@@@Writer's Talk@@@
กลับมาแล้วค่ะ...
ขอบคุณทุกความห่วงใย
ขอบคุณที่ยังคิดถึงกัน...
เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้ แอบจัดเต็ม ยาวนิดนึงนะคะ!
________________________________“เด็กบ้าเอ้ย...ทำมาประชดประชัน...ถ้าคิดว่าเก่งนักจะโรเททไปทำงานอื่นให้เข็ด.....”
อินทัชบ่นพึมพำขณะเดินไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดไว้ที่ลานจอดรถของบริษัท วันนี้เขาบอกคนรถไว้แล้วว่าไม่ต้องเอารถบริษัทมารับมาส่ง ช่วงเวลาหลังเลิกงานแบบนี้บางทีเขาก็อยากจะอยู่คนเดียว...กับความคิดของตัวเองบ้าง
...คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงแท้ๆ...ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่กับความคิดของตัวเอง
“คนเดียว” แต่ก็ทำไม่ได้แบบนั้นในเมื่อทุกความคิดของเขานั้นมีแต่ใบหน้าที่มองมายามประชดประชันของเด็กอวดเก่งกับคำพูดนั้น...
...นายเกลียดฉันขนาดนั้นเลยใช่ไหม...
...ถึงได้อยากให้ฉันไปไกลๆขนาดนั้น...........................
เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครในยามค่ำคืนในสังคมของเหล่านักตระเวณราตรีแล้วอาจจะไม่ใช่สถานที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางอะไรมากนัก พวกที่ถูกอกถูกใจชอบบรรยากาศก็ยังคงยึดอยู่กับสถานที่เดิมๆที่ตนเองเคยไป อินทัชเองก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนคนพวกนั้น ร่างสูงโปร่งถอดเสื้อสูทและเนคไทออกทิ้งเอาไว้ในรถ กระดุมเสื้อถูกปลดออกเล็กน้อย แต่แม้จะคลายความอึดอัดกายได้แต่ในใจนั้นกลับ...ยิ่งถูกบีบรัดแน่นมากกว่าเดิม เมื่อหลับตาลงแล้วยังเห็นสายตาคู่นั้นของวรัญญูอยู่ร่ำไป
…ไม่ว่าจะอยากได้มาขนาดไหน...
...แต่ในเมื่อมันทำไม่ได้....
...บางทีก็ต้องปล่อยไปซิ่นะ....ดวงตาคมของอินทัชจับจ้องอยู่ที่ก้นแก้ว ของเหลวใสแต่มีอานุภาพมากมายนั้นไม่ได้ช่วยให้เขาปล่อยละจากสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ได้เลย ชายหนุ่มนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ที่เคาท์เตอร์เงียบๆ ไม่ได้สนใจใคร ทำให้ไม่ทันได้หันไปมองเลยว่ามีใครมาปรากฏกายที่ร้านด้วยรูปลักษณ์ดึงดูดสายตาใครต่อใครเหมือนเช่นหลายๆคืนที่ผ่านมา
“...ชิ....”
เสียงวรัญญูดังขึ้นเบาๆอย่างไม่พอใจเมื่อมองผ่านแสงสีฉวัดเฉวียนในร้านไปพบว่า
“เจ้านาย” ของตัวเองมานั่งดื่มอยู่ตามลำพังที่เคาท์เตอร์ด้านในร้าน ..แต่กระนั้นก็ไม่ได้ยี่หร่ะ ร่างเล็กของ
“เลขานุการ” กลับยักย้ายเข้ากับจังหวะเพลงทักคนนั้นแวะคุยกับคนนี้ไปเรื่อย จนท้ายที่สุด...
"คุณยู" ของใครๆก็ลงไปวาดลวดลายยั่วยวนอยู่บนฟลอร์เต้นรำข้างล่าง
ในสถานที่นี้เท่านั้นที่ดูเหมือนว่าวรัญญูจะไม่ต้องสนใจสายตาของใคร ไม่ต้องมาคอยระวังการกระทำของตนเองกับใครต่อใคร เขาเปลี่ยนจาก
"วรัญญู ลูกชายบุญธรรมของภูธร " เป็น
"คุณยู เซเลบ นักท่องราตรี " ไปโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มผมยาวยังคงสั่งเครื่องดื่มด้วยเงินจำนวนมากใช้จ่ายเงินราวกับเบี้ยไปทั่วเหมือนเช่นเคย ...นอกเหนือจากใบหน้าที่สวยงามนั้นแล้ว การที่มีเงินคงเป็นเพียงแค่สองข้อดีที่ทำให้คนพวกนี้สนใจอยากจะรู้จักเขา คิดแบบนั้นแล้วยิ่งทำให้นึกเหยียดหยันตัวเองในใจ...เมื่อในความเป็นจริงแล้วเขา
“ไม่ใช่ใคร” และ
“ไม่มีใคร” ในหมู่คนพวกนี้เลย
ร่างเล็กของวรัญญูยังคงยักย้ายอยู่บนฟลอร์ ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจนั้นล่องลอยไปกับเสียงดนตรี ท่าทางที่บิดร่างไปมาน้อยๆนั้นย่อมดึงดูดใจใครต่อใครได้อย่างง่ายดาย รวมถึงกลุ่มทั้งชายหญิงที่เข้าไปประกบเต้นด้วยอย่างเร่าร้อน เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยจากรอบข้าง เสียงนั้นเรียกความสนใจของอินทัชให้หันไปมอง ในคราแรกเพียงนึกสงสัยว่าฮือฮากันด้วยเหตุอะไร จนเมื่อเห็น
“ตัวต้นเหตุ” กำลังแดนซ์กระจายจนเหงื่อพราวอยู่ที่ฟลอร์นั่นก็ต้องขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปสั่งเหล้าเพิ่มอย่างหงุดหงิด
....โธ่เอ้ย ปล่อยให้เราคิดมากมาได้ทั้งวัน....
....เจ้าตัวไม่เห็นจะสนใจ ห่านอะไรเลย....
…ดูท่าจะสนอย่างเดียวซิ่นะ....
...บริษัทของตาเฒ่า....
...กับหาเรื่องแดนซ์บ้าไปวันๆ.... เสียงดนตรี จังหวะเร้าอารมณ์ ยิ่งทำให้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มด้วยแอลกอฮอล์และเสียงดนตรีอย่าง
"ยู" ยิ่งใส่อารมณ์เข้าไปใหญ่ สะโพกมนขยับเข้าไปใกล้กับชายหนุ่มคนที่เข้ามา ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินเลยที่มือของอีกฝ่ายเข้ามาโอบที่เอวบางยามที่ร่างกายของทั้งคู่สายสะบัดไปตามเสียงเพลง
ยิ่งเห็นได้เห็นภาพเหล่านั้นราวกับได้ของแกล้มเหล้าที่แสนปวดใจ แก้วแล้วแก้วเล่าที่แอลกอฮอลล์ในมือของอินทัชว่างเปล่าได้ในเพียงไม่กี่นาที ก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นแก้วใหม่ ดวงตาคมที่จับจ้องไปยังคนที่อยู่ที่กลางฟลอร์นั้นร้อนผ่าว ทำไมทีกับเขาถึงปฏิเสธนักหนา ที่กับคู่เต้นคนแล้วคนเล่าผ่านมาเข้ามากลับทำท่าราวกับจะเชื้อชวนให้เข้าใกล้
วรัญญูยังคงเต้นต่อไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อย ยิ่งเวลาผ่านไป เหงื่อก็ยิ่งออกมากขึ้น ใบหน้าสวยและเส้นผมสลวยนั้นเกาะเพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ดูจะเป็นประกายยามเมื่อต้องกับแสงไฟหลากสี ราวกับจะช่วยเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนให้กับผิ้วเนื้อนวลใต้เสื้อตัวบางบนร่างเพรียวนั้น
และภาพนั้นประหนึ่งจะทำให้อินทัชหมดความอดทน ชายหนุ่มวางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปกลางฟลอร์มือแกร่งดึงแขนบางของ
“คุณยู”ของใครต่อใครให้เดินตามแต่วรัญญูก็ยื้อตัวเองเอาไว้
"อะไรเล่าปล่อยนะ! "
" กลับ "มือแกร่งออกแรงกระชากวรัญญูให้เดินกลับออกไปด้วยกัน
"ไม่กลับ" วรัญญูสะบัดแขนออกจากมือของอีกฝ่าย เสียงของคนที่ถูกขัดจังหวะนั้นแน่นอนว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ในใจจะรู้ดีว่าแผนของเขาส่วนหนึ่งมันได้ผลอีกครั้ง
....คงจะหวงเงินที่เราเอาไปใช้ล่ะซิ่นะ....
....พวกลูกนักธุรกิจก็เป็นกันซะแบบนี้ใช่ไหม... แทนคำตอบนั้นอินทัชกลับออกแรงดึงมากขึ้นจนวรัญญูตัวปลิวเข้าไปซบในอกกว้างของร่างสูง
" โอ้ย เจ็บนะ คุณไม่มีสิทธิ์จะมาลากผมแบบนี้นะ " วรัญญูเริ่มโวยวาย อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าทำให้เขาไม่ได้วางท่าทีทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยเหมือนอย่างที่เคยทำ
“ช่าย...เป็นใครจะมาลาก น้องยูกลับปายแบบเน้...” เสียงพวกคนที่เต้นรำกับวรัญญูอยู่...โดยเฉพาะผู้ชายคนเมื่อครู่หันมาโวยด้วยเสียงที่เริ่มยานคาง...ดูท่าคงจะเมาใช่ย่อย อินทัชเห็นแบบนั้นก็แสยะยิ้มน้อยๆ
“สิทธิ์?...ผมจะลากคนของผมกลับบ้านนี่มันคงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกคุณหรอกนะ...เสียใจด้วยแต่คืนนี้ คุณยู คงไม่สามารถเลี้ยงเหล้าพวกคุณได้หมดทุกคนหรอก....เพราะเงินที่เขาใช้น่ะ...เงินของผม!” ดวงตาคมของอินทัชจ้องมองหน้าของคนพวกนั้นเรียงหัว ทำเอาไม่มีใครกล้าโต้เถียงอะไรอีก ปล่อยให้ชายร่างสูงฉุดกระชาดเอา
“เจ้ามือ” ที่เคยเลี้ยงเหล้าพวกเขาออกไปจากร้าน...
...........................................
“
โธ่เอ้ย ปล่อยเซ่....อินทัช ปล่อยนะคุณไม่มีสิทธิ์มาลากผมแบบนี้ผมไม่ใช่หมานะ!”
วรัญญูโวยลั่นเมื่อเจอลากคอเสื้อออกมาจนถึงลานจอดรถ ซึ่งอินทัชก็ยอมปล่อยหรือหากให้เรียกตามตรง เขาแทบจะเหวี่ยงวรัญญูไปให้พ้นมือเมื่อเดินมาถึงหน้ารถของตน
" สิทธิ์? นายจะมาเรียกร้องเอาอะไรอีก? .. ไม่ว่าจะเงินจะบริษัท เดี๋ยวมันก็เป็นของนายทั้งนั้น" ชายหนุ่มว่าท่าทางไม่ได้สนใจฟังอีกฝ่ายเท่าใดนัก ในใจร้อนรนไปหมดจนรู้สึกเหมือนมือทั้งสองข้างมันสั่นระริก
...คนแบบนี้ ถ้าปล่อยให้บริษัทอยู่กับคนแบบนี้.... อินทัชคิดไปแบบนั้นแต่อีกด้านหนึ่งของหัวใจกลับค้าน เรื่องเงินทองหรือบริษัทน่ะหรือที่ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ ใช่...มันควรจะเป็นอย่างนั้น...แต่ก็น่าแปลกที่ในตอนนี้ ในทั้งหมดของหัวใจมันไม่ได้คิดแต่เพียงเรื่องของผลประโยชน์แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการจะให้เขาไปหรือที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บจนแทบจะทนไม่ได้...
"พูดเรื่องอะไร...ไม่เห็นจะรู้เรื่อง" วรัญญูแทบจะตะโกนใส่หูของอีกฝ่ายอย่างอารมณ์เสีย
“ขึ้นรถ....” แต่อินทัชก็ไม่ได้ตอบคำถาม เขาเดินไปบังคับให้อีกฝ่ายขึ้นรถแล้วขับออกจากผับไปอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเรื่องอะไรกันคุณ...ผมจะเที่ยวนี่มันไม่ได้เลยเหรอ เงินนั่นมันก็ไม่ใช่ของคุณซักหน่อย..คุณพ่อให้ผมมาใช้”
"แน่ล่ะ! นายมันลูกรักของคุณตานี่ ว่าที่ประธานคนต่อไป นายจะใช้เงินของที่บ้านฉันไปอีกซักกี่บาทกี่สตางค์เขาก็คงไม่ว่าหรอก เพราะยังไงนายมันก็จะได้บริษัททั้งหมดอยู่แล้ว! นายไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย มันน่าสมเพช " ชายหนุ่มกระแทกมือเข้ากับพวงมาลัยรถ ปลายเท้าเหยียบคันเร่งพาอีกฝ่ายมุ่งหน้ากลับมายังคอนโดหรูใจกลางเมืองของตัวเอง
“...................................”
วรัญญูเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บในอกที่ยากจะอธิบาย แม้พูดออกไปอย่างเย่อหยิ่งแต่สุดท้ายกลับรู้สึกผิด เขาจะต้องโกหกตัวเอง...และอีกฝ่ายไปอีกนานแค่ไหนกัน...ยกกิจการให้น่ะหรือ มันคงไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก ในเมื่อภูธรกับเขาทำสัญญากันไว้แล้วว่าถึงเขาจะมาเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลธิติเดชาพงศ์ แต่เขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับงานบริหารและหุ้นทั้งหลายในบริษัท ไม่มีสิทธิ์สืบทอดใดๆ เป็นเพียงแค่พนักงานประจำคนหนึ่งของบริษัทประกอบกับเงินจำนวนหนึ่งที่ให้ใช้จ่ายให้สมฐานะ และ..เอาไว้ใช้ล่อให้อินทัชเกิดความระแวงสงสัยจนต้องหันกลับมาสนใจเรื่องภายในครอบครัวบ้าง...ทั้งหมดมันเป็นแค่แผนการณ์ของพ่อบุญธรรมของเขาที่ทำไปเพียงเพราะความเหงาคิดถึงลูกหลานในยามบั้นปลายของชีวิตเท่านั้น...เรื่องทั้งหมดนี่จะให้เขาพูดออกไปตอนนี้แล้วอีกฝ่ายจะยังเชื่อเขาอยู่อย่างนั้นหรือ ในเมื่อในสายตาของอีกฝ่าย...ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันก็ผิดไปเสียทุกประตูแบบนี้
......................................
จนเมื่อรถสปอร์ตคันงามของอินทัชมาถึงที่คอนโด ร่างสูงดูเหมือนจะสงบลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความร้อนรุ่มในภูเขาไฟทั้งลูกจะดับมอดลงในคราเดียว อินทัชดึงเอาร่างบางออกจากรถแล้วตรงไปที่ลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักของตน ได้ยินเสียงโอดครวญเล็กๆดังมาจากร่างของชายหนุ่มผมยาวเพราะแรงที่กระชับแน่นจนเรียกได้ว่าบีบลงบนผิวเนื้อนั้นก็ใช่น้อย
“คืนนี้ฉันเบื่อจะเห็นนายออกไปเต้นยั่วชาวบ้านแล้ว..เชิญ!...ลูกรักของคุณตาเข้าไปข้างในเลย จะอาบน้ำทำอะไรก็เชิญ!”
อินทัชดึงแขนของอีกฝ่ายไปที่หน้าประตูห้องน้ำ วรัญญูแทบจะสะบัดมือแกร่งนั้นออกไปในทันที ดวงตากลมโตเป็นประกายกร้าว เมื่อไรอีกฝ่ายจะเลิกใช้ถ้อยคำตอกย้ำเขาแบบนั้นซักที หรือจริงๆแล้วเป็นเขาเองที่ผิดแต่ต้นที่ไปก้าวล้ำเส้นของอีกฝ่ายก่อน
“ไม่ต้องมาสั่งผม...” มือเรียวยกขึ้นลูบท่อนแขนของตัวเองเบาๆ ตรงบริเวณที่อีกฝ่ายสัมผัสด้วยความโกรธนั้นมันเจ็บซึมลึกเข้าไปในเนื้อเลยทีเดียว ร่างเล็กหันหลังให้กับอีกฝ่ายหมายจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งคอเสื้อเอาไว้ อินทัชใช้ข้อศอกดันอกของวรัญญูอย่างแรงจนแผ่นหลังบางกระแทกเข้ากับฝาผนังที่อยู่ด้านหลัง
“โอ้ย...” ร้องออกมาแต่ก็ต้องเงียบเสียงเมื่อรู้สึกถึงปลายจมูกโด่งที่เลื้อยไล้อยู่ที่ข้างแก้มจนได้ยินเสียงสูดลมหายใจเบาๆจากร่างสูง ในอกหัวใจเต้นระรัวด้วยทั้งกลัวและตื่นเต้นกับสัมผัสแผ่วผ่านนั้น ดวงตากลมหลับแน่นไม่กล้ามองหน้าของอีกฝ่าย แต่ใครจะคิดเลยว่าสิ่งที่จะได้ยินนั้นจะกรีดหัวใจของเขาได้มากมายเหลือเกิน
“...... ที่สำคัญเอาให้มั่นใจด้วยนะว่าล้างกลิ่นของไอ้ผู้ชายพวกนั้นออกไปให้หมดน่ะ...จะเป็นลูกรักของคุณตา จะเป็นว่าที่ประธานบริษัทใหญ่ทั้งทีก็ทำตัวให้มันเหมาะสมกับฐานะแล้วเลิกทำตัวให้มันมีราคีได้แล้ว”ได้ยินคำนั้นของอินทัช วรัญญูถึงกับเปิดตาโพลง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยหมิ่นเขาเอาไว้มากขนาดไหนแต่มันไม่เคยมากเท่านี้ มือเรียวยกขึ้นชกเข้าที่ข้างแก้มของร่างสูงเสียจนอีกฝ่ายหน้าหัน
ผั่วะ!! "
ลูกรัก?...อ้อ ใช่ แน่ล่ะ "วรัญญูว่าด้วยเสียงดัง ใบหน้าสวยบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดในใจ
"คุณคิดว่าผมอยากจะเป็นแบบนี้หรือยังไง!...ผมเคยมีชีวิตของผม มีบ้าน มีงานที่ผมรัก เคยมีหมาที่เหมือนเป็นเพื่อนตัวเดียวของผม! ผมรู้ว่าคุณไม่เคยมองเห็น แต่ผมก็เคยเป็นคนเดินดินคนนึง! ที่มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน” มือเรียวที่เมื่อครู่ฟาดกำปั้นลงไปบนใบหน้าของอินทัช ทุบลงบนอก เขาอึดอัดมาโดยตลอด
“แต่พอมันเข้าตาจน อะไรที่คิดว่าพอจะช่วยให้สถานที่ที่ผมรักยังคงอยูได้ ผมก็ต้องทำ คุณเข้าใจไหม!
คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงได้เข้ามาอยู่ในบ้านนี้! เพราะหน้าของผมนี่ไง...ถ้าผมไม่หน้าเหมือนย่าที่เป็นรักแรกของคุณภูธร ท่านก็คงไม่เอ็นดูผมแบบนี้หรอก ต่อให้หอบเอกสารผลงานดีแค่ไหนไปสมัครงานที่บริษัทของคุณ แม้แต่พวกที่ประชาสัมพันธ์ก็คงยังไม่แลผมด้วยซ้ำ... "
วรัญญูพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้น ด้วยฤทธิ์เหล้าที่ปนอยู่ในเลือดทำให้คนที่ปรกติพยายามจะทำหน้าตายซ่อนความรู้สึกเอาไว้ใต้กรอบแว่นสีเงินอย่างวรัญญูไม่อาจห้ามน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ริมฝีปากบางสีสดนั้นสั่นระริก ก่อนจะพยายามเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อรู้ว่าตัวเองอาจจะส่งเสียงสะอื้นออกมา ร่างบางค่อยทรุดลงตรงหน้าของอินทัช สองเข่ายกขึ้นกอดเอาไว้พลางงุดหน้าลง เขาไม่อยากให้อินทัชต้องมาเห็นใบหน้าของเขาตอนนี้ ถ้าเห็นอีกฝ่ายคงได้หัวเราะเยาะแล้วถากถางเขาด้วยความสมเพชเหมือนเช่นที่ผ่านมาเป็นแน่
" ............................... " ความเจ็บยังแผ่ซ่านไม่ทั่วไปใบหน้ากระเทือนสร้างความมึนงงไปทั่วแผ่นกะโหลก แต่กระนั้นแล้วอินทัชก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรคนที่เพิ่งซัดเขาเข้ามาเต็มหมัด..
“นายอยากจะ...
ออกไปจากชีวิตฉันขนาดนั้นเลยเหรอ อยากจะจบเรื่องพวกนี้มากนักใช่ไหม” ร่างสูงขบฟันกรามเสียจนแน่น คำพูด การกระทำ กับน้ำตาของอีกฝายนั้นมันมากพอที่จะบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เขาพยายามจะทำให้กับอีกฝ่ายนั้นมันไม่เคยเป็นผล ... และนั่นก็มากพอ...มากพอที่จะให้รู้สึกได้ถึงคำว่า...
“เสียใจ” "จบ?...แล้วคุณจะทำยังไง... "วรัญญูเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายทั้งที่เสียงยังสั่นเครือ แต่ยังดีเหลือเกินที่แขนเสื้อนั้นได้ซับเอาน้ำตาออกไปจากสองแก้มแล้ว ภาพของคนตรงหน้าดูบิดเบี้ยวอาจเป็นเพราะบางส่วนของหยดน้ำนั้นยังเกาะพราวอยู่บนขนตายาวประกอบกับฤทธิ์ของเหล้าที่ได้ดื่มกินเข้าไปก่อนหน้า ในตอนนี้ไม่ใช่แค่อาการมึนงงที่ทำให้เขาไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนักหากแต่เป็นคำพูดของอินทัชเองด้วย
" ฉันจะจบมันให้นายเอง .. จบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูกบุญธรรมบ้าบอนั่นหรืออะไรก็ตาม" ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง แสงของดวงไฟที่อยู่เหนือศีรษะของร่างสูงทำให้เกิดเป็นเงาดำทอดผ่านลงมา จนมันยากเหลือเกินสำหรับวรัญญูที่จะบอกว่าอินทัชกำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาแบบใด ถึงน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นจะหนักแน่น แต่คนอย่างอินทัชนะหรือที่จะทำอะไรให้คนอื่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนอย่างเขาด้วยแล้ว... คนๆนี้คงแค่อยากจะแกล้งเขาเหมือนที่เคยทำมาเท่านั้นเอง ...วรัญญูเบนสายตาหนีไปอีกทาง
"
คนแบบ คุณ ...ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะทำอะไรให้ฟรีๆ....ภายใต้เงื่อนไขอะไรอีกล่ะ...ผมคงเสนอเงินให้คุณไม่ได้ ในเมื่อคุณก็จะบอกว่า
“นี่มันเงินของฉัน” อยู่ดี...ใช่ไหมล่ะ” คำพูดของวรัญญูในยามที่ทั้งเมามายและเสียใจนั้นยิ่งเชือดเฉือนคนตรงหน้าและเหมือนจะได้ผลดีกว่าทุกครั้ง
....สำหรับนาย...
...ฉันเป็นได้แค่คนหน้าเงินอย่างนั้นเหรอ....ได้ยินแบบนั้นแล้วทำให้อินทัชต้องเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เบือนสายตาไปให้ห่างจากอีกฝ่าย รู้สึกสังเวชตัวเองอย่างบอกไม่ถูก นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ กำลังอยากจะให้เด็กตรงหน้าคนนี้ยอมรับเขาอย่างนั้นหรือ...ด้วยสถานะอะไรกัน....ในตอนนี้ไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยกี่พันล้านมันก็ไม่สามารถจะยื้อหรือซื้อใจให้อีกฝ่ายนึกเปลี่ยนใจอยากจะอยู่ในฐานะคนที่มีนามสกุลเดียวกัน...
เชื่อมโยง...กันกับเขาได้เลย
...นั่นซิ่นะ....
...ในเมื่อเป็นได้แค่นั้น.... " ฟรี? ..เงื่อนไข? ” อินทัชแค่นหัวเราะออกมา พลางย่อตัวลงมานั่งคุกเข่าต่อหน้าของอีกฝ่าย ในตอนนี้เมื่อระดับสายตาเท่ากันแล้ว เขาสามารถมองใบหน้าสวยที่ยังมีคราบน้ำตานั้นอยู่ได้อย่างถนัดตา และไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันทำให้เขาแทบจะลืมหายใจ อินทัชไล้ริมฝีปากเลียริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ ปลายนิ้วแกร่งจับปลายคางมนนั้นเชยขึ้น พิศมองใบหน้าของวรัญญู ใบหน้าสวยที่ยั่วยวนสติของเขามาตั้งแต่คืนแรกที่พบเจอกัน... มันทำให้เขานึกออกว่าเขาอยากได้อีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนมากขนาดไหน ดวงตาคมหรี่ลงมองใบหน้าของวรัญญูสบสายตากร้าวของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“ถ้านายคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกจากปากฉันไปมันเป็นเรื่องธุรกิจ...อยากจะคิดแบบนั้นก็เชิญนายก็แค่จ่ายด้วยสิ่งที่นายมีก็เท่านั้น " มือแกร่งไล้กับผิวแก้มอีกฝ่ายเบาๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
“ฮ่ะๆ... ”
น่าแปลกที่คนที่ควรจะรู้สึกหวาดหวั่นตัวสั่นงันงก กลับหัวเราะออกมาเบาๆ ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไหวน้อยๆเมื่อวรัญญูหัวเราะ ดวงตาคู่สวยหันกลับมามองหน้าของอินทัชอีกครั้ง ริมฝีปากบางคู่นั้นแสยะยิ้ม ใบหน้าสวยนั่นยังแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้า
“ที่นี้ผมไม่สงสัยแล้ว..ว่าทำไมคุณภูธรถึงไปลากผมมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเรื่องในบ้านของคุณ ... เพราะคุณมันไม่เคยสนใจอะไรนอกจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ...อะไรที่ใช้เงินซื้อได้คุณก็ซื้อ อะไรที่ใช้
“อำนาจในมือ” ต่อรองได้ คุณก็ทำ...คนแบบนี้น่ะเหรอ จะมาทำให้คุณภูธรรู้สึกสุขใจได้ตอนบั้นปลายชีวิต...ยิ่งมีแต่จะกลุ้มเสียมากกว่า...แล้วผมจะบอกให้นะ" แม้เสียงจะอู้อี้ด้วยอาการมึนเมาที่มีอยู่แต่เดิม แต่ในทุกถ้อยคำและสัมผัสจากปลายนิ้วที่ขยี้ลงไปบนอกของชายหนุ่มอายุมากกว่านั้นบอกให้รู้ได้ว่าวรัญญูมีสติมากกว่าคืนไหนๆ
"
คุณหาไอ้คุณตัวราคาแพงเกินไปหน่อยแล้ว...ที่ผับนั่นมีเยอะนะ เอาถูกๆกว่านี้มั้ย ผมจะไปหามาให้ คุณไม่ต้องเปลืองตัวมากอดผมด้วยซ้ำ"วรัญญว่าพลางก็ดันอีกฝ่ายออกห่าง ร่างเล็กพยายามจะลุกขึ้นแต่กลับเจอมือแกร่งนั้นดึงเอาไว้
"ไม่ ...ฉันไม่เอาไอ้-อีตัวหน้าไหนทั้งนั้น ฉันบอกนายแล้ว... แลกมาซิ่ แล้วฉันจะทำให้นายกลับไปมีชีวตแบบที่นายต้องการเอง "
"เหอะ!” วรัญญูยิ้มเย้ยอีกฝ่าย “คุณหวังแค่คืนเดียวมาตั้งแต่แรกก็บอกเถอะ...ไม่ต้องต่อรองอะไรให้มันมากความหรอก...ถึงมันจะเปลี่ยนผมได้ ..แต่มันก็เปลี่ยนคุณไม่ได้...นั่นล่ะที่จะทำให้คุณตาของคุณจะยิ่งเสียใจ" ริมฝีปากบางเอ่ยโต้ตอบ
"ฉันจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน มันก็จะไม่ใช่ธุรกงการอะไรของนายแล้วนี่ ...ยังไงซะนายก็อยากจะไปจากชีวิตแบบนี้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง” ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่าย ประกายตาไหววูบเมือต้องแสงไฟและจิตใจของอินทัชเองก็เช่นกัน
...ยังไงนายก็จะไปจากฉันอยู่ดี.... "ใช่! มันไม่ใช่ธุระกงการให้ของผม แต่มันเป็นเรื่องของคุณภูธร...รู้ไหมว่าท่านถอนหายใจเพราะเรื่องของคุณต่อหน้าผมมากี่ครั้ง...การที่ต้องเห็นหลานของตัวเองปฏิบัติกับตัวเองเหมือนเป็นลูกค้า...ท่านต้องเศร้าขนาดนั้นเพราะหลานแท้ๆของท่านไม่เคยคิดจะแคร์อะไร หรือ ใครมากกว่าธุรกิจนั่นไง!”
วรัญญูรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีผลักอีกฝ่ายออกไปให้พ้นทาง พยายามจะเดินไปให้ถึงประตูห้อง แต่ก็ไปได้ไม่ไกล เมื่ออินทัชกลับคว้าร่างของเขาเอาไว้ มือแกร่งช้อนที่หลังศีรษะบังคับให้เขาอยู่นิ่งๆเมื่อริมฝีปากร้อนของชายหนุ่มสูงวัยกว่าบดเบียดลงมาอย่างถือวิสาสะ ปลายลิ้นอุ่นแทรกกลีบปากของวรัญญูเข้าไปค้นหาความหวานและสัมผัสนุ่มจากเรียวลิ้นของอีกฝ่าย ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยตกใจ มือทั้งสองข้างทั้งทุบทั้งพยายามดันให้อีกฝ่ายละออกห่าง
แต่การตอบรับจากร่างสูงมีเพียงแค่ท่อนแขนแกร่งที่โอบรัดเข้ามาจนแทบจะอุ้มให้เขาลอยขึ้นจากพื้น เพียงไม่กี่ก้าวแผ่นหลังก็ตกกระทบลงกับเตียงนอนนุ่ม สองมือแกร่งยึดข้อแขนของวรัญญูเอาไว้ กดลงกับเตียงจนอีกฝ่ายไม่อาจจะขัดขืนได้ อินทัชขยับถอยละออกจากริมฝีปากของวรัญญูอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมที่สบมองใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นประกายที่ยากจะคาดเดาความหมาย
“ปล่อยผม... เกลียดผมไม่ใช่เหรอ ไม่ได้อยากให้เป็นน้าไม่ใช่เหรอ จะทำแบบนี้ให้เสียมือ ทำไม คุณแค่ไปบอกคุณตาของคุณซะว่าต่อจากนี้คุณจะปรนนิบัติใกล้ชิดท่านให้มากขึ้น...เรื่องมันก็จะจบ ผมจะได้ไปจากที่นี่เสียที” วรัญญูเบือนหน้าหนีริมฝีปากและสายตาของอีกฝ่ายไปอีกทางใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอาจเป็นเพราะอากาศที่ถูกช่วงชิงไปเมื่อครู่ ในตอนนี้ที่ได้หอบรุนแรงเช่นนี้
“ฉันบอกนายมาตลอด......ว่าฉันไม่อยากได้น้า”
อินทัชก้มลงมาเสียแทบชิดกับใบหูบาง เป่าลมหายใจอุ่นๆให้ร่างเล็กของ “น้าชาย” สั่นสะท้าน ดวงตาคมพิจารณาผิวกายขาวที่โผล่พ้นคอเสื้อเชิ้ตเนื้อดีออกมา จริงอยู่ที่เขาเคยเห็นมาแล้ว...แต่ในตอนนี้มันต่างกันออกไป ในเมื่อมีอีกฝ่ายมาอยู่ใต้ร่างของเขาเช่นนี้
“
ฉันอยากได้นาย”
.............................................to be con
(ตัดตอน ฉับๆ แล้ว เผ่นนนนน....
)