กระสุนนัดที่ 24
ก็อกๆ ๆ ก็อกๆ ๆ
“มาเช้าจัง”
วันนี้แฟนผมมาด้วยชุดไปรเวท ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำ ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนรัดรูปกับรองเท้าผ้าใบสีขาว
ชุดเรียบๆแต่แม่งโคตรหล่อ
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือใจเราตรงกัน ชุดที่ผมใส่ใส่ดันคล้ายกัน ต่างกันที่เสื้อของผมเป็นสีขาวส่วนของมันเป็นสีดำเท่านั้น ดูแล้วเหมือนเราใส่ชุดคู่ยังไงยังนั้น
“มึงก็ตื่นเช้าจัง”
ตื่นเช้าเหรอ? อันที่จริงผมยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก ‘เดทแรก’ คำเดียวทำผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
“กินไรมายัง”
“ยัง รอกินพร้อมมึง”
“งั้นรอเดี๋ยว” ผมเดินไปหยิบนมสองกล่องในตู้เย็น ดื่มคนละกล่องน่าจะพอรองท้องได้
“อ่ะ นี่”
แล้วบทสนทนาก็จบลงดื้อๆ ความเงียบเข้าปกคลุม เราดื่มนมกันเงียบๆ ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาดื่มไม่มีเสียงพูดคุย ผมคิดว่าคงเป็นผลมาจากสถานะใหม่ของเราตอนนี้
ทั้งที่เมื่อวานยังทำตัวกันปกติแต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงต่างคนต่างกลับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มคุยกันตรงไหน แม้แต่ขยับตัวยังเคอะเขินไปซะหมด
"หาว/หาว" เสียงแรกหลังจากเงียบไปนาน ผมอ้าปากหาวหวอด คนข้างๆ ก็เช่น
"ง่วงเหรอ" มันเริ่มพูดก่อน
"อื้อ นอนไม่ค่อยหลับ มึงล่ะ"
"เหมือนกัน" มันเว้นช่วง สบตาผม "กูคิดถึงมึงทั้งคืน"
หน้าผมร้อนผ่าว ใจเต้นตึกตัก ไม่ชินทุกครั้งที่มันพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้
ไม่ใช่ไม่ชอบ
แต่มัน...
เขิน
"...เลี่ยนสัส"
"เลี่ยนแล้วชอบไหม"
"ไม่โว้ย!" โว้ยวายกลบเกลื่อน
"ไม่ชอบแล้วเขินทำไม"
"ใครเขิน"
"แก้มแดงแปร๊ดยังจะโกหก" มันว่า มือหยิกแก้มผมเบาๆ จะไม่ชอบความขาวของตัวเองก็ตอนนี้แหละ
"พอได้แล้ว" ผมหน้ามุ่ย
การหาวเมื่อสักครู่ถือเป็นการละลายพฤติกรรมของเราได้เป็นอย่างดี มันกลับมากวนผมเหมือนเดิมแล้ว กลับมาพร้อมกับคำพูดเลี่ยนๆแต่ฟังที่ไรก็อดเขินไม่ได้จนต้องเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนจะเสียอาการไปมากกว่านี้
"แล้ววันนี้จะพากูไปไหน"
"อืม...งั้นไปกันเลยดีกว่า" มันตอบไม่ตรงคำถามหรือผมถามไม่ตรงคำตอบ แต่ก็นั้นล่ะครับไม่มีเวลาให้ได้ถามอะไรอีก มันจับมือผมเดินออกจากห้อง ขับรถออกจากหอไม่ลืมแวะทานอาหารเช้าที่ร้านใกล้ๆมอ ระหว่างนั้นมันก็ไม่ได้พูดถึงแพลนหรือสถานที่เดทในวันนี้ แต่เดาว่าคงไม่มีอะไรต่างจากเดทของวัยรุ่นทั่วไป
“สาธุ”
สิ้นเสียงบทสวดภาษาบาลี ผมประนมมือยกขึ้นเหนือหัวพลางเหลือบมองคนข้างๆ
เดินห้าง กินข้าว ดูหนังคือเดทแรกของวัยรุ่นทั่วไปแต่ไม่ใช่สำหรับช้อป เดทแรกของเราเริ่มต้นด้วยการทำบุญถวายสังฆทาน แปลกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าช้อปมันจะพามาที่นี่ จะมีวัยรุ่นสักกี่คู่เดทกันที่วัด แต่ถือเป็นเรื่องดีเพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้เข้าวัดทำบุญ
“คิดยังไงถึงพามาทำบุญ” ผมว่าพลางเปิดถุงพลาสติกเทปลาช่อนตัวเขื่องสองตัวลงในแม่น้ำ
“หัดเข้าวัดซะบ้างไม่ใช่เข้าแต่ร้านเหล้า”
“เออ! กูมันคนบาป”
“รู้ตัวด้วย”
“ไอ้เชี่ยช้อป!” จะแก้ให้สักหน่อยก็ไม่ได้
“ล้อเล่นครับล้อเล่น ปะๆ เราไปที่อื่นต่อกันดีกว่า”
เราออกจากวัดกลับเข้าในตัวเมือง สถานที่ต่อไปคือห้างใหญ่ใจกลางเมืองแหล่งรวมตัวของวัยรุ่น รถบนถนนยังหน้าแน่นเหมือนทุกวัน กว่าจะแทรกตัวถึงที่หมายและหาที่จอดรถได้ก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
ห้างแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก ใช้เวลาเดินเท้าแค่สิบนาทีก็ถึง ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักศึกษา
นักศึกษาหลายคนรู้จักผมในนามเดือนวิศวะและแน่นอนว่าทุกคนต้องรู้จักช้อปด้วย ผมหยิบหมวกแก๊ปที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาใส่ จำเป็นต้องพรางตัวนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ใครจำได้
ถึงจะไม่มีใครสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา แต่ตอนนี้ผมกับช้อปคบกันแล้ว เราอยู่ในสถานะแฟนและช้อปมันก็เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของผมมากขึ้นด้วยการจับมือ ถ้ามีใครเห็นเข้าต้องรู้แน่ว่าเราเป็นอะไรกัน
เคยได้ยินว่าสาเหตุหลักที่ทำให้คนรักร่วมเพศเลิกกันไม่ได้เกิดจากคนสองคน แต่ส่วนใหญ่เกิดจากคนภายนอก ผมยังไม่อยากให้ใครรู้จนกว่าจะมั่นใจว่าผมสามารถรับมือกับสายตาที่มองมาได้ ผมไม่อยากให้สายตาพวกนั้นมีอิทธิพลกับผม ผมไม่อยากเลิกกับช้อปด้วยเหตุผลนี้
“จะไปไหน” ผมเ่ยถาม
พอเข้ามาในตัวห้างช้อปมันก็จับมือตรงขึ้นบันไดเลื่อนทันที
“ถึงแล้ว เดี๋ยวก็รู้เอง” มันหันกลับมายิ้ม ตอบเพียงสั้นๆ และจูงมือผมเดินต่อ ผมไม่ได้ถามอะไรมันอีกเพียงเดินตามหลังเงียบๆ
มันพาผมเดินแหวกฝูงชนขึ้นมาที่ชั้นสามของห้าง ชั้นนี้ถูกจัดไว้เป็นชั้นสำหรับสินค้าไอทีโดยเฉพาะ ตอนนี้เรายืนอยู่หน้าร้านจำหน่ายสินค้าไอที่ชื่อดังร้านหนึ่ง
“นี่มึงจะซื้อให้กูจริงเหรอ”
“จริงสิ กูสัญญากับมึงแล้วไง”
มันพูดถึงสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวานนี้ว่าถ้าผมหายโกรธมันจะซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่อยากได้ให้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะซื้อให้จริง
“มึงไม่ต้องซื้อให้กูก็ได้นะ”
“ทำไมล่ะ มึงอยากได้ไม่ใช่เหรอ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
“ก็อยากได้ แต่กูไม่อยากเอาเปรียบมึง” เมื่อคืนผมนอนคิดดูแล้วว่าไม่รับจะดีกว่า ครั้งที่แล้วกีตาร์ตัวละหลายหมื่นครั้งนี้คอมฯ ราคาเป็นแสน ผมยังไม่เห็นเหตุผลที่มันต้องเสียเงินมากมายเพื่อเอาใจผม
อีกอย่างที่ผ่านมาผมจะเป็นฝ่ายเปย์แฟนเสมอ กลับกันตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายถูกเปย์ซะเอง เป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ชินสักเท่าไร
“เอาเปรียบ?”
“มึงให้กูตั้งหลายอย่างแต่กูไม่เคยให้อะไรมึงเลย”
“มึงไม่ต้องคิดมาก กูให้เพราะกูอยากให้”
“แต่…”
“กูเคยบอกแล้วไง แค่มึงยอมเป็นแฟนกูก็คุ้มมากแล้ว” เหตุผลของมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี เหมือนว่าผมยอมตอบตกลงเพราะของพวกนั้นทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่
“มึงรับไปเถอะนะ” คะยั้นคะยออยากเสียเงินเนี่ยนะ แปลกคนจริงๆ
“ไม่เอากูไม่รับ”
“งั้นบอกเหตุผลมาก่อนว่าทำไม”
เหตุผลมีอยูในใจแล้วเหลือแค่รวบรวมความกล้าพูดมันออกไปเท่านั้น
เอาวะ ถ้าไม่พูดให้เข้าใจมันคงไม่ยอมง่ายๆ
“ช้อป มึงรู้ไหมว่ากูยอมคบกับมึงเพราะอะไร” มันส่ายหน้า เรื่องที่ควรรู้กลับไม่รู้ “เพราะกูรักมึงไง มึงบอกว่าคุ้มที่ได้คบกับกูแต่สำหรับกูแม่งโคตรคุ้มที่ได้คบกับมึง”
หากวัดกันที่ความคุ้มค่าผมคงเป็นคนที่คุ้มที่สุด นอกจากพ่อกับแม่แล้วจะมีใครดูแลผมได้ดีเท่ากับมัน
มันนิ่งไปสักพักก่อนยื่นหน้ามองสำรวจผมใกล้ๆ เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่มึงเป็นใคร” มันประกบมือที่ข้างแก้มพยายามใช้นิ้วโป้งสองข้างง้างปากผม “แอบกลืนแฟนกูเข้าไปใช่ไหม คายออกมาเดี๋ยวนี้”
“พอเลย...” ผมยู่หน้าแกะมือมันออก "มึงแม่ง"
“แน่ใจนะว่าไม่เอา”
“อื้อ” ผมตอบเพียงสั้นๆ แอบเสียดายแต่ไม่อยากเอาเปรียบมัน เอาไว้ค่อยเก็บซื้อเองก็ได้ เครื่องที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ยังดีแถมยังได้โน๊ตบุ๊คตัวใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งเครื่อง แค่นี้ก็ไม่รู้จะใช้เครื่องไหนก่อนดี
เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน เราจึงหันหลังให้ร้านเดินออกจากชั้นสินค้าไอทีกลับมาที่ชั้นขายสินค้าทั่วไป ตลอดทางที่เดินลงมา ผมแอบสังเกตสีหน้าคนข้างๆ เป็นระยะ ตั้งแต่ที่เดินออกจากร้านจนถึงตอนนี้มันยังไม่หุบยิ้มเลย มันยิ้มซะผมกลัวว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะหาว่ามันบ้า
“มึงจะยิ้มอะไรนักหนา” ไม่มีคำตอบใดๆ มีเพียงรอยยิ้มแบบเดินส่งกลับมา
“ช้อป...เลิกยิ้มได้แล้วกูอายเขา” ผมดึงแขนมันให้หยุด
“ทำไมต้องอายด้วย” ยังมีหน้ามาถามอีก
“เดินไปยิ้มไปเดี๋ยวเข้าก็หาว่าบ้าหรอก”
“หล่ออย่างกูไม่มีใครคิดว่าบ้าหรอก” มันว่าพลางฉีกยิ้มแล้วเดินต่ออย่างมั่นใจ
เอากับเขาสิครับ นอกจากบ้ายังหลงตัวเองอีก ผมจะทำยังไงกับไอ้แฟนคนนี้ดี
เมื่อผมไม่อาจหยุดยั้งความมั่นใจที่สูงลิ่วของแฟนตัวเองได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้มันเดินยิ้มโชว์ฟันขาวกับหน้าหล่อของมันต่อไป
หลังจากที่ผมปฏิเสธการรับชุดแต่งคอมฯ จากช้อปทำให้แพลนในช่วงสายที่มันวางไว้ว่างไป กว่าจะถึงเวลาที่มันจองร้านอาหารไว้ก็อีกสองชั่วโมงกว่าได้ เรายืนตกลงแผนใหม่กันครู่หนึ่งก่อนจะได้ข้อสรุปว่าเราจะเดินเล่นและช้อปปิ้งเพื่อฆ่าเวลา
“ตัวนี้เข้ากับมึง”
มันเดินนำเข้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง หยิบเสื้อเชิ้ตลายทางทาบบนตัวผม
“งั้นเอาตัวนี้นะ” มันว่าแล้วถือเสื้อตัวนั้นเดินไปราวถัดไปโดยไม่รอความเห็นจากผม
“ตัวนี้ก็สวย” เสื้อตัวที่สอง สามและสี่ตามมาติดๆ ผมทำได้เพียงยืนนิ่งเป็นหุ่นโชว์ให้มันลองชุด ตัวไหนที่ใช่จะถูกเลือกไว้ส่วนตัวที่ไม่ใช่จะถูกแขวนกลับที่เดิม
ช้อปเป็นคนค่อยข้างมีเทสทางด้านแฟชั่น เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่มันเลือกค่อนข้างสวยและเข้ากับลุคผมได้ดี ที่สำคัญยังตรงตามสไตล์ที่ผมชอบด้วย
อย่างที่บอกว่าโคตรคุ้ม ได้แฟนแถมยังได้สไตล์ลิสต์ส่วนตัว
“ทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยบาทค่ะ” พนักงานสาวผายมือไปที่ตัวเลขบนจอ ผมอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะล้วงกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกางเกงออกมา ถึงจะแพงไปสักหน่อยแต่ช้อปมันอุตส่าห์เลือกให้
ผมหยิบบัตรเครดิตในกระเป๋าส่งให้พนักงาน แต่ก่อนที่บัตรของผมจะถึงมือพนักงานก็ถูกตัดหน้าด้วยบัตรอีกใบของคนข้างๆ
“อะไรของมึงวะ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ทั้งที่ตกลงกันแล้วแต่มันกลับยื่นบัตรเครดิตของตัวเองให้พนักงาน
“ร้านนี้เขาจัดโปรฯ คู่รัก ใช้บัตรกูแล้วได้ส่วนลด ใช่ไหมครับ” มันหันไปถามความคิดเห็นของพนักงานสาว
“คะ! ชะ...ใช่ค่ะตอนนี้ร้านเรามีโปรโมชั่นคู่รัก” เธอรีบยืนยันคำพูดของแฟนผมทันที
“เห็นไหมล่ะ” พูดจบมันก็รับถุงเสื้อผ้ากับบัตรเครดิตเดินออกจากร้าน ทิ้งผมไว้กับความสงสัยต่อหน้าพนักงานสาวที่กำลังอมยิ้มบิดตัวไปมาจนช้อปต้องเดินกลับมาจูงมือผมเดินออกจากร้าน
ทั้งสองคนไม่ได้รวมหัวกันโกหกผมใช่ไหม
“มึงโกหกกูใช่ไหม”
“…”
“ช้อป!” ผมรั้งมือคนที่กำลังทำหูทวนลมให้หยุดเดิน มันสบตาก่อนพยักหน้ายอมรับผิด
“กูคิดว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
“รู้...”
“แต่ก็ยังทำ”
"..." ถ้าพูดแล้วยังไม่เข้าใจสงสัยคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู
“เอากระเป๋าตังค์มึงมา” ผมแบมือขอกระเป๋าตังค์ของมัน มันเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมล้วงกระเป๋ากางเกงส่งสิ่งที่ผมขอมาให้ ผมรับมาแล้วเปิดนับเงินในนั้น เงินสดมีอยู่สามพันห้า
“บัตรนี่วงเงินเท่าไร” ผมชูบัตรเครดิตใบเดียวกับที่มันเคยใช้รูดค่าเสื้อผ้าให้
“สองแสน” โอ้โห...เด็กมหาลัยวงเงินบัตรเครดิจสองแสน ส่วนของผมนะเหรอวงเงินห้าหมื่นใช้ชื่อแม่เป็นเจ้าของบัตรแถมยังต้องรายงานทุกครั้งที่ใช้อีก แต่อย่าไปสนใจบัตรวงเงินคนรากหญ้าอย่างผมเลย เรามาสนใจบัตรวงเงินสองแสนนี่ดีกว่า
“โอเค งั้นไปกันเลย”
“ไปไหน?”
“ชอบเปย์นักไม่ใช่เหรอ กูจะช้อปให้กระเป๋ามึงฉีกไปเลย”
ถ้าไม่ได้เสียเงินมันคงนอนไม่หลับ งั้นก็จัดให้เขาหน่อยละกัน
ผมเดินช้อปต่ออีกหลายร้าน ได้เสื้อผ้าและรองเท้าผ้าใบเพิ่มมาอีกสามคู่ กะจะลองหยิบคู่แพงๆ ให้มันตกใจเล่นสักหน่อยแต่มันกลับหยิบคู่ที่แพงกว่ามาให้ซะงั้น สุดท้ายก็ได้ของติดไม้ติดมือมาอีกหลายอย่าง สิบเปอร์เซ็นต์คือของที่ผมเลือกเองส่วนอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเจ้าของบัตรเลือกให้
ดูท่าว่าการเลือกของแพงจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด
บ้านมึงผลิตแบงก์หรือไงวะ
เดินช้อปปิ้งกันจนเวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาของมื้อเที่ยง ช้อปเดินนำผมออกจากห้างตรงไปร้านอาหารที่จองไว้ใกล้ๆ
ใช้เวลาแค่ห้านาทีก็มาถึงร้านซูชิ Omakase ชื่อดังของย่านนี้ ผมได้ยินชื่อเสียงร้านนี้มาสักพักแต่ยังไม่มีโอกาสได้มาลิ้มลอง
เรายืนอยู่หน้าร้านที่จัดตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นโมเดิร์น พนักงานสาวในชุดกิโมโนลายดอกซากุระสีชมพูเดินออกมาต้อนรับก่อนพาเราไปนั่งรอที่ด้านใน
“มึงรออยู่นี่นะ กูจะออกไปทำธุระแป๊บเดียวเดี๋ยวรีบกลับมา” ยังไม่ทันที่ก้นจะแตะเก้าอี้ช้อปมันก็ขอตัวออกไปทำธุระ ออกไปโดยไม่ได้บอกว่าธุระที่ว่าของมันคืออะไร
ส่วนผมนั่งรอได้สักพักก็นึกอะไรออกจึงเดินไปหาพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ ฝากให้เธอช่วยดูแลข้าวของที่ซื้อมาก่อนเดินออกจากร้านกลับเข้าไปในตัวห้าง
วันนี้ช้อปมันซื้อของให้ผมหลายอย่างแต่ผมยังไม่ได้ให้อะไรมันกลับเลยแม้แต่อย่างเดียว ผมคิดว่าถ้าออกไปตอนนี้ก็น่าจะพอมีเวลาหาซื้อของขวัญให้มันได้ทัน
แต่ที่ยากกว่าการทำเวลาคือผมยังคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไร เสื้อผ้า? รองเท้า? แต่ผมว่าไม่ทั้งคู่เพราะถ้ามันอยากได้คงซื้อพร้อมกับตอนที่จ่ายเงินให้ผมแล้ว
ผมเดินผ่านร้านหลายร้านพยายามมองหาของที่เหมาะกับมันแต่แม่งโคตรยากเลย ผมเคยซื้อของขวัญให้ผู้ชายซะที่ไหน นอกจากซื้อเหล้าเป็นของขวัญวันเกิดให้ไอ้แทนกับไอซ์ก็ไม่เคยซื้อให้ใครอีก
“ชอบไหม”
“เธอซื้ออะไรให้เค้าก็ชอบทั้งนั้นแหละ ขอบคุณนะ” ผมหันมองตามเสียง คู่รักชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินออกจากร้านขายเครื่องประดับ ฝ่ายชายเอ่ยถามหลังจากสวมสร้อยข้อมือให้แฟนสาว
สร้อยข้อมือ?
เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ผมไม่เคยเห็นช้อปใส่อะไรที่แขน แม้แต่นาฬิกาข้อมือผมยังไม่เคยเห็นมันใส่ ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อสร้อยข้อมือนี่แหละให้เป็นของขวัญสำหรับเดทแรก
ผมก้าวเท้าเข้าไปในร้านด้วยอาการประหม่า พนักงานสาวในชุดสูทกระโปรงดำเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ ต้องการอะไรสอบถามได้นะคะ”
“อะ...เอ่อ...สร้อยข้อมือครับ”
พนักงานยิ้มรับก่อนผายมือและเดินนำไปที่โซนเครื่องประดับสำหรับข้อมือ
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการใส่เองหรือสำหรับคนพิเศษคะ”
“แฟนครับ”
พูดจบเธอก็หยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาเส้นหนึ่ง
“ดิฉันแนะนำเส้นนี้ค่ะ สร้อยเส้นเล็กเหมาะกับคุณผู้หญิง”
“เอ่อ...คือ...ผมอยากได้ของผู้ชายน่ะครับ”
เธอยิ้มเจื่อนรีบวางสร้อยในมือลงก่อนหยิบสร้อยข้อมืออีกเส้นขึ้นมาแทน ดูก็รู้ว่าเธอกำลังตกใจที่ได้ยิน นี่แหละสาเหตุที่ผมยังไม่ยากเปิดตัวว่าคบกับช้อป
“ลูกค้าลองดูเส้นนี้แทนนะคะ” เธอส่งสร้อยอีกเส้นที่ถักขึ้นจากหนังสีดำขลับร้อยเข้ากับสเตนเลสสีเงิน ดูเรียบๆ ไม่มีอะไร แต่ผมว่าเรียบๆ นี่แหละเหมาะกับมันมากที่สุด
“งั้นเอาเส้นนี้ครับ”
“ลูกค้าต้องการเส้นนี้นะคะ” พนักงานสาวทวนคำก่อนเดินนำไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน
“ทั้งหมด 16,200 บาทค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าจะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรคะ” ราคาค่อนข้างสูงแต่ก็เหมาะสมกับชื่อเสียงของแบรนด์
“บัตรครับ” ผมแอบกลืนน้ำลายก่อนยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน คืนนี้คงได้นอนฟังเทศนาจากคุณนายแม่กันยาวๆ แล้วล่ะครับ
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณลูกค้า” บัตรเครดิตถูกส่งกลับมาพร้อมถุงกระดาษสีดำสกรีนชื่อยี่ห้อสีขาวโชว์หราอยู่ด้านข้าง ถ้าถือกลับไปแบบนี้ช้อปมันต้องเห็น มันคงสงสัยแล้วถามว่าคืออะไร ผมยังไม่อยากให้มันเห็น อยากเซอร์ไพรส์มันบ้างนะครับ
“เออ...ช่วยเอาออกจากกล่องแล้วเปลี่ยนเป็นถุงเล็กๆ แทนได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะได้ คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ” พนักงานคนเดิมหายไปสักครู่ก่อนเดินออกมาพร้อมกับถุงกระดาษเล็กๆ แบบนี้แหละครับมันจะได้ไม่สงสัย
“โอกาสหน้าแวะมาให้ทางเราบริการอีกนะคะ ขอให้มีความสุขกับคนพิเศษ ขอบคุณค่ะ” พนักงานสาวไหว้ขอบคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมยิ้มตอบแล้วเดินออกจากร้าน
ของชิ้นแรกที่ผมซื้อให้มัน
หวังว่ามึงจะชอบนะ