ฮึ่ย พี่หมอเราใจตรงกันกำลังว่าจะมาดันกระทู้นี้อยู่พอดี
ว่าทีคุณหมอเราต้องสอบนี่เนาะ รอครับๆ เดี๋ยวว่างก็มาต่อเนาะ รักจริงรอได้ อิอิ
==========================================================
สวัสดีครับผม หลังจากที่หายหน้าไปนาน (มากกกกกก)
ต้องขอรับผิดแต่โดยดีครับผม แหะๆ ไม่ขอแก้ตัว (หรอ?)
เอาเป็นว่า ตอนนี้ขอพักเรื่องโรคลำไส้แปรปรวนไว้ก่อนนะครับ
เนื่องจากมีคนเมสเสจมาบอกว่า อยากได้พวกโรคทางจิตเวชก่อน (ซึ่งผมก็ชอบนะ ด้านจิตเวชเนี่ย สนุกดี หุหุ)
คราวนี้เลยกลับมาพร้อมกับโรคสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย (รึเปล่านะ?)
จริงๆแล้วจะเรียกปัญหานี้ว่า “โรค” ก็ไม่ได้ครับ มันเป็นเพียง “ปัญหา” ที่ควรได้รับการแก้ไข นั่นก็คือ...
“เด็กติดเกม” เรื่องการติดเกม (หรือแม้กระทั่งติดนิยายในเล้าหรือที่ใดก็ตาม) ขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่ได้จะว่าหรือจะติใครหรอกครับ เนื่องจากผมเองก็ “เคย” ผ่านช่วงชีวิตที่ติดเกมและนิยายอย่างจริงจัง ถึงขั้นลุกมานั่งเล่นเกมตอนกลางคืนหลังจากป๊าม้าปิดไฟนอนแล้วก็มี ซึ่งมันไม่ดีเลย ทั้งด้านการเรียน หรือแม้กระทั่งสุขภาพ ดังนั้นถ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆท่านใดพบเพื่อนๆ ญาติ หรือแม้กระทั่งตนเอง มีอาการดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ ก็ตักเตือนกันได้แล้วนะครับ มันเป็นอันตรายต่ออนาคตจริงๆนะ ห่ะๆๆ (จากประสบการณ์โดยตรงครับ)
ซึ่งข้อสังเกตที่สามารถสังเกตได้ว่าติดเกม (หรือแม้กระทั่งติดนิยายหรืออินเตอร์เน็ต โดยให้ลองเปลี่ยนจากคำว่า “เกม” เป็น “นิยาย” หรือ “อินเตอร์เน็ต” ก็ได้นะครับ) รึยังครับ ลองสังเกตตัวเองดูนะว่าตรงไปกี่ข้อ
1.) ใช้เวลาเล่นเกมไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง/วัน หรือ เล่นทั้งวันทั้งคืนเลยไม่ลุกไปไหน
2.) ความรับผิดชอบลดลง ทั้งเรียน การใช้ชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ไม่นอน ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือ ไม่กินข้าวตามปกติที่เคยกินกับสมาชิกในบ้าน แต่เอาข้าวมานั่งกินหน้าคอมแล้วนั่งเล่นเกมไปด้วย
3.) ลุกขึ้นมาเล่นเกมตอนดึกๆ
4.) เกรดตกลงเพราะหมกมุ่นกับเกม
5.) มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเกมเพิ่มขึ้น เช่น ใช้เงินในการเล่นเกมเพิ่มมากขึ้น (ในอดีตผมมีปัญหากับข้อนี้สุดๆเลยล่ะ ทะเลาะกับหม่าม้าเพราะอันนี้ด้วย T.T ไม่น่าเลยครับ)
6.) มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือแสดงความไม่พอใจถ้าโดนบอกให้หยุดเล่นเกม
7.) ไม่สนใจสิ่งที่ชอบ ที่เคยทำเป็นประจำ เช่น ปกติชอบไปเตะบอล ก็เปลี่ยนมาเล่นเกม เบื่อการเตะบอล ปกติชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็ไม่ไปเที่ยวเล่น เป็นต้น
8.) ใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันอยู่กับเกม ไม่คุยกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนๆ
9.) ควบคุมตัวเองไม่ได้ที่จะเล่นเกม เช่น ตื่นมาก็เล่นเกม กลับมาบ้านก็เล่นเกม นอกจากนี้ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ให้เล่นในเวลาที่กำหนด
10.) คิดแต่เรื่องเกมตลอดเวลา ปิดบังหรือโกหกเกี่ยวกับการใช้เวลาในการเล่นเกม
เป็นยังไงบ้างครับ ตรงไปกี่ข้อเอ่ย ห่ะๆๆ ของผมเมื่อก่อนนี่แบบว่า... เกือบทุกข้อเลยล่ะ แต่หลังๆมานี่ลดลงเยอะแล้ว (กลายเป็นติดอินเตอร์เน็ตแทน ฮ่าๆๆ) เราลองมาดูสาเหตุกันเนอะว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร
สาเหตุก็จะแบ่งเป็น 3 อย่างนะครับ คือ
1.) ปัจจัยทางด้านชีวภาพ คือระบบการทำงานของสมองในเด็กและวัยรุ่นที่ติดเกมนั้น จะมีลักษณะคล้ายกับสมองของผู้ป่วยติดสารเสพติดหรือผู้ป่วยติดพนัน โดยจะหมกมุ่นจนละเลยกิจกรรมอย่างอื่น
2.) ปัจจัยด้านจิตใจ เกมจะสามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจของผู้เล่นได้ โดยให้ความสนุก ท้าทาย รู้สึกประสบความสำเร็จ และเป็นการระบายแรงขับความก้าวร้าวออก เด็กที่ไม่ค่อยได้รับความสำเร็จจากกิจกรรมอื่นๆ มักสนุกและพอใจกับความสำเร็จจากเกมจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เด็กยิ่งติดเกมมากขึ้นไปอีกน่ะครับ
3.) ปัจจัยด้านสังคม a. ครอบครัวขาดการฝึกวินัยให้ลูกอย่างเหมาะสมมาตั้งแต่เด็ก
b. มีความใกล้ชิดและผูกพันกันในครอบครัวน้อย
c. มีความขัดแย้งหรือปัญหาทางการสื่อสารในครอบครัว
d. พ่อแม่ไม่ได้เป็นแบบอย่างและสนับสนุนให้ลูกทำกิจกรรมที่สร้างเสริมสุขภาพเพียงพอ
จากที่ดูสาเหตุมา เราก็จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักมันอยู่ที่ครอบครัวเนอะ ถ้าคนในครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์กันมากพอ เด็กก็จะติดเกมน้อยลง (มั้ง ฮ่าๆๆ) ซึ่งวิธีป้องกันเดี๋ยวจะพูดถึงทีหลังเนอะ เรามาดูผลกระทบของการติดเกมหรือติดนิยายมากๆก่อนดีมั๊ย
อันแรกเลยก็คือ
ความก้าวร้าว อันนี้ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะเกมสมัยนี้มันค่อนข้างกระตุ้นให้เด็กก้าวร้าวได้ ขอยกตัวอย่างจากที่ผมพบมาในชีวิตประจำวันเลยละกัน มีน้องอายุ 7 ขวบ คุณแม่พามาพบแพทย์เนื่องจากน้องชอบเอามือไปตบหน้าน้องสาวของตัวเอง (น้องสาว อายุ 5 ขวบ) นอกจากนั้นยังชอบเอาไม้บรรทัดเหล็กไล่ตีเพื่อนจนทำให้มีปัญหากับเพื่อนหลายๆคน ซักประวัติไปๆมาๆ ปรากฎว่าน้องชอบเล่นเกมๆหนึ่ง (ซึ่งเป็นเกมที่ผมก็ชอบเล่น ฮ่าๆๆๆ) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด เป็นเกมที่เคยมีข่าวครึกโครมมากในอดีต ชื่อของเกมๆนั้นคือ
_ _ _ (ตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัว ฮ่าๆๆ จะใบ้ทำไมเนอะ ยังไงก็รู้อยู่แล้ว) ที่เด็กก้าวร้าวขึ้นเนี่ย ก็เพราะว่าเกมมันมีบทบาทให้ทำความรุนแรงด้วยตัวเอง แล้วก็ยังมีการได้รับรางวัลหลังจากที่ทำไปแล้ว หลังๆมานี้เกมทำให้ภาพและการเคลื่อนไหวเหมือนจริงเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้คนเล่นรู้สึกเข้าไปมีส่วนร่วมในเกมเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งเด็กบางคนยังไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์จริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมได้ดีนัก ทำให้เคยชินต่อความรุนแรง และมีเจตคติที่สนับสนุนความรุนแรงจากเกมได้น่ะครับ
อันต่อมาก็คือ
พัฒนาการของเด็ก ซึ่งการเล่นเกมเนี่ย มักเล่นอยู่คนเดียว (ไม่นับเกมที่เล่นกับคนอื่นหรือเกมออนไลน์นะครับ แต่จริงๆแล้วเกมออนไลน์ก็ถือว่าเป็นเกมที่เล่นคนเดียวได้นะ เพราะสังคมโลกออนไลน์หลายสังคม “มัก” จะเป็นสังคมที่ถูกสร้างขึ้นมาอีกทีหนึ่ง กล่าวก็คือ เป็นบุคคลที่ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ทำให้ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์อันแท้จริง) ส่งผลให้พัฒนาการด้านสังคมไม่ค่อยดี และเด็กที่เล่นเกมออนไลน์เนี่ย มักมีสุขภาวะทางจิตและสังคมลดลง เช่น รู้สึกว้าเหว่ เศร้า และขาดความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับผู้อื่น นอกจากนี้การเล่นเกมมากๆก็ยังทำให้สมาธิแย่ลงด้วย
อันสุดท้ายก็คือ
ผลกระทบต่อร่างกายของตนเอง ก็อย่างที่ทราบกันเนอะ เล่นเกมนานๆมักจะมีอาการเจ็บป่วยทางกายที่ไม่รู้สาเหตุ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้อง อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว หรือแม้กระทั่งความดันโลหิตสูง และโรคสำคัญอีกอย่างนึงที่สัมพันธ์กับการเล่นเกมมาก ก็คือโรคอ้วน และโรคลมชักชนิดไวต่อแสงก็สามารถโดนกระตุ้นให้เกิดอาการจากการเล่นเกมได้เช่นเดียวกัน
เราเห็นผลกระทบแล้วเนอะ ซึ่งมันก็ไม่ค่อยดีเลยทั้งต่อตัวเรา คนในครอบครัว หรือเพื่อนๆซะเท่าไหร่เลย ดังนั้นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่คิดว่าตนเองติดเกม นิยาย หรืออินเตอร์เน็ตมากเกินไป ก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองดูนะครับ เพื่อตัวของเราเอง และเพื่อครอบครัวด้วยเนอะ
===========================================
ปล. ย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้ติว่า คนที่ติดเกม ติดนิยาย หรือติดอินเตอร์เน็ต เป็นคนไม่ดีนะครับ ผมแค่เอาปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบันมาลองบอกๆกันเฉยๆ (เพราะจากการออกตรวจผู้ป่วยนอกของคลินิกจิตเวชเด็ก พบปัญหานี้ได้มากพอสมควรเลยล่ะครับ)
ปล2. ต้องขอขอบคุณ
อ.ดร.นพ.ไพรัตน์ ฐาปนาเดโชพล สำหรับข้อมูลในการเขียนบทความอันนี้นะครับ