ผมกับไอ้น้องไม้เดินจนทั่วโรงอาหารอยู่นานก็ยังไม่เห็นวี่แววพวกแฝด กดโทรศัพท์หาจนแบต แทบจะหมดก็ยังบอกฝากข้อความเหมือนเดิม ตะโกนด่าฝากข้อความไปสิบๆรอบก็ยังไม่มีสัญญาณตอบกลับใดๆ เข้าไปตามหาในหอสมุดก็ยังไม่เจออีกเหมือนเดิม เริ่มโมโห อยากฆ่าน้อง ไม่ใช่อะไร นี่ก็เย็นแล้ว เอาไงดี หรือว่ากลับบ้านไปก่อนแล้วค่อยเอามอไซค์ออกมาตามอีกที
“กลับกันก่อนเถอะ เดี๋ยวไงพี่จะมอไซค์มาตามพวกมันอีกที”
ไม่อยากให้ไอ้เชนต้องมานั่งรอด้วยครับ ไม่ใช่เป็นห่วงมัน แต่ขี้เกียจให้ไอ้สองตัววินไม้มารอด้วย รอกันไปรอกันมาเดี๋ยวจะมีเรื่องอีก
“รออีกสักพักไม่ดีกว่าเหรอพี่นิค เดี๋ยวเกิดสองคนนั้นกลับมาจะคลาดกันนะ”
ไอ้น้องไม้ให้ความเห็น แต่ผมไม่รอละ ปลอดภัยไว้ก่อน ต้องพยายามไม่ให้พวกแฝดกับวินไม้อยู่ใกล้กัน
“ช่างเถอะ กลับกันก่อนดีกว่า”
ผมเดินนำน้องไม้เวอร์ชั่นกินยาผิดลัดเลาะไปตามตึกเรียนเพื่อกลับซุ้มสาขา แต่ในจังหวะที่ต้องเดินลัดตึกเรียนรวมเพื่อข้ามถนนไปยังฝั่งคณะวิศวะ น้องไม้มันก็สะกิดเรียกผมแล้วเงยหน้าชี้ไปที่ชั้นสองของตึกเรียน พอผมเงยหน้าขึ้นมองตามก็เห็นหลังไวๆ ของผู้ชายสวมเสื้อยืดสีดำเหมือนที่เนมมันใส่ออกจากบ้านเมื่อเช้า ส่วนสูงประมาณนี้ แถมไว้ทรงผมตามกฎกระทรวงศึกษาธิการอีก ไอ้เนมแน่ๆเลยครับ ผมตะโกนเรียกเสียงชื่อน้องดังลั่นแต่มันไม่ได้ยิน แถมยังเดินเร็วอย่างกับเป็นผี ไอ้นิคเลยต้องสปีดฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดตามไป ว่าแต่มันขึ้นตึกเรียนรวมไปทำไมวะ
“ไม้กลับไปรอที่ซุ้มนะ ไม่ต้องตามมา เนม อยู่ไหนน่ะ”
ตะโกนบอกไอ้น้องไม้แล้วก็หันไปเรียกไอ้เนมอีกที นึกในใจว่าถ้าเจอพวกแฝดจะเขกกะโหลกสักสองสามทีแรงๆ พยายามเดินไปดูตามห้องต่างๆ เผื่อมันจะเล่นพิเรนมาแอบอยู่แถวๆนี้ แต่เปิดประตูเข้าไปดูตามห้องเรียนจนเกือบจะครบทั้งชั้นแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆ ไอ้นิคชักเริ่มสยอง ตึกเรียนใหญ่ๆ ไฟสลัวๆ เงียบกริบผิดกับตอนกลางวันเพราะไม่มีคน ตอนโพล้เพล้แบบนี้ในสถานที่อันเป็นตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญสุดฮิตของมหาลัย ถึงจะไม่ค่อยกลัวผี แต่พอบรรยากาศวังเวงอย่างนี้มันก็ชวนหวาดเสียวไม่น้อย กำลังคิดไปฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนเสียการทรงตัว รับรู้ถึงแรงผลักที่หลังพร้อมกับล้มวูบ ผมหน้าคะมำเซถลาเข้าไปในห้องเรียน เกือบลงไปจับกบบนพื้นห้องถ้าไม่คว้าโต๊ะไว้ทัน พร้อมกับเสียงประตูปิดดังโครมใหญ่อยู่ข้างหลัง วินาทีนั้นคำๆ เดียวที่ผุดขึ้นในสมองคือ ชิบหายแล้ว
“แมร่ง เวงตะไล”
ผมสบถลั่นแล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ นี่กุโดนไอ้เด็กไม้มันหลอกเอาเหรอเนี่ย ตะโกนด่าด้วยความโกรธอีกครั้งเมื่อเขย่าประตูแล้วพบว่ามันล็อคแน่นสนิท นี่เล่นแรงถึงขนาดขังไว้ในตึกเรียนเลยนะมรึง อย่าให้กุออกไปได้เชียว พ่อซัดไม่เลี้ยงแน่ จะโทรหาไอ้เชน แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกไฟบนหน้าจอก็ดับพรึ่บเพราะก่อนหน้านี้โทรตามไอ้พวกน้องๆจนแบตอ่อน
“ห่ะเอ้ย เศือกมาหมดอะไรเอาตอนนี้วะ”
ไอ้นิคเลยสบถลั่นต่ออีกยาวเหยียดเป็นมหากาพย์ไตรภาค พยายามเขย่าประตู ตะโกนเรียกยังไงก็ไร้วี่แววคนมาช่วย ฉุกคิดขึ้นมาได้ นึกไปถึงลุงภารโรง ปกติลุงจะมาปิดตึกตอนหนึ่งทุ่ม ก้มลงมองนาฬิกาแล้วแทบจะลุกขึ้นเต้นเพลงน้ำตาจ่าโทเวอร์ชั่นเทคโนแด๊นซ์ขอบคุณฟ้าดิน อีกแค่สิบห้านาทีเท่านั้น คิดแล้วก็ไปเปิดไฟให้สว่างทั่วห้องเผื่อลุงจะสังเกตเห็นง่ายขึ้น
นับถอยหลังรอเวลาอย่างใจจดใจจ่อ จ้องนาฬิกาข้อมือแบบไม่ให้พลาดสักวินาที ในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงลูกบิดขยับและประตูก็เปิดออก
ไอ้นิคดีใจเหมือนถูกหวย ว่าแต่มันเพิ่งผ่านไปแค่ 5 นาทีเองนะ หรือว่าลุงภารโรงมาก่อนเวลา
“พี่นิค อยู่นี่เองเค้าเป็นห่วงแทบแย่ไม่เป็นไรนะ” เป็นไอ้แนนครับ มันโผเข้ามากอดผมทันทีที่ประตูเปิดออก
“ไม่เป็นไร แต่ที่แน่ๆขอไปชำระแค้นก่อนเถอะ”
โมโหครับ หน้ามืดตามัว พอออกมาได้ไอ้นิคงี้วิ่งเลย เป้าหมายอย่างเดียวตอนนี้คือจัดการไอ้น้องไม้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง พอไปถึงซุ้มผมก็ตรงดิ่งเข้าไปหาไอ้ตัวการทันที
“มรึงคิดว่าทำงี้แล้วจะจัดการกุได้เหรอ”
ผมคว้าคอเสื้อไอ้เด็กหน้าไหว้หลังหลอกแล้วเขย่าแรงๆจนหัวมันแทบหลุด น้ำตาไอ้น้องไม้ไหลพรากๆ พูดแต่ พี่นิคผมเจ็บๆ แต่ตอนนี้ผมมีแต่ความโกรธเกินกว่าจะสนใจอะไร มิหนำซ้ำยังคิดอีกว่ามันก็แค่น้ำตาที่ไอ้เด็กนี่มันบีบออกมาเพื่อให้คนอื่นเห็นใจและหลงเชื่อหน้าอ่อนๆของมันนั่นแหละ
“พอแล้วนิค” ไอ้เชนแยกตัวผมออกจากการฆาตกรรมน้องไม้แล้วตวาดเสียงดัง
“กุไม่พอ แมร่ง คิดจะแกล้งกุเหรอ ปัญญาอ่อนน่ะสิ คิดว่าขังกุไว้แบบนั้นแล้วเรื่องจะจบเหรอ”
ผมผวาจะเข้าไปซัดไอ้เด็กตอแหลแต่โดนเนมคว้าตัวไว้
“ขังอะไร” ไอ้เชนมองหน้าผมกับไอ้น้องไม้สลับกัน แต่ หนอย....ดูมัน โอบกันซะขนาดนั้น
“พี่นิคไปตามหาพวกผม พอเดินผ่านตึกเรียนรวม พี่นิคก็โดนผลักแล้วปิดล็อคขังไว้ในห้องเรียน จนผมตามไปเจอ”
ไอ้แนนเล่าแทนเมื่อเห็นว่าพี่มันได้แต่ยืนหอบหายใจ หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ หน้าตาถมึงทึงพยายามจะวางมวยกับเด็กให้ได้
“แล้วตอนที่กุโดนขัง กุก็อยู่กับไอ้เด็กนี่แค่สองคน”
ไอ้น้องไม้มันสะอื้นน้ำตาเปรอะหน้า มือก็เกาะแขนไอ้เชนไว้แน่น เออ ออเซาะกันเข้าไป ทำไมมรึงไม่พากันกลับบ้านแล้วไปโอ๋กันบนเตียงเลยวะ ผมยั๊วะจัด
“ไม้ไม่ได้ทำนะพี่เชน พอพี่นิคเห็นมีคนเหมือนเนมเดินอยู่บนตึกก็สั่งให้ไม้กลับมาที่ซุ้ม แล้วพี่นิคก็วิ่งตามขึ้นไป ไม้ก็เลยกลับมาที่ซุ้มตามที่พี่นิคบอก ไม้ไม่ได้ทำจริงๆ”
แล้วมันก็ร้องไห้อีก
“ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอีก ถ้าไม่ใช่มรึงแล้วหมาตัวไหนมันจะทำ ไอ้คนที่มรึงบอกว่าเหมือนเนมก็เพื่อนมรึงล่ะสิ ล่อให้กุวิ่งตามแล้วถือโอกาสผลักกุเข้าไปขังในห้อง”
ไอ้นิคผวาเข้าหาจะเอาเรื่องอีกฝ่ายให้ได้ แต่โดนไอ้โย่งกันตัวไว้
“ใจเย็นๆสินิค บางทีอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้”
ดูไอ้เชนมันพูด แมร่ง มรึงเป็นพระเอกละครหลังข่าวรึไงวะ เข้าใจผิดบ้าบออะไร ก็ทั้งตึกมีแค่ไอ้เด็กเวรนี่กับผมแค่สองคนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ไอ้ไม้แล้วใครจะทำ เข้าข้างกันดีนักใช่มั้ย
“เข้าใจผิดเหรอ มรึงเข้าข้างไอ้เด็กนี่น่ะสิ เออ ดี ปกป้องกันให้ได้ตลอดล่ะ อย่าเผลอแล้วกัน”
ไอ้เชนมันเข้ามาคว้ามือผมไว้ ปล่อยให้ไอ้น้องไม้ยืนสะอื้นฮักๆอยู่กับไอ้น้องวิน
“ใจเย็นก่อนได้มั้ยนิค แล้วคิดดูดีๆว่าเห็นกับตารึเปล่าว่าไม้เป็นคนล็อคประตูจริงๆ”
“พูดอย่างนี้หาว่ากุใส่ร้ายเด็กมรึงเหรอ”
“อย่าพาลได้มั้ย ใช้เหตุผลหน่อยสิ” มันขึ้นเสียงใส่ผมอีกแล้ว หนอย
“พอดีกุไม่มีเหตุผลว่ะ มรึงปล่อยแขนกุเลย กุจะกลับบ้าน”
“จะไปไหน มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนิค”
มันยังไม่ยอมปล่อยมือ แถมยังมาทำเสียงดุใส่อีก กุไม่ใช่ลูกมรึงนะไอ้เชน
“จะเอาให้รู้เรื่องเลยใช่มั้ย ก็ได้” สติแตกสิครับ ผลักอกไอ้เชนสุดแรงแล้วพูดช้าๆชัดๆ
“วันนี้ กุกับมรึง เราขาดกัน”
ผมพูดจบก็จ้องตามันนิ่ง ส่วนไอ้เชนก็ไม่พูดอะไรเลยครับแต่ตามันงี้ลุกวาบๆ ขบกรามแน่นแบบคนที่กำลังโกรธจัด
“โธ่เว้ย!”
ไอ้โย่งมันสบถลั่นแล้วหันไปเตะถังขยะแถวๆนั้นระบายอารมณ์เสียงดังโครมใหญ่ ผลก็คือถังขยะแตกเป็นรูโหว่ลงไปนอนกลิ้งแอ้งแม้งอยู่บนพื้น โห นี่ถ้าผมไม่โมโหอยู่คงนึกหวาดเสียวน่าดู ก็มันใช่ถังขยะใบเล็กๆซะที่ไหนล่ะ ลองนึกภาพดูสิ ถังขยะใบใหญ่ๆสีเขียวๆที่มีล้อแล้วขนาดมันก็สูงเท่าอก ทำจากพลาสติคเนื้อหนาแบบเกรดเอนั่นแหละครับ มันเตะทีเดียวจนพัง เหอๆ ไอ้เชนนี่แรงวัวแรงควายซะจริง
ผมเดินออกมาด้วยอารมณ์โกรธกรุ่นๆ กับฝาแฝดที่นิ่งเงียบเพราะรู้สถานการณ์ดีว่าตอนไหนควรพูดตอนไหนไม่ควรพูด ตามมาด้วยไอ้เชฟกับไอ้คิน แต่ละคนนี่รู้งานดีครับ ไม่มีใครพูดอะไรสักแอะ ปล่อยให้ผมนั่งเงียบๆ จนไอ้เชฟเลี้ยวรถเข้าบ้าน ก็เจอไอ้โก้นั่งทำหน้าตาเป็นห่วงอยู่กับไอ้เป้ ท่าทางจะมีสายคอยรายงานข่าวให้แน่ๆ
ไอ้นิคไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ตอนนี้อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด เดินตึงๆไปเปิดหยิบเอาจานสับปะรดที่ไอ้เชฟมันปอกใส่ตู้เย็นไว้มานั่งจิ้มกินแล้วดูข่าวไปด้วย รสชาติเปรี้ยวๆของมันจี๊ดขึ้นขมับจนผมปวดหัวตุบๆนึกถึงไอ้เชนแล้วโกรธมันจนน้ำตาจะไหลเลยครับ คิดในใจ ห่ะเอ้ย นี่กุรักมันขนาดนี้เลยหรือวะ
ก่อนหน้านี้เคยมีแฟนมากี่รายๆ ถ้ามีเรื่องมาให้ผมไม่พอใจ อย่างเช่นแอบวอกแวกไปคุยกับผู้ชายคนอื่นทำนองว่ากิ๊กกันผมก็จะบอกเลิกเพื่อตัดปัญหาตัดความรำคาญไปเลย แล้ววันนี้ไอ้นิคก็ยังสันดานเดิมครับ ผมบอกเลิกไอ้เชนง่ายๆเหมือนที่บอกกับแฟนคนก่อนๆแต่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา คือ ความรู้สึกเสียใจและผิดหวังจนอยากจะร้องไห้ ทำไมไอ้เชนมันไม่เชื่อผม ทำไมมันถึงเข้าข้างไอ้เด็กนั่น ทำไมมันไม่รั้งผมไว้ ทำไม ทำไม และทำไม สารพัดคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวจนแทบจะบ้า
“แมร่งเอ้ย”
ถีบโต๊ะดังโครม แล้วใช้แขนปาดน้ำตาที่คลอๆปริ่มๆอยู่ขอบตา ห้ามร้องนะมรึงไอ้นิค
“ทำไมสับปะรดมันเปรี้ยวอย่างนี้วะ”
ก่นด่าลมฟ้าอากาศไปเรื่อย บอกตัวเองว่าอย่าร้องๆ แต่น้ำตาบ้านี่มันไม่ยอมร่วมมือสักนิด พาลจะไหลอยู่เรื่อย เคยได้ยินแต่กินข้าวเคล้าน้ำตา แต่วันนี้ไอ้นิคได้กินสับปะรดเคล้าน้ำตา รสชาติชีวิตไปอีกแบบจริงๆ อกหักมันเจ็บอย่างนี้นี่เอง
----------------------------------------
มาถึงตอนนี้ สถานการณ์ของนิคเชนก็เลวร้ายลงเรื่อยๆถึงขั้นแตกหักกันเลยทีเดียว ถ้าแฟนๆนิคเชน อ่านไปแล้วพบความน้ำเน่าก็โปรดอย่าได้ถือสาอิป้านะเคอะ 555 ก็มันเน่ามาตั้งแต่เรื่องเกมรักแล้วนี่นะท่านทั้งหลาย
ส่วนใครที่คิดว่าทำไมตอนนี้อ่านแล้วงงๆ ก็ให้ท่านทำใจ เพราะชีวิตจริงๆของคนเขียนก็ออกจะมึนๆงงๆ พอดู 555 เล่นง่ายงี้เลยน่อป้า
สำหรับวันนี้ป้าจุขอตัวไปอาบน้ำเข้านอนก่อน เจอกันใหม่ตอนหน้า พร้อมกับบทสรุปของเรื่องข้างบ้านฯ ว่าจะออกมาแนวไหนนะจ๊ะ
วันนี้ไปก่อนแล้ว หลับฝันหวาน รักคนอ่านทุกคนค่า
ป้าจุใจ เจ้าเก่าจ้า