเขามีคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์สายศิลป์เป็นอันดับที่หนึ่งของรุ่น

                “วันพรุ่งนี้คิงต้องไปสอบแข่งขันที่เชียงใหม่เหรอ” จักรกฤษโทรศัพท์มาถาม

                “ใช่แล้วละ”

                “แล้วสอบพูดเก็บคะแนนวิชาภาษาญี่ปุ่นพรุ่งนี้ละ”

                “ขอโทษที นายสอบคู่กับคนอื่นไปก่อนแล้วกัน”

                “ตามใจ” จักรกฤษด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้ววางสายไปทันที แต่นั้นคงดึกเกินไปที่ต่อศักดิ์จะโทรศัพท์กลับไปขอโทษ เนื่องจากเขาต้องเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ


 
                วันรุ่งขึ้นต่อศักดิ์นั่งรถตู้ของโรงเรียนไปแข่งตอบคำถามที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แถวหน้าของรถตู้เป็นอาจารย์หมวดคณิตศาสตร์ ต่อศักดิ์เลือกนั่งแถวหลังสุดเพราะเป็นส่วนตัวกว่าที่อื่น

                “นายห้องสิบเอ็ดใช่ไหม” นักเรียนหญิงที่นั่งด้านข้างหันหน้ามาถามเขา

                “ครับ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปตอบ

                “เราชื่อหญิง อยู่ห้องสิบสอง ได้คะแนนสอบรองจากนาย” เธอแนะนำตัว

                “อืม เราต่อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

                “เราไม่ค่อยเก่งนะ” เธอพูดอย่างถ่อมตัว

                การแข่งขันวันนี้แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ต่อศักดิ์เคยไป ปรกติแล้วเขาต้องแข่งตอบคำถามหรือสอบเพียงลำพังคนเดียว แต่คราวนี้เขามีเพื่อนมาช่วยออกความคิดเห็น ซึ่งต่อศักดิ์คิดว่าเป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องอยู่อย่างเพียงลำพัง ถ้าหากแพ้อย่างน้อยอาจารย์จะได้ไม่มองมาที่เขาคนเดียว ต่อศักดิ์คิด

                เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียนดังกล่าว อาจารย์พานักเรียนทุกคนไปลงทะเบียน

                เวลาเก้าโมงตรง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่สี่ของแต่ละโรงเรียนเข้าไปสอบตอบคำถามรอบแรก หมวดวิชาคณิตสาตร์สายศิลป์แข่งขันกันที่ห้องประชุมขนาดเล็ก ซึ่งเขาสองคนสลับกันตอบคำถามจนผ่านเข้ารอบต่อไป

                “เธอเก่งนี้น่า” ต่อศักดิ์ออกปากชมขณะทานอาหารกลางวันด้วยกัน

                “ไม่หรอก” หญิงยังคงถ่อมตัว

                “ไม่อะไรละ บางข้อตอบเร็วกว่าเราอีก” ต่อศักดิ์ยิ้ม ในปากเต็มไปด้วยเนื้อหมูกรอบ

                “สงสัยวันนี้คงโชคดีเท่านั้นแหละ” เธอหลุบตาอย่างเขินอาย

 

                หลังจากวันนั้นต่อศักดิ์มักขึ้นไปนั่งติวคณิตศาสตร์บนหอสมุดกับหญิงเสมอเวลาพักเที่ยง เนื่องจากยังมีอีกหลายครั้งที่เขาสองคนต้องไปแข่งตอบคำถามทางคณิตศาสตร์ด้วยกัน บ่อยครั้งเวลาที่ต่อศักดิ์แก้โจทย์ปัญหาไม่ได้เขาจะฮัมเพลงอยู่ในคอ เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งหญิงจะออกอาการเขินอายทันทีที่ต่อศักดิ์ฮัมเพลง บางครั้งจักรกฤษเข้ามานั่งด้วยแต่เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ จักรกฤษจะเดินออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าว
 

                “มึงมีคู่ยัง” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามจักรกฤษเมื่อยูโกะสั่งให้นักเรียนจับคู่ออกมาสอบพูดภาษาญี่ปุ่นหน้าชั้นเรียน

                “มีแล้ว” จักรกฤษเบ้ปาก

                “งั้นเดี๋ยวกูไปหาคู่ก่อน” ต่อศักดิ์ลุกเดินไปหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนักเรียนทั้งห้องรู้จักกันหมดแล้ว

                “วันนี้ไปไหนดีวะ” ต่อศักดิ์เดินกลับมาถามจักรกฤษ หลังจากได้ยินเสียงกริ่งเลิกเรียน

                อาทิตย์ก่อนมีการสอบคัดเลือกนักศึกษาวิชาทหารแต่เขาสองคนไม่ได้เข้าสอบด้วย เนื่องจากเขาสองคนอยากมีเวลาว่างในบ่ายวันศุกร์มากกว่าไปเรียนนักศึกษาวิชาทหาร ซึ่งวันนี้เป็นวันศุกร์แรกที่มีการเรียนนักศึกษาวิชาทหาร เพื่อนร่วมห้องหลายคนสวมชุดนักศึกษาวิชาทหารด้วยความรู้สึกเท่ห์อย่างบอกไม่ถูก

                “ไม่ไปติวคณิตศาสตร์แล้วเหรอ” จักรกฤษพูดพร้อมกับยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง

                “วันนี้หญิงกลับบ้านเร็วนะ” ต่อศักดิ์ตอบ

                “อืม โทษที ไม่ว่างวะ” จักรกฤษเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ทิ้งให้ต่อศักดิ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ยูโกะหันมาส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้องเรียนไป

                เขาแปลกใจที่รู้สึกใจหายวูบ เหมือนกำลังถูกทิ้งอย่างไงอย่างงั้น         

 

                “มึงเป็นอะไรไปวะ ช่วงนี้” ตกดึกของวันนั้นต่อศักดิ์โทรศัพท์ไปถามจักรกฤษ

                “เปล่านี้น่า” อีกฝ่ายตอบแบบขอไปที

                “ไม่จริงหรอก ต้องมีอะไรแน่นอน” ต่อศักดิ์ม้วนสายโทรศัพท์เล่น

                “ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรดิวะ”

                “แน่เหรอ” เขาถามซ้ำ

                “อืม”

                “กูไปทำอะไรให้มึงไม่สบายใจหรือเปล่าวะ บอกกูได้นะโว้ย”

                “ไม่หรอก นายคิดมากไปเอง” จักรกฤษตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ต่อศักดิ์รู้สึกถึงความแปลกหู

                “มึงใช้คำว่า นาย แทนตัวเราแล้วเหรอ”

                “ทำไมละ ไม่ได้เหรอ”

                “มึงแปลกไปจริงๆด้วย” ต่อศักดิ์ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                ...เกิดความเงียบ...

                “ไม่รู้วะ เดี๋ยวนี้คิงทำตัวห่างเหินไปยังไงไม่รู้วะ” จักรกฤษกลับมาใช้คำที่คุ้นหูอีกครั้ง

                “มึงพูดเหมือนกับว่าเป็นแฟนกูอย่างนั้นแหละ” ต่อศักดิ์พูดพลางหัวเราะ

                “พูดเองยังสับสนเองเลย”

                “ถ้ามึงไม่ได้เป็นอะไร กูก็สบายใจวะ” ต่อศักดิ์ยังคงม้วนสายโทรศัพท์เล่น

                “อืม”

                “งั้นคืนนี้ฝันดีนะมึง” ต่อศักดิ์พูดแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะวางสายโทรศัพท์

                “O Ya Su Mi Na Sai (ราตรีสวัสดิ์)” จักรกฤษพูด

                “O Ya Su Mi Na Sai (ราตรีสวัสดิ์)” ต่อศักดิ์วางสายโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้าห้องนอน

 

            แม้ว่าจักรกฤษบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ท่าทางของเขากลับไม่เป็นอย่างนั้น บ่อยครั้งจักรกฤษทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของต่อศักดิ์ เวลาที่ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามวิชาภาษาญี่ปุ่น

                “ถ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกกูตรงๆได้นะโว้ย” ต่อศักดิ์พูดเป็นครั้งที่หกในระยะเวลาเพียงสองวัน

                วันอังคารคาบเรียนตอนบ่ายเป็นคาบว่าง เขาสองคนนั่งทำการบ้านวิชาภาษาญี่ปุ่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนหลังหอสมุด แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกัน

                “นั่งอยู่ตรงนี้เอง” เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลังของต่อศักดิ์ เมื่อเขาหันหลังไปมองก็พบหญิง วันนั้นเธอสวมชุดพละ ซึ่งตอนนั้นโรงเรียนได้เปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ โดยเปลี่ยนเสื้อโปโลให้เป็นสีตามคณะสีของนักเรียน เสื้อโปโลของเธอจึงเป็นสีชมพูอ่อน

                “ครับ” ต่อศักดิ์ยิ้ม

                “เราเรียนวิชาน้ำผลไม้เป็นวิชาเลือกนะ” เธอยื่นถุงพลาสติกมาข้างหน้า ข้างในเป็นน้ำสีส้มสด ด้านบนมัดปากถุงด้วยหนังยาง

                “น้ำอะไรนะ” ต่อศักดิ์พูดพลางมองอย่างสังเกตุ

                “น้ำพั้ชนะ เอาน้ำส้มผสมกับน้ำแครอทแล้วเติมโซดาอีกที” เธออธิบายอย่างตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่

                “น่าดื่มจัง”

                “เราทำมาให้ จะอร่อยยิ่งขึ้นถ้าเติมน้ำแข็งนะ” เธอยื่นถุงน้ำผลไม้มาข้างหน้าอีกนิด ต่อศักดิ์คว้ามาถือไว้ในมือ

                “ขอบใจ” ต่อศักดิ์โค้งตัวให้เธอเล็กน้อย เธอส่งยิ้มอีกครั้งแล้วเดินออกไปทางห้องคหกรรม

                ต่อศักดิ์รู้ตัวมาระยะหนึ่งแล้วว่าหญิงแอบชอบเขา หลังจากที่เขาหมดวัยแตกเนื้อหนุ่ม สิวบนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยจนทำให้ผิวหน้าเนียน ตาชั้นเดียวทำให้หน้าของเขาตี๋จนคล้ายลูกครึ่ง ผิวพรรณขาวแลดูสะอาด จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจที่จะมีผู้หญิงเข้ามาติดพัน

                “คิดว่าตัวเองอยู่ในหนังโรแมนติกหรือไง” จักรกฤษพูดขัดจังหวะ

                “ไม่ใช่แล้วละ” ต่อศักดิ์วางถุงน้ำผลไม้ลงบนโต๊ะม้าหินอ่อน

                “ดื่มเสียสิ” จักรกฤษพูดน้ำเสียงประชดจนฟังได้อย่างชัดเจน

                “เอาไว้ก่อน” ต่อศักดิ์พูดตัดบท

          สักพักเสียงกริ่งเข้าคาบเรียนดังไปทั่ว เขาสองคนเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วเดินไปที่ห้องเรียนภาษาญี่ปุ่น โดยไม่ต้องเปิดดูตารางเรียนเลย เพราะแต่ละสัปดาห์เขามีเรียนภาษาญี่ปุ่นถึงแปดคาบเรียน

 

            “เข้าใจไหมคะ” ยูโกะหันหน้ามาถามนักเรียนในห้อง พูดสำเนียงไม่ชัด นักเรียนในห้องต่างพากันพยักหน้าให้กำลังใจ

                “ถ้าอย่างนั้นจับคู่แล้วออกมาสอบพูดนะคะ” ยูโกะยิ้มด้วยความน่ารัก ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะอาจารย์

                “คราวนี้สอบพูดด้วยกันนะ” ต่อศักดิ์ชวนจักรกฤษ

                “อืม” จักรกฤษพยักหน้า พลางยกมือขึ้นจับขาแว่น

                “กรี๊ด หนังสือโป๊เกย์” เสียงดังมาจากกลุ่มกระเทยในห้องเรียน เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงหัวเราะด้วยความตลก

                “ไหน ไหน เอามาดูบ้างสิ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองทางต้นเสียงจึงรู้ว่าเป็นองอาจนั้นเอง

                องอาจเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดในห้องเรียน รูปร่างสูงเพราะเป็นนักกีฬาเยาวชนประจำจังหวัดลำพูน มีนิสัยขี้เล่นไม่ค่อยจริงจังกับอะไร และเพราะเหตุผลข้างต้นจึงเป็นที่ถูกใจของนักเรียนหญิงและเหล่าสาวประเภทสอง

                “ทำไม องอาจอยากอ่านเหรอจ๊ะ” กระเทยรูปร่างใหญ่ทำเสียงแหบพร่า

                “อยากเห็นเฉยๆ” องอาจพูดเสียงดัง หน้าตายิ้มแย้มแบบทีเล่นทีจริง กระเทยคนดังกล่าวจึงขว้างหนังสือขนาดเล็กไปให้องอาจ แต่ดันพลาดไปตกตรงหน้าของต่อศักดิ์แทน หน้าปกหนังสือเขียนด้วยอักษรสีขาวตัวใหญ่ว่าห้องแปดเหลี่ยม ผู้ชายชาวต่างชาติเปลือยกายล่อนจ้อนจนเห็นนกเขาเป็นนายแบบปกหนังสือ ต่อศักดิ์รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นขว้างไปให้องอาจ องอาจรับแล้วพูดว่า "ขอบใจนะ"

                “โห ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอวะ” องอาจอุทานเมื่อมองไปที่หน้าปกหนังสือ เพื่อนร่วมห้องหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

                ครั้งหนึ่งต่อศักดิ์เคยเข้าร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือดนตรี บังเอิญมองไปเห็นหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นผู้ชายสามคนสวมกางเกงว่ายน้ำ เขาหยุดยืนมองด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนั้นเขาสับสนว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็นหรือว่าชอบกันแน่

                หลังจากวันนั้นเขาคิดวนเวียนคนเดียวอยู่หลายครั้งตัวเองเป็นพวกอย่างว่าหรือเปล่า จนกระทั่งได้มารู้จักกับหญิงเขายิ่งรู้สึกสับสนหนักกว่าเดิม เขาพยายามสั่งให้ตัวเองชอบหญิง แต่ไม่ว่าเขาจะลองด้วยวิธีไหน เขาก็ไม่เคยทำได้เลย ทุกครั้งที่เจอหน้าหญิง เขาคิดเสมอว่าเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าหญิงยังไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบ
         
               แล้วผู้หญิงแบบไหนละที่เขาชอบ เขานึกทบทวนในหัวสมองแต่ทุกอย่างว่างเปล่า หรือว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงกันแน่นะ เขามองไปตรงหน้า จักรกฤษกำลังนั่งเปิดหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นเล่นใหญ่เพื่อหาคำศัพท์ยาก

                “มองไรวะ” จักรกฤษเงยหน้าขึ้นมาถาม

                “เปล่าๆ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

                “เอาตรงนี้แล้วกันนะ” จักรกฤษยื่นหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นไปให้ต่อศักดิ์ดู

                “ตามใจนายก็แล้วกัน” ต่อศักดิ์ยิ้มตอบแล้วเปิดหนังสือภาษาญี่ปุ่นของตัวเอง


ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

สับสนมากมายก่ายกอง

ตกลงเป็นหรือไม่เป็นเนี่ย

 o15

niph

  • บุคคลทั่วไป
 :o11:
เมื่อมีคำถาม ... ก็ต้องมีคำตอบ
กว่าจะพบคำตอบ ... ก็อาจต้องค้นหา
 :m7:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............ราวังจะรู้ตัวเมื่อตอนสายไป.............. :undecided: :undecided:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เหมือนจะผิดใจกันหรือสับสนอะไรอยู่เลย

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 10 : บุพเพสันนิวาส

แสงพระอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงผ่านเข้ามาในรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนืออย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย

                “จักรกฤษตื่นแล้วเหรอ” ต่อศักดิ์นั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าต่าง เอยปากทักขึ้นเมื่อเห็นจักรกฤษลืมตา

                “เรียกชื่อเล่นก็ได้นะ มีชื่อเล่นเหมือนกัน” จักรกฤษลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย

                ความจริงจักรกฤษมีชื่อเล่นว่าต้น แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเล่นของเขาเลยแม้แต่คนเดียว

                “ไม่เอาละ เรียกชื่อนี้จนติดปากไปแล้ว” ต่อศักดิ์ยิ้ม

 

                “เรียกต้นก็ได้ เอาเสียเต็มยศเลย” จักรกฤษเดินเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว เมื่อถูกต่อศักดิ์เรียก จักรกฤษสวมเสื้อยืดสีขาวตรงหน้าอกมีลายการ์ตูน สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มเข้ากับสีของรองเท้าแตะ

                “มาลอยกระทงเหรอ” ต่อศักดิ์ถามน้ำเสียงสดใส

                “มากินข้าวท่ามกลางดวงจันทร์เต็มดวงมั้ง” จักรกฤษตอบพลางขยับแว่นตา

                “ป่ะ ไปกินกัน” ต่อศักดิ์แหย่

                “ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ

                เขาสองคนเดินมานั่งที่สนามหญ้าใกล้กับศูนย์ท่องเที่ยวของจังหวัดลำพูนเพื่อรอชมขบวนที่กำลังเดินมาตามท้องถนน ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างพากันหยุดเดินอยู่กับที่เมื่อขบวนเดินผ่านมาใกล้ แต่ละขบวนมีแสงไฟสวยงาม บนขบวนมีชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ถัดจากชายหนุ่มเป็นหญิงสาวแต่งตัวเป็นนางนพมาศถือกระทงอยู่ในมือ

                “หิวข้าวหรือเปล่าวะ” ต่อศักดิ์หันหน้าถาม

                “ยังไม่หิว”

                “แล้วมึงอยู่ถึงกี่โมง”

                “วันนี้ฮ่าขับรถมอเตอร์ไซย์มาเอง จะอยู่ถึงกี่โมงก็ได้” จักรกฤษตอบ

            “เดี๋ยวรอตรงนี้ก่อนนะ ไปซื้อลูกชิ้นก่อน หิววะ” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นยืนตัวตรง ก่อนเดินออกไปจากตรงนั้นเขาบอกกับจักรกฤษว่า “จองที่ไว้ให้ด้วยนะ อย่าให้ใครมาแย่งละ”

                ขณะที่ขบวนของโรงเรียนชายล้วนที่เขาสองคนเรียนอยู่เดินผ่านมา ต่อศักดิ์เดินกลับมาพร้อมกับกระทงสองใบในมือ

                “ไปเอามาจากไหน” จักรกฤษถามด้วยความตกใจ

                “ซื้อมาจากตรงโน้น ถ้าไม่ซื้อเอาไว้ก่อน มีหวังไม่มีกระทงลอยกันพอดี”

                “เท่าไหร่วะ” จักรกฤษถามพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

                “ไม่ต้อง ไม่ต้อง กูออกให้” ต่อศักดิ์นั่งลงตรงที่เดิม วางกระทงไว้ด้านข้างลำตัว

                “เกรงใจวะ”

                “เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว ยังจะเกรงใจอีกเหรอวะ” ต่อศักดิ์หัวเราะ ยกมือขึ้นลูบปลายคางด้วยความเคยชิน

            ขบวนเดินมาเป็นเวลานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว เด็กตัวเล็กๆบางคนนอนหลับบนตักแม่เพราะเลยเวลาเข้านอน เมื่อเห็นอย่างนั้นต่อศักดิ์รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาทันทีทันใด เขาอ้าปากหาวพลางบิดขี้เกียจ

                “ง่วงนอนแล้วเหรอ” จักรกฤษหันหน้ามาถาม

                “อืม เกือบเที่ยงคืนแล้วนี้น่า” ต่อศักดิ์หันหน้าไปตอบ

                “นอนตักเราหรือเปล่าละ”

                “นอนได้เหรอ” ตั้งแต่ต่อศักดิ์รู้สึกสับสนว่าตัวเองชอบเพศชายด้วยกันหรือเปล่า เขาก็ไม่แตะเนื้อต้องตัวจักรกฤษอีกเลย

                “ได้สิ” จักรกฤษทำหน้าประหลาดใจ

                “งั้นขอรบกวนหน่อยก็แล้วกันนะ” ต่อศักดิ์ล้มตัวลงบนสนามหญ้า เอาศีรษะหนุนตักของจักรกฤษ

                “สบายดีจัง ปั่นหูให้หน่อยสิ” ต่อศักดิ์พูด

                “ไอ้นี้ ได้คืบจะเอาศอก” จักรกฤษใส่อารมณ์ในน้ำเสียง ยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ

                “ไม่ต้องก็ได้” ต่อศักดิ์ทำเสียงประชด

                “เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส...” ต่อศักดิ์เปลี่ยนมาร้องเพลงในลำคอแทน

                “หา อะไรนะ” จักรกฤษก้มหน้าถาม

                “เปล่า กูร้องเพลง” ต่อศักดิ์หัวเราะ

                “อ้าวเหรอ ร้องไปสิ คิงร้องเพลงเพราะ”

                “อายวะ” ต่อศักดิ์ยิ้ม หน้าแดงเล็กน้อย

                “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องร้องก็ได้” จักรกฤษประชดบ้าง

                “ร้องครับร้อง” ต่อศักดิ์หัวเราะเบาๆ

 

เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส ที่ประสาทความรักภิรมย์

คู่ใครคู่เขา รักยังคอยเฝ้าชม คอยภิรมย์เรื่อยมา
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่างกันแค่ไหน เขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา

ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันนา พรหมลิขิตพาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา

ความรักศักดิ์ศรีรักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันมาพรหมลิขิตพาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา

 

                “เป็นเพลงที่นายร้องวันลอยกระทงใช่ไหม” จักรกฤษถามเมื่อได้ยินต่อศักดิ์ร้องเพลงในลำคอ

                “ยังจำได้อีกเหรอ” ต่อศักดิ์ตกใจ

                “อืม ชื่อเพลงอะไรนะ” จักรกฤษครุ่นคิด

                “บุพเพสันนิวาส”

                “ใช่ๆ เพลงเพราะมากทีเดียว” จักรกฤษพูดพลางฮัมเพลงเบาๆ

                “เป็นเพลงที่ความหมายดีมาก แต่เก่าไปหน่อย คนรุ่นใหม่คงไม่มีใครชอบฟังกันหรอก” ต่อศักดิ์มองออกไปนอกหน้าต่าง

 
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่างกันแค่ไหน เขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา

ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันนา พรหมลิขิตพาชื่นใจ


                เพลงบุพเพสันนิวาสถูกเล่นซ้ำในหัวสมองของต่อศักดิ์อีกครั้งหนึ่ง


ออฟไลน์ GOONGII

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกดีครับ แล้วมาต่ออีกนะครับ o15

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
หนุนตักกันขนาดนี้ .................... นึกถึงสมัยก่อนจิงๆ o7

หนุนกันไป หนุนกันมา .......................เลย อิอิ :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เพลงเก่าได้โล่ห์มากเลยคับ เหมือนเป้นเพลงประกอบละครสมัยเด็กๆเลย ชอบเพลงนี้มากขอบอก อิอิ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เหอ เพลงเก๊าเก่า  :m20:  :m20:  :m20:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

มารออ่านตอนต่อไปนะครับ

 o15

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
ขอเจิมก่อนนะแซมกะโจ้ ... ยังบ่ได้อ่าน เดี๋ยวมาอ่านต่อ

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 11 งานกิจกรรม

                หน้าอกด้านขวาของชุดนักเรียนที่ต่อศักดิ์สวมไปโรงเรียนวันแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า มีการปักขีดสีแดงเพิ่มอีกหนึ่งขีด

                 หลังจากเปิดภาคเรียนได้สองสัปดาห์ทุกคณะสีมีการเลือกตั้ง เพื่อหานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้ามาเป็นประธานคณะของแต่ละสี ซึ่งโรงเรียนของต่อศักดิ์มีด้วยกันทั้งหมดห้าสี เพื่อนร่วมห้องของต่อศักดิ์ได้ส่งกระเทยที่มีความสามารถที่สุดในห้องเข้าเป็นหนึ่งในผู้สมัครประธานคณะของสีแดง แต่สุดท้ายต้องแพ้ให้กับห้องเรียนอีกห้องหนึ่ง

                 หญิง นักเรียนห้องสิบสองเลิกตามจีบต่อศักดิ์มาได้สักพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่เห็นว่าต่อศักดิ์ไม่ยอมเล่นด้วยสักที จากที่ต่อศักดิ์ได้ยินมา ตอนนี้เธอคบกับรุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก หลายครั้งที่เขามองเห็นเธอนั่งกินข้าวอยู่กับรุ่นพี่คนนั้นในโรงอาหาร แต่ต่อศักดิ์ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เนื่องจากมีงานกิจกรรมของโรงเรียนต้องทำอีกมากมาย

                ต่อศักดิ์ยังคงต้องไปสอบแข่งขันตอบปัญหาทางคณิตศาสตร์กับโรงเรียนอื่นอยู่เสมอ แถมยังต้องเตรียมงานกีฬาสีที่กำลังจะมีขึ้นหลังจากสอบกลางภาค สนามหน้าโรงเรียนมีการซ้อมเชียร์ของแต่ละคณะสีจนอาจารย์ที่เดินผ่านรู้สึกคึกคักตามไปด้วย

                “ห้องสิบเอ็ดทำขบวนวันกีฬาสีแล้วกันนะ” ประธานคณะสีแดงพูดขึ้นในที่ประชุม

                เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนที่แต่ละคณะสี จำเป็นต้องไปหาวัดเพื่อขอเข้าไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในงานวันกีฬาสี ซึ่งสีแดงได้วัดริมแม่น้ำกวงวัดหนึ่ง แม้ภายในวัดมีขนาดไม่กว้างมากแต่ก็ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

                ทุกเย็นหลังเลิกเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าของสีแดงจะมารวมตัวกันอยู่ในวัดแห่งนี้ เพื่อทำอุปกรณ์จนดึกดื่น บางวันน้องชายของต่อศักดิ์ต้องโทรศัพท์มาตามกลับบ้าน เนื่องจากพี่ชายกลับบ้านดึกเป็นประจำทุกวันจนน่าเป็นห่วง

                ยิ่งใกล้วันกีฬาสี นักเรียนต่างพากันโดดเรียนยกห้องเพื่อมานั่งทำงานอยู่ในวัดอย่างสนุกสนาน

                “ไอ้นี้ทำยังไง” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามจักรกฤษ

                “ไอ้นี้ทำยังไงวะ” จักรกฤษหันหน้าไปถามเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งที่นั่งติดกัน

                “เอาแปลงนี้จุ่มสีแล้วระบายไปตามตัวพญานาค” เพื่อนอธิบาย

                “ต้องทาสีเดียวกันทั้งสองตัวเลยเหรอ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม

                “อืม ต้องทาสีเดียวกันทั้งสองตัวเลยเหรอ”จักรกฤษหันไปถามซ้ำ

                “เหมือนกันทั้งสองตัวแหละ” เพื่อนหันมาตอบแล้วระบายสีต่อ

                “ตรงนี้สีอะไร” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม

                “ตรงนี้...” จักรกฤษพูดค้างไว้แต่กลับโดนสวนกลับมา

                “กูฟังรู้เรื่องแล้ว ไม่ต้องการล่ามมาแปลภาษาไทยเป็นไทยอีกทีหนึ่งโว้ย” เพื่อนขมวดคิ้ว ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                “ตรงนั้นสีฟ้า” เพื่อนอีกคนเดินมาแล้วบอก ต่อศักดิ์หันหน้าไปยิ้มกับจักรกฤษอย่างนึกสนุก

 

                “นายทาสีฟ้าเลยเข้าไปในเขตของสีแดง” ต่อศักดิ์พูดแล้วหัวเราะด้วยความตลก

                “เราไม่เก่งศิลปะมาตั้งแต่ไหนแรกแล้วนี้น่า” จักรกฤษแก้ตัว

                “เพื่อนโวยวายกันเต็มเลยว่านายผิด” ต่อศักดิ์แหย่ไม่เลิก

                “แต่ยังดีที่แก้ได้วะ”

                “ใกล้ถึงลำปางแล้ว” ต่อศักดิ์หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

                “อืมใช่”

 

                เมื่อผ่านงานวันกีฬาสี นักเรียนทั้งโรงเรียนต้องเตรียมงานชิ้นใหญ่อีกครั้ง นั้นคือวันงานวิชาการ ปรกติทุกปีต่อศักดิ์ไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่นัก เนื่องจากส่วนใหญ่งานในวันนั้นรุ่นพี่จะเป็นคนทำเสียมากกว่า ซึ่งปีนี้เขากลายเป็นรุ่นพี่แล้วจึงต้องช่วยเพื่อนในห้องคิดว่าจะทำอะไรในวันงานวิชาการ

                “ขายลูกชิ้นปิ้ง” เพื่อนคนหนึ่งยกมือเสนอ

                “เขาก็ขายกันทั่วทั้งโรงเรียน หาอะไรที่แปลกใหม่บ้างสิ” หัวหน้าห้องยืนอยู่หน้าชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นพูด ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เพื่อนร่วมห้องนั่งกับพื้นห้อง บางคนอยากมีส่วนร่วม บางคนหันหน้าไปพูดคุยกันเองเพราะไม่ค่อยสนใจงานกิจกรรม

                “เปิดร้านเกม” เพื่อนอีกคนยกมือเสนอ เพื่อนทั้งห้องหัวเราะ

                “เอายังงี้ไหมคะ” ยูโกะนั่งอยู่ที่โต๊ะอาจารย์พูดขึ้นขัดจังหวะ สำเนียงไม่ชัดเหมือนเดิม

                “ครับ เซ็นเซย์” หัวหน้าห้องพูด

                “ทำอาหารญี่ปุ่นกันไหมละคะ” ยูโกะพูดพลางยิ้มอย่างสดใส

                เพื่อนร่วมห้องไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากการขายอาหารญี่ปุ่นในโรงเรียน ถือว่ายังคงแปลกใหม่สำหรับสมัยนั้น

                เมื่อวันงานวิชาการมาถึง หน้าตึกเรียนภาษาต่างประเทศมีการวางโต๊ะเพื่อขายของเป็นแนวยาว เพื่อนร่วมห้องของเขาที่มีหน้าที่ขายของสวมใส่ชุดยูคะตะให้เข้ากับตัวสินค้า ส่วนพวกที่ทำอาหารญี่ปุ่นสวมเสื้อโปโลสีแดงกับกางเกงนักเรียนสีดำวิ่งวุ่นวายกับการเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร โดยตรงส่วนนี้ยูโกะเป็นผู้เข้ามาช่วยทำ ส่วนพวกที่ไม่มีหน้าที่ต่างพากันมานั่งล้อมวงร้องเพลงเสียงดังด้วยความสนุกสนาน องอาจนั่งดีดกีต้าร์อยู่ตรงกลางวง

                “วาซาบิ” ต่อศักดิ์อ่านตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นข้างกล่อง เมื่อเปิดกล่องดู ข้างในเป็นเหมือนหลอดยาสีฟันทั่วไป

                “เคยกินเปล่า” จักรกฤษถาม แย่งหลอดวาซาบิไปถือ

                “ไม่เคยละ” ต่อศักดิ์มองจักรกฤษเปิดฝาแล้วบีบวาซาบิลงบนนิ้วมือ วาซาบิเป็นก้อนสีเขียวเข้ม

                “ลองกินดูดิ” จักรกฤษปาดนิ้วเข้าที่ปากของต่อศักดิ์ทันทีที่ต่อศักดิ์เผลอ จักรกฤษวิ่งหนีขึ้นไปบนอาคารเรียนพร้อมกับหัวเราะไปด้วย

 

                “อร่อยหรือเปล่าละ” จักรกฤษถาม ต่อศักดิ์เงยหน้าจากข้าวกล่องที่เพิ่งซื้อมาจากพนักงานหญิงบนรถไฟ

                “อร่อยดี” ต่อศักดิ์ตอบ

                “ไม่ได้หมายความถึงข้าวกล่อง หมายถึง วา-ซา-บิ นะ” จักรกฤษถาม เน้นคำว่าวาซาบิ

                “อร่อยหาพระแสงอะไรละ” ต่อศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงประชด

 

            ปลายเดือนธันวาคม อากาศหนาวเย็นกว่าทุกปีที่ผ่านมา

                เช้ามืดของวันอาทิตย์ นักเรียนทุกคนยืนเข้าแถวอยู่กลางสนามหน้าโรงเรียน แม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ขึ้นมาส่องแสง แต่ต่อศักดิ์รู้ดีว่าขณะนั้นมีหมอกลงหนาแค่ไหนในความมืด นักเรียนทุกคนสวมชุดพละ ซึ่งเป็นเสื้อโปโลของแต่ละคณะสี สวมกางเกงที่ตัวเองถนัด บางคนสวมกางเกงขาสั้น บางคนสวมกางเกงขายาว

                “หนาวที่สุดเลยวะ” ต่อศักดิ์พูดพลางขนลุกเพราะลมหนาว

                “ทำไมต้องมาจัดวิ่งมาราธอนในฤดูหนาวด้วยเนอะ” จักรกฤษหันหน้ามาเสริม

                “อาจารย์อยากแกล้งนักเรียนไง” ต่อศักดิ์รู้สึกว่าตัวเองขาสั่น

                เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด นักเรียนกว่าสามพันคนต่างพากันวิ่งออกจากโรงเรียนด้วยความเร็ว หลังจากออกวิ่งต่อศักดิ์ลืมเรื่องอากาศหนาวไปเลย เขาสองคนวิ่งไม่ค่อยเร็วเหมือนนักเรียนคนอื่น ต่อศักดิ์มองเสื้อโปโลหลากสีสันตรงหน้าแล้วรู้สึกลายตา

                “ฮ่ารู้ว่าคิงวิ่งเร็ว” จักรกฤษพูด ขาทั้งสองข้างยังคงไม่หยุดวิ่ง ต่อศักดิ์หันหน้าไปมอง

                จักรกฤษรู้ว่าต่อศักดิ์มักไปวิ่งออกกำลังกายที่สนามกีฬาทุกเย็นมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เนื่องจากบ้านของต่อศักดิ์อยู่แถวนั้น หลายครั้งจักรกฤษเคยมองเวลาที่ต่อศักดิ์เปลี่ยนเสื้อผ้า รูปร่างของต่อศักดิ์เหมือนนักกีฬาสมัครเล่น มีกล้ามหน้าอกพอประมาณ มีกล้ามหน้าท้องสวยงาม

                “คิงวิ่งไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอฮ่าหรอก” จักรกฤษพูด

                “ไม่เอาหรอกวะ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

                “วิ่งมาราธอนมาห้าปีแล้ว คิงไม่คิดอยากได้เหรียญบ้างหรือไงวะ”

                “แล้วทำไมกูต้องอยากได้เหรียญด้วยละ”

                “ไม่รู้สิ” จักรกฤษนิ่วหน้า

                “วิ่งไปด้วยกันอย่างเนี่ยแหละ มีความสุขกว่าการได้เหรียญอีก” ต่อศักดิ์พูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข

                “จริงเหรอ จักรกฤษหันหน้าไปถาม" น้ำเสียงสูงจนเหมือนเป็นคำอุทาน

                “ล้อเล่นวะ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นตบศีรษะจักรกฤษ เขาสองคนวิ่งไล่กันท่ามกลางนักเรียนที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาสองคนหยุดยืนหอบด้วยความเหนื่อยที่หน้าศูนย์ท่องเที่ยวเพื่อรับหนังยางคาดมือที่มีไว้เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนวิ่งผ่านตามเส้นทางจริงหรือเปล่า

 

                “ถามจริง ทำไมมึงถึงชอบตบหัวของกูวะ” ต่อศักดิ์ถามขณะนั่งห้อยขาท้ายรถกระบะ ซึ่งมีไว้เพื่อรับนักเรียนที่เหนื่อยจนวิ่งต่อไปไม่ไหว แต่เขาสองคนขึ้นมานั่งเพราะความขี้เกียจมากกว่าเหนื่อยจนวิ่งไม่ไหว บนรถไม่มีคนอื่นเลยนอกจากเขาสองคน

                “เวลาตบหัวคิง แล้วคิงชอบทำหน้าตาเจ็บปวด ดูแล้วสนุกดี” จักรกฤษตอบแล้วดูดนมเปรี้ยวในมือ

                “โรคจิตวะ ชอบดูคนทำหน้าเจ็บปวด”

                “ไม่ใช่โรคจิตนะโว้ย" จักรกฤษแก้ตัว

                “ทำไมจะไม่ใช่ละ มีคนสุขภาพจิตดีที่ไหนชอบดูคนทำหน้าตาเจ็บปวดบ้างวะ”

                “ฮ่าชอบเห็นหน้าคิงคนเดียวนี้น่า คนอื่นมันไม่สนุก” จักรกฤษหันหน้ามาสบตากับต่อศักดิ์

                รถกระบะวิ่งไปตามถนน ริมถนนสองข้างทางมีดอกหญ้าปลิวไหวไปตามแรงลม นักเรียนสวมเสื้อโปโลที่วิ่งรั้งท้ายต่างพากันเดินคุยเป็นกลุ่ม ต่อศักดิ์หน้าแดงโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่า


ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
แวะมาเจิมก่อน  :m1:

แซม โจ้ ต่อเร็วๆ


ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
 :m3: โอ้ยยยยย ได้ใจมาก มากๆๆๆ   ทำไมตอนเรียนไม่มีงี้เลยวะ?

แซมกะโจ้มาต่อเร็วๆนะ   :m5:

napho

  • บุคคลทั่วไป
:m19: :m19: :m19: :m19:
รีบมาต่อนะครับ
รออยู่นะครับ
 :m17: :m17: :m17: :m17:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

หน้าแดงด้วย ไม่ใช่เพราะอากาศแล้วมั้ง

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เค้าว่าหน้าหนาวเนี่ย บรรยากาศแบบเนี่ย ทำให้คนพบรักกันเยอะน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อ้างถึง
“วิ่งไปด้วยกันอย่างเนี่ยแหละ มีความสุขกว่าการได้เหรียญอีก” ต่อศักดิ์พูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข



 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:

“เวลาตบหัวคิง แล้วคิงชอบทำหน้าตาเจ็บปวด ดูแล้วสนุกดี” จักรกฤษตอบแล้วดูดนมเปรี้ยวในมือ

 :m11: :m11: :m11: :m11:


เหมือนบอกรักทางอ้อม
 :m1: :m1:



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ชอบเรื่องนี้จริง ๆ มิตรภาพในวัยเด็ก  :m1:  :m1:  :m1:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............ชอบเห็นหน้าคิงคนเดียว........ :m3: :m3: :m3:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 12 Summer

               หลังจากสอบปลายภาคเสร็จเรียบร้อย นักเรียนที่ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกต้องมาเรียนในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เนื่องจากต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลางเดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึง

                ต่อศักดิ์ส่งชุดนักเรียนไปให้ร้านปักเย็บเสื้อผ้า เพื่อปักขีดสีแดงเพิ่มเป็นขีดสุดท้าย

                “โรงเรียนโล่งจัง” ต่อศักดิ์พูดขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหิวอ่อนหน้าอาคารหนึ่ง มองเหม่อไปที่สนามหน้าโรงเรียน ซึ่งแปลกตาไปจากเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะไม่มีนักเรียนเล่นฟุตบอลในช่วงเวลาพักเที่ยงกระมัง

                “มีแต่ชั้น ม.6 นี้น่า” จักรกฤษหันหน้ามาตอบ

                “จำไม่ได้เลยว่าตอนเด็กนายหน้าตายังไง” ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองใบหน้าของจักรกฤษ เป็นเวลานานมากที่เขาไม่ได้มองหน้าของจักรกฤษให้ชัดเจน ถ้าหากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่งกัน เขาคงไม่มีโอกาสได้มองหน้าของจักรกฤษอีกต่อไปแล้ว ต่อศักดิ์นึกในใจ

                “คิงก็เหมือนกันแหละน่า”

                “อ้วนขึ้นเปล่าวะ” ต่อศักดิ์ยื่นมือไปจับหน้าท้องของจักรกฤษ แต่โดนจักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะเสียก่อน

                หลังจากเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไปได้สัปดาห์เดียว เขาสองคนเข้าไปสมัครเรียนเสริมที่โรงเรียนกวดวิชาในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มความรู้ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเขาสองคนแทบไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย

                จักรกฤษเริ่มมานอนค้างที่บ้านของต่อศักดิ์บ่อยขึ้น ตั้งแต่ช่วงวันหยุดยาวก่อนวันสงกรานต์ เพราะเขาอ่อนวิชาคณิตศาสตร์มากจนกังวลว่าจะสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย จึงมาขอให้ต่อศักดิ์ช่วยติวให้

                ไม่นานตรงมุมด้านขวาของห้องนอนต่อศักดิ์กลายเป็นมุมเก็บของส่วนตัวของจักรกฤษไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                “เย็นนี้กินอะไรวะ” ต่อศักดิ์ถามคำถามเดิม
               
                "ออกไปกินโต้รุ่งแล้วกัน" จักรกฤษตอบ
               
                "ไม่อยากกินกับข้าวฝีมือกูละสิ" ต่อศักดิ์แหย่เล่น
               
                "ถ้าหากอาหารฝีมือคิงอร่อย คงไม่ออกไปกินที่โต้รุ่งหรอกวะ" จักรกฤษพูดพลางทำเสียงสะใจ

                ปรกติวันสงกรานต์ของทุกปี ต่อศักดิ์ชอบออกไปเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์อย่างสนุกสนานจนผิวคล้ำ แต่ภายในปีนั้นเขาไม่มีความคิดอยากออกไปเล่นน้ำเลยแม้แต่น้อย มีเพียงวันที่สิบสามวันเดียวเท่านั้นที่เขายอมออกไปนอกบ้านเพราะจักรกฤษชวนไปสรงน้ำพระที่วัดพระธาตุหริกุญชัย จักรกฤษบอกให้ไปทำบุญเสียหน่อยเพื่อกุศลจะส่งให้เขาสองคนเข้ามหาวิทยาลัย

                เมื่อผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวกลางเดือนเมษายน โรงเรียนและกวดวิชาเปิดสอนตามปรกติ พวกเขาสองคนคิดเหมือนกันว่าช่วงนี้เขาสองคนต้องออกไปเรียนด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นต่อศักดิ์เลยให้จักรกฤษย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเป็นการถาวร ซึ่งทางครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเห็นดีด้วย

                “ทำไมมึงไม่หาแฟนสักทีวะ” ต่อศักดิ์ถามขณะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอน

                “ยังไม่มีเวลาคิดเรื่องแบบนั้นหรอก” จักรกฤษนั่งอ่านหนังสือข้างล่างเตียงนอน

                “หน้าตามึงหล่อนะโว้ย” ต่อศักดิ์ชม

                “หน้าตาดี ก็ใช่ว่าจะต้องมานั่งคิดแต่เรื่องจะมีแฟนนี้ใช่ไหม”

                “อืม...”

                หลายครั้งต่อศักดิ์นึกอยากปรึกษากับจักรกฤษว่าเขามีความรู้สึกสับสน เรื่องที่เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบเพศชายด้วยกันหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขาไม่เคยพูดออกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะกลัวว่าจักรกฤษจะรับไม่ได้แล้วเลิกเป็นเพื่อนกับเขาในที่สุด

            “มึงเป็นเกย์หรือเปล่าวะ” ต่อศักดิ์เคยถามคำถามนี้กับจักรกฤษครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการเปิดช่องทางเข้าไปคุยเรื่องนั้น

            “ไม่ได้เป็นโว้ย” จักรกฤษตอบเสียงแข็ง ต่อศักดิ์ยังคงจำสีหน้าจริงจังของจักรกฤษได้ดี เขาจึงไม่กล้าปรึกษาเรื่องนั้นอีกเลย

               
                ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ฝนตกหนักทุกวันเนื่องจากพายุเข้ามาจากทะเลจีนใต้

                ยูโกะสอนภาษาญี่ปุ่นในห้องเรียนเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าเพื่อนร่วมห้องขาดเรียนกันเยอะจนรู้สึกบางตา คงเพราะฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่งในจังหวัดลำพูน อาจารย์ผู้สอนหลายวิชาจึงต้องหยุดสอนเมื่อเห็นว่านักเรียนมาเรียนน้อยเกินกว่าจะสอนได้

                เมื่ออาจารย์บางวิชางดสอน เพื่อนร่วมห้องที่มาเรียนจึงนั่งอยู่แต่ในห้องเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเบื่อหน่าย บางคนนั่งอ่านหนังสือการ์ตูน บางคนนั่งดูโทรทัศน์ บางคนนั่งจับกลุ่มพูดคุยเพื่อฆ่าเวลา

                บ่ายวันนั้นจักรกฤษถูกยูโกะเรียกให้เข้าไปพบในห้องพักอาจารย์หมวดภาษาต่างประเทศ

                “มีข่าวดีวะ” จักรกฤษเอยขึ้นเมื่อเดินมาใกล้ต่อศักดิ์ ซึ่งยืนเหม่อลอยอยู่หน้าห้องเรียนภาษาญี่ปุ่น ใบหน้าของจักรกฤษมีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเขามีความสุขจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้

                “อะไรเหรอวะ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม ขณะเดียวกันมีเสียงฟ้าฝ่าเสียงดัง

                “อาจารย์บอกว่าฮ่าได้คะแนนวิชาภาษาญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่งของห้อง เลยให้ลองสอบชิงทุนไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่นวะ” จักรกฤษพูดพลางขยับแว่นตา ต่อศักดิ์ยิ้มให้กับข่าวดีนั้นแต่ลึกลงไปแล้วเขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

                เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ต่อศักดิ์นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจักรกฤษกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน

                "ไปอาบน้ำก่อนเลย ตัวเปียกขนาดนี้เดียวเป็นหวัดหรอกวะ" จักรกฤษพูดขณะเดินเข้าห้องนอน ร่างกายเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน
       
                "มึงแหละไปอาบก่อนเลย" ต่อศักดิ์พูดพลางถอดชุดนักเรียนออก จักรกฤษก็เช่นกัน
         
                "คิงแหละไปอาบเลยไป" จักรกฤษหยิบผ้าขนหนูผืนสีขาวมานุ่งแล้วถอดกางเกงนักเรียนออก จากนั้นถอดแว่นสายตาวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ
           
                "ไม่เอางะ” ต่อศักดิ์หยิบผ้าขนหนูมานุ่งบ้าง จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ

                "ไปอาบก่อนเลย เดี๋ยวโดนตบอีก” จักรกฤษขึ้นเสียง แต่ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นตบศีรษะจักรกฤษบ้าง
   
                "อ๋อ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งเหรอ" จักรกฤษพูดพลางวิ่งไล่ต่อศักดิ์ แต่เพราะไม่ได้สวมแว่นสายตาเลยมองไม่ค่อยชัด จักรกฤษสะดุดขอบเตียงล้มลงไปทับร่างของต่อศักดิ์บนเตียงนอน ใบหน้าของจักรกฤษอยู่ใกล้กับหน้าของต่อศักดิ์ ต่อศักดิ์รู้สึกเขินขึ้นมาทันที อาจเป็นเพราะว่าเขากำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของจักรกฤษ
       
                "ไปอาบน้ำแล้วนะ” ต่อศักดิ์พูดพร้อมกับคลานออกจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว
           
                "อืม เร็วๆนะโว้ย” จักรกฤษพูดพลางเปลี่ยนท่านั่ง ต่อศักดิ์พยักหน้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเหมือนตอนที่เห็นหนังสือนิตยสารชายสามคนสวมกางเกงว่ายน้ำ ต่อศักดิ์นึกถึงใบหน้าของจักกฤษแล้วถอนหายใจ หรือว่าเขาแอบหลงรักจักรกฤษเข้าแล้ว

                 เมื่อพายุผ่านพ้นไปพระอาทิตย์กลับมาส่องแสงอีกครั้ง กิจวัตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกกลับสู่สภาพเดิม

                ชั่วโมงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นในบ่ายวันหนึ่ง ยูโกะให้นักเรียนเลือกเพลงภาษาญี่ปุ่นมาร้องพร้อมกับแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยเพื่อสอบเก็บคะแนน เพื่อนร่วมห้องของเขาหลายคนเลือกเพลงช้าเพราะสามารถร้องเป็นคำได้ง่ายกว่าเพลงเร็ว และสามารถออกสำเนียงได้ชัดเจน ซึ่งต่อศักดิ์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

                “คิงเลือกเพลงอะไรวะ” จักรกฤษถามเขาขณะนั่งกินข้าวที่โต้รุ่ง

               “ไม่รู้เหมือนกัน” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

              ปรกติต่อศักดิ์ไม่เคยนึกกังวลเรื่องเกี่ยวกับการร้องเพลงเลย แต่คราวนี้เขารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่มีคนถามว่าเขาเลือกเพลงอะไร อาจเป็นเพราะเพลงที่ร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นจึงทำให้เขารู้สึกกดดันหรือเปล่า

              วันหนึ่งต่อศักดิ์ค้นหาเพลงภาษาญี่ปุ่นในอินเตอร์เนตขณะที่จักรกฤษกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้ามาเพิ่ม เขามองหาเพลงที่มีความหมายดี เนื่องจากเขาเป็นคนที่ชอบฟังเพลงที่ความหมายมากกว่าดนตรี ซึ่งเวปที่เขาค้นหาอยู่นั้นมีทั้งเนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นและที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว เขากวาดสายตาอ่านเนื้อเพลงเพลงหนึ่งแล้วรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ

                “เลขที่ต่อไป” อาจารย์คนไทยที่นั่งข้างยูโกะพูดขึ้น

               เพื่อนร่วมห้องของเขาหลายคนเลือกเพลงค่อนข้างซ้ำกัน เพราะบางคนขี้เกียจหาเพลงเองจึงขอเอาเพลงของเพื่อนมาร้องด้วย เมื่อถึงเลขที่ของต่อศักดิ์ จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะของต่อศักดิ์เบาๆ พร้อมกับบอกว่าโชคดีนะโว้ย ต่อศักดิ์เดินออกไปยืนหน้าไมโครโฟนหน้าห้องเรียน ด้านข้างหัวหน้าห้องเป็นผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์

                “วะ ตะ ชิ วะ ต่อศักดิ์ เดส” ต่อศักดิ์หันหน้าไปแนะนำตัวให้ยูโกะฟัง มือสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด

                “โดะ โสะ” ยูโกะพูดน้ำเสียงสดใส

               ต่อศักดิ์หันหน้าไปยักคิ้วให้หัวหน้าห้องเหมือนเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นเสียงทำนองเพลงที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านหลัง ต่อศักดิ์ย้ำกับตัวเองว่าต้องทำได้เพราะก่อนหน้านี้เขาซ้อมร้องเพลงนี้มาหลายร้อยครั้งแล้ว

Saigo no kisu wa

Tabako no flavor ga shita
Nigakute setsunai kaori

 

Ashita no imagoro ni wa
Anata wa doko ni irun darou
Dare wo omotte run darou


You are always gonna be my love
Itsu ka dare ka to mata koi ni ochite mo
I'll remember to love
You taught me how
You are always gonna be the one
Ima wa mada kanashii love song
Atarashii uta utaeru made

 

Tachidomaru jikan ga
Ugoki-dasou to shiteru
Wasuretaku nai koto bakari
Ashita no imagoro ni wa
Watashi wa kitto naiteru
Anata wo omotte run darou

 

You will always be inside my heart
Itsu mo anata dake no basho ga aru kara
I hope that I have a place in your heart too
Now and forever you are still the one
Ima wa mada kanashii love song
Atarashii uta utaeru made


          เมื่อเสียงโน้ตเพลงตัวสุดท้ายเงียบลงไป อาจารย์คนไทยพูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “แปลเนื้อร้องด้วยคะ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปยักคิ้วให้กับจักรกฤษที่นั่งอยู่แถวที่สอง ก่อนจะพูดความหมายของเนื้อเพลงออกมาเสียงดัง

          กลิ่นบุหรี่ของจูบครั้งสุดท้ายยังคงติดอยู่เป็นความหอมที่ขมขื่นอยู่ข้างใน
          ณ เวลานี้ของพรุ่งนี้ เธอจะอยู่ที่แห่งใด เธอจะคิดถึงใคร
          แต่เธอจะยังเป็นคนรักของฉันตลอดไป
         สักวันหนึ่งเธออาจตกหลุมรักกับใครอีก 
         ฉันจะจดจำความรักที่เธอสอนฉันไว้   
         เธอเป็นที่หนึ่งตลอดไป
         แม้ตอนนี้ยังคงเป็นเพลงรักที่แสนเศร้า
         จนกว่าวันหนึ่งที่สามารถร้องเพลงรักใหม่ได้
         เวลาที่หยุดนิ่ง พยายามที่จะให้เวลาเดินต่อไป มีแต่เรื่องที่ไม่อยากจะลืม
         ณ เวลานี้ของพรุ่งนี้ ฉันคงกำลังร้องไห้ และคงคิดถึงเธออยู่
         เธอจะอยู่ข้างในใจของฉันตลอดไป
        ยังเป็นที่ของเธอคนเดียวตลอดไป
        ฉันหวังว่าคงมีพื้นที่สำหรับฉันอยู่ข้างในใจของเธอเหมือนกัน
        จากนี้และตลอดไป เธอเป็นที่หนึ่งในใจของฉัน
        แม้ตอนนี้ยังคงเป็นเพลงรักที่แสนเศร้า
        จนกว่าวันหนึ่งที่สามารถร้องเพลงรักใหม่ได้
        เธอเป็นความรักของฉันตลอดไป
        จะมีแต่ที่ของเธอคนเดียวตลอดไป
        ฉันหวังว่าคงมีพื้นที่สำหรับฉันอยู่ข้างในใจของเธอเหมือนกัน   
        จากนี้และตลอดไป เธอเป็นที่หนึ่งในใจของฉัน
        แม้ตอนนี้ยังคงเป็นเพลงรักที่แสนเศร้า
        จนกว่าวันหนึ่งที่สามารถร้องเพลงรักใหม่ได้


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
นายต้นจารู้มั๊ยน้า ว่าต่อร้องเพลงนี้ให้ใคร   o17

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

.........." เธอเป็นความรักของฉันตลอดไป     จะมีแต่ที่ของเธอคนเดียวตลอดไป".............

.......... :give2: :give2: :give2:.........

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
     
                เขาสองคนเดินกลับมาที่นั่งเดิมบนรถไฟ หลังจากออกไปแปรงฟันมา เพราะพนักงานรถไฟขอเข้ามาจัดเตียงนอนให้กลับเป็นเก้าอี้เหมือนตอนกลางคืนก่อนเข้านอน ขณะที่เขาสองคนกำลังนั่งลงบนเก้าอี้ รอบด้านได้เข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะรถไฟวิ่งลอดเข้าอุโมงค์นั้นเอง เด็กหลายคนในขบวนส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น

                “ถึงอุโมงค์ขุนตาลแล้วใช่ไหม” ต่อศักดิ์ถาม

                “อืม”

                เมื่อรถไฟลอดผ่านอุโมงค์ออกมา เขาสองคนมองออกไปนอกหน้าต่าง สองข้างทางของขบวนรถไฟเป็นสถานีขุนตาล น้ำค้างยามเช้าเกาะอยู่ตามใบหญ้าคา ดอกไม้เบ่งบานตอนรับแสงตะวันยามเช้า ต้นไม้ใหญ่หลายต้นชูกิ่งก้านใบให้ความร่มเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากภาพในความทรงจำของเขาสองคนเลย

 

                วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยว กว่าจะรู้สึกตัวทุกอย่างก็กลายเป็นความทรงจำเสียแล้ว ก่อนสอบปลายภาคสามสัปดาห์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแต่ละห้องถูกเรียกให้มาถ่ายรูปร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อนำไปลงในหนังสือรุ่น เหมือนตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามที่เขาสองคนมาถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมห้องและอาจารย์ที่ปรึกษา แต่คราวนี้ต่อศักดิ์รู้สึกอาลัยอาวรกับการถ่ายภาพร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายยิ่งนัก

                ผลสอบโควต้าของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีรายชื่อของต่อศักดิ์ในใบประกาศ เขายอมรับว่าทำข้อสอบไม่ได้หลายข้อทีเดียว ไม่ใช่เพราะเขาอ่านหนังสือมาน้อยแต่เพราะเขาไม่สามารถจำเนื้อหาได้หมดต่างหาก เขาไม่รู้สึกเสียใจเลยกับการล้มเหลวครั้งนี้

                วันสอบปลายภาควันสุดท้าย หัวหน้าห้องนัดแนะการไปเที่ยวกันก่อนแยกย้ายไปเรียนคนละมหาวิทยาลัย หลายคนออกความเห็นว่าอยากไปดอยขุนตาล

                เช้าวันเสาร์กลางเดือนกุมภาพันธ์ อากาศยังคงหนาวเย็น มีหมอกลงหนา

                ต่อศักดิ์เดินทางมาที่สถานีรถไฟพร้อมกับจักรกฤษ เพราะจักรกฤษยังพักอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา เพื่อนร่วมห้องกระจุกกันเป็นกลุ่ม นั่งพิงกองไฟเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายตัวเอง หัวหน้าห้องเดินมาจากช่องขายตั๋วรถไฟพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “อีกยี่สิบนาที ใครไม่มา ให้ตามไปเองนะ”

        ต่อศักดิ์จำไม่ได้ว่าค่ารถไฟคนละเท่าไหร่ แต่เขาจำได้ว่ารถไฟมาถึงสถานีขุนตาลตอนเก้าโมงเช้า

 

“เก้าโมงแล้ว” จักรกฤษมองนาฬิกาข้อมือ

                “เสียเวลาตอนดินถล่มไปเกือบสามชั่วโมง” ต่อศักดิ์พูดอย่างเหม่อลอย

                “ตอนที่เรามาพร้อมกับเพื่อนร่วมห้อง ก็เป็นเวลาประมาณนี้ใช่ไหม” จักรกฤษพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำค้างไหลลู่ตามแรงลมหยดลงบนยอดหญ้าคาอีกใบหนึ่ง

 

                หลังจากที่ทุกคนถ่ายรูปร่วมกันตรงหน้าอุโมงค์ขุนตาลแล้ว ทุกคนต่างพากันเดินไปไหว้ศาลเจ้าเพื่อขอให้การเดินทางบนดอยเป็นไปอย่างปลอดภัย

                ช่วงแรกที่เดินขึ้นดอยมีสุนัขตัวสีขาวลายน้ำตาลตัวหนึ่งวิ่งตามมาพร้อมกับพวกเขาด้วย ทางเดินค่อนข้างชัน เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเป็นคนเดินนำทาง เพราะต้องใช้มีดฟันวัชพืชเพื่อเปิดทางเดินให้กับพวกเขา ต่อศักดิ์มารู้ภายหลังว่าเพื่อนคนนั้นชื่อก้อง ซึ่งปรกติชอบทำตัวเป็นหัวโจ๊กของกลุ่มนักเลงในห้อง แต่ลึกลงไปแล้วมีนิสัยรักเพื่อนมากทีเดียว

                “เหนื่อยวะ นั่งพักก่อนตรงนี้ก่อนนะ” จักรกฤษพูดขณะเดินถึงจุดพักที่ ย. 1

                “นั่งพักก่อนก็แล้วกัน” ต่อศักดิ์ยื่นน้ำให้จักรกฤษดื่ม เพื่อนร่วมห้องบางคนหยุดยืนอยู่ตรงนั้นกับเขาด้วย แต่ส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

                จักรกฤษมักขอให้หยุดพักตามจุดพักข้างทางบ่อย เนื่องจากเขาไม่ค่อยออกกำลังกาย ร่างกายของจักรกฤษจึงไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก เมื่อเดินถึง ย.2 เขาสองคนเดินล้าหลังเพื่อนร่วมห้องแต่ไม่ถึงกับเดินรั้งท้าย จนกระทั่งเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็นเขาสองคนเดินขึ้นไปถึง ย.4 ซึ่งเป็น ย. สุดท้าย

                บนนั้นมีโขดหินขนาดใหญ่เป็นจุดเด่น บริเวณรอบมีการกั้นรั้วป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวตกเขา ด้านหน้าของโขดหินมีป้ายขนาดใหญ่ทำจากไม้ ตัวอักษรสีขาวขนาดใหญ่เขียนว่า "ดอยขุนตาล สูง 1373 เมตร จากระดับน้ำทะเล" เบื้องหน้าเป็นจุดชมทิวทัศน์ของเทือกเขาผีปันน้ำในเขตจังหวัดลำปางและลำพูน
            ด้วยความที่ดอยอยู่สูงกว่าก้อนเมฆ ทุกคนจึงมองเห็นทะเลหมอก ต่อศักดิ์มองทิวทัศน์ตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข จักรกฤษนั่งอยู่ที่โขดหินเพื่อพักเหนื่อย ทั่วใบหน้ามีเหงื่อไหลออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

                หลังจากที่เพื่อนร่วมห้องเดินทางมาครบ ก็ได้มีการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตรงโขดหินแล้วตรงป้ายขนาดใหญ่

                “เดี๋ยวลงไปติดต่อบ้านพักที่ ย.2 แล้วกันนะ” หัวหน้าห้องพูดเสียงดังพลางเดินนำเพื่อนลงไปตามเส้นทางเดิม

                “มึงไหวหรือเปล่าวะ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามจักรกฤษ

                “ไหว” จักรกฤษพยักหน้า

                “อืม หากไม่ไหวบอกกูนะโว้ย” ต่อศักดิ์พูดแล้วออกเดิน

เมื่อเขาสองคนเดินลงมาถึง ย.3 บริเวณบ้านพักรับรองของมิชชันนารี จักรกฤษเดินช้าลงและมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก จนต่อศักดิ์ต้องหยุดยืนแล้วหันหน้าไปถาม

“ปวดขานะ พักสักเดี๋ยวคงดีขึ้น” จักรกฤษยิ้มเจื่อน

“ก็ได้” ต่อศักดิ์เข้าไปประคองตัวจักรกฤษมานั่งที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้

“เป็นอะไรหรือเปล่าวะ” เพื่อนคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นจึงหยุดถาม

“ปวดขานะ พักสักเดี๋ยวคงหาย” จักรกฤษพูดเสียงดัง ยกมือขึ้นมาโบก

“เอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อหน่อย” ต่อศักดิ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าให้จักรกฤษ

 

“อย่าบอกนะว่าเป็นผ้าผืนเดียวกับตอนที่นายให้เราเช็ดน้ำตาเมื่อคืน” ต่อศักดิ์นึกขึ้นได้

“นายก็รู้ว่าเราไม่ชอบพกผ้าเช็ดหน้า เลยไม่เคยซื้อสักที เราจึงมีแค่ผืนเดียวที่นายให้คราวนั้นแหละ”

“อะไรจะขนาดนั้น” ต่อศักดิ์ตกใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อมาเพ่งดู

“ล้อเล่นโว้ย ใครจะไปใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวมาตั้งหลายปี” จักรกฤษหัวเราะ

 

“รีบตามลงไปเร็วนะโว้ย” เพื่อนร่วมห้องกลุ่มสุดท้ายเดินผ่านไป

“มึงเดินลงไปกันเถอะ เราอยู่รั้งท้ายแล้วนะ เดี๋ยวหลงทางวะ” ต่อศักดิ์พูดด้วยความเร็ว

“แต่มันยังปวดอยู่เลย” จักรกฤษสีหน้าไม่ค่อยดี

“เอายังงี้แล้วกัน ขึ้นหลังเรามะ” ต่อศักดิ์เปลี่ยนมาสะพายกระเป๋าด้านหน้า หันหลังให้กับจักรกฤษ

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้โว้ย”

“เพื่อนต้องช่วยเพื่อนเวลาลำบากดิวะ ขึ้นมาเลย”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ตัวหนักหน่อยนะ” จักรกฤษพูดแล้วกระโดดขึ้นหลังต่อศักดิ์

“อืม หนักกว่าที่คิดไว้เยอะนะเนี่ย คนไม่ออกกำลังกายก็ยังงี้แหละ”

“ยังงี้ ยังไงวะ” จักรกฤษขมวดคิ้ว

“อ้วน” ต่อศักดิ์หัวเราะ จักรกฤษตบศีรษะเบาๆ

ต่อศักดิ์เดินอย่างเชื่องช้าไปตามเส้นทาง ด้างขวามือของเขาสองคนหากก้มหน้าลงไปจะสามารถมองเห็นเพื่อนร่วมห้อง เดินลงไปเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เนื่องจากเขาสองคนอยู่สูงกว่าจึงเห็นเพื่อนร่วมห้องตัวเล็กเท่าฝ่ามือ มีต้นไม้ขนาดสูงใหญ่ให้ความร่มเย็นตลอดทั้งเส้นทาง แม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นแล้วแต่ยังมีน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบไม้และยอดหญ้า อากาศเย็นชื้น

“ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงเนอะ” จักรกฤษถามขณะที่แขนสองข้างโอบรอบคอของต่อศักดิ์

“อืม” ต่อศักดิ์ตอบ

“คิงจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่า”

“เข้าสิ ทำไมถามแบบนั้นละ”

“เห็นคิงไม่มีอาการเสียใจเลยในวันที่ประผลโควต้าเข้า มช. เลยสงสัยว่าคิงคงไม่อยากจะเรียนต่อ”

“ตอนที่แม่กูยังอยู่ แม่เคยสอนกูว่า คนเราต้องมีความหวัง แต่อย่าหวังมากจนเกินตัว เพราะถ้าหากพลาดขึ้นมา ตัวเราเองนั้นแหละที่จะเป็นคนเสียใจ”

“แปลว่าคิงไม่ได้หวังว่าจะติดโควต้าอยู่แล้วละสิ”

“หวังนะแต่ไม่มากเท่าไหร่ หวังนิดหน่อยให้พอมีแรงอ่านหนังสือนะ”

“อยากให้เวลาหยุดเดินแค่ช่วง ม.ปลาย จัง” จักรกฤษบ่นออกมาลอยๆ
            "..." ต่อศักดิ์เงียบ
            "เป็นอะไรไปวะ" จักรกฤษถาม
            "เปล่าไม่ได้เป็นไร แค่หลงเข้าไปในโลกส่วนตัวนิดหน่อย" ต่อศักดิ์ส่ายหน้าก่อนตอบ
            "แล้วจะดึงคิงกลับมาในโลกแห่งความจริงได้หรือเปล่า" จักรกฤษถาม
            "ได้สิ ยังไงคนเราต้องกลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันอยู่แล้ว"
            "อนาคตข้างหน้า คิงจะเป็นยังไงวะ" จักรกฤษทำสีหน้าครุ่นคิด
            "เราสองคนอาจอยู่คนละที่ วันหนึ่งกูอาจเดินไปเจอมึงโดยบังเอิญที่ไหนสักแห่งหนึ่ง บางทีมึงอาจมองผ่านกูไปเพราะลืมไปแล้วว่ากูเป็นใคร" ต่อศักดิ์พูด จักรกฤษหัวเราะแล้วถามต่อว่า
            "โลกแห่งความจริง อีกห้าปี หรืออีกสิบปีข้างหน้า คิงยังจะเป็นเพื่อนฮ่าอยู่หรือเปล่า"

“เป็นสิ ไม่ว่าจะเป็นโลกส่วนตัวหรือโลกแห่งความจริง มึงก็เป็นเพื่อนกูตลอดไป”

“สัญญานะโว้ย” จักรกฤษยื่นนิ้วก้อยออกไปข้างหน้า

“สัญญาแล้วห้ามยกเลิกสัญญานะ” ต่อศักดิ์ยกแขนขึ้นไปเกี่ยวก้อยสัญญา
               

“อืม...” ต่อศักดิ์ส่งเสียงครางในลำคอ มองหน้าต่อศักดิ์อย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไร เราไม่ได้ว่าอะไรหรอกที่นายไม่ได้ติดต่อมาหาเรา” จักรกฤษยกมือขึ้นโบก พลางหัวเราะ

“ขอโทษจริงๆนะ” ต่อศักดิ์พูดขณะที่รถไฟวิ่งผ่านสถานีแม่ทา

 

“หนาววะ คิงมีเสื้อกันหนาวอีกตัวไหม” จักรกฤษพูดเสียงเบาจนเหมือนเป็นการกระซิบ เพราะเกรงกลัวว่าเพื่อนที่นอนด้านข้างจะตื่น

“ไม่มีแล้ววะ” ต่อศักดิ์ตอบ

“ถ้าอย่างนั้น...” จักรกฤษพูดค้างไว้ แล้วเอื้อมมือไปกอดต่อศักดิ์

“ทำอะไรวะ” ต่อศักดิ์พูดเสียงเบา

“ทดลองวิทยาศาสตร์ไง คิงเคยบอกว่าการกอดกันจะทำให้หายหนาวได้”

“อ๋อ กูเคยทดลองกับมึงตอนเข้าค่ายลูกเสือใช่ไหม”

“อืม ถ้าจำไม่ผิดคิงบอกว่าได้ผลดี ขอลองทำบ้างนะ” จักรกฤษยิ้มเล็กน้อย แล้วนอนหลับไป

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ต่างคนต่างมีอิสระที่จะเลือกทำตามความฝัน
แต่ไม่ได้แปลว่าต้องทิ้งความฝันที่เหลือไป
 :a10: :a10: :a10: :a10:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
อ่านแล้วอยากกลับไปอยู่ในสมัยเรียนมากเลยคับ

ได้ไปเที่ยวเหนือกับเพื่อน มันสนุก มันปลอดโร่ง ได้ปลดปล่อยจิงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด