Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75657 ครั้ง)

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ตายอย่างสงบ.....

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไวไฟนะสองคนนี้

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :katai2-1:

น้องกานต์น่ารัก เมือ่ไหร่จะพาว่าที่ลูกสะใภ้ไปหาคุณแม่ค้าาาาา

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





16 .




สภาพอากาศของสิงคโปร์ตอนนี้นับว่าร้อนอบอ้าวกว่าเมืองไทยมาก บทจะมีฝนก็ตกมาไม่บอกกล่าว ทางเจ้าบ้านจึงเชื้อเชิญผมและวรเมธเข้าไปคุยถึงรายละเอียดการซื้อขายรีสอร์ทแห่งนี้กันในห้องประชุม การพูดคุยในชั้นแรกไม่ค่อยราบรื่นนักเพราะทั้งสองฝ่ายย่อมต้องมีเป้าหมายและเงื่อนไขแตกต่างกัน ราคาเสนอขายยังสูงเกินกว่าที่บอร์ดของโรงแรมจะรับได้ แต่โดยส่วนตัวผมชอบที่นี่ซึ่งใช้สภาพธรรมชาติเป็นจุดขาย ไม่ต้องหรูหราติดดาว ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้ง ไม่ต้องมีความบันเทิงอาทิสวนสนุกหรือคาสิโนรองรับ แต่สามารถตอบโจทก์ของนักท่องเที่ยวได้ชัดเจนและเชื่อว่าจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไป การเจรจาต่อรองดำเนินไปนานนับชั่วโมงจนผมเกือบถอดใจ แต่พอแขกอีกคนซึ่งควรจะได้ชื่อว่านายหน้าคนงามปรากฏตัว ไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างจะพลิกกลับมาจบลงด้วยความเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจ


“ยินดีมากครับที่ได้คุยกัน ผมจะรีบกลับไปปรึกษากับบอร์ดและแจ้งผลให้ทราบโดยเร็วที่สุด แต่โดยส่วนตัวผมหวังอย่างยิ่งว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะครับมิสเตอร์ชาน” ผมลุกขึ้นแล้วสัมผัสมือกับคู่เจรจาชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน นิ่งรอให้ล่ามแปลข้อความทั้งหมดและรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายซึ่งกล่าวขอบคุณด้วยความยินดีเช่นกัน


จากนั้นผมและเลขาก็เอ่ยลาอย่างเป็นทางการและขอตัวออกมาก่อน ปล่อยคนกลางไว้กับเจ้าของรีสอร์ทซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขยของเธอ แต่เขากับครอบครัววางแผนจะย้ายไปตั้งรกรากที่อังกฤษในเวลาประจวบเหมาะกับที่ผมอยากขยายเครือข่ายโรงแรมอยู่พอดี การเจรจาครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ผมเดินตามพนักงานออกมายังพื้นที่สวนตามคำเชิญขอเลี้ยงน้ำชายามบ่าย รออีกครู่เดียวเจ้าภาพก็ตามออกมา ไม่ใช่มิสเตอร์ชาน แต่เป็น มาดามหลิว นายหน้าวีไอพีของผมนั่นเอง


“ดีใจเหลือเกินที่ได้พบกันอีกครั้ง ทางภูเก็ตเป็นอย่างไรบ้างคะ หวังว่างานคงจะเดินหน้าราบรื่นดี” เธอยิ้มน้อยๆแล้วเดินเข้ามาแตะแก้มกับผมและเมธตามธรรมเนียม


“แน่นอนครับ ผมส่งทั้งช่างฝีมือดีและคนที่ไว้ใจได้ลงไปคุมงานทุกขั้นตอน คาดว่าจะเสร็จทันตามกำหนด ขอเชิญมาดามไปเป็นเกียรติในวันเปิดตัวโรงแรมล่วงหน้าเลยนะครับ”


“ดีจริง!” ชุดแซกสีแดงเข้ารูปช่วยขับความงามของมาดามหลิวให้เป็นที่ประจักษ์ ยิ่งเวลายิ้มกว้างจนตาเรียวรีลงจะยิ่งทำให้ดวงหน้าสว่าง ดูสดใสราวกับสาวแรกรุ่น ไม่น่าเชื่อว่าจะรั้งตำแหน่งแม่ม่ายลูกหนึ่งไปเสียแล้ว “แต่อย่างนี้คุณภากรคงเหนื่อยแย่ ทั้งงานที่กรุงเทพกับสาขาที่จังหวัดอื่นก็มากมายอยู่แล้ว น่าจะหาคนรู้ใจมาช่วยบ้างนะคะ”


“สำหรับที่อื่นงานค่อนข้างอยู่ตัวเลยไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก ส่วนที่ภูเก็ตผมตั้งใจจะส่งภาวิณี น้องสาวของผมลงไปดูแล รับรองว่าเธอจะไม่ทำให้มาดามผิดหวังอย่างแน่นอนครับ”


ไม่รู้เจ้าเมธนึกยังไงถึงเอ่ยขอตัวแล้วเดินกดมือถือห่างออกไป มาดามส่งสายตาให้พนักงานที่รออยู่ตามเอาชาไปเสิร์ฟให้ พอเหลือกันสองคนเธอจึงค่อยรินชาร้อนควันกรุ่นกลิ่นเบอรรี่หอมเลื่อนส่งให้พร้อมขนมชิ้นเล็กๆที่ดูน่ารักเกินกว่าจะกินลงได้


“คุณภากรท่าทางจะสบายดี ดูหน้าตาผ่องใสมีความสุขนะคะ” เธอคงเห็นที่ผมมองขนมแล้วยิ้มเลยเอ่ยแซว


“มาดามเองก็งดงาม ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน คาดว่าเป็นเพราะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวทางนี้” ผมชมจากใจจริง นึกนิยมทั้งรูปโฉมและน้ำใจ อย่างในการวิ่งเต้นเป็นตัวกลางในการเจรจาครั้งนี้เธอปฏิเสธเสียงแข็งไม่รับค่าเหนื่อยสักบาท หากมีสิ่งใดที่จะทำให้เธอพอใจได้ผมก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ


“อย่าล้อดิฉันเล่นเลยค่ะ แม่ม่ายลูกติดมีหรือจะสู้สาวๆได้ โดยเฉพาะสาวไทยที่รายล้อมคุณภากรคงไม่ต่างจากดาราที่สุกสกาวรายล้อมดวงเดือน”


มาดามจบคำเปรียบด้วยรอยยิ้มแล้วยกถ้วยชาจรดริมฝีปากแช่มช้า ลิปสติกสีแดงเทียบกับเนื้อกระเบื้องเคลือบสีขาวดูเด่นติดตาจนผมกลัวจะเสียมารยาทจึงหันไปยังแปลงดอกไม้ นึกแปลกใจที่จู่ๆก็พลันเห็นดอกไม้มากมายกำลังสยายกลีบเริงรับแสงแดด ทั้งที่ความจริงคงไม่มีไม้ประหลาดพันธ์ไหนที่จะบานได้ในพริบตา


“มาดามต่างหากที่ถ่อมตน ดอกไม้แรกผลิก็เพียงแต่สะดุดสายตา แต่ที่จะตราตรึงใจผู้ชายทุกคนให้ลุ่มหลงคือกุหลาบงามที่แย้มบานเต็มที่ ทั้งหอม หวาน เย้ายวนสายตามากกว่าครับ”


“พูดราวกับคุณภากรก็นิยมสาวแก่แม่ม่าย”


ผมหันกลับมาแล้วต้องสะดุดใจ สายตาและน้ำเสียงหวานไม่ผิดจากสะพานทอดเชิญให้ก้าวข้าม ผู้ที่รออยู่อีกฟากเปรียบได้กับเพชรที่ผ่านการเจียรนัยจากช่างฝีมือ อาจมีตำหนิบ้างแต่ยังถือเป็นอัญมณีทรงคุณค่า จะเชิดชูเป็นเพชรเม็ดเอกก็ดูไม่ขี้ริ้ว หากเป็นนายภากรอย่างที่ผมเคยเป็นคงตอบรับคำเชิญชวนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


“น่าเสียดายที่ผมมีเพียงตาที่ยังไม่ได้ขัดเกลา แต่หากเป็นมาดามหลิวแล้ว เชื่อว่าจะติดตราตรึงใจชายหนุ่มได้ทั่วทั้งเกาะเป็นแน่”
มือเรียวเล็กชะงักค้างแล้วค่อยๆวางแก้วน้ำชาลงบนจาน มีเสียงกริ๊กเบาๆ คาดว่าเกิดจากอาการสั่นแต่ก็เพียงนิดเดียวตามประสาคนที่ครองสติได้อย่างดีเยี่ยม


“ทำไมดิฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกปฏิเสธ”


“ใครที่กล้าทำเช่นนั้นก็โง่งมเต็มที ผมว่ามาดามอย่าเสียเวลาไปสนใจเลยครับ”


ผมจ้องตรงในดวงตาคู่งามตามปกติ พยายามไม่ล่วงเข้าไปในความคิด แต่ถือเอารอยยิ้มจืดเจื่อนชั่วแวบหนึ่งแทนคำตอบของเธอ


“ตกลงค่ะ ดิฉันจะเชื่อคำพูดของเพื่อนสักครั้ง”


“ผมถือเป็นเกรียติที่ได้นับเป็นมิตรแท้กับมาดามตลอดไปครับ”


ผมก้มหัวเล็กน้อยยืนยันคำพูด เมื่อเงยหน้าขึ้นมานับเป็นเรื่องดีที่ผมและเธอสามารถแลกรอยยิ้มแก่กันได้อย่างเป็นปกติ เราคุยกันต่อในหลายๆเรื่อง จนถึงเรื่องที่ใกล้ตัวเข้ามาอย่างคุณหนูจิ้งที่ท่าทางจะมีแววศิลปินเหมือนแม่ เมื่อพูดถึงลูกสาวก็ไม่แปลกที่เธอจะนึกถึง...


“จริงสิ พ่อหนุ่มที่เจอกันตอนนั้น...”


“กานต์ครับ” ผมเอ่ยตอบแล้วรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ


“ใช่ๆ น่ารักเหลือเกิน คุณภากรน่าจะพามาด้วย ลูกสาวดิฉันยังบ่นคิดถึงอยู่บ่อยๆ”


“ผมมาเรื่องงาน รายนั้นเลยงอแงขออยู่กรุงเทพดีกว่า แต่โอกาสหน้าจะพามาพบมาดามและคุณหนูให้ได้เลยครับ”


พูดถึงแล้วก็อดห่วงไม่ได้ เมื่อเช้าตอนที่ออกจากบ้านสวนเพื่อมาสนามบิน เจ้าตัวยืนยันจะมาส่งที่รถ แต่แค่ตะกายลงจากเตียงยังลำบาก ผมเลยจูบตัดกำลังไปหลายทีแล้วสั่งเด็ดขาดว่าให้พักอยู่แต่ในห้อง ฝากคุณรื่นไว้ ไม่รู้ป่านนี้จะอาการดีขึ้นหรือยัง


“งอแง?” มาดามหลิวทำตาโต แต่ดูยังไงก็ไม่ได้ครึ่งของเจ้าตัวแสบ “ดิฉันอาจจะหูฝาดหรือเข้าใจอะไรผิดไป...?”


“จริงๆครับ ทั้งงอแงแถมขี้งอนเป็นที่หนึ่ง แต่พูดไปคงผิดที่ผมเอง โดนลูกอ้อนเข้าหน่อยก็อดตามใจเขาไม่ได้สักที”


ไม่ต้องย้อนไปถึงไหนต่อไหน เอาแค่ค่ำคืนที่ผ่านมาก็ทำเอาจะบ้าตาย จู่ๆคนที่โดนผมรุกจนนอนหลับตาตัวสั่นก็เกิดองค์ลง ลุกขึ้นมาจู่โจมกันดื้อๆ ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นผู้ชายคนแรกที่ได้ใกล้ชิดชนิดเสียดสีรูขุมขน พอริมฝีปากสีฉ่ำแตะเบาๆผมก็สะท้าน แทบละลายเหมือนแท่งไอติมโดนเลียแผลบ เกือบจะถูกกัดอยู่แล้วแต่ดีที่ผมไหวตัว รีบใช้จูบเป็นหมัดเด็ดแล้วปรนเปรอให้ทุกอย่างแลกกับเสียงครางกระเส่าเร้าอารมณ์ให้พุ่งทะยาน มีบางทีนึกอยากแกล้งเลยหยุดปากหยุดมือก็ถูกกำปั้นเล็กทุบอกดังปั้ก งอแงร้องขอยิ่งกว่าสาวๆเสียอีก แต่บางช่วงก็โวยวายสั่งให้หยุด บ้างอ้อนให้เร่งเร้าเอาใจ อย่างที่เห็นเวลาอยู่กับน้ามาลัยหรือใครๆนั่นเทียบไม่ได้เลยกับที่ผมเจอมาทั้งคืน พอผ่านศึกยกแรก ผมแกล้งแซวเพราะอยากเห็นแก้มใสๆกลายเป็นลูกตำลึงสุกก็เลยถูกงอน หมดแรงแท้ๆยังทั้งดิ้น สะบัดหนี ถีบผมเกือบตกเตียง ไม่นึกเลยว่าปล้ำเด็กนี่มันจะเหนื่อยกว่าที่เคยผ่านใครต่อใครหลายเท่านัก แต่อย่างว่า... ผมเองก็เอาคืนจนคุ้มแสนคุ้ม แค่นึกถึง ความสุขมันก็จุกล้นจนอึดอัดไปหมดทั้งตัวแล้ว


“อาาา เข้าใจล่ะ” ไม่รู้ว่ามาดามหลิวจะสังเกตเห็นอะไร สายตาที่มองผมจึงเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง มีแววรู้ทันแกมหยอกเย้าให้ผมรู้สึกเขินนิดๆ “เด็กน่ารักก็มักจะเป็นที่รักของคนรอบข้างเสมอ กานต์โชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบกับคนที่รักเขา ดิฉันขออวยพรจากใจนะคะ”


“ขอบคุณ ผมเองก็ขอให้มาดามได้พบโชคดีครั้งใหม่ในเร็ววันเช่นกันครับ”


ผมย้ำคำอวยพรอีกครั้งเมื่อสมควรแก่การเอ่ยลา ขณะนั่งลิมูซีนกลับที่พักซึ่งอยู่ในเขตเมืองใหญ่ เมธถามว่าอยากเลื่อนไฟลท์กลับเมืองไทยเย็นนี้เลยหรือเปล่า ทีแรกผมไม่ทันคิดอะไรแต่ไอ้สายตาวิบวับของเจ้าเลขารู้มากทำให้ผมปากหนัก ต้องปฏิเสธไปแล้วแกล้งนั่งหลับตานิ่งจนมาถึงโรงแรม แต่โอกาสที่ผมยอมแพ้ทุกประตู มีหรือที่มันจะไม่ตามซ้ำให้จมดิน...


“หมายความว่าไง?!”


ผมรีบลุกจากที่กำลังนอนคว่ำหน้าแล้วตะคอกถามเสียงเครียด ถ้าจะถามที่มาที่ไปนั้นต้องย้อนไปตอนกลับถึงห้องพัก เจ้าเมธเสนอว่าที่โรงแรมแห่งนี้มีบริการสปา ถ้าไม่อยากออกไปท่องราตรีก็น่าจะลองใช้บริการดู ผมเลยมานอนรออยู่ที่ห้องสปา กำลังเคลิ้มกับกลิ่นอโรมาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ไอ้เลขาตัวแสบก็เข้ามาสมทบพร้อมกับพนักงานสปาที่... แม่งล่ำกว่าผมอีก!


“ผมเห็นนายท่าทางเหนื่อยๆ ก็เลยอยากเอาใจ...” ไม่ใช่แค่คำพูดที่สรรหามากวนประสาท สีหน้าแววตาไอ้เมธตอนนี้ระคายอวัยวะเบื้องต่ำเป็นที่สุด พอเห็นผมของขึ้นมันยังมีหน้า... “อ้าว! ไม่ชอบหรอกเหรอครับ!” 


รู้ว่าด่าไปก็มีแต่เข้าตัวเอง ไอ้คนฟังไม่มีทางสำนึกหรือเจ็บแสบอะไรด้วย ผมเลยเดินหนีออกมาที่สระว่ายน้ำ นอนมองสาวๆที่รอแดดหมดจึงทยอยกันลงมาเล่นน้ำยังจะมีประโยชน์เสียกว่า มันคงสำนึกได้สักสิบเปอร์เซ็นต์เลยเดินตามตูดพนักงานโรงแรมมาแล้วแย่งเอาแก้วเบียร์ส่งให้ แต่ขอโทษ ผมจำไม่ได้ว่าสั่ง!


“โกรธเหรอวะ?” ถือแก้วค้างอยู่ไม่ทันถึงอึดใจความสำนึกผิดของมันก็หมด เพราะแทนที่จะคะยั้นคะยอให้ผมรับไปดื่มกลับยกจิบซะเองแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะตรงกลางระหว่างเก้าอี้นอนของผมกับมัน เหมือนจะบอกว่าถ้าผมคอแห้งอยากจะจิบบ้างก็ได้ มันไม่ถือ!


“ขืนมึงทำอย่างนี้อีกโดนถีบแน่!” แน่นอนว่าที่ผมเคืองไม่ใช่เรื่องเบียร์แก้วที่ว่า


“ขอโทษ ฉันล้อเล่นหนักไปหน่อย อย่าถือสาเลยน่ะ”


“เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าผู้ชายที่กูชอบมีแค่กานต์คนเดียว!” ผมทวนคำพูดตัวเองอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและแววตาหนักแน่น ไม่ใช่แค่คิดไปเองแต่ผมแน่ใจว่าต่อให้ถูกบังคับก็ไม่มีทางกอดใครได้อีกนอกจากร่างบางที่รินลมหายใจอุ่นๆรดอกผมอยู่ทั้งคืนที่ผ่านมา


“คร้าบๆ ผมผิดไปแล้ว ขอโทษครับนาย” ปากขอโทษแต่เห็นรอยยิ้มแล้วท่าทางจะเชื่อไม่ได้ “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ไอ้คนที่ชอบน่ะ สงสัยเมื่อคืนคงอ่วมเลยสิ”


ผมมองหน้ามันแล้วรู้สึกหน้าผากย่นขึ้นมาทันที ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง


“จะบอกอะไรให้อย่างแต่สัญญาก่อนว่าจะไม่ลุกมาไล่กระทืบ โอเค้?” มันรอจนผมยอมพยักหน้าแล้วว่าต่อ... “เมื่อคืนที่คุยกัน นายไม่ได้วางสายว่ะกร”


แดดหมดไปแล้วแต่จู่ๆร้อนวูบเหมือนมีลูกไฟลอยใส่หน้า เฮ้ย! ยังไงผมก็ผู้ชาย แมนๆด้วยกันไม่ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอาย... ถือเสียว่าอายแทนอีกคนที่ร่วมในเหตุการณ์ก็แล้วกัน


“แม่งโครตซี้ดดดด!” พยานปากสว่างส่งเสียงกวนบาทา แล้วยังแกล้งทำเป็นกระซิบ แน่จริงไม่ตะโกนบอกให้เขารู้กันทั้งโรงแรมไปเลยล่ะ “ถามจริง ถึงเช้าเลยมั้ย พอดีทนฟังไปได้นิดเดียวก็ไม่ไหว มือไม้มันสั่นจนต้องรีบตัดสาย ยังเสียดายไม่หายเลยเนี่ย”


“ไอ้โรคจิต!”


“แล้วไอ้คนที่โชว์เสียงสดๆผ่านโทรศัพท์นี่จิตปกติงั้นสิ?”


ผมด่าเบาๆ โดนโต้กลับแบบเบาะๆ เลยต้องเปลี่ยนแผน


“ก็...ไม่ได้ตั้งใจ...”


“เออ ฟังก็รู้แล้วว่าอารมณ์มันพาไป หลงเด็กจนหน้ามืดตามัวสุดๆเลยนี่หว่า ระวังไว้แล้วกัน วันหลังอย่าเผลอไปคุยโทรศัพท์กับใครตอนที่เจ้าตัวดีมันป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมาจะมีคนหัวใจวายตายซะเปล่าๆ”


ผมจะรู้สึกอะไรได้นอกจากกำลังโดนซ้ำเติม แต่อีกฝ่ายเป็นทั้งเพื่อนควบตำแหน่งลูกน้องคนสนิท มีส่วนสำคัญในชีวิตและมักให้ความเห็น คำแนะนำดีๆได้เสมอ แล้วกับเรื่องแบบนี้...


“นาย...ไม่ได้...อะไรใช่มั้ย?”


“ถึงฉันจะจู้จี้จุกจิกเรื่องงานแต่ไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวใครหรอก พูดไปก็ถือว่าดี อย่างน้อยก็ไม่มีใครโดนหลอกแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่คุณป้า ถ้าเขารู้ว่าจะได้ผู้ชายมาเป็นสะใภ้คงไม่ยอมง่ายๆ แต่ถ้านายจริงใจก็มีลุ้น ฉันว่ากานต์ก็น่าเอ็นดูดี เด็กมันน่ารัก นายก็รักมันให้มากๆแล้วกัน”


“ขอบใจว่ะ”


“เพื่อนกันคิดไรมาก”


ผมกับเมธมองตาแล้วยิ้มให้กัน คนอื่นเห็นอาจคิดไปไกล แต่สำหรับเราสองคน นี่คือการสื่อสารระหว่างมิตรแท้ และในฐานะเพื่อนคงไม่แปลกถ้าจะมีเรื่องที่ผมอดห่วงบ้างไม่ได้


“นายเองก็หาใครสักคนได้แล้วนะ แก่ขึ้นทุกวันจะมัวทำแต่งานได้ไง ระวังรู้ตัวอีกทีน้ำยาจะหมดอายุ”


“ไม่ดีกว่า ขี้เกียจหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัว”


“งั้นฉันหาให้เอามั้ย” คุยเรื่องนี้ทีไรเมธจะดิ้นเหมือนปลาไหลที่ลอดรูนิ้วหลุดไปได้เรื่อย แต่ตอนนี้ผมได้เค้ารางของเป้าหมายอีกฝั่งแล้วน่าจะลองเอาจริงดูสักที “พอดีรู้จักอยู่คน สาวน้อยตามคม ผมยาว ท่าทางโก๊ะๆหน่อยแต่เวลาพูดจารู้เลยว่ามีสมอง เผลอๆจะฉลาดเป็นกรด อีกไม่กี่ปีก็เรียนจบใช้งานได้แล้ว”


“ไม่ต้องเลย! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับยัยเด็กนั่น”


ผมตาไม่ฝาด เจ้าเมธถึงกับสะดุ้ง ฟังที่โวยวายออกมาแสดงว่ามันก็รู้ตัวฝ่ายหญิง อย่างนี้มีลุ้น!


“แล้วที่แอบมองเขาบ่อยๆ ตามองตาแล้วมันไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง”


“รู้สึกสิ” เมธชะโงกมา ทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่ แต่พริบตาเดียวมันกลับลำแล้วตอกจนผมหน้าหงาย “ก็รู้สึกว่าพี่สาวยังน่ารักสู้น้องชายไม่ได้ ถ้าจะมีแฟนสักคนฉันรอสอยกานต์จากไอ้หน้าโง่แถวนี้ดีกว่า”


“ฝันไปเหอะ! กลับไปสอยไอ้ล่ำที่มึงเรียกมาโน่นเลยไป!!”


ผมไม่สนว่ามันได้สอยอะไรใครหรือเปล่า แต่สั่งห้ามมันพูดจาพาดพิงถึงเด็กผมอย่างเด็ดขาด มองหน้าได้แต่ห้ามจ้องตา คุยกันได้แต่ไม่ให้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ไอ้ประเภทขลุกอยู่ในห้องทำงานด้วยกันทั้งวันจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกแน่ คำสั่งของผมน่าจะครอบคลุมทุกสถานการณ์แล้ว แต่ที่ลืมนึกไปคือคนของผมนี่ต่างหากที่ไม่เคยคิดจะระแวงหรือระวังตัวเลยสักนิด


ผมกับเมธออกจากสิงคโปร์กลับมาถึงโรงแรมตามกำหนด ใช้เวลาเดินทางไม่มาก ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อยเลยตั้งใจว่าเข้ามาเคลียร์เฉพาะที่เป็นงานด่วนแล้วจะรีบกลับไปบ้านสวน ไม่คิดว่าไอ้คนที่อยากเจอหน้าก็ดั๊นโผล่หน้ามาให้เจอถึงที่...


“คุณเมธกับคุณกรมาแล้ว” เจ้าตัวเล็กยิ้มร่าแล้วโผเข้าหาคนที่เดินนำซึ่งบังเอิญไม่ใช่ผม! “เดินทางเหนื่อยมั้ยครับ”


“มาได้ยังไง?!”


เสียงผมดังใช่ย่อยแต่กลับไม่เข้าหูคนถูกถาม ไม่ตอบผมไม่พอ ยังแล่นไปหยิบกล่องอะไรสักอย่างมายื่นให้เจ้าเมธดู อ้อล้อกันเหลือเกิน!


“ขนมกลีบลำดวนมั้ยครับ ยายเป้าทำซะเยอะแยะ ผมเลยขอแบ่งมา อร่อยมากๆเลยครับ”


เจ้าเมธอ้างว่าเพิ่งกลับเข้ามายังไม่ได้ล้างมือแล้วอ้าปากรอให้ป้อน ไอ้คนของผมก็พาซื่อรีบเปิดกล่องหยิบขนม แล้วคิดว่าผมจะยอมมั้ยล่ะ?! ผมคว้าข้อมือขาวลากเข้าห้องทำงาน ขนาดนี้แล้วเจ้าเด็กนี่ยังซื่อบื้อ ยืนจ้องหน้าต่อว่าที่ผมทำตัวเสียมารยาท ผมเลยถามใหม่อีกทีด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เย็นๆ ชนิดที่ใครก็บอกว่าทำให้หนาวไปถึงสันหลัง


“เมื่อกี้ที่ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ”


“ก็...” ดวงตากลมเบิกโพลง ท่าทางจะกลัวผมขึ้นมาบ้างเลยอุบอิบบอกอย่างกับบ่น “พอดีน้ารื่นกับน้าจิตอยากจะเปลี่ยนผ้าม่านที่บ้านสวนเลยเข้ามาดูผ้าที่พาหุรัด ผมเลยขอให้ลุงพันเลยมาส่งที่โรงแรม”   


“แล้วมาทำไม ทำไมไม่พักอยู่ที่บ้าน!” ผมถามเสียงดังขึ้นอีก คนตัวขาวเลยสะดุ้งทำคอย่น หน้าแหยๆนี่โคตรน่าฟัดเลย


“ผมสบายดี ไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อวานนอนทั้งวันเบื่อจะแย่ แล้วผมก็...”


“ก็อะไร!?” ยิ่งตอบยิ่งก้มหน้า ผมเลยต้องจับคางเล็กเชิดขึ้นไม่งั้นคงไม่ได้ยินว่าพูดอะไร


“ก็ผม...อยากเจอคุณกรเร็วๆนี่ครับ”


เป็นคำตอบที่ทรงอานุภาพขนาดที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้นทันที อารมณ์ขุ่นมัวสลายไปราวกับสายหมอกต้องแสงแดด พอเห็นผมหายหน้าบึ้ง พระอาทิตย์ก็ยิ้มแฉ่งทันตา ผมเริ่มรู้สึก คำที่ว่า ‘ไปไหนไม่รอด’ คงเกิดจากอะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง


“แล้วไม่คิดว่าคุณกรก็อยากเจอกานต์เร็วๆหรือไงหืม?” ผมรวบเอวบางเข้ามาแนบตัว เกลี่ยคำถามเบาๆข้างแก้มนวลใส “แต่ที่ห้ามเพราะเราน่ะดื้อ จะให้ไอ้หมอเข้าไปดูที่บ้านสวนก็ไม่ยอม ฉันเลยอยากให้พักเยอะๆ เดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จก็จะรีบกลับไปหาอยู่แล้ว นี่ถ้าสวนกันจะทำยังไง มันจะเสียเวลารอกันไปรอกันมานะรู้มั้ย”


“แต่ผมสบายดีแล้วจริงๆนะครับ ให้วิ่งแข่งยังไหวเลย”


“แน่ใจ”


“แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”


จากที่สังเกตเห็นก็พอให้เบาใจได้ รอยช้ำที่แก้มจางลงมาก อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ ถูกกอดแน่นยังไม่มีอาการบอกว่าเจ็บ แต่ที่เซ้าซี้อยู่นี่ก็เพื่อ...


“เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้”


“อื๊อ! อยากรู้อะไรก็เรื่องของคุณสิ ผมไม่เกี่ยว! ปล่อยเลย! จะไปหาป้ามาลัย” คงไม่เจ็บจริงๆแต่กำลังยังไม่ฟื้นเลยไม่ค่อยมีแรงดิ้น


“จะไปทำไม เรียกน้าลัยขึ้นมาบนนี้ก็ได้”


“ไม่เอาอ่ะ ผมอยากไปหาป้ามาลัยเอง ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็มาครับ”


จังหวะที่ผมเอี้ยวตัวไปกดโทรศัพท์ดันพลาดให้คนในอ้อมแขนหลุดมือ ที่จริงว่าจะปล่อยอยู่แล้วแต่เห็นสีหน้าเหมือนเอาชนะผมได้มันน่าหมันเขี้ยวเลยไล่ตามออกมา กะจะคว้าตัวกลับไปลงโทษสักฟอดสองฟอดก่อนค่อยให้ไปหาน้ามาลัย ออกมาจากห้องเห็นเป้าหมายจะถึงลิฟต์แล้ว ตะโกนเรียกให้หยุด หนอย! หันมาแลบลิ้นเยาะเย้ย แต่พอลิฟต์เปิดออก เจ้าเด็กแสบของผมกลับผงะแล้วยืนค้างอยู่ตรงนั้นจนผมวิ่งตามไปจับตัวไว้ได้ในที่สุด





จบตอนแล้วคร้าบ



 :bye2:




ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1



17 .



ในถาดที่ผมประคองอยู่มีกาแฟร้อนกับน้ำเย็นจัดอย่างละสอง ผมวางเครื่องดื่มชุดแรกเสิร์ฟให้แขกที่กำลังนั่งไขว่ห้าง เอนหลังพิงเต็มพนักเก้าอี้ ท่าทางสบายราวกับอยู่ในห้องของตัวเอง ก็คนนี้แหละครับที่ทำเอาผมชะงักค้างอยู่หน้าลิฟต์ ลองคิดดูถ้าจู่ๆหันมาเจอผู้ชายตัวโตยืนดำทะมึนตรงหน้าไม่ตกใจเหมือนถูกผีหลอกก็แปลกไปล่ะ ตอนคุณภากรตามมาจับตัวผมได้ยังอึ้งไปหน่อยนึงเลย


‘ไง’


พอคนในลิฟต์ส่งเสียงออกมาแค่เนี้ย! คุณกรก็ผละไปกอด ตบหลังตบไหล่ทักทายกันป้าบๆแล้วพากันเข้าห้องทำงานไปแบบว่า...เมินผมโดยสิ้นเชิง! ผมเลยต้องรีบอาสาเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ รู้ตัวอีกทีก็... แหะ แหะ ลืมป้ามาลัยไปเลยเหมือนกัน


‘เซ็กซี่ที่สุด หล่อเท่ห์ไม่เกรงใจใคร ดาร์คทอลแอนด์แฮนด์ซัม แบดบอยลุค เห็นแล้วนึกถึงโซ่ แส้ กุญแจมือเลยอ่ะ!’


ตอนกำลังชงกาแฟ พี่พัชรีรีบตามมาชวนคุย ผมก็ได้แต่อ้าปากค้างไปกับอาการเพ้อหนักถึงขนาดหลับตาพริ้มบรรยายภาพของผู้ชายคนนั้นเป็นคุ้งเป็นแคว พอได้เข้ามาสังเกตด้วยตาตัวเองก็เห็นจะจริง เชิ้ตดำปลดกระดุมสองเม็ดบนเกี่ยวแว่นกันแดดรั้งคอเสื้อให้โชว์ขนหน้าอกรำไร กางเกงยีนส์สีดำสนิท รองเท้าหนังกลับหุ้มข้อสูงก็สีดำอีก ทั้งหมดราวจะปรุงแต่งให้เข้ากันกับเส้นผมดำเงา คิ้วเข้มเป็นเส้นหนา และไรหนวดงามเหนือริมฝีปาก


‘ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ อั๊ยยย!’ พี่พัชถึงขนาดกัดปาก กรีดร้องเบาๆจนผมแอบขำ เป็นเอามากนะครับนั่น นี่ถ้าพี่พอลมาร่วมวงด้วย คงได้ยินเสียงโหยหวนไปทั่วทั้งโรงแรม


‘แล้วเขาเป็นใครเหรอครับ’ รอจังหวะที่พี่พัชสงบจิตใจได้บ้างก็รีบถามเก็บข้อมูล ผมไม่เคยเจอเขามาก่อน ท่าทางไม่น่าจะใช่ลูกค้า หรือจะเรียกว่าเพื่อนคุณภากรก็ดูคนละรุ่น ผมเดาเล่นๆว่าเขาคนนี้อายุขึ้นเลขสี่แล้ว อืมมม อาจจะรุ่นเดียวกับพ่อผมเลยล่ะมั้ง


‘โทษทีจ๊ะ พี่ฟินจัดไปหน่อย ก็คุณชัชน่ะชอบหายไปอยู่สาขาต่างจังหวัด น๊าน นานกว่าจะยอมพาร่างหล่อๆมาให้เป็นอาหารตาอาหารใจ แต่มาทีไรก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย’ พี่พัชยังเพ้อไม่เลิก แล้วนี่ผมจะได้รู้เรื่องมั้ยเนี่ย


‘งั้นคุณชัชคนนี้ก็เป็นพนักงานของโรงแรมเราเหรอครับ’


‘ใช่และไม่ใช่จ๊ะ คุณชัชเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านประธานคนก่อน สมัยหนุ่มๆน่ะเฮี้ยวมากถึงขั้นนักเลงหัวไม้เชียวล่ะ แต่คุณกฤตเห็นหน่วยก้านดี อยากให้กลับเนื้อกลับตัวเลยดึงมาทำงานแล้วก็กลายเป็นหัวเรือใหญ่ช่วยคุมคาสิโนกับคลับให้เข้าที่เข้าทาง เป็นระบบระเบียบเหมือนอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ถ้านับกันตามสายญาติ แม่ของคุณชัชเป็นน้องสาวปู่ของคุณภากร คุณชัชก็ถือได้ว่าเป็นอา แถมเป็นญาติฝั่งพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่ คุณภากรเลยไว้ใจให้ช่วยไปคุมงานตามต่างจังหวัด นี่ก็เพิ่งมาจากภูเก็ตแต่ไม่รู้เที่ยวนี้จะอยู่สักกี่วัน’


ผมร้องอ๋อในใจ แต่ยอมรับว่าถึงรู้แล้วก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีความสำคัญกับโรงแรมขนาดนั้น


‘แต่ผมดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนพวกผู้บริหาร อิมเมจเจ้าพ่อหรือไม่ก็พวกมาเฟียชัดๆ’


‘คุณชัชก็ยังงี้แหละ จะใส่สูทเวลาออกงานสำคัญๆเท่านั้น แถมเป็นคนไม่ชอบเรื่องจุกจิกหยุมหยิม ไม่ชอบอยู่ออฟฟิศ ไม่อยากเป็นคนใหญ่คนโต คุณภากรปวดหัวแทบแย่ว่าจะยกตำแหน่งอะไรให้ สุดท้ายก็เลยตั้งให้เป็นที่ปรึกษาลอยๆ แต่เห็นอย่างนี้น่ะมีอำนาจในการตัดสินใจรองจากคุณภากรเชียวนะ’


ผมคงเหม่อนึกตามที่พี่พัชเล่าให้ฟังมากไปหน่อย ได้สติอีกทีเมื่อรู้สึกถึงดวงตาสีดำสนิทที่จ้องอย่างไม่เกรงใจ ถ้าคุณภากรเป็นหมาป่า ผู้ชายคนนี้ก็คงเหมือนเสือดำตัวใหญ่ ความหิวกระหายฉายออกมาทางดวงตาที่แวววามในความมืด ไม่เพียงแค่นั้น สายตาของเขาเหมือนจะกล่าวหาว่าผมมีความผิด ทั้งๆที่ผมได้แต่ยืนอยู่ข้างๆตามคำสั่งคุณภากร ยังไม่ได้กระดิกตัวทำอะไรเลย
ตอนนี้บรรยากาศทั้งเงียบและนิ่งจนน่าอึดอัด มีเพียงเจ้าของห้องที่เปิดอ่านเอกสารบางอย่างด้วยความสนใจ เขาจะรู้มั้ยเนี่ยว่าคุณอาของเขากำลังจ้องผมอย่างเปิดเผยมากๆ สายตาคมกริบไล่มองไปทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเขาถึงขนาดแกล้งขยับตัวเพื่อชะโงกลงไปดูจนถึงปลายเท้าผมโน่น พอทั่วแล้วก็วกกลับขึ้นมามองหน้าจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาจ้วงจาบ แต่จะหลับตากี่ทีๆหรือหันหนีไปทางไหนก็ไม่พ้น ผมเลยกลั้นใจมองตอบแล้วพยายามยิ้ม เห็นชัดว่าเขาตกใจคงไม่คิดว่าผมจะกล้า เขาเสยกแก้วกาแฟขึ้นซดซะหมดถ้วย พอหันมาอีกทีแล้วยังเจอว่าผมกำลังยิ้มให้จริงๆก็คงยอมแพ้ สายตาดุเลยละมุนลงจนเกือบจะได้เห็นรอยยิ้ม 


“โอเคครับ น่าพอใจทีเดียว เป็นไปตามกำหนดเวลาที่วางไว้ อาเองก็กลับมาเร็วกว่าที่คิด แต่แค่ส่งรายงานไม่เห็นต้องขึ้นมาด้วยตัวเอง หรือว่ามีเรื่องอะไรด่วน”


เสียงที่แทรกขึ้นมากระชากสายตาของเราขาดออกจากกัน คุณชัชหันไปหาคุณภากร ส่วนผมก้มหน้ามองพื้น เสียมารยาทแค่แอบฟังอย่างเดียว


“พอดีว่างานมันเรียบร้อยเกินไป ไม่มีปัญหาอะไรให้ปวดหัวเลยเบื่อๆ กะจะขึ้นมาเปลี่ยนบรรยากาศที่กรุงเทพแก้เซ็งสักหน่อย แล้วก็...”


ผมรู้ว่าคุณชัชคงลำบากใจที่จะพูดเรื่องงานต่อหน้าคนนอกเลยจะเอ่ยขอตัว แต่ยังไม่ทันอ้าปาก คุณกรก็ยื่นแฟ้มที่เพิ่งอ่านจบมาให้ เป็นรายงานการปรับปรุงโรงแรมที่ภูเก็ต น่าจะหมายความว่าให้ผมเอาไปให้คุณวรเมธต่อล่ะมั้ง แต่ถึงยังไงคุณเมธก็ต้องสั่งให้ผมอ่านอยู่ดี งั้นขอแอบดูหน่อยละกัน


“มีอะไรก็พูดมาได้เลยครับ ผมฟังอยู่”


“มีคนมาบอกขายที่อยู่แปลง ไม่สวย ไม่ติดโรงแรม แถมราคาแพงมหาโหด สูงกว่าราคาตลาดเกือบสองเท่า”


“แต่ถ้าอาไม่ปฏิเสธไปแสดงว่าต้องน่าสนใจ”


“ตรงนี้...” คุณชัชลากแฟ้มอีกอันมากางออก ปรากฏแผนที่ในขนาดย่อส่วนกว่าที่ผมเคยเห็นจากในห้องคุณเมธ นิ้วใหญ่จิ้มลงแล้ววนเป็นวงแคบๆตรงด้านหลังที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงแรม “เป็นโฉนดสองแปลงพื้นที่รวมประมาณยี่สิบไร่ คนที่มาบอกขายเป็นเจ้าของแปลงริมนอก แต่รับปากว่าถ้าเราสนใจอีกแปลงก็ไม่น่ามีปัญหา”


“เอ๊ะ!” ผมคิดตามแล้วก็เผลอจนได้


“หืม?” คุณกรส่งเสียงถาม คุณชัชก็หันมามอง มีกระแสกดดันจนผมต้องเอ่ยปาก


“ก็...ถ้าผมจำไม่ผิด บริเวณนั้นน่าจะอยู่ห่างจากเขตอนุรักษ์ไม่มาก ถ้าไม่ตรวจสอบให้ดีอาจมีปัญหาตามมาทีหลัง ส่วนแปลงริมในที่อยู่ใกล้โรงแรมคุณเมธเคยบอกว่าเจ้าของเป็นคนรู้จักของคุณภัทราพร ถ้ามีการประกาศขายจริงทางเราน่าจะมีภาษีดีกว่าใครอยู่แล้ว แต่เจ้าของที่แปลงนอกเอามาอ้างแสดงว่าไม่รู้จริง ถ้าจะให้ดีเราควรตรวจสอบให้ถี่ถ้วนและเริ่มเจรจาจากแปลงรอบๆเพื่อบีบให้เขาลดราคาลงมา ไม่ต้องถึงกับต่ำมากแต่ควรเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย และผมว่าเราน่าจะลองดูเพราะดีกว่าปล่อยที่ดินผืนนี้ไปอยู่ในมือนายทุนรายอื่นที่หวังแต่จะเก็งกำไร หรือถ้าร้ายกว่านั้นอาจใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อรุกล้ำเข้าไปในผืนป่าที่เป็นเขตอนุรักษ์ก็ได้นะครับ”


ถ้าจะถูกตำหนิว่าก้าวก่ายเกินหน้าที่ผมก็ยอมรับ แต่ถ้าจะมีคำชมใดๆขอยกความดีความชอบให้กับคุณวรเมธจอมโหด ส่วนเรื่องเฉพาะหน้าตอนนี้ผมอดภูมิใจไม่ได้ที่เห็นสายตาของผู้บริหารทั้งสอง โดยเฉพาะท่านประธานถึงกับหัวเราะร่วนแล้วทำเนียนคว้ามือผมไว้ไม่ปล่อยเชียว


“ที่ปล่อยให้อยู่กับเจ้าเมธนี่ท่าทางจะไม่เสียเปล่าสินะ” ฟังทะแม่งๆแต่ผมขอเหมาเป็นคำชมแล้วกัน “ตกลงตามนี้ ผมจะบอกแม่ให้ ส่วนอาก็คุยกับแปลงรอบๆได้เลย เรื่องงบลงทุนเดี๋ยวจะรีบกำหนดเพดานให้ ส่วนเจ้าของที่รายนี้ก็ถ่วงเวลาไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำให้ไหวตัวเพราะท่าทางจะหัวหมอไม่ใช่เล่น”


“รับทราบครับท่านประธาน”


“ดีมากครับท่านที่ปรึกษา”


คุณภากรหันไปพูดท่าทางเป็นงานเป็นการ คุณชัชก็เลยตอบด้วยท่าทีเดียวกัน แต่เด็กอมมือยังมองออกว่าแกล้งทำไปอย่างนั้น ซึ่งก็ทำให้ผมเห็นภาพว่าอาหลานคู่นี้สนิทสนมและไว้ใจกันมาก ถ้าไม่ติดเรื่องอายุคงนับเป็นเพื่อนได้เหมือนคุณเมธหรือพี่หมอชินเชียวล่ะ


“สงสัยจะเป็นได้อีกไม่นาน เพราะเดี๋ยวนี้ท่านประธานมีที่ปรึกษาเก่งๆอยู่ข้างตัวแล้ว” พูดจบก็ตวัดสายตาเสือดำมามองผมอีกแล้ว เฮ่อ... ให้ลูกแกะตัวนี้ได้อยู่สงบๆ ไม่ต้องใจเต้นตุ๊มๆต่อมกลัวตายบ้างเถ๊อะ! “แถมยังชงกาแฟเก่งซะด้วย รสชาติแปลกแต่ก็อร่อยดี ถ้าจะขออีกสักแก้วคงได้นะครับคุณกานต์”


“เรียกผมกานต์เฉยๆเถอะครับคุณชัช ผมเป็นแค่เด็ก ไม่กล้าอาจเอื้อมตีเสมอผู้ใหญ่หรอกครับ”


ผมรีบบอกแทบจะขอร้อง ถ้าขนาดท่านที่ปรึกษายังเรียกว่าคุณ ชาตินี้ผมไม่มีทางหลุดพ้นจากคำๆนี้แน่ คุณชัชไม่ยอมรับปาก ผมเลยหันไปส่งสายตาขอยืมอำนาจคนข้างตัวแทน


“ตามใจเขาหน่อยเถอะอา ขี้เกียจรำคาญเด็กงี่เง่า” แหม! พูดยังกับตัวเองไม่เคย มันน่าแฉตอนที่บังคับให้ผมเรียกชื่อแล้วค่อยถามคนกลางดูว่าใครกันแน่ที่งี่เง่า “แต่ที่กานต์เรียกคุณชัชก็ฟังทะแม่งๆนะ ให้เรียกอาชัชเหมือนผมดีกว่า ได้มั้ยอา”


“ไม่มีปัญหา” คุณชัชเอ่ยปากแล้วยิ้มนิดๆช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นเยอะ พอถูกทวงกาแฟก็เลยกล้าที่จะแถมคำอธิบาย


“ที่คุณ...อาชัชบอกว่ารสชาติแปลกๆคงเพราะเป็นกาแฟแบบสกัดคาเฟอีนมั้งครับ” คนที่แปลกใจกลับอยู่ข้างตัวผมซะนี่ ซักใหญ่ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ได้รู้เลยว่าผมชงให้ดื่มจนจะหมดขวดอยู่แล้ว ถ้าเป็นยาพิษก็ไปเฝ้ายมบาลเป็นชาติแล้วมั้ง “แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว เปลี่ยนเป็นน้ำรากบัวแทนดีกว่ามั้ยครับ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น ทานกับขนมกลีบลำดวนของยายเป้า อร่อยแล้วก็คล่องคอดีด้วย”


คุณชัชทำหน้าสงสัยแต่ไม่ถาม คนเป็นหลานคงรู้ใจเลยอธิบายให้แทน


“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยผมเลยพาเขาไปค้างบ้านสวนมา เดี๋ยวว่างๆจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ชักหิว ได้น้ำรากบัวกับขนมรองท้องน่าจะดี”


ผมรับคำแล้วรีบออกมาจัดการทุกอย่าง แต่พอจะเอาเข้าไปเสิร์ฟกลับเจอคุณชัชออกมายืนรอที่หน้าห้อง


“คุณชัช...” คนตัวโตเขม้นตาดุแล้วหยิบขนมไปใส่ปากเฉยเลย “...อาชัช...เอ่อ...ต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ”


“ขนมแค่นี้ไม่พอเลี้ยงพยาธิหรอก” กลีบลำดวนอีกสองชิ้นหายวับในคำเดียว ยังดีที่เคี้ยวหมดค่อยพูดต่อ “ไปหาอะไรกินด้วยกันหน่อยสิ”


ผมทำตาโตเงยหน้ามองคนตัวโตกว่า นึกว่าหูฝาดไปจนกระทั่งถาดในมือถูกเขาแย่งไปแล้วฝากให้พนักงานที่ผ่านมาเอาเข้าไปให้ท่านประธานในห้องแทน จากนั้นมือผมก็ถูกยึดแถมยังต้องวิ่งตามเพราะคนเดินนำน่ะขายาวจะตา เขาก้าวทีเดียวเท่ากับผมสองก้าว ยังดีที่ได้หยุดเวลามีคนทักทายบ้าง แล้วก็ต้องรีบเบรคตัวโก่งเพราะนี่มันจะออกประตูของโรงแรมแล้วนะ


“เดี๋ยวครับ ไหนอาชัชบอกว่าจะกินข้าว...” ผมชี้มือไปทางห้องอาหาร ไม่แน่ว่าเขาไปอยู่ต่างจังหวัดนานอาจจะลืม


“กินข้าวโรงแรมทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง”


ถามแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบยังไง ในเมื่อผมเป็นพนักงานควบตำแหน่งลูกหนี้ ทั้งทำงานกินอยู่ซุกหัวนอนก็ที่โรงแรมนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่นับครั้งที่ไปเที่ยวกับพี่กัญ ผมจะได้ออกจากโรงแรมก็คือไปธุระกับคุณกร ไม่ก็เป็นเพื่อนป้ามาลัยซื้อของ หรือล่าสุดมีเรื่องจนถูกหิ้วไปนอนบ้านสวน ซึ่งก็หมายความว่านอกนั้นผมต้องฝากท้องกับครัวของโรงแรมตลอด แต่ไม่ได้คุยนะ ขนาดเมนูอาหารของพนักงานยังสับเปลี่ยนเวียนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ผมอยู่มายังไม่เคยได้กินกับข้าวซ้ำกันสักมื้อ


“แล้วจะไปไหนล่ะครับ เดี๋ยวถ้าคุณกรเรียกหา...”


นี่ต่างหากล่ะตัวปัญหา เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งคุณเมธให้เอาเอกสารไปส่งที่คาสิโน เสร็จธุระพอดีมีรถไอติมวิ่งเข้ามาแถวนั้นผมเลยอ้อนให้เฮียสยามเลี้ยงแล้วนั่งคุยต่อจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ตอนพี่บอดีการ์ดวิ่งมาตามบอกว่าคุณภากรให้หาผมจนวุ่นวายกันไปทั้งโรงแรมแล้ว ตั้งแต่นั้นมาผมก็ต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลาจนชักไม่แน่ใจว่าเพราะเขาเป็นห่วงหรือกลัวผมจะหนีหนี้กันแน่


“หึ” คุณชัชส่งเสียงในลำคอ แถมสีหน้าแบบที่เชื่อสนิทใจเลยว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน “ฉันหางานให้ท่านประธานทำหัวหมุนอยู่ คงไม่ว่างไปจนเย็นนั่นแหละ แล้วก็ไม่ต้องกลัว ฉันไม่พาเราไปขายหรอกน่ะ”


ผมปฏิเสธเบาๆ พยายามดึงมือคืนก็สู้แรงไม่ได้ แต่ก็ดีอย่างที่เขายอมหันหลังกลับเข้ามาในโรงแรม ผมรอดแล้ว!


“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”


เขาพาผมมายืนดูป้ายชื่อห้องอาหารที่เปิดให้บริการ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกมั้ยว่าสายตาหลายคู่ในโถงโรงแรมกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ มองเผินๆคงเหมือนแฝดขาวกับดำเพราะคนหนึ่งตัวใหญ่ใส่สีดำทั้งชุด อีกคนสูงเทียบได้แค่ไหล่ใส่เสื้อขาว กางเกงขาสามส่วนสีครีม ผิวนอกร่มผ้าก็ขาวจั๊วะยังกับไม่มีเลือด แต่ก็มีคำแปลกๆแว่วมาให้ได้ขำ อยากเดินไปถามคนที่พูดจังว่ามองยังไงผมกับคุณชัชถึงดูเป็นพ่อลูกกันได้


“ผมยังไม่หิว ขอไปนั่งเป็นเพื่อนก็พอ อาชัชอยากทานอะไรตามสบายเลยครับ”


“แล้วเราชอบกินอะไร”


“อะไรก็ได้ครับ”


“เกลียดคำนี้จริงๆ ฟังดูง่ายแต่นั่นแหละยากที่สุด”


ผมหลุดขำกับคำวิจารณ์ที่โดนใจสุดๆ เห็นด้วยเลยว่า ‘อะไรก็ได้’ มักเป็นคำที่ติดปากหรือบางครั้งก็ใช้ซื้อเวลาเพื่อนึกคำตอบจริงๆมากกว่า


“งั้นอาชัชชอบทานอะไรล่ะครับ”


“อืมมม ชอบเหรอ” คุณชัชลูบคางพลางนึก คนเดินผ่านไปมายังแอบมอง ผมที่อยู่ใกล้ขนาดเห็นหนวดทุกเส้นก็เลยได้จ้องเต็มๆตา พลอยนึกตามไปว่าผู้ชายมาดเข้มอย่างเขาจะชอบกินอะไร ถ้าไม่ใช่เมนูหรูหราไฮโซก็คงเป็นประเภทของแปลก ดิบๆ เถื่อนๆ หน่อยหรือเปล่า...


“ก็อะไรง่ายๆ อย่างน้ำพริกกะปิล่ะมั้ง ถ้าได้กะปิดีๆ ห่อใบตองเผาสักหน่อยแล้วค่อยเอามาตำจะยิ่งหอม กินกับปลาทูแม่กลองตัวไม่ต้องใหญ่มาก เนื้อกำลังหวาน ทอดให้เหลืองหนังกรอบมีกลิ่นไหม้นิดๆ แนมกับผักสดๆ ข้าวหมดหม้อไม่รู้ตัวเชียวล่ะ”


 “พูดซะผมน้ำลายไหลตามเลยเนี่ย” เป็นอาหารที่ง่ายและธรรมดาจนคาดไม่ถึง และทำให้อดคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ “แม่ผมก็ชอบทำน้ำพริกกะปิให้กิน อร่อยที่สุดในโลกเลยล่ะครับ”


“ถ้างั้นว่างๆขอฉันไปชิมฝีมือบ้างได้มั้ย”


“คงไม่ได้...” ไม่ใช่จะหวง ผมเองก็อยากให้เขาได้ลองรสชาติน้ำพริกกะปิที่ผมได้กินมาตั้งแต่เด็กสักครั้ง แต่... “แม่ผม...เสียไปแล้วครับ”


คุณชัชนิ่งไป ที่มือผมรู้สึกถึงแรงบีบมากขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยออกมาเบาๆ


“ฉันขอโทษ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมรีบบอกแล้วยิ้มให้ได้อย่างที่ตั้งใจมาตลอด เพราะถึงแม่กานดาจะจากไปโดยไม่มีโอกาสร่ำลาสั่งเสีย แต่เชื่อว่าแม่คงไม่อยากเห็นผมเอาแต่เศร้าเสียใจหรือมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ “ถ้าอยากทานน้ำพริก งั้นไปที่ห้องสไบแก้ว อ๊ะ! อาชัชรออยู่นี่แป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”


สายตาผมสะดุดแว้บเข้ากับคนสำคัญที่กำลังจะเดินหายไปเลยต้องเสียมารยาท บอกเสร็จก็วิ่งปร๋อไปหาป้ามาลัยที่แสนดีของผมซะก่อน


“กานต์! เป็นยังไงบ้าง ป้าได้ข่าวจากเฮียสยามตกใจแทบแย่ แล้วนี่มาโรงแรมได้หายดีแล้วเหรอ” ป้ามาลัยร้องทักเมื่อเห็นแล้วอ้าแขนรับผมเข้าสู่อ้อมกอด ผมพยักหน้าบอกแต่ป้าคงไม่เชื่อเลยแตะแก้มผมค่อยๆเอียงซ้ายเอียงขวาสำรวจรอยช้ำที่จางลงมากแล้ว “ที่ไหนกัน ดูซิเนี่ย แก้มยังมีรอยอยู่เลย โถพ่อคุณ เจ็บมั้ยลูก”


“ป้าเป่าให้กานต์สิครับ รับรองเพี้ยงเดียวหายปั๊บเลย”


ผมเอียงหน้าทำแก้มป่อง ป้าไม่เป่าแต่หอมเบาๆ เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าป้ามาลัยไม่เคยขัดใจผมอยู่แล้ว


“ยังไงเขาก็เป็นพ่อ กานต์อย่าเก็บมาคิดแค้นเลยนะมันจะเป็นบาปติดตัวเสียเปล่าๆ ส่วนที่เจ็บตัวถือซะว่าฟาดเคราะห์ คราวหน้าคราวหลังก็ระวังตัวให้มากๆนะรู้มั้ย” ป้ามาลัยทั้งปลอบทั้งสอน สองมือที่กอดลูบหลังเบาๆทำให้ผมรู้สึกโชคดีอย่างที่สุด ผมเสียแม่แท้ๆ ถูกพ่อเอามาปล่อยทิ้ง แต่ก็ได้มาพบป้ามาลัย ได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักและหวังดีตั้งมากมาย ทุกสิ่งที่ผ่านมาทำให้ผมเชื่อว่าชีวิตคนเราใช่จะมีแต่เคราะห์ร้ายเสมอไป                 


“เอ๊ะ! คุณชัชนี่!” ป้าปล่อยผมแล้วเอ่ยทักร่างสูงทะมึนที่มายืนอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “มาเมื่อไหร่เนี่ย มาได้ยังไง หายไปซะนานเลย คล้ำขึ้นหรือเปล่า แล้วเที่ยวนี้จะอยู่สักกี่วันล่ะคะ?!”


ผมหันไปเห็นคุณชัชหยุดยิ้มนิดนึงแล้วตอบยาวพอๆกับชุดคำถาม


“มาเมื่อเห็น ขี่เครื่องบินมา ส่วนที่ดำๆเนี่ยขี้ไคล เดี๋ยวลงอ่างขัดหน่อยก็ขาว แล้วอะไรอีกนะ อ๋อ! จะอยู่จนกว่าคุณแม่บ้านใหญ่จะไล่ ผมตอบครบหมดทุกคำถามแล้วใช่มั้ย?” เสร็จแล้วยังแถมรอยยิ้มให้อีกด้วยแน่ะ


“เดี๋ยวเถอะนะคุณชัช เดี๋ยวโดน!” ป้ามาลัยคาดโทษเบาะๆ แต่พอเห็นทั้งผมกับคุณชัชหันมองหน้ากันแล้วหัวเราะก็คงนึกสงสัย


“เอ๊ะ! แล้วไปยังไงมายังไง นี่สองคนรู้จักกันแล้วเหรอคะ”


“ผมยืมตัวเขามาจากนายกร กะจะให้ไปเป็นเพื่อนกินข้าวสักหน่อย พี่มาลัยไปด้วยกันมั้ย”


คุณชัชรับหน้าที่ตอบ ส่วนผมยืนเฉยๆให้เขาขยี้หัวเล่นเบาๆ น่าเสียดายที่ป้ามาลัยต้องขอตัวเพราะติดงานอยู่ แต่กว่าจะแยกกันได้ก็ฝากฝังผมกับคุณชัชเสียยกใหญ่ ส่วนผมก็ถูกสั่งให้คอยดูแลเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ทำไปทำมา สงสัยผมจะโดนเหม็นขี้หน้าแทน ไม่ทันป้ามาลัยคล้อยหลังก็โดนคนที่ยืนอยู่ด้วยกันเหน็บซะแล้ว


“ร้ายนะเรา ถึงพี่มาลัยดูใจดีแต่ไม่ใช่จะชอบใครง่ายๆ ไปหว่านเสน่ห์อีท่าไหนล่ะเขาถึงโอ๋เอาใจซะขนาดนี้”


ผมยืนยันว่าไม่ได้ทำหรือคิดจะทำอะไรเลย แต่ท่าทางเขาจะไม่เชื่อ ผมก็ใจเสียสิ เพราะผมแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง จะให้เอาอะไรมาทำให้เขายอมรับได้ล่ะ


“จริงๆนะครับ ป้ามาลัยคงเห็นผมไม่มีใครก็เลยเอ็นดูเท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมไปตามป้ามาลัยกลับมาให้ถามก็ได้”


“เดี๋ยว! ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่เชื่อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เชียว”


“ก็ผมไม่อยากให้คุณชัชเข้าใจผิด ทุกคนที่นี่เป็นคนดี คุณกร คุณเมธ พี่พัช เฮียสยาม หรือพี่ๆทุกคนไม่ว่าจะที่โรงแรม คาสิโน หรือที่คลับ ทุกคนใจดีกับผมแล้วผมก็ซึ้งน้ำใจอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงคุณชัชถึงจะเชื่อแต่ผมบริสุทธิ์ใจจริงๆนะครับ”


คงมีแต่เวลาที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ก่อนหน้านี้เขาก็ดูไม่ชอบผมสักเท่าไหร่ หวังว่าพอถึงตอนนี้จะไม่ได้ปักใจเกลียดผมไปแล้วหรอกนะ


“ถ้าอยากให้เชื่อก็อย่าเรียกว่าคุณชัชอีก” เขาบอกแล้วยิ้มให้ เฮ่อ! ใจผมคืนมาเป็นกองเลย “ขอโทษที่ฉันปากไม่ดี ชอบพูดอะไรไม่เข้าหูคนยังงี้แหละ อย่าถือสากันเลยนะ”


ผมยิ้มกว้างด้วยความโล่งอกอย่างที่สุด ถ้าคิดตามที่พี่พัชรีบอก รองจากคุณภากรก็คงเป็นคุณชัชกับคุณวรเมธที่มีอำนาจการตัดสินใจพอๆกัน แต่มีความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ ถ้ามีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น ลงท้ายคุณเมธน่าจะถอยเพราะถึงยังไงคุณภากรก็เป็นเจ้าของโรงแรม แต่คุณชัชท่าทางเป็นคนไม่ยอมใคร คุณกรเองก็ดูจะให้เคารพและเกรงใจอยู่มาก ถ้าตัวผมกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างอาหลานคู่นี้ อนาคตก็คงกระเด็นออกจากโรงแรมแน่นอน


“อาชัช...” ผมยิ้มจนหุบยิ้มแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังจ้องไม่เลิก แต่แปลกจัง ดวงตาของเขาเหมือนไม่ได้กำลังมองผมอย่างนั้นแหละ “ที่หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอครับ”


“เปล่า ฉันแค่เพิ่งเข้าใจว่าทำไม...” เขาพึมพำราวคนตกอยู่ในภวังค์ ปลายนิ้วเอื้อมมาแตะเบาๆที่ใต้ตาแล้วตามด้วยอุ้งมือแนบข้างแก้มผมจนอุ่นไปทั้งหน้า น้ำเสียงนุ่มเอ่ยเรียกแต่เป็นอีกครั้งที่เหมือนเขากำลังนึกถึงใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม “กาน...”


“ครับ?” ผมตอบรับแล้วนิ่งรอจนกระทั่งดวงตาสีถ่านกระพริบอีกครั้งก็เหมือนสติของเขาจะกลับคืนมา


“ไปกินข้าวกันดีกว่า ชักจะหิวขึ้นมาจริงๆแล้วสิ”


มือใหญ่เลื่อนขึ้นลูบหัวแล้วลดต่ำลงมาจับมือพาเดินราวกับเป็นเรื่องที่ทำด้วยความเคยชิน ผมเลยเอะใจว่าเขาคงมีครอบครัวแล้วแต่ไม่ได้พามากรุงเทพด้วย อาจจะคิดถึงคนที่บ้านเลยพาลนึกว่าผมเป็นลูกเขาหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ถือเป็นเรื่องดี และคิดๆไปก็น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกขัดเขินกับไออุ่นที่กำอยู่รอบมือนี้เลยแม้แต่น้อย





จบตอนแล้วคร้าบ


สำหรับฉากสำคัญจากตอนก่อนโน้น คนอ่านเขิน คนเขียนก็เขินพอกัน กว่าจะเข็นให้จบฉากได้ หมดพลังไปเยอะมาก แต่รับรองว่าความหวานของคุณกรกับหนุ่มกานต์ยังมีมาให้ฟินกันอีกแน่นอน


ส่วนตอนนี้ก็เปิดตัวตัวละครหลักคนสุดท้ายแล้วล่ะ ตัวละครเยอะเกิ๊น 555

จะเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์หนุ่มน้อยของเราหรือเปล่า รอติดตามกันต่อไป





 :bye2:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2016 18:35:36 โดย minemomo »

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
เหมือนน้องกานต์จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อ เราสัมผัสได้(รึเปล่า 555)
รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
น้องกานต์ลูกปล่อยให้ผู้ชายอื่นจับไม้จับมือระวังโดนคุณกรงอนนะ

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
กานต์เป็นลูก อาชัช รึเปล่า งานสงสัยมาเต็มๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มีสิทธิ์จะเป็นพ่อของกานต์

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ที่อาชัชพึมพัมว่ากาน..นี่หมายถึงเเม่กานดาใช่มั้ยย#ไม่รู้เดา55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




18 .




ประตูห้องทำงานท่านประธานแง้มเปิดเป็นช่องพอตัวคนรอดแล้วปิดลงทันทีโดยปราศเสียงหรือแม้แต่การเคาะขออนุญาต ส่อเจตนาว่าเป็นการลอบเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์บางอย่าง ผมซึ่งอยู่เพียงลำพังจึงทำเป็นเฉยเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจ ในขณะเดียวกันก็มองหาทางหนีทีไล่ อาจจะแกล้งทำเป็นเดินไปที่ระเบียงแล้วค่อยโทรขอความช่วยเหลือ หรือตลบหลังหนีออกไปแล้วขังคนร้ายไว้ในห้องแทน


อ้อ! ต้องไม่ลืมหาอาวุธไว้ป้องกันตัว ที่ใกล้มือตอนนี้มีมีดเปิดซองจดหมาย ถึงไม่คมแต่ถ้าแทงแรงๆก็น่าจะเข้าเนื้อ จะให้ชัวร์หน่อยก็ต้องแจกันดอกไม้ที่บนโต๊ะผม เหมาะมือ น้ำหนักกำลังดี เอาทั้งใบฟาดหัวจังๆรับรองได้เลือด แต่ก่อนอื่นผมต้องตั้งสติ ทำใจให้สงบ ไม่กลัว สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยออก... ฟู่ววว... เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากๆ... ซะเมื่อไหร่กันเล่า!


จ๊าก! ผมเผลอวอกแวกก็เลยถูกจู่โจมไม่ทันตั้งตัว อ้อมแขนใหญ่พุ่งมากอดหมับ ผมอ้าปากจะร้องก็ถูกจับคางให้หันไปรับจูบเจือรสกาแฟจางๆ ทุกอย่างรวดเร็วจนลืมขัดขืน รู้สึกตัวอีกทีก็เลยกลายเป็นปล่อยตัวปล่อยใจพันเกี่ยวไปกับเรียวลิ้นของจอมโจรใจโฉด


“พะ...พอแล้ว...”


ผมรีบบอกก่อนลมหายใจจะโดนขโมยไปจนหมด พยายามดันแผงอกกว้างให้ห่างแต่หมาป่าเจ้าเล่ห์ก็เอาแต่ผัดผ่อน ขอแทะนิด เล็มหน่อยจนผมแทบขาดวิ่นไปทั้งตัว ผมเลยหาข้ออ้างใหม่ว่าอาจจะมีคนเข้ามาเห็น ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะรอบคอบถึงขนาดบิดล็อกประตูก่อนแล้วค่อยมาทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ แล้วคิดว่าเขาจะกลัวมั้ย...


“ใครจะกล้าเข้ามา นี่ห้องประธานเชียวนะ”


ผมเลยได้แต่หัวเราะหึหึอยู่ในใจ ใช่ซี้! ก็นี่มันห้องเขา ไม่ได้รับอนุญาตใครจะกล้า แต่ขอบอกว่าถึงจะไม่ใช่ห้องท่านประธาน ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำเรื่องแบบนี้ในที่ทำงานหรอกเฟ้ย!


“หืม? ไม่ดิ้นแล้วเหรอ” พอผมเลิกยุกยิก อ้อมแขนกว้างก็คลายแรง อุตส่าห์นึกว่าเขาคงรู้สึกผิดชอบอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ความจริงคือ... “ถึงยังไงก็ไม่ปล่อยหรอก ความผิดโทษฐานทำให้ฉันคิดถึง ลงโทษแค่นี้ยังน้อยไปเลย”


สรุปคือผมผิด?! โอเค ผิดก็ผิด! งั้นช่วยเอาตัวไปยิงเป้าหรือไม่ก็ช็อตไฟฟ้าให้ตายไปเลยยังจะดีกว่าถูกทรมานไม่จบไม่สิ้น แต่ก่อนจะถูกคุณภากรล้วงปากล้วงคอจนขาดอากาศหายใจตายจริงๆผมขอโอกาสเคลียร์ข้อกล่าวหาซะก่อน สองสามวันมานี่ยอมรับว่าเราสองคนไม่ค่อยได้เจอหน้า หรือถึงได้อยู่ด้วยกันก็ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แต่ต้นเหตุก็คือเขานั่นแหละที่ยุให้คุณชัชอยู่เที่ยวกรุงเทพต่อเพราะงานที่ภูเก็ตราบรื่นดี ไม่มีอะไรน่าห่วง


‘เที่ยวคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร อีกอย่างก็แก่แล้ว จะให้ไปลุยๆอย่างแต่ก่อนคงไม่ไหว เกิดเจ็บกระดูกกระเดี้ยวเบี้ยวไปจะหาใครมาคอยพยาบาล นึกอย่างนี้แล้วยิ่งเสียดายว่ะ ถ้าหนุ่มๆไม่ขี้เกียจหาเมียป่านนี้คงมีลูกทันได้ใช้แล้ว’


พอคุณอาออกปากอย่างนี้ คุณหลานก็เสนอทันที...


‘กานต์ไงครับ วันๆขลุกอยู่แต่ในโรงแรม ให้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี อาชัชเองจะได้มีเพื่อน ส่วนเรื่องงานสบายมาก เดี๋ยวผมบอกเมธเคลียร์ให้’


ผมหันขวับกับหน้าที่ใหม่ที่ท่านประธานจัดใส่พานมา สายตาผมประมาณว่าถามกันสักคำก่อนมั้ย แต่ยิ้มของคุณภากรแปลความได้ว่าอยากให้ผมตีซี้คุณชัชเพื่อไว้คอยเป็นกองหนุนเวลามีปัญหากับแม่เขา กล่าวโดยสรุปก็คือ... จากตำแหน่งผู้ช่วยท่านเลขาใหญ่ในหน้าที่กำกับดูแลให้ท่านประธานทำงานซะบ้าง ผมก็ถูกย้ายมาเป็นลูกหาบคอยติดตามไม่ว่าท่านที่ปรึกษาจะขึ้นเหนือล่องใต้ไปไหน...


อื้อหือ หนี้ห้าแสนเนี่ย ใช้กันซะคุ้มเลยนะ!


คุณชัชเลยยกเลิกตั๋วเครื่องบินกลับภูเก็ตแล้วขับรถออกจากกรุงเทพด้วยความเร็วขนาดที่ทำเอาผมนั่งกำเซฟตี้เบลท์ไปตลอดทาง ที่หมายคืออำเภอสวนผึ้งซึ่งกำลังขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก มีหลังโฉนดหลายแปลงเสนอขึ้นมาในที่ประชุม คุณภากรจึงมอบหมายให้คุณชัชมาสำรวจทำเลว่าเหมาะแก่การลงทุนด้านไหน ผมเลยต้องมาเดินตามคุณชัชคุยกับนายหน้าหรือไม่ก็ตัวเจ้าของที่ดินต้อยๆ ถึงอากาศจะดีแต่กลางวันแดดค่อนข้างแรง ตกกลางคืนอุณหภูมิลดต่ำลงเล่นเอาผมครั่นเนื้อครั่นตัว พอเข้าที่พักอาบน้ำเสร็จก็หัวซุนหาหมอนทันที


‘อ้าว เฮ้ย กานต์!’ กำลังเคลิ้มๆมีคนมาเขย่า ผมพลิกตัวหนีเพราะนึกว่านอนกินที่ก็โดนดึงไว้ ‘หัวยังเปียกอยู่เลยจะนอนได้ไง เดี๋ยวก็ไม่สบายไปจริงๆหรอก’


คุณชัชบ่นแต่ผมหลับตาต่อไม่สนใจ โดนกวนอีกทีก็ตอนที่เขายกหัวผมขึ้นไปวางบนตักแล้วจ่อไดร์เป่าผมให้ ไม่นึกว่าเขาจะเอาใจใส่ขนาดนี้ ผมเลยนอนสบายแถมยังกล้างี่เง่าใส่เขาอีกแน่ะ


‘เสร็จยังอ่ะครับ’


‘เออๆ แห้งแล้ว นอนได้’ เขาบอกแล้วผลักหัวผมหล่นจากตัก ผมก็...นอนต่อสิถามได้ ‘ให้ตาย! นี่ตกลงเจ้ากรมันส่งเรามาเป็นลูกน้องหรือลูกฉันกันแน่วะ’


‘ยังไงก็ได้ แล้วแต่อาชัชครับ’


ผลจากการกวนประสาทนักเลงเก่า บาทาใหญ่จึงยื่นมากระทบแผ่นหลังยันผมไปสุดเตียง แต่ก็มีผ้าห่มอุ่นๆตามมาคลุมให้จนมิดคอ ผมเลยพลิกตัวกลับมาลืมตามองร่างหนาที่นั่งพิงหัวเตียงด้วยความสงสัยตะหงิดๆ ลองทำใจกล้าเอ่ยขอแล้วเขาก็ยอมให้ถาม...


‘ทำไมอาชัชถึงยังไม่มีครอบครัวล่ะครับ ทีแรกผมยังนึกว่าอามีเมียมีลูกแล้วด้วยซ้ำ’


ผมเอ่ยถามประเด็นที่คาใจมาตั้งแต่ที่ได้ยินอาหลานคุยกัน เขาเงียบแล้วหันไปมองจอทีวีที่เปิดทิ้งไว้ หันกลับมาอีกทียังเห็นผมจ้องตาแป๋วเลยถอนหายใจยอมจำนน ผมรีบกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ ความอยากรู้อยากเห็นชวนให้ตาสว่าง พอน้ำเสียงนุ่มๆ เหงาๆเอ่ยปากก็รู้ว่าคุ้มที่กล้าเสี่ยง


‘ฉันเคยรักผู้หญิงอยู่คนนึงแต่เธอมีเจ้าของแล้ว ทั้งๆที่รู้ยังทุ่มเท สุดท้ายไม่สำเร็จก็เลยเข็ด ไม่อยากเสี่ยงรักใครอีก’


‘หมายความว่าเขามีแฟนแล้วแต่มาหลอกอาเหรอครับ?!’ ผมถามด้วยความแปลกใจจริงๆเพราะในสายตาผมเขาดูเป็นผู้ชายที่โชกโชนเรื่องความรัก นึกว่าเขาจะตอบประมาณว่ารักสนุกแต่ไม่อยากผูกพัน ไม่ชอบการผูกมัดด้วยซ้ำ


‘ไม่ใช่หรอก ฉันพอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอไม่ใช่สาวโสดแต่คนมันควายไง คิดโง่ๆว่าตัวเองหน้าตาไม่ได้ขี้เหร่ ตำแหน่งหน้าที่ก็ใหญ่โต ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนต้องชอบ แต่เผอิญว่าคนนี้ไม่ใช่ เธอเป็นคนดี น่ารัก มีน้ำใจกับทุกคนแต่ไม่เคยคิดจะนอกใจแฟน พอโดนปฏิเสธมันรู้สึกเหมือนโดนหยาม ทีนี้เลยยิ่งตื๊อ คอยตามตอแยไม่เลิก พูดกันตรงๆฉันเองก็ชั่วเพราะทีแรกกะจะแค่เล่นๆ อยากเอาชนะคนใจแข็งดูสักที สุดท้ายกรรมเลยตามสนองให้รักเข้าจริงๆ แต่มันน่าสมเพชตรงที่แม้แต่อกหักฉันก็ยังไม่มีโอกาสเพราะเธอไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลยแม้แต่นิดเดียว’


โคมไฟที่หัวเตียงทั้งสองด้านส่องแสงสลัว ไม่น่าเชื่อ... เงาสะท้อนระยิบระยับในดวงตาของเขานั่นคือร่องรอยของความคิดถึง ความอาลัยรักไม่ผิดเลย


‘ถึงผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าอาจริงจังก็ยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอครับ’


‘เด็กโง่ ใจอ่อนแล้วจะช่วยอะไรได้เล่า’ คุณชัชเอ็ดยิ้มๆ มือใหญ่วางลงมาบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ ‘ถึงฉันรักเขามากแค่ไหนแต่เขาเองก็ต้องรักลูกรักผัวเขามากกว่า แล้วฉันก็เลวที่ไปทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย... ’


‘ทำผิด? ผิดยังไงเหรอครับ?!’


เนื้อเรื่องเข้มข้นชวนให้อยากรู้แต่เจ้าตัวกลับตัดบท ดันหัวผมกลับไปที่หมอนแล้วชักผ้าห่มคลุมเหมือนเดิม


‘อย่ารู้เลย ไม่ใช่เรื่องของเด็ก นอนได้แล้ว’


‘เฮ่อ! เกลียดจังคำเนี้ย เอะอะอะไรใครๆก็ว่าผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย’


ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากยอมรับเหตุผลที่ผสมคำสบประมาทแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เข้าใจได้ว่าคนทุกคนย่อมจะมีความลับที่บอกใครไม่ได้ หรืออย่างน้อยผมก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจมากพอ เมื่อถึงเวลาที่สมควร คุณชัชอาจเล่าให้ผมฟังเองก็ได้ พอหมดเรื่องคุยอาการหาวก็กลับมา ผมพลิกหนีแล้วนอนตะแคงด้วยความเคยชิน หลับตาเตรียมตัวจะหลับอยู่แล้วก็ไม่วายโดนแกล้ง


‘อย่ามาเถียง ก็เรามันเด็กจริงๆ อายุแค่เนี้ยนับเป็นลูกฉันได้เลยมั้ง’ เขาอาจจะคิดว่าผมงอนล่ะมั้งเลยตามมาลูบหัวเอ็นดูซะอย่างแรง แค่นั้นไม่พอ... ‘มานี่มา ขอกอดนอนแทนหมอนข้างสักคืน’


ท่อนแขนใหญ่แข็งอย่างกับไม้ตวัดผมเข้าไปชิด ผมทั้งร้องทั้งดิ้นแต่ยิ่งเหมือนกระตุกปมเงื่อนให้แน่นขึ้น ไม่รู้ว่ารำคาญหรือกลัวผมจะคอแตกไปซะก่อน เขาก็เลยพลิกตัวผมให้อัดกับแผงอกกว้างแล้วกำราบด้วยประโยคสั้นๆที่ทำเอาผมขนลุกไปทั้งหัว...


‘ทีเจ้ากรมันยังกอดเราได้ไม่ใช่หรือไง’


ผมหยุดดิ้นโดยอัตโนมัติ อากาศหนาวยังไม่เท่าคลื่นความกลัวที่แล่นเข้าสู่หัวใจ ผมคิดว่าคุณชัชคงมองความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณภากรออกอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแตะประเด็นนี้ แล้วถ้าเขาไม่ได้ใจกว้างเหมือนพี่พัชรี ไม่ได้รักจนรับได้ทุกอย่างเหมือนป้ามาลัย และไม่วางเฉยกับเรื่องของคนอื่นอย่างคุณวรเมธ ก็อาจจะหมายความว่า...


‘สบายใจได้ ฉันไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใคร กรเองก็โตเป็นผู้ใหญ่จนเป็นเจ้าของโรงแรมถึงไหนต่อไหนแล้ว ห่วงแต่เรานั่นแหละ ยังเด็กอยู่แท้ๆ โดนเขาหลอกหรือเปล่าเนี่ย’


ผมถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก แรงกอดคลายลงเช่นกันผมเลยดันตัวเองพอมีช่องให้เงยหน้ามองเจ้าของอ้อมแขน เห็นรอยยิ้มบางๆแต่แววตานิ่งอย่างผู้ใหญ่ที่มีสติ คิดและตัดสินใจทุกอย่างด้วยความรอบคอบ และผมก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องคิดหนักอยู่ตอนนี้


‘แล้วอาไม่คิดว่าผมจะหลอกคุณกรบ้างเหรอครับ’


‘ถ้าหลานฉันจะโง่จนโดนเด็กหลอกก็สมน้ำหน้ามันแล้ว’


‘อาชัชครับ’ ผมสูดลมหายใจอัดไว้ให้เต็มปอด แล้วปล่อยออกมาพร้อมคำขอที่เรียกได้ว่าบ้ามากๆ ‘ผมขอกอดอาได้มั้ย’


คุณชัชหลุดขำแล้วยอมให้ผมเป็นฝ่ายสอดแขนรัดร่างหนา ซบหน้าลงสูดกลิ่นหอมสะอาด รับรู้ถึงไออุ่นที่ลูบหัวเบาๆกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง


‘ถึงตัวฉันเองจะเคยผิดหวังแต่ก็ไม่เคยนึกเกลียดความรัก ความรักไม่ได้ทำให้โลกสวยงามแต่มันทำให้เราอยู่ในโลกแย่ๆใบนี้อย่างมีความสุขมากขึ้นนะรู้มั้ย’


ผมพยักหน้าพลางหลับตานึกถึงคนที่ทำให้โลกของผมดูน่าอยู่กว่าที่เคยเป็นมา นึกถึงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน นึกถึงรอยยิ้ม คำพูด และทุกสัมผัสที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ผูกพันตัวเองกับใครอีกคน


‘ผมไม่รู้ว่าจะใช่ความรักหรือเปล่าแต่ผมมีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่กับคุณกร เขากวนประสาท ชอบแกล้ง แต่แค่นึกถึงเขาผมก็อดยิ้มไม่ได้ เขาบอกว่าชอบที่มีผมอยู่ข้างๆ ผมเองก็ชอบให้เป็นแบบนั้น หรือถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เขาก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีเขาคอยอยู่เคียงข้างเสมอ ตั้งแต่เจอเขาผมไม่เคยเหงา พอคิดถึงเขาก็รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนานๆเลยครับ’


‘ได้ยินแบบนี้แล้วชักอิจฉาเจ้ากร’


เสียงงึมงำเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มกว้างสุดใจ


‘ผมก็รักอาชัชนะครับ กอดอาแล้วอุ่นเหมือนอย่างที่เคยกอดพ่อเลย’


‘ขี้อ้อนยังงี้นี่เอง ใครๆเขาถึงได้หลงกันทั้งโรงแรม’


มือใหญ่ขยี้หัวผมแรงๆ พอผมไม่ยอมเลยโดนล็อกคอผลักหงายหลังลงกับเตียง ใบหน้าคมเข้มลอยอยู่ใกล้กันไม่กี่คืบแต่เป็นอีกครั้งที่ดวงตาคู่นี้เหมือนห่างจากผมไปไกลแสนไกล


‘...อาชัช... ’


ผมลองเรียกเบาๆเพราะได้แต่นอนนิ่งจนชักอึดอัด คุณชัชกระพริบตาติดๆแล้วมองผมใหม่อีกครั้ง นานอีกอึดใจเขาจึงก้มต่ำลงมาแตะปากกับหน้าผากผมเบาๆ


‘นอนซะ’ อุ้งมือใหญ่แนบแก้มแล้วเกลี่ยผิวหน้าอ่อนโยน ‘พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ขับรถเที่ยวอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับ ป่านนี้คนที่กรุงเทพคงชะเง้อคอยจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วมั้ง’


ไม่ทันขาดคำคนที่เรารู้ว่าใครก็ส่งเสียงมาตามสาย แต่ผมไม่ได้รับเพราะมือถือถูกคุณชัชแย่งไปแล้วกดปิดเครื่องหน้าตาเฉย ยังไม่ทันอ้าปากก็ถูกสั่งให้ปิดตาแล้วก็หลับสนิทไปในอ้อมกอดอุ่นๆทั้งคืน รุ่งเช้าเราขับรถตระเวนเที่ยวและหาซื้อของฝากจนเย็น แล้วคุณชัชก็พาผมกลับไปนอนบ้านสวน ตื่นมายังโอ้เอ้เถลไถลอยู่ต่ออีกค่อนวัน ที่เล่ามาทั้งหมดคงเป็นสาเหตุให้คุณภากรลงโทษผมหนักขนาดนี้


“คิดอะไรอยู่หืม?”


เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้ผมรู้สึกตัว ลืมไปเลยว่ายังถูกขังอยู่ในอ้อมกอดของหมาป่าเจ้าเล่ห์ อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบ อ้อมกอดของคุณภากรทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งถูกกอดยิ่งอ่อนแรง อยากถูกจองจำอยู่ในไออุ่นนี้ไม่ต้องไปไหน แต่วงแขนของคุณชัชกลับให้ความรู้สึกสงบ มั่นคง เข้มแข็ง เวลาที่เขากอดผมชอบสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วจะรู้สึกเหมือนมีพลังจากเขาหลั่งไหลเข้ามาในตัว


“คิดว่าท่านประธานโรงแรมนี้คงสนุกหรือไม่ก็ว่างมาก วันๆถึงไม่ทำอะไร คอยแต่หาเรื่องกับพนักงานตัวเล็กๆ”


“เฉพาะพนักงานเกเร เอาเวลางานไปเที่ยว ตามตัวก็ไม่ได้ แล้วแถมยังไม่มีอะไรกลับมาฝากสักอย่าง”


เอาแล้วไง นิสัยหมาป่าขี้โกง นึกจะกล่าวหาอะไรใครก็ทำได้ หลักฐานมีมั้ยไม่รู้ ความผิดเป็นที่ประจักษ์หรือเปล่าไม่สน โดนอย่างนี้บ่อยๆลูกแกะก็หมดความอดทนได้นะจะบอกให้


“ก็คุณบอกให้ผมไปเป็นเพื่อนอาชัชเอง จะมาโทษว่าเป็นความผิดผมได้ไงล่ะครับ!”


“งั้นไล่อากลับไปภูเก็ตซะวันนี้เลยดีมั้ย”


พอผมเริ่มโมโห คุณภากรจะยิ้มออก หักอารมณ์หรือไม่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อๆ ผมเลยขอเอาคืนบ้าง


“ตามใจสิครับ ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ขอลางานสักอาทิตย์นึงเพราะอาชัชบอกว่ากลับภูเก็ตเที่ยวนี้จะพาผมไปเที่ยวด้วยอยู่แล้ว”


แน่นอนว่าพอผมยิ้มได้คุณกรก็จะหน้าบูด น้ำเสียงงอแงเป็นเด็กเอาแต่ใจขึ้นมาเชียว


“นี่ตกลงเราเป็นคนของใครกันแน่หะ?!”


“ผมเป็นคนของใครไม่รู้...” ผมจ้องตาเขา อมยิ้มนิดๆอย่างเป็นต่อ “แต่ที่แน่ๆผมเป็นแฟนของหลานอาชัช เขาฝากให้ดูแลอาของเขาให้ดี ถ้าคุณกรมีปัญหาก็ไปเคลียร์กับแฟนผมเอาเองแล้วกัน”


“ใหญ่มากใช่มั้ยแฟนเราน่ะ?” เขาถามน้ำเสียงหมันเขี้ยว สงสัยจะทำอะไรไม่ได้ก็เลยหยิกแก้มผมแทน


“ก็ใหญ่พอจะทำให้คุณกรไม่กล้าหือแหละ”


“กานต์...” แต่จู่ๆก็ทำหน้าหุบ เล่นเอาผมใจหายแว้บ “อย่าทำตัวน่ารักนักได้มั้ย”


หมาป่าโรคจิตยอมโดนทุบสองสามทีก็รวบกอดแล้วปล้นลมหายใจผมไปหลายยก อยากจะร้องห้ามแต่รสจูบฉ่ำหวานก็เต็มปากเต็มคำจนไม่แน่ใจว่าอยากให้เขาหยุดหรือเปล่า


“คืนนี้ฉันจะค้างที่โรงแรม” ถอนจูบออกไปก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัวคำพูดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่สายตานี่สิ...!


“ก็แล้วแต่คุณสิครับ แต่เมื่อเช้าก่อนออกมาอาชัชสั่งให้ลุงพันตัดต้นกล้วยเตรียมไว้ให้จะกลับไปซ้อมมือเย็นนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็จะพาผมไปหัดยิงปืน แล้วถ้ามีเวลาพอ...”


“เดี๋ยวๆ ทำไมอาชัชให้เล่นอะไรแรงขนาดนั้น จะเอากันถึงตายเชียวเหรอ”


ผมยังเล่าไม่หมดก็ถูกเบรกตัวโก่ง ท่าทางคุณภากรจะตกใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ส่วนตัวผมชอบนะ คุณชัชไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่เอะอะอะไรก็สั่งห้าม แต่จะให้ลองทำโดยอยู่ในสายตา อย่างตอนขากลับมากรุงเทพผมยังได้หัดขับรถ ตอนแรกตื่นเต้นจนมือสั่นแต่พอชินก็เริ่มสนุก เจอทางโล่งๆเผลอเหยียบเลียนแบบคนสอน ผลคือโดนมะเหงกคุมความเร็วซะหัวแทบปูด


“อาบอกว่าฝึกไว้มีแต่ได้ประโยชน์ ได้สุขภาพ ป้องกันตัวเอง แล้วก็จะได้คอยคุ้มครองท่านประธานด้วยไงครับ”


ร่างสูงทำหน้าเหนื่อยใจ ไม่รู้จะคิดว่าผมเหนื่อยกายด้วยหรือไงถึงได้ยกตัวผมขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วเอามือผมไปกุมไว้ทั้งสองข้าง


“แล้วคิดว่าฉันจะยอมให้คนที่ฉันรักต้องมาเสี่ยงอันตรายแทนหรือไง ฉันต่างหากที่ต้องปกป้องคุ้มครองกานต์ ไม่ใช่ให้กานต์มาปกป้องคุ้มครองฉัน”


ผมบีบตอบมือใหญ่ แถมด้วยรอยยิ้มอย่างที่คิดว่าจะถูกใจคนมอง


“ถึงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นจริงๆ อย่างน้อยผมจะได้ไม่เป็นภาระให้คุณกับพวกพี่บอดีการ์ดนะครับ”


“ถ้าเพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็ตามใจ แต่จำไว้นะ ฉันไม่เคยเห็นกานต์เป็นภาระ ไม่เลยสักนิดเดียว”


ผมกับคุณภากรมีรอยยิ้มแล้วก็ขำที่บังเอิญยิ้มพร้อมๆกัน เสียงหัวเราะก่อให้เกิดความสุขขึ้นในใจหรือความจริงเป็นเสียงของความสุขที่สะท้อนออกมาจากใจของเราสองคนกันนะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนเราก็ต้องรีบเก็บความสุขเป็นความลับแทบไม่ทันเพราะจู่ๆประตูห้องก็เปิดออก เฮ่อ... เชื่อแล้วว่าเป็นอาเป็นหลานกัน แค่เคาะประตูนี่มันจะเจ็บมือมากมั้ยถามจริง!


“อยู่นี่เอง กานต์ไปข้างนอกด้วยกันหน่อย” คุณชัชบอกธุระจบ ไม่รอให้คุณภากรแย้งก็ปิดปากเขาด้วยเหตุผลที่ว่า... “ฉันก็ไม่ได้อยากไปหรอกน่ะ แต่บังเอิญว่าคนที่โทรตามชื่อภัทราพร เป็นแกจะกล้าเบี้ยวมั้ยล่ะ”


“แม่!? แม่มีธุระอะไรกับอา แล้วทำไมต้องให้กานต์ไปด้วย? หรือว่าแม่จะมีเรื่องอะไรกับกานต์ครับอา?!” คุณกรถามกลับ ใจความตรงกับที่ผมคิดเป๊ะๆ


“คุณภัทน่าจะแค่อยากเจอฉันเท่านั้นแหละ แต่ฉันขี้เกียจไปคนเดียวไงเลยจะเอากานต์ไปเป็นเพื่อน โควตายืมตัวยังไม่หมดนี่จริงมั้ย” หลานชายไม่วางใจ ทำท่าจะค้านเสียงแข็ง คุณชัชเลยเปลี่ยนวิธีใหม่ “งั้นก็ถามเจ้าตัวว่าอยากไปหรือเปล่า ถ้าเขาไม่เต็มใจฉันก็ไม่บังคับ”


ทั้งคู่หันมามองผมเป็นตาเดียว ผมมองตอบคุณกรแล้วจึงค่อยหันไปหาคุณชัช


“แล้วถ้าผมไป...จะไม่เป็นไรเหรอครับอา?”


“เด็กไปหาผู้ใหญ่เป็นเรื่องสมควร ยิ่งเราไปหาด้วยความบริสุทธิ์ใจใครจะว่าผิดได้ยังไง ผู้ใหญ่ต่างหากที่ต้องคิดหนักว่าทำอะไรไปจะเป็นการรังแกเด็กหรือเปล่า แถมเราจะได้ดูท่าที คอยเตรียมตัวรับมือ เห็นมั้ยมีแต่ได้กับได้”


ผมหันกลับมาที่คนข้างตัว สีหน้าเขาไม่สู้ดี ดูกังวลยิ่งกว่าผมซะอีก พอผมบอกผลการตัดสินใจเขาก็ว่าร้องว่าไม่คำเดียว คุณชัชเลยต้องเดินเข้ามาตบไหล่หลานชายหนักๆแล้วแกะตัวผมให้หลุด พอออกจากห้องมาผมก้มลงดูมือตัวเองที่ถูกคุณภากรบีบจนแดง ผิดกับคุณชัชที่เพียงแตะประคองไหล่พาเดินไปด้วยกัน อดสงสัยไม่ได้ว่าการพบคุณภัทราพรครั้งนี้จะน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ
 



จบตอนแล้วคร้าบ





มีคนบอกให้พาที่สะใภ้ไปแนะนำ ฝากเนื้อฝากตัวสินะ อ่ะๆ จัดไป

แล้วตามไปเอาใจช่วยหนุ่มกานต์กันนะคะ



 :bye2:


ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
เหมือนมีอาชัชช่วยหนุนเลย รับรองผ่านฉลุยยยย

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นึ้คือแผน  o13

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
แนะๆๆๆ  อาชัชจะใช่พ่อกานไหมน่ะ ถ้าใช่นี่คือคุณพ่อพาลูกใส่พานถวายเลยน่ะ 5555

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






19 .






ตอนยังเด็กผมก็คงเหมือนเด็กทั่วๆไปที่แย่งดูการ์ตูนกับพี่กัญญาจนทะเลาะกันลั่นบ้านประจำ แต่พอตกค่ำรีโมทอันเดียวที่เรามีจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของแม่กานดาโดยสมบูรณ์ ผมเลยพอคุ้นกับละครทีวีอยู่บ้าง เวลานั่งอยู่หน้าจอเป็นเพื่อนแม่ผมอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ ครอบครัวเรามีพ่อ แม่ พี่กัญและผม บ้านของเราเป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ ชั้นบนมีสองห้องนอนของพ่อกับแม่ และผมกับพี่กัญ ข้างล่างเป็นห้องโล่งๆ แต่ใช้ตู้สูงจรดเพดานเป็นฉากกั้นแบ่งห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว ส่วนครัวอยู่ด้านหลังนอกตัวบ้าน ระยะระหว่างประตูรั้วถึงประตูบ้านใช้จอดรถ แต่พอเทียบกับครอบครัวในละคร จำนวนสมาชิกในครอบครัวก็พอๆกันแต่ทำไมบ้านของพวกเขาถึงได้ดูใหญ่โตอลังการ มีห้องหับมากมายนับไม่ถ้วน วันๆคนพวกนั้นจะได้เดินทั่วบ้านตัวเองมั้ย ปีๆหนึ่งจะได้ใช้ห้องทุกห้องของบ้านครบหรือเปล่า และที่อยากรู้ที่สุด... คนเหล่านั้นจะมีความสุขในชีวิตจริงๆหรือเปล่านะ


“กลัวหรือเปล่า หรือว่าตื่นเต้น?”


คนข้างตัวเอ่ยถามและเขย่ามือผมเบาๆ ยิ่งหลังกลับจากเที่ยวตะลอนๆคุณชัชมักจะทำแบบนี้... ก็แบบที่จูงผมเดินไปไหนมาไหนด้วยกันจนเป็นที่คุ้นตาทั่วโรงแรม และเป็นอะไรที่เจ้าของโรงแรมขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้ สมน้ำหน้า!


“มากับอาชัชผมไม่กลัวหรอกครับ แค่รู้สึกว่า หูยยย! อะไรมันจะใหญ่โตอลังการขนาดนี้!”


ผมเองก็อดแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย เวลาอยู่กับเขาผมไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลย แต่ถ้าได้มาที่นี่กับคุณภากรซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงก็เดาไม่ถูกอีกว่าจะรู้สึกอย่างไร ผมเริ่มอ้าปากค้างตั้งแต่เห็นแนวรั้ว เห็นประตู เห็นสวนรอบตัวบ้าน แล้วก็มาถึงบ้าน...ไม่ใช่สิ โคตรคฤหาสน์มากกว่า ที่นี่ใหญ่โตจนบ้านผมกลายเป็นบ้านหมาไปเลย ในโรงรถที่คุณชัชขับรถเสียบเข้าไปก็มีแต่รถยี่ห้อหรูจอดเรียงราย ราคาอย่าได้ถาม กลัวว่ารวมกันแล้วจะนับเลขศูนย์ไม่ไหว


“คิดเหมือนกันเลย ทุกทีถ้ามากรุงเทพฉันจะไปนอนบ้านสวนหรือไม่ก็เปิดห้องที่โรงแรม เคยมาค้างที่นี่สองสามครั้งแล้วไม่ไหว แปลกที่จนนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง จะนั่งจะยืนยังไงมันก็ไม่คุ้นไปหมด”


ลงจากรถมีทางเชื่อมเข้าสู่ตัวบ้านได้เลย แต่คุณชัชพาผมเดินเลียบมาตามทางใต้หลังคาไม้ระแนงสีขาวสวยงามร่มรื่นด้วยไม้เลื้อยพันเกี่ยวกันแน่นขนัด สุดจากทางเดินคือซุ้มและบันไดหินอ่อนนำขึ้นสู่ตัวบ้าน เข้ามายังโถงรับแขกที่ทำเอาตาผมจะปลิ้นออกจากเบ้าเพราะทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าสวยงาม ยิ่งใหญ่ หรูหรา จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก เหลียวมองรอบตัวสามร้อยหกสิบองศาแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก นี่มันยิ่งกว่าบ้านพระเอกนางเอกในละครที่ผมเคยดูอีกนะเนี่ย


“แล้วนี่เรา...จะยังไงต่อล่ะครับ”


ผมเขยิบเข้ายืนชิดคุณชัชแล้วกระซิบถาม เขาไม่ตอบแต่โอบไหล่วางมือขยี้หัวผมเบาๆ จังหวะเดียวกับที่มีผู้หญิงในชุดฟอร์มคนทำงานบ้านมาบอกว่าคุณผู้หญิงกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกเล็ก พอคุณชัชพยักหน้ารับก็หันหลังเดินนำออกไป


“น่าขำมั้ยล่ะ ขนาดเป็นญาติแท้ๆแต่จะเจอเจ้าของบ้านทั้งทียังต้องทำให้ถูกธรรมเนียม ต้องแจ้งตั้งแต่ยามหน้าประตูแล้วมายืนรอจนกว่าคนที่อยากพบเตรียมตัวเรียบร้อยค่อยให้คนใช้มาเรียก ยุ่งยากวุ่นวาย ทำอย่างกับเข้าเฝ้าเจ้านายงั้นแหละ”


“แต่ถ้าผมมาคนเดียวสงสัยยามคงไม่ให้ผ่านประตูแน่”


“จะยากอะไร ก็ให้เจ้ากรพามาสิ รับรองผ่านโลดตั้งแต่ประตูบ้านยันประตูห้องนอนเลย”


อ๊าก! โดนมุขนี้เข้าไปผมร้อนซู่ไปทั้งหู กลัวแทบแย่ว่าจะมีใครได้ยิน จะเดินหนีก็กลัวหลงเลยดันคนตัวโตให้นำหน้า ส่วนผมก็หลบอยู่ข้างหลังเขา ไม่อยากคุยด้วยแล้ว รู้ตัวอีกทีเมื่อมาถึงห้องรับแขกที่ไม่ได้เล็กสมชื่อ แต่การตกแต่งดูจะเรียบง่ายกว่าบรรยากาศที่โถงด้านหน้าเลยเดาว่าเอาไว้ใช้ต้อนรับแขกส่วนตัวหรือคนคุ้นเคยกัน


พอเห็นผู้ที่รออยู่ผมก้มหน้าโดยอัตโนมัติ คุณชัชก็แสนดี คงรู้ว่าผมเกร็งเลยบีบมือให้กำลังใจผมเบาๆ


“เข้ามาเลยจ๊ะชัช กำลังคิดถึงอยู่เชียว นี่ถ้าไม่โทรตามคงไม่คิดจะแวะมาให้เห็นหน้ากันบ้างเลยใช่มั้ย” 


“ผมขึ้นมายังไม่ทันได้อะไรลูกชายคุณภัทก็ใช้ไปโน่นมานี่ไม่ได้หยุด นี่ไปดูที่ให้เขาเพิ่งจะกลับมาก็ต้องขอพักหายใจหายคอบ้างสิครับ”


“แหม! ยังไม่ทันได้ว่าอะไรสักหน่อย งั้นก็นั่งลงกินน้ำกินท่าซะก่อนแล้วจะได้คุยกัน มัวยืนอยู่ทำไม”


ผมประเมินจากน้ำเสียงอย่างเดียวคาดว่าทั้งคู่คงจะสนิทสนมกันมาก ฝ่ายคุณภัทราพรแม้มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ก็ยังแสดงถึงความเกรงอกเกรงใจ ไม่อย่างนั้นคุณชัชคงไม่กล้าที่จะ...


“รอให้คุณภัทถามว่าผมพาใครมาด้วยมั้งครับ” 


โอ้ว! ตรงจนผมถึงกับกลั้นหายใจเลยทีเดียว!


“หรือที่จริงควรถามว่าผู้ช่วยวรเมธมีธุระอะไรที่นี่มากกว่ามั้ย”


น้ำเสียงคุณภัทราพรเปลี่ยนฉับ ถึงไม่ได้เงยหน้าก็พอเดาได้ว่าดวงตาคมดุคงหันมาจ้องผมอยู่ ซวยแน่แล้ว!


“ดีเลย รู้จักกันแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำ” ผมแอบเอียงคอมองคนข้างๆแล้วยิ่งใจเสีย สีหน้าคุณชัชนิ่งแบบจงใจจะงัดข้อเต็มที่ “แต่จะบอกก่อนว่าผมเป็นคนชวนกานต์มาด้วยเอง ถ้าคุณภัทไม่สะดวกงั้นผมค่อยมาพบใหม่วันหลังก็ได้ครับ”


พูดจบคุณชัชก็ยกมือโอบไหล่เตรียมจะพาผมหันหลังเดินกลับออกจากห้อง


“เดี๋ยวสิ!” แปลว่ายกนี้คุณชัชชนะ ผมเลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย “นั่งลงทั้งคู่นั่นแหละ เชิญ!”


เมื่อได้ข้อสรุปผมเลยถือโอกาสยกมือไหว้เจ้าของบ้านแล้วค่อยหย่อนตัวลงถัดจากคุณชัช เด็กรับใช้เข้ามาทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มกับขนมหน้าตาแปลกแลดูแพงซึ่งกลายเป็นหัวข้อให้คุณชัชชวนคุย รอจนกระทั่งคนนอกออกไปจึงเข้าเรื่อง...


“ตกลงเรียกผมมามีอะไรให้รับใช้ครับ” ไม่แปลกที่คุณภัทราพรจะเงียบ เพราะผมยังถือเป็นคนนอกอีกคนที่ยังอยู่ขวางหูขวางตา


“พูดมาได้เลยครับ เพราะถึงจะไม่ฟังตอนนี้เดี๋ยวกานต์ก็ต้องรู้เรื่องอยู่ดี ยิ่งเรื่องที่ดินที่ภูเก็ต คนนี้ล่ะครับรู้ดีกว่าใคร”


คุณภัทราพรไม่แย้งด้วยคำพูด แต่มีสายตาแสดงความสงสัยระคนแปลกใจ คุณชัชจึงช่วยยืนยันสถานภาพของผมอีกครั้ง


“อย่าลืมสิครับว่ากานต์เป็นผู้ช่วยใคร คุณภัทคิดว่าเมธมันจะใช้คนไม่เป็นหรือไง”


จู่ๆมือใหญ่ก็เชยคางผมขึ้นทำให้ได้สบตากับสุภาพสตรีตรงหน้าแวบหนึ่ง และคงเป็นจุดที่ทำให้เธอเอ่ยปากพูดกับผมตรงๆ


“ไหนลองบอกมาซิว่าเธอรู้อะไรบ้าง”


ผมหันไปขอความเห็นคนข้างตัว คำถามกว้างขนาดนี้จะต้องตอบยังไงถึงจะทำให้คนถามพอใจได้ล่ะเนี่ย


“ถามว่าไม่รู้อะไรจะตอบง่ายกว่า” คุณชัชเลยช่วยตอบแทน “จริงๆคุณภัท อย่าเพิ่งทำตาดุสิ! ผมไม่ได้โอเวอร์เลยสักนิดนะ”


“เอาล่ะ พี่เชื่อก็ได้ ทีนี้จะยอมให้เด็กคนนี้พูดได้หรือยัง เห็นมีแต่เธอออกหน้าแทนตลอด” คุณภัทประชดเสร็จก็หันมาพูดกับผมตรงๆ น้ำเสียงเป็นงานเป็นการกลบความไม่พอใจส่วนตัวได้เป็นอย่างดี “ฉันอยากรู้เรื่องที่ดินผืนนั้น ถ้าเธอมีดีอย่างที่ใครๆพากันการันตีก็บอกมา...ทุกอย่างที่เธอรู้”


ผมประมวลข้อมูลในสมองและถ่ายทอดออกไปจนครบถ้วน ทั้งข้อดีข้อเสียและเหตุผลว่าทำไมทางโรงแรมถึงควรได้ที่ดินแปลงนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์ คุณภัทราพรฟังอยู่เงียบๆ สีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาครุ่นคิด จนจบแล้วก็ยังไม่มีข้อซักถาม ผมเลยหันไปหาคุณชัชเผื่อยังมีอะไรที่ตกหล่นไป


คุณชัชไม่เสริม ไม่ขัด แต่ลูบหัวผมแล้วยิ้มให้แทนคำชม ส่วนคุณภัทราพรใช้เวลาตัดสินใจอีกไม่นานก็มีคำพูดที่เป็นนัยว่าเห็นดีด้วย


“ฉันจะลองถามคุณพี่หญิงดู แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จเพราะได้ยินเธอเคยเปรยๆว่าอยากเก็บไว้เป็นมรดก”


“แต่ผมเชื่อฝีมือ เรื่องยากแค่ไหนพอถึงมือคุณภัทล่ะก็หมูๆ”


คุณชัชหน้าบาน ส่วนคนถูกชมหน้าหุบ แจกค้อนวงใหญ่ทีเดียว


“ย่ะ! คนอย่างฉันมีประโยชน์กับพวกเธอแค่นี้ล่ะสิ” แต่ฐานะทายาทคนเดียวของเจ้าสัวภาคย์ คงไม่ใช่จะโดนใครใช้งานฟรีๆ “เอาล่ะ เรื่องที่ดินก็จบไป ทีนี้มาธุระของพี่บ้างล่ะนะ” 


ธุระของคุณภัทราพรคือแฟ้มกองโตที่เธอหยิบจากด้านล่างขึ้นมาวางจนเต็มโต๊ะกลาง สายตาดุๆเหลือบมองแวบหนึ่งตอนที่ผมรีบหยิบแก้วน้ำกับจานขนมออกให้


“ชัชสนิทกับหลาน คงรู้ใจกันดี ช่วยพี่เลือกหน่อยสิว่าใครน่าจะเหมาะสมที่สุด” คุณภัทกางแฟ้มบางอันส่งให้คุณชัช ผมแอบเห็นเผินๆเหมือนพวกใบสมัครงานหรืออะไรสักอย่าง จนมาเห็นชัดเมื่อมีแฟ้มหนึ่งยื่นมาตรงหน้า “จะดูด้วยก็ได้นะ ฉันอยากได้ความเห็นว่าในบรรดาผู้หญิงที่ทั้งสวยน่ารัก มีการศึกษา พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและชาติตระกูลพวกนี้ เธอคิดว่าคนไหนจะถูกใจภากรบ้าง”


ได้ยินแค่นั้นก็ให้รู้สึกวาบไปทั้งตัว ทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่จ้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าจะเรียกว่าใบสมัคร ตำแหน่งที่สาวๆเหล่านี้ใฝ่ฝันก็คือคู่ครองที่ถูกต้องทั้งตามกฎหมาย ศีลธรรมและจารีตของสังคม ทุกคนล้วนมีภาษีดีกว่าผมเพราะอย่างน้อยก็มีความเป็น...ผู้หญิง


“เรื่องแบบนี้ถามเด็กจะไปรู้เรื่องอะไร เดี๋ยวผมดูให้เอง” มือใหญ่ดึงแฟ้มนั้นให้พ้นไปจากสายตาแล้วเอ่ยปาก อย่าเรียกว่าสั่ง แต่คือการช่วยให้ผมพ้นไปจากตรงนี้จะดีกว่า “ออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนก็ได้ เสร็จธุระแล้วจะให้คนไปเรียก”


“ทำไมล่ะชัช ไหนเธอบอกเองว่าเด็กคนนี้รู้ดีทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่พลาดไง” ฝ่ายเจ้าของบ้านทักท้วง น้ำเสียงเจือความสะใจนิดๆ แฟ้มอีกอันถูกกางส่งให้ ผมจะทำอะไรได้นอกจากรับไว้ “เห็นมั้ยล่ะ เจ้าตัวเขายังเต็มใจจะช่วย”


“แต่พอดีผมนึกได้ว่ามีธุระ ขอตัวกลับก่อน ส่วนเรื่องนี้เดี๋ยวผมขอแฟ้มไปดูเอง ได้คำตอบแล้วจะบอก ไปนะครับ”


อีกครั้งที่คุณชัชออกโรงปกป้อง เขาบอกจบก็กอบแฟ้มทั้งหมดแล้วดึงแขนพาเดินออกจากห้องมาก่อนที่ผมจะได้ทันเอ่ยคำลา พอถึงรถก็โยนของใส่เบาะหลังโครมใหญ่


“อาครับ” ผมแตะหลังมือที่ยังจับแขนอยู่แล้วเอ่ยเรียกเบาๆ คุณชัชตอนโกรธน่ากลัวกว่าที่ผมคิดซะอีก “ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย ผมไม่เป็นไรจริงๆ”


มือใหญ่ปล่อยจากแขนแล้วย้ายมากุมข้างแก้ม ผมรีบยิ้มให้ได้ทั้งหน้าเพื่อช่วยบรรเทาความโกรธโดยเร็ว


“ฉันทำเพื่อตัวเองต่างหาก” ดวงตาสีเข้มมีแววอาทรจนผมรู้สึกอุ่นๆที่ขอบตา “ฉันไม่ชอบเห็นใครต้องมาเสียความรู้สึกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยิ่งเป็นเรื่องที่ฉันช่วยได้แต่กลับอยู่เฉย ไม่ทำอะไรเลย มันก็เหมือนฉันเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาเหมือนกัน”


“อาชัชคิดมากไปแล้วนะครับ” ผมกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วเอ่ยออกมาด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุด


“เพราะฉันต้องคิดแทนคนคิดน้อยอย่างเราน่ะสิ” มือใหญ่ละจากแก้มขึ้นไปวางบนกระหม่อม ไม่ต้องลูบหรือขยี้แต่ก็สามารถส่งผ่านความรู้สึกได้เป็นอย่างดี “อย่าฝืนเก็บอะไรไว้กับตัวเองให้มากนักเลยกานต์ ยิ่งแบกไว้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหนักเท่านั้นนะรู้มั้ย”


ผมพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มกว้างๆเพื่อให้เขายิ้มตาม เขาเอ่ยปากชวนกันกลับแถมยังใจป้ำจะเลี้ยงข้าวเย็นผมเป็นการปลอบขวัญแต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูรถ...


“กานต์! ใช่กานต์จริงๆด้วย!”


ลาบปากผมมีอันสะดุดเพราะใครบางคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ยิ่งในที่แบบนี้ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้เข้าไปใหญ่


“พี่พอลมาทำอะไรที่นี่ครับ คนเยอะแยะเลย มีถ่ายแบบกันเหรอครับ”


จากโรงจอดรถถ้าเดินไปอีกทางจะถึงบริเวณสระว่ายน้ำที่ตอนแรกผมกับคุณชัชไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้น


“จ๊ะ แต่พี่ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก พอดีสไตลิสท์เล่มนี้เป็นเพื่อนกัน มันอวดว่าคฤหาสน์ของคุณภัทราพรสวยมาก ไม่ค่อยยอมให้ใครเข้ามาถ่ายง่ายๆด้วย พี่ก็เลยขอเป็นตัวแถมเข้ามาชมให้เป็นบุญตาซะหน่อย แล้วกานต์ล่ะ มาทำอะไรกับ...คุณรูปหล่อคนนี้...”


บอกแล้วว่าคุณชัชยังดูหนุ่มเฟี้ยวผิดอายุจริง พอพี่พอลเห็นเข้าเลยตาโตเป็นไข่นกกระจอกเทศเชียว เอ๊ะ! หรือความจริงพี่พอลจะเห็นคุณชัชก่อนผมซะอีก


“นี่คุณชัช คุณอาของคุณภากรครับ” ผมเลยรับหน้าที่แนะนำให้สองฝ่ายรู้จักกัน “พี่พอลเป็นเพื่อนพี่พัชรีครับอา”


“คุณอา! ต๊าย! ทั้งหนุ่มทั้งหล่อขนาดนี้ไม่บอกไม่เชื่อเด็ดขาดเลย”


พี่พอลปลาบปลื้มยินดีมากแต่คุณชัชท่าทางจะไม่ค่อยอยากรู้จักสักเท่าไหร่


“เอ่อ..ครับ งั้นขอตัวเลยแล้วกัน ไปเถอะกานต์”


“เดี๋ยว! ยังไปไม่ได้ฮ่ะ พอลขอยืมตัวน้องกานต์สักแป๊บ แป๊บเดียวจริงๆ” พี่พอลรีบยื้อผมไว้แล้วบอกธุระที่เชื่อว่าเพิ่งคิดขึ้นสดๆร้อนๆแน่ “ฉากเซ็ทเสร็จแล้วแต่พวกนางแบบยังแต่งตัวกันอยู่เลย กานต์ไปช่วยลองกล้องให้หน่อยนะ”


“ไม่ดีมั้งครับ!”


“ต้องดีสิ พี่อยากได้รูปกานต์ด้วย น่านะ แป๊บเดียวจริงๆ” 


ผมหันไปส่งสายตาให้คุณชัชช่วยห้ามแต่ผลคือ...


“ลองดูก็ได้นี่ ไม่เสียเวลาหรอก”


เฮ้ย! ไหงทำกับผมแบบนี้ล่ะ โอเค เป็นไงเป็นกัน!


“งั้นให้อาชัชถ่ายด้วยดีมั้ยครับพี่พอล”


“เริ่ดมาก! เป็นไอเดียที่เก๋กู๊ดสุดๆ!”


คุณชัชทำหน้าปั้นยาก แต่ที่ยากกว่าคือกลับคำพูดตัวเองเพราะพี่พอลเลยรีบปล่อยผมแล้วโมเมจับคุณชัชพากลับไปที่กองถ่าย เห็นอย่างนี้เชื่อเลยว่าพี่พอลเคยแมนมาก่อนถึงสามารถลากยักษ์ตัวโตไปได้สบายๆ แต่สีหน้าที่พร้อมจะหักคอคนได้ทุกเมื่อก็ทำให้พี่พอลและทีมงานไม่กล้าเซ้าซี้หรือออกคำสั่ง มีแต่ผมที่ถูกลงเมคอัพบางๆ เปลี่ยนเสื้อเป็นโทนสีอ่อนเพื่อให้ตัดกับชุดดำของคุณชัช ตากล้องกับทีมงานล้วนเป็นมืออาชีพ และเป็นเพียงการถ่ายลองแสง ลองฉากนิดหน่อยจึงไม่มีอะไรขลุกขลัก จนถึงภาพสุดท้ายที่ผมอ่านสายตาพี่พอลออกเลยจัดให้ซะหน่อย...


“อาาาา...” ผมส่งเสียงเรียกจนคนที่ทำตัวเป็นรูปปั้นประกอบฉากหันมาหา “ยิ้มนิดนึงไม่ได้เหรอครับ”


“ได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”


“แต่เวลายิ้มอาดูเท่ห์มากๆ รูปสุดท้ายแล้วกานต์ขอนะ น๊าาา ยิ้มนิดนึงนะครับ”


งานนี้ผมอ้อนสุดชีวิตจนคุณชัชยอมหันไปส่งสายตาให้กล้องแล้วอมยิ้มนิดๆ แต่แค่นั้นก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดได้ลั่นกองถ่าย พอนางแบบแต่งตัวเสร็จพวกเราก็ขอตัวกลับ ผมได้ของฝากเป็นไฟล์รูปที่ถ่ายไปทั้งหมดตามด้วยมื้อปลอบขวัญที่เจ้ามือยังไม่ลืม ตอนแรกคิดว่าโดนแกล้งเพราะเขาจอดรถเทียบฟุตบาทไม่ห่างจากรถเข็นขายบะหมี่เกี๊ยวริมทาง แต่จำนวนคนที่เข้าคิวรอน่าจะรับประกันความอร่อยแล้วก็จริงสมกับที่ต้องยืนรอโต๊ะว่างอยู่นาน


มืดมากแล้วคุณชัชแวะมาส่งที่โรงแรมเพราะผมเกรงใจคุณวรเมธกับพี่พัชรี ไม่อยากขาดงานไปโดยไม่จำเป็นอีก และที่สำคัญคือผมอยากเห็นหน้าป้ามาลัยจะแย่ ไม่เจอกันตั้งหลายวันไม่รู้ป้าจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า รีบอาบน้ำเข้านอนแล้วพรุ่งนี้เช้าตื่นลงไปรอเซอร์ไพรส์...


เฮ้ย! ไม่ต้องรอถึงตอนไหนแล้วเพราะแค่เปิดประตูห้องเข้ามาผมก็เจอเซอร์ไพรส์เข้าจังๆ ทุกอย่างทั้งเสื้อผ้า ของใช้ กระทั่งแฟ้มเอกสารที่อ่านค้างไว้...หายเกลี้ยง!! สภาพห้องบ่งชัดว่าผ่านการทำความสะอาดเก็บกวาดเรียบร้อยอย่างนี้หาตัวการได้ไม่ยากเพราะในโรงแรมนี้จะมีกี่คนกันที่มีอำนาจและว่างมากพอจะสั่งเรื่องบ้าๆแบบนี้ได้


“ทำอย่างนี้ทำไมครับ?!”


ผมรีบตามไปถึงห้องของตัวการ พอประตูเปิดออกผมก็โวยลั่น แต่แทนที่จะรู้สึกผิดกลับกระชากตัวผมลากเข้าห้องแล้วกลายร่างเป็นงูเหลือมรัดซะแน่น ทำท่าอยากเขมือบผมเต็มแก่


“ถ้าไม่หยุดดิ้น ฉันปล้ำ! ปล้ำจริงๆ ไม่ได้ขู่”


สาบานว่าผมไม่ได้กลัวคำขู่แม้แต่น้อย แต่เพราะรู้ว่าดิ้นรนไปก็เหนื่อยเปล่า ทางรอดของผมคือรีบจัดการธุระแล้วออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุด


“ผมมาเอาของของผมคืน!”


“ที่มีมีแต่ของของฉันกับของของแฟนฉัน อะไรที่ไม่ใช่ก็โยนทิ้งไปหมดแล้ว”


“โธ่ คุณกร!” เป็นเหตุผลที่ทำเอาผมอยากจะลงไปดิ้นพราดๆอย่างเด็กถูกขัดใจ นี่เขาไม่รู้จริงๆหรือแค่แกล้งทำไขสือว่าสามารถทำตามใจตัวเองได้ทุกเรื่องกันแน่ “ให้ผมกลับไปอยู่ห้องเดิมเถอะ ทำอย่างนี้ถ้า...ใครรู้เข้ามันจะไม่ดีนะครับ”


“วันนี้แม่ฉันออกฤทธิ์อะไรล่ะสิ”   


“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ คุณภัทมีธุระกับอาชัช ไม่ใช่ผมสักหน่อย”


ผมตอบเต็มเสียงแต่อดไม่ได้ที่จะหลบด้วยการซบหน้าลงกับอกกว้าง ได้ยินเสียงทอดถอนใจก่อนจะถูกมือใหญ่เชยคางขึ้นไปสบตา


“คิดว่าฉันไม่รู้จักแม่ตัวเองหรือไง”


“จริงๆนะครับ กับผมท่านแค่ถามเรื่องที่ดินที่ภูเก็ต แล้วก็...” แฟ้มประวัติพวกนั้นยังติดตาแล้วจะให้ผมหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรได้ยังไง “ให้ผมช่วยเลือก...”


“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าเรื่องนั้นก็ไม่ต้องไปพูดถึงนั่นแหละถูกต้องแล้ว”


เห็นมั้ยล่ะ นี่ขนาดผมยังไม่ทันพูดอะไร แสดงว่าคุณภากรเองก็ต้องรู้เรื่องดี อาจจะได้เคยเห็นข้อมูลของว่าที่ภรรยาในอนาคตมาหมดแล้วก็ได้ เชื่อว่าทุกคนต้องผ่านการคัดกรองจากคุณภัทราพร เขาหลับตาเลือกมาสักคนแค่นี้ก็หมดปัญหา จะได้แฮปปี้กันทุกฝ่าย


“แต่คุณแม่คุณดูจริงจังกับเรื่องนี้มากจริงๆนะครับ ผมว่าคุณน่า...”


เขาคงรู้ว่าผมจะพูดอะไร แล้วเขาก็คงรู้ว่าผมไม่ได้อยากพูดออกไปเลยส่งสายตาสั่งให้ผมเงียบ


“จำไว้นะกานต์ ถ้าคุณแม่เอาจริงเรื่องผู้หญิงพวกนั้น ฉันก็จริงจังกับกานต์เหมือนกัน ฉันไม่เถียงว่ายังชอบผู้หญิงแต่จะให้ฉันแต่งงานกับใครได้ยังไงในเมื่อฉันมีกานต์อยู่แล้วทั้งคน”


ผมหลับตาแล้วปล่อยให้กระแสแห่งความสุขและความทุกข์ซัดโครมมาพร้อมๆกัน คำพูดของเขาเชื่อว่าใครถ้าได้ฟังก็ต้องซาบซึ้งตรึงใจแต่จะให้ละเลยผลกระทบอีกด้านที่จะตามมาได้หรือ ลองนึกดู...ถ้าพนักงานในโรงแรมรู้ว่าเจ้านายของพวกเขาชอบเพศเดียวกันจะคิดยังไง ไหนจะผู้คนในสังคม บรรดาคนที่ทำธุรกิจร่วมกันจะมองคุณภากรด้วยสายตาแบบไหน ผมรู้ว่าเขาไม่แคร์แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องมามัวหมองเพราะ...


“แต่ผมเป็น...”


คนตัวโตส่งเสียงชู่วว แต่ยกนิ้วมาแตะที่ปากผมแทน และที่ทำให้ผมปิดปากสนิทก็คือ...


“จะผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วไงในเมื่อฉันรักกานต์ กานต์คือคนเดียวที่ฉันเลือก จำไว้แค่นั้นก็พอ”


“คุณกร!” ไม่อยากพูดซ้ำแล้วเพราะทุกคำของเขาตรงใจผมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง “ขอบคุณครับ คุณดีกับผมมากเหลือเกิน มากจนผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง”


“ก็ตอบแทนด้วยการรักฉันสิ รักให้มากเท่ากับที่ฉันรัก ถ้าทำได้เมื่อไหร่กานต์ก็จะรู้ว่าทำไมฉันถึงทำอะไรที่ดูงี่เง่าได้ตั้งมากมายขนาดนี้”


ผมรู้ดีว่าความรักสำคัญกับมนุษย์ทุกคน ความรักเป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจให้ทำเพื่อคนที่รัก เมื่อเขาทำเพื่อผมได้ทุกอย่างแล้วทำไมผมจะไม่ตอบแทนเขาในแบบเดียวกันล่ะ


“แล้วเราก็จะกลายเป็นคนงี่เง่าสองคน...”


ผมใส่อารมณ์ประชดนิดๆในบทสรุปที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่ แล้วก็ได้คุณภากรช่วยเติมถ้อยคำให้สมบูรณ์


“...ที่มีความสุขที่สุดในโลก”


เขาไม่เพียงให้ความหมายแต่ยังเติมเต็มช่องว่างในใจจนเต็มเปี่ยม ชีวิตที่ผ่านมาผมไม่ได้ขาดความรักแต่ตอนนี้เพิ่งได้รู้ว่า...


“ผมรักคุณกรครับ”


...เพราะแต่นี้ต่อไปจะไม่มีใครที่ผมรักและรักผมได้อย่างผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ไม่มีจริงๆ!


“ฉันก็รักกานต์”


ผมโอบกอดและรับรู้ถึงไออุ่น ทอดถอนทุกความกังวลทิ้งแล้วสูดกลิ่นของไอรักที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัว


“เราจะรักกันตลอดไปหรือเปล่าครับ”


“ถ้ากานต์เชื่อมั่นในตัวฉัน มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ฉันสัญญา”


“คุณกร...”


ผมซบลงซ่อนหน้า เอ่ยเรียกเบาๆแต่ดูเหมือนเขาจะได้ยินแม้แต่เสียงผมหายใจ


“หืม?”


“แล้วเรา...” ผมยิ่งกดความอายลงกับแผงอกกว้าง ไม่อยากได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดออกไป “...จะยืนกันอยู่ยังงี้ทั้งคืนเหรอ...”


มีคนบอกว่าความรักเป็นอะไรได้มากมายตามแต่ใจคนเราปรารถนา ด้วยเหตุนั้นความรักจึงปรากฏแก่ผมเป็นร่างสูงสง่า แข็งแกร่งและมั่นคงดุจหินผา แต่ในยามที่อุ้มผมขึ้นแนบอกก็ทำได้นุ่มนวล ทะนุถนอมราวกับประคองไข่ในหิน อ้อมกอดอุ่นจัดจนทำให้ผมผวาเมื่อแผ่นหลังสัมผัสถูกที่นอนเย็นชืด เริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่ถามเพราะพอร่างสูงใหญ่ตามลงมาแนบชิดก็ไม่มีทางหวนเวลากลับคืน


...ไอรักกรุ่นกำจายเปลี่ยนห้องนอนกว้างยามฟ้ามืดเป็นดั่งสวนสวยตอนตะวันตรงหัว แสงจ้ายอนตาลวงให้ภมรตัวจ้อยละลืมดอกไม้งาม จากที่เคยเสพน้ำหวานเป็นอาหารกลายเป็นฝ่ายถูกดูดกลืนจนร่างน้อยบิดเร่า ปีกบางขาวพลิ้วไหว แลหลงระเริงไปกับเปลวแดดระยิบระยับ พระอาทิตย์ก็ช่างช่ำชอง รู้จังหวะผ่อนเบายั่วเย้า บ้างก็เร่งแรงหนักหน่วงจุดให้ความสุขระเบิดพร่างพาเจ้าแมลงแสนซื่อลอยขึ้นสู่สวรรค์คราแล้วคราเล่า ตราบจนพระอาทิตย์ตัวจริงปรากฏกายเพื่อบอกเวลาของเช้าวันใหม่...




จบตอนแล้วคร้าบ




ทีแรกตอนนี้เหมือนจะยกให้คุณชัช แต่คุณกรก็กลับมายึดตำแหน่งคืนได้ในโค้งสุดท้ายว่ามั้ยคะ ฮิ ฮิ

ส่วนบทของว่าที่แม่สามีนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ระดับคุณภัทราพรเราไม่ให้เป็นแค่แขกรับเชิญ ต้องว่ากันยาวๆค่ะ





 :bye2:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2016 19:10:33 โดย minemomo »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กานต์สมชื่อจริงๆ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ทำไมเรารู้สึกว่า กานต์จะเป็นลูกอาชัชนะ จากเหตุการณ์หลายๆอย่าง มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเลย

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
กานต์ไม่ต้องกลัว กานต์ต้องทำให้แม่สามีรักได้อยู่แล้วล่ะ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
อาชัชปล้ำแม่กานดาแล้วเลยมีกานต์เป็นลูกรึเปล่าเนี่ย บรรยากาศให้เดาเป็นแบบนี้มากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




20 .



หนาวเนื้อห่มเนื้อจึงหายหนาว หนาวราวอกร้าวห่มอกหาย
หนาวรักห่มรักอุ่นรักสบาย หนาวคลายเพราะห่มที่สมกัน...


เช้านี้ตอนรู้สึกตัวตื่น เรียกว่าทันทีที่ลืมตาเนื้อเพลงเก่าท่อนนี้ก็แวบเข้ามาในหัว ใช่ว่าอยากจะทำตัวแก่ให้สมกับฐานะเจ้าของโรงแรมใหญ่ แต่เป็นเพราะความรู้สึกมันพลุ่งพล่านจนทำให้ผมแน่ใจ... ขอเพียงมีกานต์ในอ้อมกอด หนาวเนื้อพลันอุ่นในอกจนอยากหลับตานอนสบาย ไม่อยากปล่อยให้ห่างกันเลยสักวินาทีเดียว


กำลังคิดอะไรเพลินๆ เจ้าตัวจ้อยขยับซุกไม่รู้เรื่องแต่เล่นเอาอะไรต่อมิอะไรในตัวผมเตรียมจะลุกพรึ่บไปหมด เช้าๆอย่างนี้ยิ่งไม่ได้การเดี๋ยวจะพาลไม่ต้องออกจากห้องไปทำงานทำการกันพอดี ผมจึงค่อยๆประคองร่างน้อยแล้วถอนตัวเองออก ผ่อนศีรษะยุ่งๆลงบนหมอนนุ่มแล้วชักผ้าคลุมให้ความอุ่นแทน เจ้าตัวดีนอนต่อไม่รู้เรื่อง หลับสนิทยังงี้มันน่า...!


ตอนยังเด็กผมไม่ใช่พี่ชายที่ดีเลิศอะไรนักหนา มีน้องสาวกับเขาอยู่คนก็ไม่ใช่ไม่รัก แต่เห็นทีไรมันอดแกล้งไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาภาวิณีหลับจะโดนผมกวนสารพัดรูปแบบ เบาะๆก็เป่าลมใส่หน้า ถอนผมมาแหย่จมูก ไปถึงขั้นดึงตุ๊กตาที่ยัยภากอดอยู่ออก เวลาจิ้มแก้มนิ่มๆเกิดหมันเขี้ยวจริงๆก็เผลอหยิกจนน้องตกใจร้องไห้จ้า แม่กับพี่เลี้ยงจะรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาดูส่วนผมแอบหลบไปหัวเราะด้วยความสะใจ เสร็จแล้วค่อยย้อนกลับมาทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร พอนึกย้อนกลับไปก็อยากด่าตัวเองว่า...โรคจิตจริงๆ!


ทีนี้ก็มาถึงคนที่กำลังหลับสบาย พอได้เห็นร่องรอยที่เกิดขึ้นจากความหน้ามืดของตัวเองอาการโรคจิตเลยกลายเป็นความละอายและสงสารจับใจ ไม่ต้องเปิดผ้าห่มออกก็รู้ได้ว่าร่างบางมีทั้งรอยมือ รอยจูบ ขาวๆแบบนี้ยิ่งเห็นชัดจนลายพร้อยไปทั้งตัว ริมฝีปากสีชมพูฉ่ำกลายเป็นแดงช้ำเพราะเจ้าตัวต้องกัดฟันเก็บกลั้นความเจ็บปวดในขณะที่ตัวผมเองไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เห็นอย่างนี้แล้วอยากหมุนเวลากลับเพื่อถนอมและอ่อนโยนกับคนน่ารักให้มากกว่าที่ทำลงไป


เมื่อย้อนเวลาไม่ได้เลยขอแก้ตัวใหม่ด้วยมอร์นิงคิสเบาๆ ครั้งแรกที่หน้าผาก... อืม ท่าจะเบาไป คนโดนหอมไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ลองซ้ำอีกทียังเฉย เลื่อนลงมาหน่อย แก้มซ้ายก็แล้ว แก้มขวาก็ยัง... นิ่งสนิท อยากจะลองที่ปากกลัวยิ่งเจ็บเลยจูบลงเบาๆที่ปลายจมูก ได้ผล เด็กขี้เซาขยับจมูกดุ๊กดิ๊กคงจะรำคาญ


“อื๊อออ คุณกร...”


“หืม?” ผมขานรับแล้วโอบกระชับร่างบางที่ขยับเข้ามาหา ดึงผ้าห่มมาห่อให้ความอุ่นและกันความขาวกระแทกตา


“...จะนอน...”


ผมหลุดขำเบาๆ ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะถูกใจคนละเมอ ถ้าอยากนอนแสดงว่าจะให้ผมไปไกลๆ แล้วไอ้ที่ทำเหมือนผมเป็นหมอนข้างเลยกอดไม่ปล่อยนี่หมายความว่า...?


“กานต์” ผมเรียกแล้วลองแตะปากสีช้ำ แน่ะ! มีจูบตอบ เลยต้องรีบยกเรื่องงานมาข่มใจกันเต็มที่ “เช้าแล้ว คุณกรต้องลงไปทำงานนะครับ”


“หือออ กี่โมงแล้ว...”


คนขี้เซาสะลึมสะลือลืมตาทีละข้าง พยายามโงหัวขึ้นมองนาฬิกาแล้วก็ทิ้งตัวลงหมอนหมดแรง ผ้าที่อุตสาห์คลุมให้เลยเปิดโชว์ผิวเนียนขาวสว่างจนผมต้องข่มใจไม่ไล่สายตาไปตามรอยแดง และยอดอกสีช้ำเพราะพาลจะนึกถึงความหอมหวานที่ลิ้มรสมาตลอดทั้งคืน แต่เจ้าตัวดีกลับทำท่างัวเงียไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รู้เลยว่าจริตซื่อๆของหนุ่มน้อยไม่เดียงสาอย่างนี้มันยั่วอารมณ์ดีนักล่ะ


“นอนต่อเถอะ อนุญาตให้ลาป่วยหนึ่งวัน”


ดึงผ้าห่มให้เหมือนเดิมแล้วลูบเรือนผมนุ่มให้ยุ่งน้อยลง ทำไปทำมาเหมือนเลี้ยงลูกมากกว่าดูแลแฟน แถมเป็นลูกที่เถียงคำไม่ตกฟากซะด้วย!


“ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”


“ไม่เป็นหน่อยแต่เป็นเยอะเลยน่ะสิ ตัวก็รุมๆแล้วแถมจะลุกไม่ไหว จะเอาแรงที่ไหนลงไปทำงานหืม” แกล้งแซวพลางบีบจมูกเล็กโยกเล่นเบาๆ นึกแล้วขำ ผมเคยจะทำแบบนี้กับสาวคนหนึ่งแต่เธอร้องห้ามเสียงหลงเพราะกลัวจมูกเบี้ยว!


“ก็...” ส่วนคนนี้นอกจากไม่กลัวแล้วยังยู่หน้าทำปากยื่นใส่ผมอีก “เพราะคุณนั่นแหละ!”


“ครับๆ ยอมรับผิดแล้ว นอนต่อนะครับคนเก่ง เดี๋ยวจะรีบเคลียร์งานตอนเช้า เสร็จแล้วจะขึ้นมารับลงไปกินข้าว รอไหวมั้ย หิวหรือเปล่า”


ผมถามแล้วกลายเป็นนึกแปลกใจตัวเองว่าเคยแสนดีกับใครขนาดนี้มาก่อนหรือเปล่า เอาจริงๆผมก็ไม่ใช่ผู้ชายดีเด่อะไร แฟนกี่รายๆที่เลิกกันไปมักบอกว่าทนผมไม่ได้ เพราะเรื่องเจ้าชู้บ้างล่ะ ไม่ค่อยมีเวลา ไม่เอาใจใส่กันบ้างล่ะ และอีกเหตุผลที่ยังคาใจมาจนทุกวันนี้... ไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าเป็นที่รัก ถ้าผมเคยเลวอย่างนั้นจริงก็ขอให้มันเป็นแค่อดีต ผมอาจไม่รู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือแก้ไขอะไรที่ตรงไหน แต่ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ต้องเสียเขาคนนี้ไป


“มองหน้าแบบนี้จะหาเรื่องอะไรคุณกรอีกหือ?”


กานต์นอนมองตาแป๋ว ได้ยินคำถามแล้วยิ่งยิ้มมีเลศนัย มันน่าจับรีดความลับนัก


“หาเรื่องไม่รักคุณกรแหละ”


“แล้วหาเจอมั้ย”


“ช่วยหาหน่อยสิครับ”


แค่พูดไม่พอยังเอาตัวเองมาอยู่ในอ้อมกอดกันเสียอีก เด็กน้อยของผมชักจะกล้าขึ้นทุกวันแล้ว


“ถ้ายังไม่ปล่อยนี่แหละจะเป็นเรื่องให้คุณกรรักกานต์ได้แน่ อีกสักรอบก่อนลงไปทำงานก็ดีเหมือนกันนะ”


“อื๊อออ ไม่เอ๊า ปล่อยผมน๊าาาา!!!”


จากที่เพิ่งตื่น ดูเหมือนเด็กป่วยไม่มีแรงกลับดิ้นจนเกือบตะครุบไม่ทัน แต่อย่าลืมว่าผมเองก็เป็นผู้ชายย่อมรู้ว่าจุดอ่อนของบุรุษเพศไม่ใช่เรื่องของเส้นผม เพียงกำความลับนั้นไว้ได้ ร่างบางก็แข็งขึง โยกคลึงตามจังหวะที่เคยมือไม่กี่ครั้งก็ถึงจุดสุดท้ายที่กระแสธารจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมเสียงครางยาว


“คุณกรอุ้มไปล้างตัวให้เอามั้ย” ผมกระซิบถามชิดหน้าผากชื้นเหงื่อ คนตัวเล็กยังหอบเลยไม่ยอมตอบแถมเอาหน้ามุดหมอนหนีซะอย่างนั้น “โอเคครับ งั้นนอนพัก เอาไว้จะลงไปกินข้าวค่อยอาบน้ำทีเดียวก็ได้”


ผมจูบย้ำรอยแดงหลังต้นคออีกทีแล้วตัดใจลุกออกจากเตียง จังหวะเดียวกับที่อีกคนพลิกตัวกลับมา...


“คุณกร...”


ผมมองตอบแววตาสุกใส พวงแก้มขาวแต่งแต้มสีแดงระเรื่อ ท่าทีอึกอักผมเลยชิงบอกให้แทน


“รักกานต์นะครับ”


คาดว่าผมคงพูดถูกใจ คนตัวขาวเลยกลั้นอายลุกขึ้นมาจุ๊บปากเป็นรางวัลแล้วชักผ้าห่มคลุมโปงต่อ แต่พอผมอาบน้ำเสร็จออกมาแต่งตัวก็มีคนรู้ใจจัดไว้ให้ครบทั้งชิ้นนอก ชิ้นใน เนคไท ผ้าเช็ดหน้าไปจนถึงถุงเท้า แม้แต่กระเป๋าสตางค์กับมือถือที่เที่ยววางส่งแล้วต้องเดินหาก่อนออกจากห้องทุกเช้าก็ยังมารวมอยู่ที่เดียวกัน ลองใครเจอเข้าแบบนี้ถ้ายังอดใจไม่รักได้ก็เทวดาแล้วว่ามั้ยครับ


เช้านี้ผมเลยออกจากห้องพักลงมาทำงานด้วยสภาพร่างกายและจิตใจพร้อมเต็มที่ นี่ถ้ามีประชุมโปรเจคท์ใหญ่ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนรับรองฉลุย แต่ถ้าจะไม่ผ่านก็คงเพราะมารผจญที่โผล่มาในคราบเลขาคนสนิทนี่แหละ


“วันนี้ท่าทางแปลกๆ เป็นอะไรหรือเปล่า” พอเคลียร์ตารางงานกันเสร็จ วรเมธคงสบโอกาสเลยทำหน้าซีเรียส ถามเสียงเครียด พอผมส่ายหน้า ทำท่าสบายอารมณ์ของผมต่อแล้วฟังคารมคนขี้อิจฉาซะบ้าง “งั้นก็หุบยิ้มซะบ้าง รู้ว่าแฮปปี้ แต่ใครเห็นเข้าจะนึกว่าเจ้าของโรงแรมนี้มันเพี้ยน”


“ของอย่างนี้ไม่ลองเองกับตัวไม่รู้ นี่ฉันพูดในฐานะเพื่อนเลยนะเมธ นายเองก็เลิกทำเป็นตาแก่แล้วหัดมีความรักซะบ้าง ชีวิตมันจะได้กระชุ่มกระชวย”


ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าแต่เอกสารชุดสุดท้ายที่เมธส่งมาให้ดูคือเรื่องที่ผมเคยเอ่ยปากกับพี่สาวเจ้าตัวแสบไว้ เนื้อหาคร่าวๆคือเธอขอรับเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาโทแลกกับการทำงานใช้ทุนตามแต่ทางโรงแรมจะพิจารณา กับอีกเงื่อนไขที่ใกล้กว่าคือการขอเข้าฝึกงานในช่วงปีสุดท้ายของการศึกษา ไม่รู้ว่าข้อนี้เจ้าเลขาใหญ่หรือแม่สาวน้อยตาคมเป็นคนเสนอ แต่ผมในฐานะเจ้าของทุนก็ต้องสนองให้ไปตามระเบียบ


“งั้นถ้ากระผมจะขออะไรสักอย่างท่านประธานจะให้มั้ยล่ะครับ”


“แน่นอน นายไม่ใช่แค่เพื่อนแต่เป็นเหมือนแขนขาที่ช่วยให้ฉันมีวันนี้ได้ ฉันยังไม่เคยได้ตอบแทนให้สมกับที่นายทุ่มเทให้กับที่นี่เลย”


“ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย ฉันเลยไม่กล้าขอ”


ผมหมายความตามทุกคำที่พูด แต่เพราะไม่ได้ทำท่าซีเรียสกับเรื่องคุยกันเล่นๆบ่อยนัก เมธเลยอาจไม่ชิน


“เฮ้ย! ไม่ต้องเกรงใจ นายอยากได้อะไรบอกมา ถ้าไม่ใช่เดือนกับดาวฉันว่าฉันหาให้ได้ทุกอย่างน่ะ”


“งั้นฉันขอ...” เห็นรอยยิ้มมันแล้วชักได้กลิ่นทะแม่งๆ “กานต์”


“ไอ้...” ผมชี้หน้าแล้วคว้าอะไรสักอย่างที่ใกล้มือที่สุด


“เดี๋ยว!” ไอ้เพื่อนบ้ารีบยกแฟ้มขึ้นมาเป็นกันชน “อะไรวะ เมื่อกี้นายเพิ่งซึ้งใจในความอดทนทุ่มเทของฉันอยู่เลยนะ”


“แต่ที่มึงขอมันมากไป มากเกินกว่ามากที่สุดอีกจะบอกให้ เว้นไว้คนนี้คนเดียว ให้ไม่ได้โว้ย!”


อีกครั้งที่ผมแน่ใจในทุกคำที่ออกจากปาก และความจริงวรเมธเองก็รู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร มันถึงได้กล้าแสยะยิ้มแล้วพูดใส่หน้าผมบ้าง


“ก็ดี เท่านี้แหละที่อยากได้ยิน”


ผมว่าผมไม่ได้เขินนะแต่ก็อดรู้สึกร้อนๆที่หน้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าเมธได้ทีหัวเราะแซวใหญ่ แต่พอมันก้มดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาในมือถือเท่านั้น...


“แม่นายมา”


บรรยากาศมาคุขึ้นทันที ไม่ทันถึงอึดใจประตูห้องทำงานก็เปิดออกโดยไม่มีเสียงเคาะขออนุญาตแสดงว่าคุณภัทราพรคงจะร้อนใจไม่น้อย


“เมธอยู่ก่อนก็ได้นะ” แม่พูดเป็นเชิงอนุญาตแต่ใครฟังก็รู้ว่าเป็นคำสั่ง เจ้าเมธเลยต้องนั่งลงอย่างเดิม ส่วนผมยังไม่ได้ทันกระดิกตัวก็มีของบางอย่างวางลงตรงหน้า “แม่ต้องการคำอธิบาย”


โดยปกติผมจะอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจแต่ก็เคยผ่านตาหน้าข่าวสังคมของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่มาบ้าง ในกรอบยาวริมด้านหนึ่งจะมีข่าวฝากหรือไม่ก็เรื่องซุบซิบแวดวงไฮโซอยู่ไม่ขาด และหนึ่งในนั้นคือข้อความสั้นๆใจความว่าแม่ผมยอมเปิดบ้านให้ถ่ายแฟชันเป็นกรณีพิเศษ เพราะอยากอวดสมาชิกใหม่ที่มีแววจะกลายเป็นหนุ่มฮอตของวงสังคมในไม่ช้า


“เด็กที่ชื่อกานต์นั่นเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าแอบอ้างจนนักข่าวเอาไปเขียนได้ขนาดนี้ ตั้งแต่เช้ามีแต่คนโทรมาถามจนแม่ต้องปิดมือถือหนี นี่ถ้ามีใครสืบรู้จนตามมาถึงที่โรงแรมคงได้งามหน้ากันล่ะ แม่ว่าตัดปัญหา กรไล่เด็กคนนั้นออกไปซะเลยดีกว่า”


“แม่ครับ!” ไม่บ่อยนักที่ผมจะร้องเสียงหลง แต่ไม่ไหวจริงๆ ได้ยินแล้วมันวาบเหมือนหัวใจจะหายออกไปจากอกยังไงยังงั้น เมื่อแรกที่วางแผนจะใช้กานต์เพื่อยุติการจับคู่คลุมถุงชนผมก็เคยคิดว่าจะมาถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้า แต่อะไรที่เคยคิดไว้เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมในตอนนั้นไม่ได้แคร์ความรู้สึกของแม่ตัวเอง และลืมนึกว่าถ้ากานต์รู้ความจริงเข้าจะเสียใจมากแค่ไหน มันน่าด่าความสิ้นคิดของตัวเองชะมัด!


“ทำไมล่ะ เด็กนั่นเป็นแค่ลูกหนี้ไม่ใช่หรือไง ไม่ได้มีตำแหน่งหรือทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อย ที่มาอ้างว่าเป็นผู้ช่วยเมธหรือเลขากรนั่นน่ะพูดไปก็ขายขี้หน้าเขาเปล่าๆ เด็กที่ไม่มีทั้งความรู้ ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีประสบการณ์อะไรสักอย่างจะมาทำงานในตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ได้ยังไง หรือกรอยากให้คนเขานึกว่าโรงแรมเราเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า”


ทุกคำของแม่จริงจนผมไม่รู้จะยกอะไรที่จริงกว่านั้นมาโต้แย้ง โชคดีที่ยังมีวรเมธคอยอยู่เป็นกำลังเสริม


“แต่กานต์ไม่มีความผิดอะไร และผมว่าเขาก็ทำงานในส่วนของเขาได้ดีนะครับ”


“นี่แสดงว่าสองคนเข้าข้างกัน” แม่มองเราทั้งคู่ด้วยความผิดหวัง อย่างที่บอกว่าหลังๆมานี่แม่มักจะฟังมันมากกว่าผมเสียอีก ทีแรกท่านคงคิดว่าเมธไม่น่าจะเห็นด้วย พอเหตุการณ์ออกมาในรูปนี้เลยต้องพลิกหาทางเลือกอื่น “เอาล่ะ ถ้าเด็กนั่นเก่งกาจเหลือเกิน งั้นก็ส่งไปอยู่ที่อื่นซะ โรงแรมเรามีตั้งหลายสาขา คนเก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ได้นี่”


“แต่ผมต้องการให้กานต์อยู่กับผมที่นี่!”


เวลาจริงจังหรือต้องการอะไรให้ได้อย่างใจ ผมมักจะเสียงดังขึ้น ผิดกับน้ำเสียงแม่ที่จะยิ่งนิ่งและเบาลงราวกับจะเก็บกดอารมณ์เอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงานใหญ่


“อย่าให้แม่ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดนะกร”


“พูดมาเถอะครับ ผมรับได้ทุกอย่าง”


“ภากร! นี่ลูกจะยอมรับว่าชอบเด็กคนนั้น...” ผมอาจจะรอให้แม่เป็นคนพูดประโยคนี้ก่อนก็ได้ เพราะมันหมายถึงท่านได้เผยไม้ตายทุกอย่างแล้ว “ไม่จริง! ลูกฉันไม่ใช่พวกวิปริตผิดเพศถึงจะได้ไปชอบผู้ชายด้วยกัน!”


เมื่อท่านกรีดเสียงดังขึ้น ผมก็ด่าตัวเองว่าลูกทรพีได้เต็มปาก เพราะดูไปก็เหมือนผมกดดันให้แม่ต้องยอมรับในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกท่านที่สุด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่เราทุกคนจะต้องทนหลอกตัวเองตลอดไป


“ผมยังขอยืนยันว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ผมชอบกานต์ แค่กานต์คนเดียวเท่านั้นครับ”


“แล้วคนที่แม่หามาให้ทำไมกรถึงไม่ชอบ ทุกคนเพียบพร้อมทั้งหน้าตา ชาติตระกูล ความรู้ความสามารถ แล้วเด็กนั่นมันมีดีอะไรนักหนา?!”


ข้อนี้ผมก็เถียงไม่ออกอีก ไม่ต้องกลับไปดูแฟ้มก็รู้ได้เลยว่าแม่ต้องคัดสรรคนที่ดีที่สุด เชื่อว่าสายตาแม่ต้องรอบคอบและเฉียบคมกว่าตัวผมเอง แต่คงเป็นเพราะผมไม่ได้ใช้แค่สายตามองหาคนที่ใช่ล่ะมั้ง


“ผมก็ไม่รู้ว่ากานต์มีดีอะไร ผมรู้แต่ว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับเขา ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครจริงๆนะครับแม่”


“บ้า... ลูกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” ดวงตาของแม่จ้องมองเหมือนไม่เคยรู้จักคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามาก่อน


“ถ้าเป็นกานต์ผมเต็มใจจะบ้าครับ”


ความจริงจังและจริงใจของผมคงทำให้แม่เป็นฝ่ายพูดไม่ออกบ้าง ท่านเลยหันไปหาวรเมธหวังให้ช่วยอีกแรง แต่อย่างที่รู้ งานนี้เจ้าเมธเข้าข้างผมเต็มๆ


“ถึงผมกับกรจะเพิ่งเจอกันได้ไม่นานแต่ก็กล้าพูดว่ารู้จักเขาในหลายๆด้าน ทั้งตอนที่ทุกข์ที่สุด ล้มเหลวที่สุด จนกระทั่งประสบความสำเร็จเป็นคุณภากรในทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ผ่านมาหรืออนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่ที่ผมเห็นตอนนี้คือเพื่อนผมมีความสุข กานต์อาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดแต่ผมเชื่อว่าเขามีดีพอจะอยู่เคียงข้างกรครับคุณป้า”


ผมยิ้มขอบคุณเพื่อนจากใจ แต่แน่นอนว่าแม่คงยิ้มไม่ออกและไม่มีทางยอมง่ายๆ ท่านกลับไปพร้อมอาการโกรธ ผิดหวัง เสียใจ ทุกความรู้สึกแย่ๆที่ทำให้ผมครองตำแหน่งลูกชายสุดชั่วแห่งปี เอาเป็นว่าผมยอมรับและจะพยายามหาทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย


ส่วนตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่เพิ่งค้นพบกับตัวเองว่าเวลามีปัญหาหรือเจอเรื่องแย่ๆ ผมจะคิดถึงและอยากเห็นหน้ากานต์ขึ้นมาจับใจ แต่ก็อีกนั่นแหละ มีข้อหนึ่งที่ต้องจำไว้ ที่รักของผมไม่ใช่คนอ่อนแอที่คอยงอมืองอเท้ารอให้ประคบประหงม แถมเขายังรู้ว่าตัวเองมีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามใจต้องการ เพราะขนาดผมสั่งให้รออยู่แต่ในห้อง เจ้าตัวแสบยังแล่นลงมาถึงข้างล่างโดยอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า...


“ก็คุณบอกจะขึ้นไปหาแล้วลงมากินข้าวด้วยกัน ผมก็เลยลงมาจัดโต๊ะรอไว้เลยจะได้ไม่เสียเวลา” แค่นั้นไม่พอ ยังมีหน้าเอาน้ามาลัยมาเป็นพวก! “ป้าว่ากานต์ทำถูกใช่มั้ยครับ”


“แล้วการที่คนไม่สบายไม่ยอมนอนพัก มาวิ่งวุ่นกับเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่นี่น้าลัยคิดว่าไงครับ”


“ป้าอย่าไปฟังนะ กานต์สบายดี ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”


“งั้นคนสบายดีทำไมถึงยังหน้าซีด แถมใส่เสื้อผ้าซะมิดชิดปิดคอ หนาวมากหรือไง”


ผมถามทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าตัวดีตั้งใจจะปิดบังอะไร ส่วนน้ามาลัยเห็นมองยิ้มๆอย่างนั้น เชื่อเถอะว่าต้องรู้เหมือนกัน


“นั่นสิ ป้าว่าคุณกรก็พูดถูกนะลูก”


“แต่กานต์ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆนะครับ ที่...” ตากลมโตจ้องเหมือนจะแค้นผมไม่น้อย “ฮึ่ย! ไม่รู้ล่ะ กานต์สบายดี ใครไม่เชื่อก็ตามใจ”


มันน่าขำมั้ยล่ะ พอเถียงไม่ออกก็ทำเป็นฟึดฟัด เอาส้อมจิ้มของใส่ปากเคี้ยวระบายอารมณ์เฉยเลย แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปเถียงแม่ว่าแฟนผมไม่ได้เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน ส่วนน้ามาลัยเห็นเจ้าตัวดีกินได้ก็คงวางใจเลยหันมาชวนผมคุยแทน นอกจากเรื่องทั่วๆไปของโรงแรมก็คงจะมีเรื่องนี้ที่ใกล้เวลาเข้ามาทุกที


“ปีนี้คุณภาวิณีจะกลับมาร่วมงานเปิดไฟต้นคริสต์มาสของโรงแรมหรือเปล่าคะ”


“ยัยภาเรียนจบแล้วแต่ยังงอแงขออยู่เที่ยวต่อสักพัก เอาไว้ผมจะถามเขาให้แล้วกันครับ”


“วันเกิดพี่ชายทั้งที ถ้าเธอกลับมาก็คงดี ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตานะคะ” 


น้ามาลัยอยู่เป็นกันชนให้สักพักก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ก่อนไปไม่วายกำชับให้กานต์ทำตัวดีๆ เจ้าตัวเลยทำหน้ามุ่ยใส่ผมใหญ่


“มานั่งใกล้ๆกันดีกว่าน่า” ผมออกแรงง้อและลากเก้าอี้อีกฝ่ายเข้ามาหา ส่วนบนโต๊ะที่กำลังกินกันอยู่นี่เป็นราดหน้าทะเลจานใหญ่ ของผมน่ะหมดแล้วแต่คนที่ลงมือกินก่อนยังมีเครื่องเหลืออยู่หลายอย่าง ไม่รู้ว่าไม่ชอบหรือจะเก็บเอาไว้กินตอนท้ายกันแน่ “ขอกุ้งให้คุณกรตัวนึงได้มั้ยน๊า”


คนแสนงอนเหล่มอง แอบค้อนเบาๆแต่ก็ยอมตามคำขอ แถมยังเอาหางออกแล้วจิ้มเนื้อกุ้งกรอบๆส่งให้ถึงปาก จู่ๆทำตัวน่ารักขนาดนี้สงสัยจะมีแผน


“ที่ป้ามาลัยพูดถึงเมื่อกี้... วันเกิดคุณเหรอครับ”


นั่นปะไร ว่าแล้วไม่มีผิด ที่ยอมหายงอนง่ายๆเพราะมีเรื่องอยากรู้นี่เอง เอ๊ะ! หรือที่จู่ๆน้ามาลัยถามขึ้นมาก็เพราะตั้งใจให้เป็นแบบนี้


“วันที่ยี่สิบนี่แหละ ฉันไม่ใช่พวกชอบจัดงานให้เอิกเกริกเพราะมันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง แต่คุณแม่อยากให้มีอะไรพิเศษหน่อยก็เลยให้จัดตกแต่งต้นคริสต์มาสให้เข้ากับเทศกาล แล้วกำหนดให้เปิดไฟตรงกับวันเกิดฉัน ทุกปีถ้าไม่ใช่คุณแม่ก็เป็นยัยภาที่เป็นคนกดเปิดไฟ”


เด็กน้อยตั้งใจฟังตาแป๋ว คอยดูเถอะ อีกไม่กี่วันฝ่ายสถานที่จะทยอยขนอุปกรณ์ออกมาติดตั้งที่โถงชั้นล่าง เสร็จเมื่อไหร่คงได้ไปยืนมองตาค้างแน่


“แต่ไหนๆปีนี้ฉันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเลยว่าจะยกหน้าที่นี้ให้ซะหน่อย กานต์ว่าดีมั้ย”


ผมถามยิ้มๆ แก้มใสเริ่มมีสีจนซ่านไปทั้งหน้าก่อนจะยอมอุบอิบตอบ


“ก็...แล้วแต่คุณกรสิครับ”


ถ้าทำได้อยากให้แม่มาเป็นผมในตอนนี้จะได้เข้าใจโดยไม่ต้องหาเหตุผลหรือคำอธิบายให้วุ่นวาย หรือจะว่าไปกานต์อาจมีดีเกินกว่าจะให้คำจำกัดความ แฟนผมคนนี้เป็นพ่อมดน้อยปลอมตัวมาหรือเปล่านะ เพราะไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำอะไรถึงได้เหมือนมีคาถาสะกดให้ผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุขทุกคราไป






จบตอนแล้วคร้าบ





 :bye2:



ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
ไม่เอามาม่านะ สงสารน้องกานต์

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อย่ามาดราม่ากับกานต์เลยนะ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
คุณกรต้องปกป้องแฟนดีๆอย่าทำให้น้องเสียใจน่ะ

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




21 .




เป็นอีกครั้งในเวลาห่างกันไม่กี่วันที่ได้มีโอกาสมาเยือน... เรียกว่าคฤหาสน์น่าจะสมฐานะกว่า และแม้จะมีคุณชัชอยู่ข้างๆด้วย ผมก็ยังรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้องอยู่ดี!


“ไม่ต้องๆ เอามานี่ ”


หันไปตามเสียงเห็นคุณชัชกำลังห้ามคนรับใช้ที่กำลังจะยกตะกร้ากับถุงของฝากเข้าไปเก็บให้เรียบร้อย อาจจะฟังงงๆงั้นขอเท้าความที่มาที่ไปว่าความจริงแล้ววันนี้ผมถูกคุณภัทราพรเรียกให้มาพบที่บ้านเป็นการส่วนตัว แต่พอลงมาหน้าโรงแรม คุณชัชก็ขับรถโฉบเข้ามาพอดี พอเขาเห็นรถเบนซ์คันโตที่จอดเทียบอยู่ก็ไม่ถามอะไรสักคำแต่เชิญตัวเองมาเป็นเพื่อนด้วยเสร็จสรรพ ส่วนของฝากจากบ้านสวนที่ติดท้ายรถมามีทั้งผลไม้หลายอย่าง น้ำตาลสดแท้แถมด้วยขนมตาลนึ่งร้อนๆฝีมือยายเป้า


“ผลไม้เดี๋ยวฉันเอาเข้าไปเอง เอาน้ำตาลสดกับขนมนี่ไปใส่จาน ไอ้ประเภทน้ำผลไม้กล่องๆน่ะเลิกเอาเสิร์ฟแขกได้แล้ว ไม่เห็นจะอร่อยเลย”


ถึงคุณชัชจะเปลี่ยนใจเอาของทั้งหมดมาฝากคนที่นี่แทนผมก็ไม่ว่าหรอก แต่มันไม่น่าดูก็ตรงที่เขาทำท่าจะแบกเข่งทั้งใบขึ้นบ่าเข้าไปให้ถึงมือเจ้าของบ้านที่กำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกนี่สิ


“อาครับ พวกพี่เขาแค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้นเอง” ผมรีบปรามคนใจดีแต่หน้าดุแถมเสียงดัง ทำเอาพี่คนรับใช้สาวๆหน้าถอดสี ยืนกลัวไม่กล้าทำอะไรเลย “เอาขนมกับน้ำตาลสดไปจัดใส่จานก็พอ ส่วนผลไม้วางหลบไว้แถวนี้ก่อนแล้วค่อยมาช่วยกันยกไปทีหลัง มีตั้งหลายอย่างแบ่งๆกันไปทานได้เลยนะครับ”


พวกพี่เขารับคำแล้วรีบโกยอ้าวไปพ้นจากสายตาคนตัวใหญ่ พอผมหันกลับมาก็โดนจ้องอยู่แล้ว ชอบทำหน้าอย่างนี้นี่น๊าใครๆเขาถึงได้กลัวกันนัก


“ห่วงเขาไปทั่วแล้วตัวเองน่ะไหวหรือเปล่า”


“มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะครับ” ผมตอบแล้วเดินไปตามทางที่จำได้ พอคนตัวโตก้าวตามเลยต้องหันกลับมา “ให้ผมเข้าไปพบคุณภัทราพรคนเดียวดีกว่าครับอา”


“คนเดียวหัวหาย”


คุณชัชบอกยิ้มๆ ผมเลยกล้าย้อน


“ส่วนสองคนเลยพากันตายใช่มั้ยครับ”


“ดีแล้ว อย่าลืมว่ายังมีฉันอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ” พอเขาเห็นผมยิ้มออกก็คงอยากให้กำลังใจเพิ่ม มือใหญ่ยกมาบนหัว วางนิ่งแล้วกดเบาๆจนผมรู้สึกเหมือนมีเรี่ยวแรงบางอย่างเติมเข้ามาในตัว


พอไปถึงห้องรับแขกเล็ก ยังไม่ทันที่เจ้าของบ้านจะเอ่ยทัก คุณชัชก็รีบบอกว่าบังเอิญพบผมและขอตามมาที่นี่โดยไม่มีใครชวนทั้งนั้น สงสัยจะกลัวว่าผมจะโดนถล่มเละตั้งแต่ยกแรก


“ย่ะ!” คุณภัทราพรค้อนใส่ แล้วค่อยปรายหางตามาทางผม ผมเลยรีบยกมือไหว้ “ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เชิญนั่งทั้งคู่นั่นแหละ”


“แล้ววันนี้คุณภัทมีอะไรให้พวกผมรับใช้อีกแล้วล่ะครับ”


คุณภัทราพรเขม้นตาดุ คุณน้องสามีเลยทำเป็นยกมือยอมแพ้แล้วหันไปรับจานขนมตาลจากคนรับใช้มาทำให้ปากตัวเองไม่ว่าง พอประตูห้องรับแขกเล็กปิดสนิทลงก็ถึงเวลาที่ผมจะถูกคิดบัญชี


“ฉันแค่จะถามว่าทำยังไงเธอถึงจะยอมออกไปจากชีวิตภากร ต้องการอะไร เท่าไหร่ บอกมาได้เลย” แววตาของคุณภัทราพรเย็นชาไม่แพ้น้ำเสียง หางเสียงรายเรียบแต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า


“คุณภัท!” คนข้างๆผมโวยแทนแต่ก็โดนกำราบในทันที


“ชัช พี่ถามเขา ไม่ใช่เธอ”


ทีแรกสมองผมชาราวกับโดนตบหน้าอย่างที่บอก มืออุ่นแตะข้างแขนเรียกให้หันไปมอง คุณชัชยิ้มบางๆแทนกำลังใจ ผมจึงสูดลมหายใจเข้าแล้วสบตาเจ้าของคำถาม ต่อให้คนโง่ที่สุดก็ต้องรู้ว่าสุภาพสตรีตรงหน้าไม่มีทางยอมรับผม อย่าว่าแต่ในฐานะคนรักของลูกชาย แม้แต่คุณค่าความเป็นมนุษย์ก็ถูกตีค่าเป็นตัวเลขที่เธอสามารถหามาฟาดหัวแล้วสั่งให้ทำอะไรก็ได้


ในขณะที่กำลังหาคำตอบผมก็นึกย้อนไปไม่นาน... เมื่อวานนี้เอง หลังจากเติมพลังด้วยราดหน้าจานใหญ่จนอิ่มแปล้ คุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันเพลินๆ จู่ๆคุณภากรก็มองผมด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาดึงผมไปนั่งเบียดอยู่ที่เก้าอี้เดียวกัน วงแขนกว้างโอบรอบเอวแล้ววางคางลงบนไหล่ผมพร้อมอาการทอดถอนใจ...


‘สัญญาอะไรกับคุณกรอย่างนึงได้มั้ย’ ผมในตอนนั้นยังปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทันแต่ก็ยอมพยักหน้าเบาๆ ‘ต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้กานต์ถามความรู้สึกฉันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร’


‘มีอะไรหรือเปล่าครับ’ ผมหันไปถามแต่เขากลับมองไปทางอื่นเหมือนกลัวว่าผมจะอ่านความลับได้จากสายตา ‘คุณกำลังทำให้ผมกลัวนะ’


‘ฉันก็กลัว’ เขาบอกเบาๆแล้วหลับตาลง นานทีเดียวกว่าจะยอมหันมาพูดกับผมตรงๆ ‘แต่รู้อะไรมั้ย ถึงจะกลัวมากแค่ไหน ถ้ามีกานต์อยู่ด้วย ฉันมั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี’


‘จริงเหรอครับ’


ผมได้คำตอบเป็นสัมผัสอุ่นที่หน้าผาก ลืมตาขึ้นอีกทีก็ได้เห็นรอยยิ้มบางๆ


‘อยู่ข้างๆฉัน อยู่เป็นกำลังใจให้กัน’ มือใหญ่ชูนิ้วก้อยขึ้นมาหา เล่นเอาผมหลุดขำกับมุขเด็กๆ ‘กานต์จะไม่ทิ้งคุณกร สัญญานะครับ’


ผมรู้สึกได้ว่าในดวงตาคู่นั้นมีเด็กชายคนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ เด็กขี้กลัวที่ทำเป็นเข้มแข็ง เด็กขี้เหงาที่แกล้งทำเป็นร่าเริง แต่จะโทษว่าเขาเสแสร้งก็คงไม่ได้ ความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่ต้องแบกรับก่อนเวลาอันควรทำให้เขาสร้างเปลือกขึ้นห่อหุ้มให้ตัวเองปลอดภัย เมื่อมีบางอย่างมากระทบย่อมก่อเกิดรอยร้าว อีกฝ่ายคือแม่ตัวเองเลยยิ่งกลายเป็นเรื่องยากที่ผมคงช่วยได้เพียง...


‘ถ้าคุณกรยังต้องการผม ผมก็จะไม่ไปไหนครับ’


ผมไม่ได้แค่เกี่ยวก้อยแต่แทรกทุกนิ้วประสานเข้ากับฝ่ามือใหญ่เพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่มากกว่าคำพูด และแม้คำสัญญาของเราจะยิ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างแม่ลูกเลวร้ายลง แต่ในเมื่อคุณภากรไม่คิดที่จะถอย ผมก็พร้อมยืนหยัดเพื่อเขา


“ผมไม่ได้ต้องการอะไร ไม่อยากได้เงินเลยสักบาท และผมพร้อมจะไปทุกเมื่อ ขอแค่ว่าถ้าผมทำอย่างนั้นแล้วคุณภากรจะมีความสุขครับ”


“นี่เธอ...!”


ไม่รู้ว่าคุณภัทราพรจะเห็นค่าในคำตอบของผมแค่ไหน แต่มือเรียวขาวขยุ้มหมอนใบที่วางเท้าศอกจนผมนึกเสียว ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพพจน์ ผมคงถูกบีบคอตายคามือไปแล้ว


“ผมพูดจริงๆนะครับ ขอเพียงท่านรับปากว่าคุณกรจะมีความสุข ถ้าไม่มีผมแล้วเขายังยิ้ม ยังหัวเราะได้เหมือนเดิม ถ้าผมไม่อยู่แล้วเขาจะไม่ต้องเหงา ไม่ต้องกินข้าวคนเดียว ผมก็ยินดีไปทันทีและสัญญาว่าคุณกรจะไม่มีวันได้พบผมอีกเลยตลอดชีวิต ท่านสัญญากับผมได้หรือเปล่าล่ะครับ”


ผมย้ำเงื่อนไขอีกครั้งแต่ชักใจแป้วเมื่อเจอสายตาดูแคลนที่เหยียดมองผมเป็นเด็กเมื่อวานซืน ริอาจตีฝีปากกับคนที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน


“ลูกชายฉันมีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ ทำไมเขาจะอยู่ต่อไปไม่ได้ เธอนั่นแหละที่จะทำให้ชีวิตเขาแย่ลง คิดบ้างหรือเปล่าถ้าใครๆรู้ว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกันแล้วจะเป็นยังไง จะปล่อยให้ชื่อเสียง เกรียติยศ ความดีงามที่สั่งสมมาพังพินาศลงไปเพราะเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเธอน่ะเหรอ”


“แต่...” ผมรู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนเล่นงานประเด็นนี้ ขอแค่มีโอกาสได้อธิบาย...


“อย่ามาอ้างเรื่องหัวใจ หรือความรักหน่อยเลย เธอเป็นเด็กเลยคิดว่าอะไรๆมันจะสวยงามแค่เพราะคนสองคนรักกันล่ะสิ แต่ฉันจะบอกให้ว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เธอฝันหรอกนะ ตื่นขึ้นมาดูความเป็นจริงซะบ้าง ผู้ชายยังไงก็ต้องคู่กับผู้หญิง ถึงคนเดี๋ยวนี้จะไม่ได้รังเกียจความรักผิดเพศผิดเหล่าแต่ก็ไม่มีใครเขายกย่องสรรเสริญ ถึงเธอกับลูกชายฉันจะรักกันแทบตายแล้วยังไง แต่งงานกันได้หรือเปล่า มีลูกมีหลานสืบทอดวงศ์ตระกูลได้มั้ย ภากรเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน เป็นความหวังเดียวของครอบครัว ถ้าเขามาจมปลักอยู่กับคนอย่างเธอแล้วจะเรียกว่ามีอนาคตได้เหรอ เธอรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าไหวหรือเปล่าฉันถามจริงๆ”


ผมโดนกระหน่ำจนนับบาดแผลแทบไม่ทัน ทุกข้อกล่าวหาจริงจนไม่อาจปฏิเสธ ได้แต่ก้มหน้าด้วยความละอายใจ ปล่อยให้เรี่ยวแรงและความกล้าหาญที่คิดว่ามีหลั่งไหลออกจากตัวไปจนหมด คุณชัชคงนึกสงสารแต่ไม่ทันได้พูดอะไรก็โดนหมายหัวไปอีกคน


“เธอเองก็เหมือนกันนะชัช เห็นดีเห็นงามไปกันหมด คิดจะเสี้ยมหลานให้กลายเป็นตัวประหลาดหรือไง”


ผมยิ่งกำมือแน่น รู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ถ้าผมแอบมาที่นี่คนเดียวตามคำสั่งคุณภัทราพรแต่ทีแรกคงดีกว่านี้ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องลากคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย


“แฟ้มที่เอาไปวันนั้นผมดูหมดแล้วนะ” คุณชัชกลับตอบไปอีกทาง น้ำเสียงเรื่อยๆอย่างคนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้ความกดดันของใครง่ายๆ “ผู้หญิงทุกคนดีหมด ผมเองยังคิด ถ้าได้เมียอย่างแม่หนูพวกนี้สักคนก็แจ๋ว ในฐานะที่เป็นผู้ชายเหมือนกันผมว่ากรเองคงเห็นด้วย แต่พูดก็พูด ถึงการแต่งงานจะไม่ได้สำคัญที่ความรักเพียงอย่างเดียว แต่คุณภัทคงไม่ปฏิเสธว่าการต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก มันก็นรกดีๆนี่เอง”


“เธอหมายถึงใคร...?!”


ทีแรกที่คิดตามคำพูดของคุณชัชแล้วก็แค่รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ท้ายเสียงของคุณภัทราพรนั่นต่างหากที่สะดุดหู เริ่มเอะใจว่าจะอาจมีอะไรอยู่เบื้องหลังความพยายามจับลูกชายเข้าหอ


“ก็ทั่วๆไปน่ะครับ ผมเห็นหลายคู่ที่จำใจอยู่ด้วยกันไปงั้นๆ ถึงจะรอดแต่ลุ่มๆดอนๆเหลือทน ดูยังไงก็ไม่เห็นมีความสุข”


ผมแอบมองและได้เห็นคุณภัทราพรหน้าเสีย ในขณะที่คนข้างๆผมยังพูดไปจับระบายหมอนเล่นไปเรื่อยเปื่อยตามสไตล์


“แล้วเธอจะให้หลานต้องโดนสายตาดูถูก ได้ยินเสียงนินทาเยาะเย้ยไปตลอดชีวิตหรือไง!”


“บางครั้งการที่เราแคร์คนอื่นมากไปก็ไม่ใช่จะดีนะครับ” ดวงตาดำเข้มเงยมองคู่สนทนาแล้วคงเห็นดีกรีความตึงเครียดจึงยอมผ่อนปรนให้บ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้มีใครเส้นโลหิตในสมองแตกสักเส้นสองเส้น “โอเค ผมไม่เถียงว่าที่กรกับกานต์เป็นผู้ชายทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา แต่พวกเขาก็แค่ผิดที่เกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่ได้ผิดที่จะรักกันสักหน่อย ผมอยากให้คุณภัทเปิดใจยอมรับอีกสักนิด อย่างน้อยก็ในฐานะแม่ที่น่าจะอยากเห็นลูกมีความสุขไม่ใช่หรือครับ”


โดนไม้นี้เข้าไปนึกว่าคุณภัทราพรจะพูดไม่ออกบ้าง แต่เปล่าเลย สายตาคมกริบเหยียดมองผมแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปจ้องคนตัวโตอย่างเป็นต่อ


“ใช่สิ! เห็นลูกกำลังจะก้าวลงเหว ฉันในฐานะแม่ก็ต้องรั้งเขาไว้ ไม่ใช่ปล่อยให้ตกลงไปแล้วค่อยช่วยดึงเขาขึ้นมาทีหลัง”


“ให้ตาย! ผมไม่เคยเถียงคุณภัทชนะสักที” ขนาดคุณชัชเองก็คงรู้สึกว่าอะไรๆไม่ได้ง่ายอย่างที่หวัง “แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากให้ลองคิดดูอีกที คุณภัทไม่ได้เสียอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับจะได้ลูกชายน่ารักๆเพิ่มขึ้นมาอีกคนเชียวนะครับ”


“ฉันไม่คิดสั้นอย่างพวกเธอนี่ จะเอาทำไมคนครึ่งๆกลางๆ สู้ให้กรแต่งงานมีเมียเป็นผู้หญิงแล้วมีหลานมาให้เลี้ยงต้องดีกว่าอยู่แล้ว”


“พอเถอะครับอา” ผมรีบแตะท่อนแขนใหญ่เป็นเชิงห้าม สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วยุติการเผชิญหน้าที่ไม่มีใครชนะนี่ซะ “ผมเข้าใจแล้วครับ” 


“แสดงว่าเธอก็ยังเป็นเด็กที่มีสมองอยู่บ้างนะ ถ้าเข้าใจแล้วก็ดี”


สารภาพตามตรงว่าตั้งแต่จำความได้ ผมอาจโดนล้อ โดนถากถางมาสารพัดรูปแบบ แต่ก็ยังไม่เคยโดนรังเกียจหรือถูกมองด้วยสายตาดูถูกขนาดนี้มาก่อน สมกับเป็นแม่ลูกที่มีความดื้อรั้นไม่แพ้กัน การจะทำให้คุณภากรเลิกรักก็คงยากพอกับจะให้แม่เข้านึกรักผมได้ แต่คุณภัทคงลืมนึกไปว่านอกจากสมองแล้ว เด็กอย่างผมก็มีหัวใจ


“แต่ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง ผมก็ขอยืนยันคำเดิม คนเดียวที่จะสั่งให้ผมไปได้คือคุณกร ผมขอโทษที่ทำให้ท่านเสียเวลาและเสียความรู้สึก ถ้ามีอะไรที่จะไถ่โทษได้ผมก็ยินดีทำอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมคงทำได้แค่ขอโทษครับ”


ผมลุกขึ้น ยกมือไหว้ ทั้งเอ่ยลาและขอโทษอีกครั้งที่เสียมารยาท เสร็จแล้วหันหลังเดินลิ่วมารอที่รถ คุณชัชตามมาไม่พูดอะไรและพาผมออกจากที่นั่นทันที แต่จุดหมายปลายทางไม่ใช่โรงแรมซึ่งก็ดี เพราะถ้าต้องเจอคุณภากรตอนนี้ผมคงทำหน้าไม่ถูก
รถจอดสนิทแล้วแต่ผมคงยังนั่งเหม่อ สารถีเลยต้องลำบากมาเปิดประตูให้ ขนาดลงมายืนบนพื้นยังรู้สึกเหมือนขาไม่มีแรง จะเดินสักก้าวก็เซไปชนเขาเสียได้


“คนเก่ง ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงห้าวกระซิบบอกแล้วกอดผมไว้ กลิ่นบุหรี่จางๆชวนให้คันจมูกเลยต้องถูหน้ากับแผงอกกว้าง เขาคงคิดว่าผมเป็นเด็กขี้แยเลยลูบหัวพลางกระซิบปลอบ   “ตรงนี้มีแค่เราสองคน ถ้าอยากจะร้องก็ร้องเถอะ”


“เปล่าครับ ผมแค่...” ผมเงยหน้าจะอธิบาย แต่...


“อย่าเห็นฉันเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้คิดซะว่าฉันเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ หรือจะเป็นพ่อก็ยังได้ เมื่อไหร่ที่เสียใจ อยากทำตัวอ่อนแอ อยากร้องไห้ก็ให้มาหาฉันนะรู้มั้ย”


ดวงตาสีดำสนิทก็ทำให้ผมพูดไม่ออกอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคำพูดที่มีมากกว่าความอ่อนโยน หัวใจจึงถูกกระตุ้นให้ปลดปล่อยความอ่อนแอที่เก็บซ่อนออกมาในรูปหยดน้ำใสๆ ฝาดเฝื่อนด้วยรสแห่งความเศร้าหมอง ขุ่นคลั่กดั่งตะกอนแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา... ใช่แล้วครับ ถึงไม่อยากยอมรับแต่ผมกำลังร้องไห้จริงๆ ร้องอย่างที่เรียกว่าปล่อยโฮ ไม่มีกั๊ก ไม่มีเก็บกลั้นอาการสะอื้น ระบายออกไปทุกอย่างจนแผงอกกว้างชุ่มโชกทีเดียว


ผมรู้แต่ว่าอยู่ในอ้อมกอดของคุณชัชนานมากกว่าจะหยุดทำตัวขี้แยได้ พอช่วยปาดน้ำตาเม็ดสุดท้ายเสร็จ เขาก็จัดการกับตัวเองบ้าง...


“อาชัช...?!” ตาบวมเป่งของผมแทบถลนออกจากเบ้าเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็แกะกระดุม ปลดเข็มขัด ถอดทุกชิ้นจนเหลือแค่...บอกเซอร์สีดำ...หน้าตาเฉย แต่อะไรไม่ร้ายเท่าที่จะมาลอกคราบผมด้วยนี่สิ! “ฮะ..เฮ้ย! แล้วอาจะทำอะไรผมเนี่ย?! ปล่อยนะ!!”


“ร้องไห้จนหน้าตามอมแมมเป็นลูกหมาแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่า” คุณชัชบอกแล้วโชว์ยิ้มตาพราว ท่าทางสนุกเขาล่ะ


“อาบน้ำ?! จะอาบก็ขึ้นบ้านสิครับ มาแก้ผ้าอะไรกันตรงนี้เล่า?!” ดีว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่งั้นคงได้มีใครโทรแจ้งกู้ภัยมาจับเปรต ถึงจะเป็นเปรตที่ดูดี มีกล้ามเป็นมัดๆก็เหอะ!


“เรานี่ไม่รู้อะไร มาบ้านสวนทั้งทีมันต้องโดดน้ำคลองสิถึงจะเข้าบรรยากาศ”


เขาบอกไม่ทันจบก็ยกตัวผมที่อยู่ในสภาพหวิวสุดชีวิต หนาวทั้งลมเพราะโดนทึ้งจนเหลือแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงในและยิ่งเสียวจนขนหัวลุกที่ถูกเขาแบกเหมือนกระสอบข้าวตรงไปยังศาลาท่าน้ำ ถึงจะรู้แก่ใจว่าน้ำในคลองยังใส หรือถ้าไม่สะอาดจริงเดี๋ยวขึ้นมาล้างตัวอีกทีก็ได้ แต่ยังไงผมก็ไม่พร้อม... ไม่อยาก... ไม่อาววววว... ไม่... ไม่ทันแล้ว!!!



...ตู้มมม...





จบตอนแล้วคร้าบ


อะไรนะ กลัวดรามา ไม่อยากให้น้องกานต์เสียใจ ก็แหม นิยายอ่ะเนาะ มันต้องมีกันบ้าง

แต่ส่วนตัวเราก็ไม่ชอบอ่านดรามาแบบข้นคลั่กชนิดที่ต้องคว่ำหนังสือแล้วทำใจก่อนอ่านต่อ

พอมาเขียนเองก็คิดว่าไม่ก่อดรามาเท่าไหร่หรอกค่ะ เอาแบบปนๆกันไป

พอชักจะได้กลิ่นตุๆเราก้แกล้งเฮฮา ขำๆ กลับไปกลับมาให้ทำอารมณ์ตามไม่ถูกดีกว่า 555


 :hao3:




กานต์ : คุณกรครับ

ภากร : หืม?

กานต์ : เอ็มบอกว่าพี่ๆเขาไม่ชอบมาม่ากัน

ภากร : ฉันก็ไม่ชอบ นิชชินอร่อยกว่าตั้งเยอะ

#ใต้ความกวนทรีนของเจ้าของโรงแรม



 :bye2:



ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
เราไม่ชอบน้ำข้น เราไม่ชอบต้มนาน ขอกรุบๆพอทน ไม่มีได้เลยยิ่งดี  :laugh:
น้องกานต์เข้มแข็งไว้ สักวันต้องดีขึ้นแน่นอน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด