บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
บทที่ 2
สายตาคมที่จ้องมองยามชิดใกล้เมื่อกลางป่าติดตามมากวนพระหทัยของเจ้าชายอินทัชแม้ว่าเวลาจะล่วงเลย
มาถึงยามรัตติกาล วรกายสูงโปร่งสวมอาภรณ์เบาบางพลิกกายไปมาอยู่บนแท่นพระบรรทมอย่างหงุดหงิด ทอดพระเนตร
เพดานตำหนักที่ตกแต่งเป็นลวดลายฉลุอันงดงามแต่ความคิดกลับวนเวียนอยู่กับสัมผัสเมื่อยามบ่าย แม้จุมพิตนั่นจะถูก
กางกั้นด้วยผืนผ้าหยาบดำแต่มันกับทำให้ดวงหทัยร้อนรุ่มเหลือเกิน
“บ้าที่สุด จะมัวแต่คิดถึงไอ้โจรป่าคนนั้นทำไมนะ”
ขบเม้มพระโอษฐ์จนแดงเรื่ออย่างขุ่นเคืองเมื่อคิดถึงดวงตาวามวาวราวสิงห์หนุ่ม อยากจะกระชากผืนผ้าที่
ปิดบังใบหน้านั้นออกให้ได้ยลสักครั้งจะได้รู้ว่าคนเลวเยี่ยงนั้นจะอัปลักษณ์สักเพียงใด
พระดำริสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงต้นห้องภายนอกขานร้องพระนามของพระมารดาก่อนที่ประตูห้องบานหนา
หนักจะถูกผลักออกเพื่อให้สตรีสูงศักดิ์ย่างกรายเข้ามา เจ้าชายอินทัชธราธิปรีบผุดลุกขึ้นมาพลางแย้มพระสรวลรับเจ้า
นางปะวะหล่ำเพื่อประทับเคียงกันบนแท่นพระบรรทม
“นอนดึกจริงๆอินทัชลูกแม่”
เจ้านางปะวะหล่ำยังคงมีสิริโฉมงดงามแม้พระชนม์จะล่วงเข้าใกล้สี่สิบชันษาเต็มที ทรงเอื้อมหัตถ์ลูบไล้เกศา
เจ้าชายอินทัชที่โน้มกายลงเกลือกกลิ้งที่พระเพลาราวกับยังเป็นเจ้าชายน้อย
“ลูกยังไม่ง่วงนี่พระมารดา”
เจ้านางปะวะหล่ำส่ายพักตร์อย่างระอาแกมเอ็นดูกับกริยาของเจ้าชายอินทัช
“แล้วทำไมไม่ให้แม่พวกสาวๆเข้ามาดูแลล่ะ แม่ส่งมาตั้งหลายคน”
เจ้าชายอินทัชเบ้พระโอษฐ์อย่างทรงรำคาญ
“ลูกไม่ชอบสาวๆของพระมารดาแต่ละคนจริตมากมายเสียเหลือเกิน ว่าแต่พระมารดาทำไมยังไม่นอนพะย่ะค่ะ
แล้วไม่ต้องอยู่ดูแลพระบิดาหรือ”
“พ่อเจ้าน่ะหรือ ป่านนี้คงมัวแต่อ่านหนังสืออยู่แต่ให้ห้อง”
ดวงเนตรที่ตกแต่งงดงามของเจ้านางปะวะหล่ำมีร่องรอยเบื่อหน่ายเจืออยู่ หากแต่ทรงเงยพักตร์ขึ้นเพื่อซ่อน
พระราชโอรสมิให้มองเห็น จะให้เจ้าชายอินทัชรู้ไม่ได้ว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กับพระองค์นั้นมิใคร่ได้สมานฉันท์กันนานแล้ว
“พระมารดาน่าจะยินดีที่พระบิดามิได้ทรงข้องแวะกับนางสนมกำนัลคนใดมากไปกว่าทรงตั้งใจบริหารราชการ
แผ่นดิน ลูกเองยังภูมิใจในพระบิดามายมายนัก”
เจ้านางปะวะหล่ำทรงถอนพระอัสสาสะออกมาพลางดึงให้เจ้าชายอินทัชลุกขึ้นมาจากพระเพลา
“ช่างเถอะ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เจ้ายังไม่เข้าใจ”
“ลูกอายุสิบแปดปีแล้วนะพระมารดา”
ทรงย่นนาสิกใส่พระมารดาที่ยังคิดว่าพระองค์ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา เจ้านางปะวะหล่ำส่ายพักตร์อย่างระอา
“ถ้าเจ้าอายุสิบแปดจริงดังปากว่า เจ้าควรจะฝึกปรือเรื่องบนเตียงให้เก่งกาจได้แล้วแทนที่จะมัวแต่ไปท่อง
เที่ยวยิงนกตกปลาอย่างที่ทำอยู่ อย่าให้แม่ได้ขายขี้หน้าเวลาสาวๆมันเอาไปนินทาว่าเจ้าชายอินทัชบรรทมเพียงเดียว
ดายในทุกค่ำคืน แม่ไปละ วันรุ่งจะไปหาแม่ย่าเฟื่องรุ้งเสียหน่อย”
“แม่ย่าเฟื่องรุ้งมิอะไรดีพะย่ะค่ะ พระมารดาจึงได้เสด็จไปหาบ่อยครั้งเหลือเกิน”
ตรัสอย่างสงสัยเมื่อทรงทราบว่าเจ้านางปะวะหล่ำจะเสด็จไปหาแม่ย่าเฟื่องรุ้งนักบวชหญิงวัยชราที่ยากจะมี
ใครได้พบเห็น ด้วยชื่อเสียงด้านการพยากรณ์และมนตราทำให้ใครๆก็ต้องการพบปะ หากมีเพียงไม่กี่คนที่ได้แม่ย่าเฟื่อง
รุ้งยินยอมให้พบรวมถึงเจ้านางปะวะหล่ำด้วย แต่เมื่อได้ยินคำพูดจากพระราชโอรสเจ้านางปะวะหล่ำถึงกับขมวดพระขนง
“อย่าได้พูดถึงแม่ย่าด้วยน้ำเสียงดูแคลนเยี่ยงนั้นอินทัช เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่ย่ามีพระคุณกับแม่แค่ไหนกว่าจะมี
วันนี้ เอาเถอะ แม่ไม่พูดด้วยแล้วนอนเสียเถิดอินทัช”
เจ้านางปะวะหล่ำดำเนินออกจากห้องพระบรรทมไปแล้วเจ้าชายอินทัชยังทรงครุ่นคิดไม่เลิกรา พระมารดา
ของพระองค์ตั้งแต่เดิมเป็นถึงพระธิดาองค์เล็กแห่งเมืองเขมราชและยกให้อภิเษกกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เพื่อสาน
สัมพันธไมตรี แล้วเหตุอันใดพระมารดาของเจ้าชายอินทัชต้องไปพึ่งใบบุญนักบวชหญิงลึกลับผู้นั้นด้วยเล่า
ร่างสูงในอาภรณ์ชุดดำเร้นกายเข้าสู่ที่ราบกว้างที่มีภูเขาสูงทะมึนโอบล้อมเป็นปราการอยู่โดยรอบ ทางเข้า
ทางออกมีเพียงทางเดียวที่ต้องทะลุผ่านเวิ้งถ้ำเข้ามาด้านในซึ่งมีแต่ฝูงโจรเลื่องชื่อเท่านั้นที่รู้หนทางเข้าสู่ “หุบผากาฬ”
แห่งนี้ รวมทั้งเขาชายหนุ่มที่ชื่ออัคคี
อัคคีเดินตรงไปยังกระท่อมไม้หลังใหญ่ที่สุดที่อยู่บนเนินสูงสุดของที่ราบ จากตำแหน่งนี้มองลงไปจะเห็น
กระท่อมที่สร้างกระจัดกระจายกันอยู่ของสมาชิกที่อาศัยอยู่ในหุบผากาฬแห่งนี้ เบื้องหน้าของกระท่อมอัคคีมองเห็นร่าง
กำยำของชายวัยกลางคนที่กำลังออกแรงตีเหล็กที่เผาไฟจนร้อน อัคคียกยิ้มพลางย่างสามขุมเข้าด้านหลังและจู่โจมเข้า
ใส่ด้วยความเร็ว
ชายผู้นั้นหันกลับมาตอบโต้ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน การต่อสู้เกิดขึ้นอยู่กลางลานดินหน้ากระท่อมอย่างสูสี
จนกระทั่งอัคคีถูกรัดรอบลำคอ ทั้งคู่มองหน้าและหัวเราะใส่กันก่อนที่อัคคีจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
“สู้พ่อสมิงไม่เคยได้เลย”
“สมิง” หรือฉายา “โจรป่าสมิงไพร” หัวหน้ากองโจรแห่งหุบผากาฬหัวเราะลั่นพลางโยกหัวอัคคีอย่างเอ็นดู
“ใครบอก ฝีมือเจ้าดีขึ้นมากนะอัคคี พ่อเกือบจะเพลี่ยงพล้ำเสียหลายทีแล้ว ขนาดเจ้าอายุแค่สิบแปดยังเก่ง
ขนาดนี้ ต่อไปพ่อคงตายตาหลับหากได้เจ้าขึ้นมาเป็นหัวหน้าหุบผากาฬแทนพ่อ”
“คงอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น ตอนนี้ทุกคนยังกลัวพ่อสมิงกันทุกหัวระแหงข้าคงไม่บังอาจที่จะเทียบชั้นพ่อได้
หรอก อืม...แล้วนี่พ่อบัวไปไหนเสียล่ะพ่อสมิง”
สมิงชี้มือไปทางด้านหลังของกระท่อม
“โน่น พ่อบัวกำลังตากปลาที่ข้าไปจับมา นี่ข้าบอกให้นำมาทำกับข้าวเลยก็ไม่เชื่อ เห็นบอกว่าจะตากปลาให้
แห้งจะเก็บไว้ได้นานๆ เจ้าไปหาพ่อบัวสิ”
อัคคีเดินอ้อมไปด้านหลังเขาจ้องมองแผ่นหลังของผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังเรียงตัวปลาอยู่บนกระจาดเพื่อ
ตากแดดด้วยความรัก อัคคีมีพ่อสองคนคือพ่อสมิงและพ่อบัวโดยที่ไม่มีแม่ ในยามเด็กเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุในจึงเป็นเช่น
นั้นแต่เมื่อโตขึ้นมาเขาก็เลิกคิดเพราะทั้งคู่ก็เลี้ยงดูอัคคีเป็นอย่างดี
พ่อบัวหันมามองเขา อัคคียิ้มให้พ่อบัวที่มีผ้าคาดปิดบังดวงตาที่บอดเสียข้างหนึ่งหากกระนั้นพ่อบัวของเขาก็
ยังจัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาผิวพรรณผุดผ่องกว่าพวกลุงๆอาๆลูกน้องของพ่อเป็นไหนๆ แต่เพราะพ่อบัวที่มักจะทำหน้า
ดุเขาจึงเกรงพ่อบัวมากกว่าพ่อสมิงที่เป็นหัวหน้าโจรเสียอีก
“พ่อบัว”
“มัวแต่เที่ยวเล่น เหลวไหลเสียจริงอัคคี”
อัคคีเงียบกริบเมื่อบัวดุเสียงเข้ม นึกน้อยใจครามครันที่ถูกมองว่าทำตัวเหลวไหล
“ข้าไปช่วยพวกพี่ๆวางกับดักรอบหุบเขาไม่ได้เที่ยวเล่นนะพ่อบัว และที่สำคัญข้าได้เจอคนใครคนหนึ่งที่พ่อ
บัวต้องยินดี”
“ใครกัน” บัวขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เจ้าชายอินทัชธราธิป”
ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเบิกกว้าง นัยน์ตาคมฉายแสงโชนถึงความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในใจ
“มันหน้าตาเยี่ยงไร”
“เหมือนข้าไม่มีผิดเพี้ยน” อัคคีเอ่ยอย่างข้องใจ “ทำไมเป็นเช่นนั้น”
“เพราะชะตากรรมไงล่ะ ชะตากรรมที่เจ้าจะต้องทำลายพวกมันอย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าตั้งแต่ยังเล็ก”
สายตาของบัวทำให้อัคคีขบกรามกรอด
“ข้าจำได้แม่นยำ เพราะพวกมันทำให้ครอบครัวของพ่อบัวต้องตายจากและทำให้พ่อบัวบาดเจ็บเจียนตายจน
ต้องเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง ข้าไม่มีวันลืมเลือน”
“ดีมากอัคคี”
บัวตบไหล่อัคคีหนักแน่นเพื่อตอกย้ำให้ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของอัคคี
“จงจำไว้ว่าเจ้าเกิดมาเพื่อทำลายพวกชั่วช้าเหล่านั้นให้สิ้นซาก”
“เจ้านี่ชอบดุลูกจนมันหงอ”
สมิงบ่นพึมพำเมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับบัวภายกระท่อมไม้หลังใหญ่ เขาสร้างกระท่อมหลังเล็กให้อัคคี
เยื้องไปทางด้านหลังเมื่อบุตรชายเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม
บัวที่นั่งเพ่งสายตาอ่านหนังสือภายใต้ตะเกียงไฟยังคงไม่สนใจคำบ่นของสมิงจนกระทั่งสมิงต้องเข้ามาโอบ
เอวจากด้านหลังและดึงให้บัวมานั่งอยู่บนตักตัวเอง เขามองบัวด้วยความรักเต็มหัวใจ
หลงรักตั้งแต่เขาพบร่างบาดเจ็บเจียนตายที่อุ้มทารกคนหนึ่งไว้แนบอก สมิงพาร่างอันบอบช้ำของทั้งคู่มา
รักษาตัวอยู่ในกระท่อม ส่วนทารกน้อยเขาก็ต้องให้เมียของลูกน้องที่เป็นแม่ลูกอ่อนช่วยแบ่งปันน้ำนมปะทังความหิวโหย
เขาเฝ้าดูแลจนชายแปลกหน้าอาการดีขึ้นแม้จะรักษาดวงตาข้างหนึ่งไว้ไม่ได้ ชายที่ได้รับบาดเจ็บบอกกับสมิงว่าเขาชื่อ
บัว สมิงเฝ้าประคบประหงมบัวอยู่นานและไม่ได้หักหาญน้ำใจเขารอจนกระทั่งบัวพร้อมและยินยอมที่จะเป็นของเขาโดย
แลกเปลี่ยนกับการที่สมิงจะต้องเลี้ยงดูและฝืกปรือวิชาการต่อสู้ให้ทารกที่บัวตั้งชื่อว่าอัคคี สมิงเต็มใจอยู่แล้วและในที่สุด
บัวก็ยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหุบผากาฬแห่งนี้ในฐานะเมียของสมิงไพรที่ลูกน้องของสมิงต่างรู้กันดีว่าหัวหน้าโจรชื่อดัง
กลัวเมียแค่ไหน
“เจ้าเองก็มัวแต่ตามใจลูก”
สมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยิ้มกริ่มพลางวางร่างโปร่งของบัวให้นอนลงไปบนฟูกนุ่นแล้วหันไปปิดไฟ
ที่ตะเกียงจนมืดมิด
“สมิง ข้ายังอ่านหนังสือไม่จบ”
บัวทักท้วงแต่ก็ไม่สามารถห้ามปรามมือสากที่เริ่มซนอยู่กับร่างกายของเขาได้
“อ่านแต่หนังสือนะพ่อบัว ทำไมไม่อ่านใจข้าบ้างล่ะว่าข้ารักพ่อบัวแค่ไหน”
“สมิง อื้อ...”
เสียงทุ้มของบัวถูกปิดทันทีด้วยปากของสมิง เขาจูบกลีบปากนุ่มของบัวพลางปลดผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มที่บัวสวม
ใส่ออกพัลวัน ส่วนเขาที่มีเพียงผ้ายกรั้งท่อนล่างนั้นมันหลุดออกนานแล้ว สมิงทาบร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและ
ท่อนเนื้อพร้อมรบลงกับร่างกายขาวผ่องที่อวดกายอยู่ในความมืด
เขาฟอนเฟ้นร่างกายของบัวด้วยปากและลิ้นอย่างเช่นทุกครั้ง บัวสยิวกายไปตามแรงอารมณ์จนเผลอครางเป็นระ
ยะ หนวดเคราของมหาโจรเสียดสีอยู่ตามเนื้อตัวเร่งเร้าให้เขาเบียดกายเข้าหา และแอ่นอกให้สมิงเชยชม
“หวานเหลือเกินพ่อบัว”
สมิงคำรามอย่างถูกใจเมื่อได้กลืนกินจุดซ่อนเร้นของบัวให้พองฟูอยู่ในปากก่อนที่จะคายออกมาเมื่อบัว
พ่นพิษใส่เขาจนฉ่ำชื้น สมิงคายมันออกมาใส่อุ้งมือแล้วป้ายไปรอบช่องทางด้านล่างแล้วจึงสอดกายตนเข้าไปอย่างคุ้น
เคย
“หนทางของพ่อบัวยังเบียดรัดข้าไม่เคยเปลี่ยนเลย”
“อะ อึก สมิง เบาหน่อย อะ เสียว”
สมิงเงยหน้าครางลึก เขากอบโกยเนื้อหนั่นแน่นไว้ในอุ้งมือเพื่อเปิดทางสวรรค์ เอวแกร่งของเขามีพลัง
เหลือเฟือที่จะทำให้บัวดิ้นพล่านไม่ยอมหยุด บัวได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางอยู่ในลำคอไม่ให้มันเล็ดลอดออกไป
“อาทิตย์ อา...”
อัคคีกัดปากตัวเองเมื่อเสียงร่วมรักของสมิงกับบัวดังแว่วมาจากกระท่อมหลังใหญ่ ร่างกายในวัยหนุ่มกำลัง
เดือดพล่านไปด้วยเลือดลมจนท่อนเนื้อแข็งขืนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ และในหัวของเขามีแต่ภาพของเจ้าชายที่มีใบหน้า
พิมพ์เดียวกับเขาล่องลอยอยู่เต็มไปหมดจนอัคคีโมโหตัวเอง
“ไม่ได้ นั่นคือศัตรู”
เอื้อมมือไปกอบกุมจุดอ่อนไหวไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วบีบนวด หูสดับฟังเสียงครางจากพ่อทั้งสองและ
หลับตาเพื่อจินตนาการถึงใบหน้าเนียนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก อัคคีหอบหายใจลึกอยู่เพียงลำพัง
“อินทัช อึก...”
รู้สึกถึงความเปียกชื้นอยู่ในร่มผ้า อัคคีสบถเบาๆเมื่อเขาเฝ้าแต่คิดถึงเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร
------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------
อธิบายคำราชาศัพท์
แท่นพระบรรทม คือ ที่นอน
แย้มพระสรวล คือ ยิ้ม
พระเพลา คือ ตัก หน้าขา
พระอัสสาสะ คือ ลมหายใจออก
นาสิก คือ จมูก
ขนง คือ คิ้ว
คำอธิบายจากผู้แต่ง
เรื่องนี้มีสองช่วงนะคะ รุ่นพ่อ อาทิตยวงศ์ –บัว(โกมุท)-สมิง แล้วถึงจะมาเป็นรุ่นลูกที่เป็นฝาแฝด อัคคี-อินทัช เดี๋ยวจะมี
ช่วงอดีตเล่าแทรกมาด้วยจะได้รู้สาเหตุกันจ้า คำราชาศัพท์คำไหนไม่เข้าใจบอกได้นะคะ
Belove