Chapter 12 : I see you walk away again.
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ที่ถูกไหล่หนีบแนบไว้กับหูขณะประตูลิฟต์กำลังเปิดออก พลางใช้มือทั้งสองข้างควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋า
“ถึงแล้ว กำลังออกจากลิฟต์ รอแป๊บนะครับ” ผมเดินออกจากลิฟต์ หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับเข้าห้อง ตอนนั้นเองที่หางตาเหลือบไปเห็นร่างของคนที่ไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุด ณ เวลานี้กำลังเดินตรงมา
“พี่แมน!!?” แมทธิวสังเกตเห็นผมซะก่อนจึงร้องทัก ผมถอนหายใจแรงๆ แล้วกรอกตาเซ็งๆ “พี่แมน อยู่ที่นี่เหรอ??”
“ฮะ...” รู้ได้ไงวะ...ผมเผลอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แล้วมองตามสายตาแมทธิวที่จ้องมายังคีย์การ์ดผม ก่อนที่ผมจะยัดมันใส่กระเป๋ากางเกง
แต่เก็บตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหมวะ ทำไมผมต้องเกิดมาหน้าตาดีแต่โง่ด้วยเนี่ย....
“เอ่อ... แค่นี้ก่อนนะครับ” ผมกดวางสายตาโทรศัพท์ ก่อนจะเงยหน้าเพื่อสบตากับแมทธิวที่เดินล้วงกระเป๋าเสื้อกันหนาวเข้ามาใกล้ผมยิ่งขึ้น
ร่างสูงหยุดยืนยิ้มแพรวพราว ผมมองเขา และประเมินสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความอึดอัดใจ เพราะมันเป็นอะไรที่.... กลับตัวก็ไม่ได้(เพราะข้างหลังเป็นลิฟต์) ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง(เพราะโดนขวางทางเดิน)
ติ๊ง!
“พี่แมน หลบ” ไม่ทันได้ถามว่าแมทธิวมองอะไรข้างหลังผม ร่างสูงก็ดึงผมให้หลบพ้นหน้าประตูลิฟต์เพื่อเปิดทางให้คนที่เดินออกจากลิฟต์ ผมเซเบาๆ ไปอยู่ในอ้อมอกคนคนฉวยโอกาส ก่อนจะถูกแขนทั้งสองข้างโอบล็อคไว้อย่างแน่นหนา
แหม... อย่างกับฉากในละครหลังข่าว ถามจริง กับคนที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์เมื่อกี้ เตี๊ยมกันมาป่ะเนี่ย?
“ปล่อยได้แล้ว....” ม้าง... คำสุดท้ายอยากใส่เพื่อประชดประชัน แต่มันจะหลุดภาพลักษณ์เจ้าชายเย็นชาของพี่แมนไปหน่อย เลยได้แต่พูดไปสั้นๆ พร้อมตีหน้าเคร่งขรึม แมทธิวตีมึน กระชับอ้อมแขนแล้วก้มมองผมยิ้มๆ
“ไม่ปล่อย บอกก่อนว่าอยู่ห้องไหน?”
“จะรู้ไปทำไม?”
“....ถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะตอบยังไงเลยสิ” แมทธิวเงยหน้าเล็กน้อยแล้วกรอกตาครุ่นคิด ก่อนจะก้มลงมาสบตากับผมตามเดิม “แต่ถ้าไม่บอกผมก็จะกอดพี่จนกว่าพี่จะบอกนะ”
ข่นบร้า(วิบัติเพื่อน้ำเสียง) บัดสีบัดเถลิงเป็นที่สุด ที่นี่มีกล้องวงจรปิดนะ ถ้าจะทำอะไรพี่ก็ควรลากเข้าห้องก่อนมิใช่หรือ...
ครับ ขอโทษที่หลุดประเด็น ผมควรเล่นตัวมากกว่านี้เพื่อความสมจริงสินะ...
“…” ผมเอามือกันหน้าอกแน่นๆ และดีดดิ้นเท่าที่พละกำลังของตัวเองจะสู้ไหว
“อย่าดิ้นสิครับ” ใบหน้าแมทธิวขยับเข้ามาใกล้ขึ้นจนเห็นปลายจมูกเราสองคนเฉี่ยวกันเบาๆ สร้างความขนลุกขนชันแต่ผมเป็นอย่างดี ผมเกร็งคอหลบจนเหนียงออก ใบหน้าเหยเกจนเลยคำว่าอุบาศว์ไปไกล “จะไม่บอกจริงๆ เหรอ”
“ไม่วะ...”
“แมน!?”...โว้ยยยยยย!!?
เสียงทุ้มของบุคคลที่สามดังขึ้นมาจากประตูห้องผมที่อยู่ถัดจากลิฟต์ไปประมาณหนึ่ง ผมที่เตรียมจะตะโกนกลืนคำพูดลงคอแทบไม่ทัน ก่อนที่ทั้งผมและแมทธิวจะหันไปตามเสียงนั้น
“เฮีย” ผมหันไปสบตากับร่างที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดลงช้าๆ จนกลายเป็นปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมหันไปมองเห็นสลับกับแมทธิวอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งถลาไปยังห้องตัวเองด้วยความเร็วเสียง แล้วดันหลังเฮียฮวงเข้าห้อง “เข้าห้องเหอะ”
ปัง!!!
ผมปิดประตูแรงๆ ในใจบ่นออดแอดอย่างอารมณ์เสีย
เฮียนะเฮีย โผล่มาไม่รู้จังหวะเล้ย ป่านนี้ไม่บอกเจ้าตัวก็รู้ได้ด้วยตัวเองแล้วแหละว่าห้องผมน่ะอยู่ตรงข้ามห่างกันแค่สามก้าวเดินถึง
.
.
.
“แมน แม่ให้เฮียเอาน้ำพริกมาให้ด้วย อยู่ในห้องครัว เห็นไหม?” เสียงเฮียฮวงประสานกับเสียงโทรทัศน์ดังมาจากห้องนั่งเล่น ผมวางแก้วน้ำลงในซิงก์ล้างจานก่อนจะเหลือบมองลังใส่น้ำพริก แล้วถอนหายใจ...
เฮ้อ... นี่กะให้กินยันชาติหน้าเลยหรือไงครับ
“แล้วเฮียจะค้างไหมครับ?” เฮียฮวงเข้ามาทำธุระอะไรสักอย่างเลยแวะมาหาผม ผมเดินออกจากครัวมานั่งลงบนโซฟาข้างๆ เฮีย
ผมกับเฮียไม่ค่อยสนิทกันหรอกครับ ไม่ได้หมายถึงเราไม่ถูกกันนะ แต่ผมเคารพเขาในฐานะเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเพราะช่วงอายุที่ห่างกันมาก ตอนผมยังเด็กเฮียก็เรียนหมอแล้ว พอจบมาเป็นหมอก็งานยุ่งอีก เรียกได้ว่าช่วงเวลาที่เราใช้ร่วมกันแบบพี่น้องแทบจะไม่มีเลย
อย่าว่าแต่กับเฮียเลย กับเจ๊หยงผมก็ยังไม่ค่อยสนิทกันแบบเพื่อนเล่น ทุกคนในบ้านล้วนเอ็นดูผมเหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง ไม่รู้ป๊ากะแม่ปลูกฝังอะไรให้พี่ผมนะครับ ความคิดความอ่านถึงได้โตเกินไว ไม่เข้ากับผมเลยสักนิด
คงมีแต่อัครเดช และพรประภาที่เข้าใจผม...
อ้อ... เกือบลืมแนทที่สนิทกันเพราะป๊ากับม๊าแนทส่งน้ำปลามาขายให้โรงงานน้ำพริกของป๊ากับแม่ผม และเพื่อนในอินเทอร์เน็ตตามบอร์ด กระทู้ เกม และแฟนคลับนิยายเท่านั้นแหละ ที่รู้จักและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของนายแมนคนนี้
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่ค้าง แต่เห็นเมื่อกี้แล้ว แมนอยากให้เฮียค้างไหมล่ะ?” เฮียหันหน้ามาคุยกับผม และใช้สายตาแบบคนที่ผ่านโลกมาเยอะจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม “แมน คนนั้นใคร?”
“....ก็คนรู้จักห้องตรงข้าม” ผมหลบตาเฮียฮวง เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ และถ้าขืนยังจ้อง เฮียต้องรู้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติแน่
“แน่ใจ?...” เฮียฮวงยังไล่ตามมาจ้องตาผม “...เฮียก็นึกว่าเป็นคนที่ทำให้แมนสนิทกับเพื่อนเฮียซะอีก”
เฮียรู้... ได้ยังไง!?
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?” เฮียฮวงยิ้มบางให้ผม ร่างสูงที่แอบลงพุงเบาๆ เอนหลังพิงกับพนักพิงโซฟา เหลือบตามองผม
“เฮียไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของแมนหรอก แค่อยากให้แมนรู้ว่าเราไม่ได้ตัวคนเดียวนะ”
“....”
“มีอะไร ถ้าไม่บอกป๊ากับแม่ก็บอกเฮียไม่ก็เฮียหยงแกบ้าง ถ้ามันร้ายแรงจนทนไม่ไหว อย่าให้มันสายเกินแก้เลยนะแมน”
“...ครับ”
“ครับนี่คือเข้าใจ?”
“ครับเฮีย”
“แล้วสรุปจะให้เฮียอยู่เป็นเพื่อนไหม?”
อยู่เป็นพี่ไม่ได้เหรอ? กร๊าก ขำจัง
“....ไม่ครับไม่เป็นไร” ผมส่งยิ้มให้เฮีย แล้วก้มมองตักตัวเอง
เรื่องวันนี้สอนผมว่า... ทุกอย่างจะดีขึ้นแค่เราเปิดใจ
.
.
.
“เฮียแมน” ทรายเดินกระแทกส้นเข็ม 4 นิ้วเข้ามาในออฟฟิศ สายตากวาดหาผมตั้งแต่อยู่หน้าประตู “แมทธิวฝากคุ้กกี้มาให้เฮียด้วยค่ะ”
อืม... ใช่สิ เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะ ที่ผมได้เบเกอรี่พวกนี้ 5 หรือ 6 หรือ 7
บางวันก็เข้ามาให้เอง บางก็ฝากคนอื่นมาให้ เข้าออกออฟฟิศเป็นว่าเล่น เส้นใหญ่นักหรือไง เดี๋ยวเจอเส้นหมี่หมกอย่างไอ้แมนซะก่อนเหอะ
“อือ เอาไปกินสิ” ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ขนมพวกนี้ ถ้าผมอยากกินก็ไปขอเจ๊หยงกินเมื่อไรก็ได้ มันก็คือๆ กัน
“มันมีการ์ดด้วยนะพี่แมน อีพี่กาย เอาไปกินไป เจ๊ปอ เจ๊แตน เจ๊หวาน ลาเต้ได้แล้วค่า”
เออ มันก็มีมาทุกวันไม่ใช่หรือไงแม่คุณ...
ผมหยิบการ์ดใบเล็กๆ ที่ทรายกระชากออกมาจากโหลคุ้กกี้มาวางบนโต๊ะผมขึ้นอ่าน ก่อนจะวางมันบนโต๊ะตามเดิม
‘เย็นนี้กินข้าวกันนะครับ Mathew’
ไม่ดีแก่ใจผมเลย อย่ามาทำอะไรแบบนี้ได้ไหม...
.
.
.
กริ๊งๆ!
เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นเมื่อประตูถูกเปิด ร้านกาแฟยามเย็นเริ่มมีลูกค้าบางตา ผมเดินไปที่เคาท์เตอร์ที่มีบาริสต้ายืนชงเครื่องดื่มอยู่เสียงดังก๊องแก๊ง
"โทษนะครับ"
"ครับ?"
"แมทธิวอยู่ไหม?"
"อ๋อ เดี๋ยวผมเรียกให้นะ" ชายหนุ่มบาริสต้าเปิดประตูเข้าไปหลังร้าน ผมยืนคอยแค่พักเดียว ร่างสูงของแมทธิวก็เดินออกมา
"พี่แมน" เด็กฝรั่งทำท่าทางเหมือนสุนัขเห็นเจ้าของ ผมมองแมทธิวที่เดินอ้อมเคาท์เตอร์ตรงมา และหยุดยืนยิ้มตรงหน้าผม "ตกลงรับรัก.. เอ้ย นัดผมแล้วเหรอครับ?"
มุกคำผิดถ้าไม่ใช่พี่แมนเล่นไม่ตลกหรอกนะพูดเลย
"..." ผมเงียบ เราทั้งสองเงียบ เป็นแมทธิวที่พยายามจะสานต่อบทสนทนา
"เอ่อ... ฮ่าๆๆ ที่จริงพี่โทร.มาบอกผมก็ได้นะ ผมจะได้ไปรับ"
ใช่ ที่จริงผมเอาเบอร์ที่เจ้าตัวเขียนมาให้ตั้งแต่การ์ดใบแรกๆ ที่แนบมากับขนมเพื่อโทร.ตอบรับนัดเขาก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าผมทิ้งการ์ดใบนั้นไปแล้ว และไม่ได้เมมตัวเลขไว้สักตัว
"ฉันเอารถมาทำงาน" ผมพูดแค่นั้น และหวังว่าแมทธิวจะเข้าใจด้วยตัวเองว่าผมต้องการจะขับมันกลับด้วยตัวเอง
"อ๋อ... ครับๆ งั้นให้ผม..."
"เจอกันที่ห้องฉันละกัน"
"เอ่อ... ครับ?"
"ปิดร้านแล้วค่อยไปก็ได้"
"..." ผมยิ้มมุมปาก และเลิกคิ้วขึ้น
"คงไม่ต้องบอกใช่ไหม ว่าห้องฉันอยู่ไหน?"
.
.
.
ออด...
เสียงออดหน้าห้องดังทั้งๆ ที่เป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใครในเมื่อร้อยวันพันปีที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่แทบจะไม่มีใครแวะเวียนมาเลย
และวันนี้ผมก็นัดแขกไว้แค่คนเดียว จะเป็นใครถ้าไม่ใช่....
แกร๊ก!
"พิซซ่ามาส่งครับ"
...คนส่งพิซซ่า!!?
"..."
"..."
"ครับๆ รอแป๊บนะ" ผมล้วงกระเป๋าหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมา แล้วหยิบแบงค์ห้าร้อยออกมาจ่ายค่าพิซซ่า พนักงานตัวเล็กส่งพิซซ่าให้ผม แล้วหมุนตัวเดินจากไป
"พี่แมน..." คราวนี้ไม่ผิดตัวแน่ ผมละมือจากประตูที่เตรียมจะปิด แล้วปล่อยให้แมทธิวเดินตามเข้ามาเอง ในขณะที่ตัวเองเดินกลับมาปิดฝาโน้ตบุ๊ก เคลียร์ของบนโต๊ะหน้าโซฟาไปกองที่พื้น แมทธิวเดินเข้ามาในห้องชิลๆ ก่อนจะหยุดยืนล้วงกระเป๋า แล้วยืดตัวยืนค้ำหัวผม
"พิซซ่านี่ของนาย?"
"ครับ ผมสั่งเอง กะพลาดไปนิด นึกว่าจะมาทันก่อนมันมาส่ง"
"..." ผมไม่พูดอะไร เพียงแต่จัดการเปิดกล่องพิซซ่า แล้ววางมันไว้บนโต๊ะ
"เหมือนย้อนเวลาไปตอนนั้นเลยนะ" แมทธิวทรุดลงนั่งบนโซฟา ผมเงยหน้ากล่องใส่ไก่ทอด สบตากับแมทธิว แล้วยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง...
แค่บังเอิญพูดออกมาถูกจังหวะ หรือว่าเขาจำได้...?
แต่ภาพเก่าที่กำลังคืนย้อนมา... คงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรสำหรับผม
"แมทธิว..." ผมยืดตัวขึ้นยืน แล้วก้มลงมองใบหน้าแบบฝรั่งๆ นั้น
"ครับ?"
"....กินเถอะ เดี๋ยวชืด"
"พี่แมนเหมือนเดิมเลยนะ..." แมทธิวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงบ้าง ทำเอาผมต้องเปลี่ยนจากก้มเป็นเงยหน้าเพื่อให้สบตาเขาได้พอดี "พี่มีอะไรจะบอกผมใช่ไหมครับ?"
ใช่ เป็นเหตุผลที่แมทธิวอยู่ในห้องผมเนี่ยแหละ....
"......ถามอะไรหน่อยได้ไหม?"
"ได้ครับ ถามเยอะก็ได้ถ้าเป็นพี่แมน"
".....ที่พูดคราวที่แล้วนะ ต้องการอะไร?"
"ที่ผมบอกว่าจะจีบพี่น่ะเหรอ?...."
"....อือ"
"ก็หมายความตามที่พูดเลยนี่ครับ มีตรงไหนไม่ชัดเจนด้วยเหรอ?" ผมมองใบหน้าซื่อๆ ที่ประดับด้วยรอยยิ้มสวยอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
"..." เพื่ออะไร? เขาทำแบบนี้ทำไม
"พี่แมนเคยชอบผม ผมก็คิดว่าผมน่าจะยังมีหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าพี่ไม่ชอบผมแล้วก็ไม่เป็นไร ผมก็จะจีบพี่ไปเรื่อยๆ จนพี่กว่าพี่จะยอมรับในตัวผม" แมทธิวดึงมือผมขึ้นมากุม "...ขอแค่พี่ให้โอกาสกัน"
โคตรเห็นแก่ตัว...
"คิดบ้างไหมว่าสิ่งที่ตัวเองเคยทำมันสมควรได้รับโอกาสนั้นไหม?" ผมจ้องตาแมทธิวตรงๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุม และไม่แสดงออกอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
มันด้านชาไปหมดแล้วสำหรับคนๆ นี้
"..."
"ฉันไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนายต้องการอะไร แต่จากนี้ไป เรามาทำเป็นไม่รู้จักกันดีกว่าไหม?"
"..."
"ถือว่าเป็นคำขอโทษจากฉันที่เคยหลอกนายตลอดเวลาที่รู้จักกัน"
"...ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้นพี่แมน" แมทธิวขยับเข้ามาหาผม ในขณะที่ผมก้าวถอยหลังหนี แมทธิวจ้องตาผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ผมยิ้มบางแล้วส่ายหน้า...
เพราะต่อให้เขาพูดอะไรออกมาก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
กว่าจะรักษาแผลมันต้องใช้เวลานาน ผมไม่ต้องการให้คนๆ เดิมมากรีดซ้ำที่แผลเป็นอีกแล้ว...
แมทธิวยิ้ม... เป็นยิ้มที่ขื่นที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากเขา แขนแกร่งทั้งสองยกขึ้นชูระดับเดียวกับหัวเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนร่างสูงนั้นเดินจากห้องช้าๆ สถานการณ์คุ้นๆ อย่างกับเดจาวู ที่ผมต้องมองอีกฝ่ายเดินจากไป...
และผมหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมต้องรู้สึกเจ็บปวดกับคนๆ นี้
ลาก่อน แมทธิว
.
.
.
ผมนั่งนิ่ง ดวงตาเหม่อลอยไปไกลตามความคิดที่โคตรจะฟุ้งซ่านของตัวเอง ท่าทางแบบนี้ไม่ค่อยแปลกประหลาดนักหรอกสำหรับคนที่รู้จักผมดี ถ้าไม่ติดว่างานเอกสารการเงินของออฟฟิศที่ผมรับผิดชอบอยู่มันไม่เดินเลยสักนิด จนทรายต้องเดินมาตบโต๊ะ
ปัง!
"เฮียแมน!!!" ผมสะดุ้งโหยง ก่อนจะเหลือบตามองรุ่นน้องร่วมออฟฟิศ แล้วดึงเศษสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาตั้งใจฟังที่ทรายพูด "งานเฮียเอามาให้ทรายเถอะค่ะ เหม่อซะขนาดนี้เมื่อไรมันจะเสร็จคะ"
"หา???..." ไม่รอให้ผมอนุญาตมือเรียวก็รวบแฟ้มงานทั้งหมดตรงหน้าผมไป ก่อนจะเดินไปสมทบกับเจ๊แจงที่ออกมาจากห้องประจำตำแหน่งตัวเองสักพักแล้ว
"ไอ้แมนมันเป็นอะไร ทำท่าอย่างกับผัวทิ้ง"
ฉึก! แทงใจดำ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ผมแกล้งทำหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่ดังลั่นออฟฟิศของเจ๊แจงกับทราย
"หน้าตาเหมือนโดนเทตั้งแต่ยังไม่เริ่มคบ อย่าเรียกว่าโดนทิ้งเลยค่ะอาแจง" อาหลานคู่นี้เขาเป็นลูกคู่ที่ดีต่อกันครับ ผมแอบชำเลืองมองพี่แจงกับทรายที่พร้อมใจกันกรีดตาคมเฉี่ยวด้วยอายไลน์เนอร์เส้นเล็ก ยิ่งเสริมมาดนางร้ายขึ้นไปอีก ดวงตาแต่งแต้มสีสบกันอย่างมีความหมาย ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะขี้เกียจออกปากเถียงให้วุ่นวาย
"เฮ้อ น่าสงสาร ไปซื้อกาแฟมาไป ให้คนอื่นด้วยนะ ฉันเลี้ยง"
"พวกเจ๊เอาเหมือนเดิมนะทราย" พี่ปอพูดขึ้นแทนคนอื่นๆ ซึ่งวุ่นอยู่กับหน้าจอคอม แต่พี่กายนั้นเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำเลยทำหน้างง
"เอาอะไรกันอะ?!"
"อาแจงจะเลี้ยงกาแฟค่ะ เอาอะไรป่ะพี่กาย??" ทรายรับเงินมาจากพี่แจง ในขณะที่พี่กายสบตากับผม
“ไม่รู้ดิ แมนกินอะไรอะ?”
“พี่ไม่กินกาแฟได้ไหมอะทราย?”
“ไม่ได้!!/ไม่ได้ย่ะ!!” ทรายกับพี่แจงโพล่งออกมาแทบจะพร้อมกัน ผมขมวดคิ้วเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมล่ะ ก็จะกินชามะนาว ไม่ได้เหรอ?”
“เออ ผมก็อยากกินนะเจ๊แจง”
“วุ้ย จะกินอะไรก็สั่งๆ มาเหอะ อย่าลีลา” พี่แจงโวยวาย หางตาแอบสบกับทรายเบาๆ นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก...
ท่าทางแบบนั้น ต้องมีอะไรแน่ๆ
“สรุปว่าพี่กับแมนเอาชามะนาวละกัน ป่ะ เดี๋ยวพี่ไปช่วยถือ” พี่กายตัดบทให้
“ไม่ต้องๆๆ ค่ะ ทรายถือกลับมาเองได้” ทรายฉีกยิ้มจนตาปิด ผมมองตามร่างบางที่เดินตัวปลิวออกจากออฟฟิศไป
น่าสงสัย ท่าทางแบบนี้มันน่าสงสัย...
“ลาเต้ค่ะเจ๊ๆ” แก้วกาแฟถูกวางลงบนโต๊ะของแต่ละคนโดยฝีมือของทราย ผมมองร่างบางในชุดรัดรูปที่เดินตรงไปยังโต๊ะพี่กาย “พี่กายอู้ แอบคุยกับสาละมีจะฟ้องอาแจง”
“ใครผัว นี่เมียพี่”
“หน้าตาอย่างแกเนี่ยนะจะกดใคร” เสียงพี่แตนค่อนแคะเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ๊คนอื่นๆ ในออฟฟิศ ทรายเดินขำ ถือแก้วชามะนาวมาทางผม ก่อนจะกระแทกมันลงบนโต๊ะ
“อะ! ชามะนาว กินให้หมดแก้วนะคะ”
ขอบคุณที่อ่าน คอมเมนท์ และแก้คำผิดกันเสมอมาค่ะ มีประโยชน์ต่อเห็ดมาก ดีใจที่มีคนชอบนะคะ ด้วยรัก จากเห็ดหอม
ปล. พรุ่งนี้หวยออก ใครซื้อก็ขอให้ถูกรางวัลกันถ้วนหน้านะคะ