ต่อจาก INDY Special หนุ่มรับปริญญานะครับ::INDY special:: Jo-Noom ภาคพิเศษผมค่อยๆ เดินเข้าไปประชิดตัว..
จมูกเคลียอยู่ที่จมูกคนตรงหน้า..หอมเหลือเกิน
ผมขยับเข้าไปใกล้อีก..ริมฝีปากแทบสัมผัสกัน
ก่อนจะทำได้แค่พูดอะไรโง่ๆ ออกไป..
“โชคดี”
……
………..
……………
“แล้ว…ได้จูบไหม?”.
.
“เปล่า”
เสียงโวยดังขึ้นรอบโต๊ะ ทันทีที่ผมตอบคำถามน้องเกรย์
“เฮ้ย อะไรวะ? เข้าใกล้ซะขนาดนั้นแล้ว ทำไมไม่จูบ!”ไอ้ทัศน์ว้ากด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างสุดซึ้ง
“นั่นดิ ไหนว่าไอ้หนุ่มมันไม่ได้ขัดไง?”ไอ้โกเห็นดีเห็นงามด้วย หน้ายู่ยี่ไม่ต่างกัน
ผมกรอกตาไปมา มองสองเพื่อนซี๊และหนึ่งเมียเพื่อน พยายามโน้มน้าวให้พวกมันเข้าใจสถานการณ์
“ก็เกือบแล้ว แต่กูไม่อยากทำ ..เอ็นดูมัน”
ทว่า ไอ้ทัศน์ไม่มีทีท่าเข้าใจ
“โอ๊ย.. เฮ้ย เฮ้ออออ..” มันถอนใจยาว ทำท่าเสียดายแทนไม่หาย
ตอนนี้ทั้งโต๊ะรู้หมดแล้วว่าผมกับไอ้หนุ่มรู้สึกยังไงต่อกันและเคยเป็นอะไรกันมาก่อน
หลังจากไอ้โกและไอ้ทัศน์คว้าคอเสื้อผมคนละข้างพามานั่งจับเข่าคุยเมื่อปีสุดท้ายก่อนเราเรียนจบ
แต่รายละเอียดของปัญหาที่ผมกับหนุ่มมีระหว่างกันนั้น ผมไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด..
ไม่ใช่ผมอยากปกป้องตัวเอง แต่ถึงอย่างไร ผมก็ต้องการรักษาเกียรติของมันเอาไว้
“ที่จริงนะ ถ้าได้จูบ สถานการณ์น่าจะเปลี่ยนเลย เพราะว่า-”
ไอ้ทัศน์ยังไม่จบ
หากแต่..
“นี่.. ดูเชี่ยวชาญดีนะมึงอะ”
น้องเกรย์ขัดขึ้นดุดุ
“การที่พี่โจเขาไม่ทำอะไรก็ดีแล้ว”
น้องเกรย์เริ่มเทศน์
“เขาสองคนน่าจะบอบช้ำกันมาพอสมควร การที่พี่โจถนอมกายถนอมใจพี่หนุ่มอย่างมากในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว มึงจะให้พี่โจรุกฆาตได้ยังไงวะ เดี๋ยวก็เตลิดไปกันใหญ่พอดี”
“แล้วที่มันหายหัวไปเลย ไม่ติดต่อใครเป็นปีนี่ยังไม่เรียกเตลิดเรอะ”
ไอ้ทัศน์เถียง แต่เมื่อสบสายตาเกรย์.. “เรอะ..เหรอจ๊ะเมียจ๋า”
หนุ่มเกรียนขันไอ้ทัศน์นิดหนึ่ง แล้วพูดต่อ
“ถ้าพี่หนุ่มตัดสินใจด้วยจิตใจที่มั่นคง เข้าใจตัวเองดี ก็ไม่เรียกเตลิดหรอก”
แม้จะปวดจี๊ดในใจ แต่ตรงนี้ผมเห็นด้วยกับเกรย์
มันมีเหตุผลของมัน..เหตุผลซึ่งผมรู้ดีน้องเกรย์เก็บข้าวเก็บของ พลางลุกขึ้น
“กูควรไปเรียนได้แล้ว มึงก็เลิกไซโคพี่โจสักที”
ไอ้ทัศน์ทำหน้าลังเล แต่ก็พยักหน้ารับ หากไม่วายก้มลงมากระซิบกับโต๊ะ
“แล้วเมื่อกี้ใครแม่ง.. ถามลุ้นๆ ว่า
‘ตกลงได้จูบรึเปล่า’?”
ผมส่ายหน้าขำๆ ขณะไอ้ทัศน์ยังพึมพำ
“แถมตอนบอกไม่ได้จูบ สีหน้านี่ก็ผิดหวังไม่ได้ต่างกับกูเล้ย!”สองหนุ่มเดินไปหน้าเคาท์เตอร์ที่ซึ่งท่านเง็กเกรียนฮ่องเต้กำลังชื่นชมหนูน้อยวัยหนึ่งขวบที่หัดเดินเตาะแตะ
“ไอดิลลล”
เสียงน้องเกรย์รื่นหูทันทียามเรียกลูกชาย
ไอดิลยิ้มแต้ ค่อยๆ เอื้อนเอ่ย
“พ่อ..อ”
ไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก แต่ก็บ่งบอกได้ว่าเด็กน้อยรู้จักคำคำนี้แล้ว..ที่สำคัญรู้ด้วยว่าใครควรค่ากับมัน
“อื้ม..อื้มม..นี่แน่ะ หอมฟอดซะเลย พ่อไปเรียนก่อนนะ ลูกอยู่กับยายนะเด็กดี”
เกรย์ฟัดแก้มไอดิล ลูบหัวสั่งเบาๆ
“พ่ออ..อ”
ไอดิลไม่รู้เรื่องยังคงยิ้มและเรียกด้วยคำเดิม
ทัศน์เอามือยีหัวลูกบ้างอย่างรักใคร่ ไอดิลหัวเราะคิกคัก
“กูว่าโตขึ้นไอดิลต้องเป็นเด็กฉลาดแน่นอน”
เกรย์ยิ้มขรึมพอใจ
“ทำไมมั่นใจขนาดนั้น”
ไอ้ทัศน์เลิกคิ้ว
“เพราะกูจัด ‘โลกของโซฟี’ ให้ฟังทุกคืนไงล่ะ โฮะ โฮะ!”
ไอดิลหัวเราะอีกครั้งอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผมก็พอรู้แล้วว่าคำที่สองถัดจากคำว่า ‘พ่อ’ ที่หนูไอดิลเรียนรู้ที่จะพูดคือคำว่าอะไร เมื่อเจ้าหนูเอ่ยขึ้นมา
“พ่อ..อ..เ..เกรียน”
เย้ย!!“พูดทำไม อย่าพูดคำนี้สิลูก ไม่เอา ไอ้ทัศน์มึงใช่ไหมสอนลูก!”
แล้วสองคนนั่นก็เดินกระแทกไหล่ทะเลาะกันไปตามทาง
ท่านแม่เกรียนที่ตกลงกลับมาดูแลร้าน‘เฮ้ย ไอ้เห่ย’พ่วงด้วยดูแลหลานหัวเราะตามหลัง
มือเรียวอุ้มไอดิลพาเข้าไปยังหลังเคาท์เตอร์ส่วนที่กั้นประตูไม้ไว้เพื่อป้องกันไอดิลเดินเที่ยวและผมก็เห็นว่าไอดิลพยายามปีนออกมามากกว่าห้าครั้งภายในเวลาไม่ถึงห้านาที
“มึงว่าไอดิลจะรอดพ้นจากความเกรียนไหม?”
ผมถามไอ้โกที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน มันปล่อยก้าก
“จะเหลือเรอะ! ขอให้อย่าโง่เท่าไอ้ทัศน์เท่านั้นแหละที่พอจะหวังได้”
ผมหัวเราะดังๆ เช่นกัน ไอ้โกยิ้มๆ ลุกขึ้นเก็บกระเป๋า แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่
“กูไปทำงานก่อนละ มึงก็อย่าคิดมากนะ เรื่องนั้น..”
ผมพยักหน้าแล้วก็ถูกบรรดากองเชียร์ทิ้งให้อยู่กับไอดิล ท่านแม่เกรียน และนักศึกษาที่ขวนขวายทำ Part-Time 2 คน ในร้าน ‘เฮ้ย ไอ้เห่ย’ หลังจากพวกเรา-อันประกอบด้วยผม ไอ้โก ไอ้ทัศน์และภรรยากิตติมศักดิ์ของมัน นัดมากินมื้อเที่ยงกันหลังผมกลับจากไปหาไอ้หนุ่มที่อ่างแก้วเมื่อเช้า
ก่อนที่ผมจะทันได้ลุกขึ้นไปบ้าง น้องเกรย์ก็เดินกลับเข้ามาอีกรอบ..
..
“เดินไปถึงรถแล้ว กว่าจะนึกออก”
มือขาวนั้นวางเสื้อคลุมกันหนาวตัวหนึ่งลงบนโต๊ะ
“พี่หนุ่มลืมทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่มารายงานตัว ผมเก็บไว้ให้ พี่หาทางเอาไปคืนเองแล้วกัน”
ผมเงยขึ้นมองใบหน้าเกรียน แล้วก้มมองเสื้อ จำได้เช่นกันว่าไอ้หนุ่มพาดแขนเอาไว้ก่อนที่มันจะสวมชุดครุยที่อ่างแก้ว
มือผมลูบไล้เสื้อคลุมนั้นเบาๆ ก่อนหยิบมาไว้ใกล้ตัว
“ขอบใจนะ..”
น้องเกรย์พยักหน้าให้และก้มลงมากระซิบเบาๆ ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วคราวนี้ ..ให้ได้จูบนะ”
ผมหลุดหัวเราะ
แล้วที่น้องว่าให้พี่ ‘ถนอมกาย ถนอมใจ’ เมื่อกี๊ละ?
..
ผมส่ายหน้าน้อยๆกับแรงเชียร์ของพรรคพวกขณะเก็บเสื้อคลุมใส่กระเป๋า
แล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาวางแทนที่ เปิดเอารูปถ่ายที่เพิ่งอัดมาเมื่อเย็นวานออกมาดูอีกครั้ง
แม้ว่าวันนี้จะดูไปแล้วหลายรอบก็ตาม..
รูปหนุ่มในชุดครุย..กับตัวผม..ริมอ่างแก้ว
รูปเดียวกับที่ผมอัดให้มัน และเขียนคำนั้นลงไป ‘โชคดี’
ผมอัดเก็บไว้ที่ตัวเองอีกหนึ่งใบ
‘โชคดี’
ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่ห่วงใย
แต่โชคดีแปลว่า..ไม่ว่ามันจะเลือกอย่างไร ..ผมก็จะยอมเข้าใจ..
ตลอดหนึ่งปีหลังจากหนุ่มเรียนจบ ผมก็โทรหามันไม่ติดอีกและผมก็ไม่ได้พยายามจะคุย
เพราะผมเข้าใจมัน ปีสุดท้ายที่ผมเรียน ผมคงรุกมันมากไป จริงอยู่ เราอโหสิกรรมต่อกันและกันแล้ว
แต่การคบกันฉันเพื่อนก็เรื่องหนึ่ง..หากการที่ผมพยายามเฟลิตมันก็อีกเรื่องหนึ่ง..
ถ้ามันบอกตรงๆ ให้หยุด..ถ้ามันให้เหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ควรคบกัน
เราจะทนกันได้ไหม..จะแข็งแกร่งต่อความจริงและปล่อยกลับไปในกาลเวลาที่มันจากมาได้หรือไม่..
เราต่างหวาดกลัวที่จะนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น..หวั่นเกรงปฏิกิริยาของอีกฝ่ายและพยายามไม่บีบบังคับตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงมากเกินไป
ผมรู้ว่าหนุ่มรู้สึกอย่างไร..มันเองก็คงรู้ดีเช่นกัน..ว่าผมรู้สึกอย่างไร
จากทั้งหมดทั้งมวลนั่น ทำให้เราสองคนเดินมาถึงจุดที่..ไม่ต้องมองตาก็เข้าใจ..แม้ว่าผมจะได้เห็นมันอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง
อาจเป็นตอนเดินไปสมัครงาน
อาจเป็นตอนนั่งกินข้าวขาหมูข้างทาง
ตอนเร่งรีบวิ่งเข้าที่ทำงานตอนเช้า
ตอนเดินเอื่อยๆ ออกจากที่ทำงานตอนเย็น
ตอนก้าวขาขึ้นรถสองแถวเหลืองเชียงใหม่-แม่ริม..
แต่ผมไม่เคยปรากฏตัว..
ผมไม่พยายามจะไปพบ..แค่มองอยู่ห่างๆ
แค่ตามดูเท่าที่จะทำได้..ให้แน่ใจว่ามันมีชีวิตที่ปกติสุข
แค่ตื่นให้เช้าขึ้น..กลับบ้านให้ช้าลงในบางวัน
เพียงเพื่อให้ได้เห็น..บรรเทาความคิดถึงที่โหวงเหวงอยู่ในอกลงไปบ้าง
ผมสอดรูปถ่ายกลับเข้าไปในสมุดบันทึก
ต้องขอบคุณน้องเกรย์ที่ยืนยันว่าจะถ่ายให้ เพราะจะว่าไป..ผมก็ไม่มีรูปถ่ายคู่กับมันเหลืออีกแล้ว
.
.
ผมกับมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ไอ้หนุ่มเคยนั่งซ้อนท้ายเสมอในวันวานซิ่งทะยานไปตามเส้นทางสู่อำเภอแม่ริม
ผมไม่แน่ใจนักว่า ‘เอาเสื้อคลุมมาคืน’ เป็นเหตุผลเพียงพอในการมาหรือไม่.. แต่ผมก็มาแล้ว..
และในที่สุด..บ้านไม้หลังเล็กๆ รายล้อมด้วยต้นไม้ดอกไม้ก็อยู่ในรัศมีสายตา
“โจ!”เสียงใจดีกับร่างเจ้าเนื้อเดินออกมาทักทายอย่างดีใจ ผมยกมือไหว้สวัสดี
“ก่ว่าไค๋มา โอ๊ย ดีใจขนาด บ่ได้มาตี๊บ้านเมินแล้ว”
แม่ไอ้หนุ่มรวบตัวผมเข้าไปกอด
ผมกับหนุ่มสนิทกันมากมาตั้งแต่มัธยม ไม่แปลกใจที่ทั้งพ่อและแม่มันจะเอ็นดูผมเสมือนลูกชาย
ผมผละออกมา ยิ้มให้
“แม่สบายดีนะครับ ทุกคนด้วย”
แม่พยักหน้าแทนคำตอบรับ
“หนุ่มอยู่บ้านรึเปล่าครับแม่?”
“อยู่ลูก ตังบนปู้น” แม่พยักเพยิดไปชั้นบน
“อ่อ งั้นผม..”
ผมตั้งท่าจะนั่งรอ ก่อนที่แม่จะส่ายหน้า
“ขึ้นไปหาเลยลูก นุ่มน่าจะอยู่ในห้องนอนนั่นละ แม่ไปยะกับข้าวก่อน เดี๋ยวอยู่กินข้าวโตยกันเลย”
แล้วแม่ก็กลับเข้าครัวไป
ทิ้งให้ผมต่อสู้กับจิตใจตัวเอง..
ขึ้นไปหาที่ห้องนอน..
.
.
มันจะดีเหรอวะ?
ใจผมคิดขณะที่
ขาก้าวขึ้นบันไดบันไดพาผมขึ้นสู่ชั้นบน
ขาก้าวไปหยุดนิ่งหน้าประตูที่เคยคุ้น นานเป็นนาทีก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเบาๆ
ก๊อก..ก๊อก..
เงียบ..
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากภายใน
ผมจึงเคาะอีกรอบ
ก๊อก..ก๊อก..
เงียบ..
ผมเอาหูแนบประตู ว่ามีเสียงจากภายในหรือไม่
ปรากฏว่าได้ยินเสียงน้ำไหล
มันคงกำลังอาบน้ำอยู่
ผมชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี แล้วจึงลองจับลูกบิดประตู
ไม่ได้ล็อคแฮะ..
ผมลังเล..
อีกไม่กี่อึดใจก็ทิ้งมารยาทไว้และหมุนลูกบิด
..ภายในใกล้เคียงกับเมื่อหลายปีก่อน
พื้นไม้ เตียงเล็ก ผ้าห่มลายหมีพูห์ ม่านครึ่งสีขาวริมหน้าต่าง
แล้วบนโต๊ะเล็กข้างเตียงนั่น.. เล่นเอาผมยิ้มกว้าง
รูปถ่ายรูปเดียวกับที่ผมมีวางอยู่บนนั้น..ในกรอบไม้..เคียงข้างด้วยสายข้อมือ J&N..
แบบเดียวกับที่อยู่บนข้อมือผม..
ผมใส่ไว้เสมอ นานนับปีมาแล้ว แม้จะยอมหยุดรุกเร้า..แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึก
‘ความรู้สึกรัก’ ทำให้ผมอบอุ่นและประคับประคองหัวใจจากบาดแผลทั้งมวล
ผมก้าวเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ถือวิสาสะค่อยๆ นั่งลงบนเตียง
เสียงไอ้หนุ่มฮัมเพลงขณะอาบน้ำแว่วมาให้ได้ยิน
“ฉันยังห่วงใย ใจก็ยังคิดถึงเธอ เหมือนแต่ก่อนเป็นมาเสมอ..”ผมยิ้ม
..กูก็เหมือนกัน..สายตาผมพิจารณาของบนโต๊ะ..
นอกจากรูปล่าสุดที่เราถ่ายด้วยกันและสายข้อมือ..ยังมีรูปสมัยที่เราไปออกค่ายด้วยกันอีกหนึ่งรูป
ผมกับหนุ่มนั่งเคียงกันบนท้ายรถขนของที่เราโดยสารขึ้นไปยังหมู่บ้านแม่ละ
มันดูไม่เก่าเลย..เสมือนถูกดูแลรักษาอย่างดี
ไอ้หนุ่มยังคงฮัมเพลงไปเรื่อยๆ
“ฉันยังเฝ้าดู..และอยากจะรู้ความเป็นไป เพราะว่าฉัน..รักเธอดังเดิม”ผมไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว.. เพลงมันคงเสียดแทงเกินไปจนเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ
ผมวางรูปถ่ายลงที่เดิม เมื่อได้ยินเสียงน้ำหยุดไป
เสียงฮัมเพลงก็เงียบลง ก่อนที่ลูกบิดประตูห้องน้ำจะหมุน และ..
“เฮ้ย!”ร่างขาวผ่องที่พันด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวอย่างหมิ่นเหม่ แทบไม่ปกปิดอะไรเพราะเจ้าตัวดันเอาเช็ดผมไปด้วยร้องลั่นก่อนจะหลบหลังประตู
“นี่มึง มึง..มาได้ยังไงเนี่ย?”“เอ่อ”
ผมพยายามเรียกสติที่หลุดลอยจากการเห็นเรือนร่างมันเวอร์ชั่น HD กลับคืนมาอยู่กับเนื้อกับตัว
“กู เอ่อ.. เอาเสื้อมาคืนแล้วแม่มึงบอกให้ขึ้นมา..บนนี้เลย”
“เสื้ออะไร? ยังไงก็ช่าง ออกไปก่อน ไปๆ”
ไอ้หนุ่มว้ากไล่จากหลังประตู
ผมกลั้นขำ ทำใจกล้าแกล้งเย้า
“จะเอาเสื้อผ้ารึเปล่า กูหยิบให้ก็ได้”
“โอ๊ย ออกไปเลย กูหยิบของกูเอง”
มันปฏิเสธลั่น ผมจึงพยักหน้าก่อนเดินออกไปรอหน้าประตู
“โอเค ไปก็ไป”
.
.
เสียงเปิดประตูห้องน้ำตามหลังมา ต่อด้วยเสียงหยิบข้าวของและเสียงอุทานเบาๆ
ผมเอนตัวพิงกรอบประตูรอ เสื้อคลุมมันยังพาดอยู่ที่แขน
ไม่กี่อึดใจ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ศีรษะที่ผมเปียกน้ำจนลู่ลง โผล่พ้นประตูออกมา
ศีรษะ..ที่ครั้งหนึ่งไม่มีผมด้วยถวายตัวสู่ร่มพระกาสาวพัสร์..
ผมมองพิศจนแก้มขาวนั่นขึ้นสีจางๆ แม้จะถลึงตาใส่..
“มารยาทน่ะมีไหม? ถ้ากูแก้ผ้าอยู่จะทำไง”
คำถามนี้คุ้นมาก..
จำได้ว่าผมเคยตอบเยาะๆ
“จะอายทำไม ของมึงกูก็เห็นมาหมดแล้ว”ผมลอบถอนใจเบาๆ ก่อนจะเลือกเอ่ย “ขอโทษนะ”
..สำหรับทุกอย่าง..ไอ้หนุ่มมองอึ้งๆ กลืนน้ำลาย
"กูก็ขอโทษ" มันชะงัก "ที่โวยวาย"
อะไรบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาลคู่งามบอกว่ามันไม่ได้ขอโทษแค่นั้น
เหมือนกับที่ผมไม่ได้ขอโทษแค่ที่ถือวิสาสะเข้าไปในห้อง
“เข้าไปได้ไหม?”
ผมขออนุญาต
มันกัดปาก ในแววตาเต็มไปด้วยความลังเล ทว่าที่สุดแล้วก็พยักหน้าช้าๆ
ผมจึงเดินกลับเข้าไปในห้องและยื่นเสื้อคลุมให้
“น้องเกรย์ฝากมาคืน บอกว่ามึงลืมไว้ตั้งแต่วันที่ไปรายงานตัว”
มือขาวยื่นมารับ สัมผัสมือผมเพียงชั่วขณะ
“แล้วทำไมไม่ให้ตั้งแต่วันก่อนๆเล่า เจอกันทุกวัน”
“เอ้า แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ย เกรย์ก็เพิ่งเอาให้กูเมื่อเที่ยงนี้เอง บอกว่าวันนี้ไม่ว่าง ฝากกูมาให้แทน”
ไอ้หนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กเอ่ยประชด
“คงไปศึกษาดูงานเรื่องอะไรอยู่อีกมั้ง เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนนี่นะ”
ผมหัวเราะในลำคอ
แล้วเมื่อมองไปที่โต๊ะข้างเตียงเสียงหัวเราะก็ดังออกจากลำคอจนยากจะห้าม
รูปถ่ายกับสายข้อมือหายไปจากบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วน่ะสิครับ
สงสัยไอ้เสียงอุทานเมื่อกี๊คงเพราะมันตกใจแล้วรีบเอาของไปซ่อนแหง..
ควรบอกมันไหม? ว่า..ผมเข้ามานั่งอยู่ตั้งนานแล้ว
ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่างยิ้มๆอย่างรู้ทัน
ปากไอ้หนุ่มเม้มทันที
..เอาเป็นว่า ไม่ต้องมองตาก็เข้าใจกันนะ..“มีอะไรอีกไหม?”
มันถามขึ้นมา “ถ้าไม่มีอะไรก็..”
“มี”ผมขัดขึ้นก่อนมันจะไล่กลับ เสียงน้องเกรย์ลอยเข้ามาในหัว
'คราวนี้..ให้ได้จูบนะ'ผมขยับเข้าไปใกล้ ไอ้หนุ่มถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ เหมือนๆกับที่อ่างแก้ว
แม้ผมจะรู้ว่าที่สุดแล้ว..คนตรงหน้าก็คงยอม
แต่ในใจมันก็ตื่นเต้น..หวั่นไหว..และลึกๆก็กลัว
กลัวว่ามันจะถอยหนีไปอีก..จนตามไม่เจอ
ผมจึงก้าวอย่างระมัดระวัง ช้าๆ.. จนร่างเบื้องหน้าจนมุม
แล้วค่อยยกมือขึ้นยันผนังไม้ไว้ข้างหนึ่ง ..กักตัวเอาไว้
“อะ..อะไร”
มันถามสั่นๆ
ผมมองเรียวปากสีสดนั้น คงเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จมันจึงดูมีน้ำมีนวลกว่าที่เคย
“จูบได้ไหม..”
กูถามได้สร้างสรรค์มาก“ห๊ะ”คนถูกถามอุทาน กลืนน้ำลาย “มึงจะบ้..-”
“ถามว่า..จูบได้ไหม?”
ผมย้ำ
กูก็คงบ้านั่นแหละ“อะ..เอ่อ”
มันอึกอักเหมือนไม่รู้จะตอบอะไร
หน้าแดง..หัวใจเต้นแรง..จนผมได้ยิน
“ได้ไหม..?”
ผมแนบลำตัวเข้าหาจนชิด
“อะ..”
มันไม่ได้ตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธ ได้แต่ส่งเสียงในลำคอ
ลังเล..หวาดกลัว..เขินอาย ดูปนเปกันไปหมดจนผมรู้สึกสงสาร
ท่าว่าผมจะไม่ควร ‘รุกฆาต’ จริงๆ นะเนี่ย
ผมขยับลำตัวออกมาให้ร่างกายมันได้ผ่อนคลายลง
มือแกร่งยกขึ้นลูบเรือนผมนิ่มนั่นเบาๆ
“ไม่เป็นไร”
ผมยิ้มให้อย่างปลอบโยน
“ขอโทษนะ”
ดวงตาคู่นั้นเผลอเงยขึ้นมองอย่างงงๆ ก่อนค่อยๆ พยักหน้า ดูท่าทางสติสตังยังกลับมาไม่ครบ
ผมลอบส่ายหน้าเล็กๆ ขำตัวเอง
สองสามวันนี้กูอยู่ใกล้ไอ้ทัศน์เกินไปสินะ ผลมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ผมไม่แน่ใจนักว่าทำไมไม่ประทับริมฝีปากลงไปเลย
ผมไม่รู้ว่าการยับยั้งชั่งใจที่ทำเรียกว่า ‘การถนอมกายถนอมใจ’ คนคนนี้รึเปล่า..
เนิ่นนาน..กว่าที่เราสองคนจะหาเสียงตัวเองเจอ
“อยากให้กูกลับเลยรึเปล่า?”
ผมเองเป็นคนทำลายความเงียบขึ้น
“อะ..ก็..”
แน่ะ ทีเมื่อกี๊กำลังจะไล่กลับ ตอนนี้ลังเลขึ้นมานะ
ผมมองมันยิ้มๆ เหมือนเดิม ตั้งท่าจะขยับเข้าหาอีกครั้ง
.
.
“โจ! นุ่ม! ลูก กับข้าวแล้วละเน้อ ขะใจ๋ลงมากิ๋น!”………………………………………………………………………
“แล้วยังไงต่อ?”น้องเกรย์ถาม น้ำเสียงตื่นเต้น
.
.
“ก็..”
ผมกัดริมฝีปาก “ก็ได้คุยกันไง ได้กอด..”
“ก็ใช่” ไอ้ทัศน์ยันตัวมาข้างหน้าแทบอยู่กลางโต๊ะ ถามน้ำเสียงตื่นเต้น “แต่ว่ายังไงต่อล่ะ?”
“ก็..เท่านั้นแหละ แม่มันเรียก ชวนกินข้าวเย็น เราผละจากกัน กูลงไปกินข้าว แล้วเออ..กูก็กลับ”
“โอ๊ย เฮ้อออ!”เสียงไอ้ทัศน์อุทานอย่างเสียดายและถอนใจหนักหน่วงยิ่งกว่าเมื่อวาน ก่อนจะว้ากผม
“นี่ไอ้โจ มึงเป็นบ้าไปแล้วรึไงวะ แทนที่จะ..จะ”“จะอะไร?” ผมขมวดคิ้วใส่มัน
“เว้ย ก็..ก็ต่อให้มันไปถึงจุดที่..”“ทัศน์”
น้องเกรย์ปรามๆ ไอ้ทัศน์มองหน้าเมีย พยักหน้ายอมๆ แต่ไม่วายกระซิบกับผม
“มึงแค่กอด จริงๆ น่าจะแค่โอบแหละกูว่า! มึงไม่จูบ มึงไม่แสดงออกให้ชัดเจนว่ามึงต้องการมันถึงไหน มึงปล่อยให้มันมีเวลาคิด อย่างน้อยก็คืนนึง คราวนี้ล่ะ ถ้ามันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง มันจะเตลิดไปเลย แล้วตามกันยาว ไม่ต้องนับหนึ่ง นับตั้งแต่ศูนย์ใหม่เลย ยาวๆ ไป”
ไอ้ทัศน์พล่าม
“นี่” น้องเกรย์เอี้ยวหน้ามาแจม
“ถ้าพี่โจเขาเผด็จศึก พี่หนุ่มไม่ยิ่งเตลิดรึไงวะ?”
“จะเตลิดได้ยังไง ก่อนจะทำ โจมันก็ต้องเคลียร์ใจให้เรียบร้อยซี คุยกันให้รู้เรื่องแล้วค่อยแบบว่า..นั่นแหละ”
ไอ้ทัศน์ทำหน้ามีประสบการณ์
“แต่นี่มันขึ้นไปถึงห้องแล้ว ดันกลับมาเปล่าๆซะงั้น โอ๊ย ไอ้โง่!”
แหม..ไอ้ทัศน์ ไอ้คุณศัพท์คำนี้มันเคยเป็นสมบัติของมึงไม่ใช่เรอะ
แล้ว ‘คุยให้รู้เรื่องก่อนทำ’ นี่มึงทำเป็นเหรอวะ? เท่าที่กูได้ยินมา มันไม่ใช่นะ!
ผมถอนหายใจเบาๆ
ไม่ได้หงุดหงิดไอ้ทัศน์ เพราะมันไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แล้วก็ไม่อยากปะทะคารมกับมันด้วย
เดี๋ยวเพื่อนรักก็หมดวันลาต้องกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพฯแล้ว ผมอยากเก็บความรู้สึกดีๆ เอาไว้
แม้จะรู้ดีว่าเมื่อหมดสัญญาใช้ทุนซึ่งอีกไม่นาน มันก็จะกลับมาที่นี่ แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่แน่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้พบไอ้ทัศน์ในโปรเจคต์หนุ่มรับปริญญาครั้งนี้ทำให้ผมไม่รู้สึกอ้างว้างนัก
ถึงแม้ทุกๆ วันผมก็คุ้นชินกับการมาป้วนเปี้ยน กินข้าว ทักทายไอดิล เสวนากับท่านแม่เกรียนในร้านนี้
แต่มันต่างออกไปแน่นอนเมื่อมีไอ้ทัศน์และเพิ่งได้เจอหนุ่ม ได้ยินเสียงมันพูดคุย.. ได้พูดถึงเรื่องราวของมัน..
ความรู้สึกมันใกล้เคียงคำว่าอบอุ่นมากทีเดียว
ผมไม่ได้พูดอะไรอีก..
เกรย์กับทัศน์ใช้เวลาด้วยกัน
หยอกกัน..เถียงกัน..เล่นกับไอดิล
นั่งยองๆ รอรับไอดิลที่เดินมาหาด้วยอัตราเร็วขึ้นเรื่อยๆ อยู่คนละฝั่งร้าน..
ผมคิด..หรืออาจจะหวัง..ถ้ามีไอ้หนุ่มร่วมวงอยู่ด้วยก็คงดี
หนุ่มพูดมากและน่ารักเสมอ..ที่นี่คงไม่เงียบเหงาแน่ๆ
หนุ่ม..
‘หนุ่มน้อยของไอ้โจ’
เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้..แต่ก็คงไม่อาจก้าวล่วงเส้นบางๆ ที่ถูกขีดไว้แล้ว
หากจำเป็น..ที่จะต้องอยู่หลังเส้นกั้นแล้วทรมานบ้างในความโหยหานี้ ผมก็ยินดีอยู่เพื่อมันตลอดไป
………………………………………………….........
To be con..
ป.ล. ประกาศแจ้ง Reprint INDY in love และรวมเล่มไอดิลอยู่ Reply 8408 ด้านบนนะครับ
ยังไม่ต้องโอนเงินใดๆ เน้อ หน้า 259 เป็นของรอบแรกนะครับ แค่แจ้งความจำนงก็พอ ชื่อ-ที่อยู่ว่ากันตอนเปิดโอนเด้อ
ป.ล. 2 พบคำผิด วานบอก ผิดพลาดประการใด วานแจ้ง ครับ
ขอได้รับความขอบคุณจาก
,เกรียน(มิใช่)น้อย
สั่งหนังสือ-ติดต่อ-สอบถาม-โบกเกรียน Allianz-Bayern(at)hotmail.com