เรื่องแรก ● สุขสันต์วันเกิด (๒/๓)
ผมเอามือปิดตาตามสัญชาตญาณเมื่อแสงแดดจัดๆ ลอดผ่านผ้าม่านผืนบางมาแยงตา แต่พอลืมตาขึ้นมาแล้วก็เหมือนกับเป็นนิสัยประจำตัวที่ต้องควานหานาฬิกามาดูเวลา
11.45 สายโคตร… พอสำนึกได้ว่าสายป่านนี้ก็ไม่ควรจะนอนต่อแล้วล่ะ เลยลุกขึ้นมาจากเตียงทั้งๆ ที่ใจไม่ค่อยอยากเท่าไหร่ เพื่อไปแปรงฟันล้างหน้าให้เรียบร้อย
ปกติก็ไม่ได้มาบรรจงบีบยาสีฟันลงแปรงเนิบๆ แบบนี้หรอก แต่วันนี้ไม่รู้จะรีบทำไม เลยค่อยๆ พิจารณายาสีฟันซิสเทมม่ารสกล้วยเสียอย่างนั้น
หอมดีนะ… ผมชอบ
ผมจ้องตัวเองในกระจก เปิดน้ำจากก๊อกวักใส่กระจกที่ไม่ค่อยจะใสแล้วเอามือลูบเพื่อให้มันสะอาด ทั้งๆ ที่มืออีกข้างยังคงแปรงฟัน แต่ลูบไปยังไงก็ดูเหมือนกระจกนี่จะไม่ใสขึ้นมาสักนิด เพราะงั้นผมเลยแปรงฟันให้เสร็จๆ แล้วหยิบน้ำยาเช็ดกระจกใต้ซิงค์มาฉีดใส่กระจกเสียเยอะ ก่อนจะเดินออกไปหยิบเศษกระดาษเอสี่ทิ้งแล้วที่กองรกๆ อยู่ในห้องมาเช็ดน้ำยาออก
เออ… ใสละ
ผมยิ้มให้กับกระจกที่ใสปิ๊ง ก่อนจะถอดเสื้อแล้วเข้าไปอาบน้ำในที่สุด
12.33 น. ผมลงมาข้างล่างและพบว่าไม่มีคนอยู่…
มันเป็นปกติของบ้านผมล่ะ น้องชายไปเรียน แม่กับป๊าจะไม่ค่อยอยู่บ้านช่วงกลางวัน แต่บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่าง
ผมยิ้มอีกครั้งและเดินไปตักข้าวมากินคนเดียวที่โต๊ะอาหาร
อืม… เมื่อคืนผมเล่าถึงไหนนะ?
… ผมไม่ต้องไปเรียนที่ออสเตรเลียสินะ
ใช่ ผมไม่ต้องไปเรียนจริง
แต่ก็อย่างที่เห็นผมเพิ่งกลับจากออสเตรเลีย เพราะยังไงๆ ผมก็ต้องไป เนื่องจากคุณแม่น่ะสิดำเนินเรื่องการเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว ผมต้องไปขอเลื่อนคอสภาษาอังกฤษไปไว้ตอนซัมเมอร์
จริงๆ ทำเรื่องจากที่นี่ก็ได้อยู่นะ เพียงแต่วีซ่าผมก็ทำแล้ว ตั๋วเครื่องบินก็มีแล้ว แถมจาเลทก็รบเร้าบอกว่าจะชวนไปเยี่ยมพ่อที่นู้นด้วย
และเหตุผลที่สำคัญที่สุด
คือ
ผมอยากไปเที่ยว ก็บอกแล้วไงว่าที่นั่นน่ะเมืองในฝันของผม สรุปก็เลยไปมาสิบห้าวันอย่างที่เห็น อยู่ที่นู้นผมกินกาแฟต่างน้ำเลยล่ะ ผมชอบบรรยากาศ ชอบรสชาติกาแฟนี่!
‘กริ้งงงง ง กริ้งงงง ง กริ้งงงง ง’ โทรศัพท์บ้านผมดัง ผมชั่งใจอยู่นิดว่าจะรับดีหรือไม่ แต่สรุปก็รับนั่นแหละ เผื่อว่าใครมีธุระด่วน (มั้ง)
“ฮัลโหลครับ”
[ อยากฉลองหรือยังหือ? ] เสียงจาเลท ผมจำได้
“ม่ายยยย”
[ วันเกิดทั้งทีกะจะอุดอู้อยู่บ้านทั้งวันเลยเหรอ? ]
“หืมม~ เดี๋ยวนี้รู้จักใช้คำว่า
อุดอู้ นะ”
[ ภาษาไทยมีไว้ให้เรียนไง ] ปลายสายพูดและหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
“วันเกิดก็วันธรรมดานะจาเลท ขออยู่เงียบๆ บอกแล้วว่าติสแตก”
[ แต่มาแล้วนี่นา ]
‘ติ้งน่องงง ง~’ ผมเปิดเดินไปแง้มม่านดู ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเดินกลับมากรอกเสียงลงในโทรศัพท์
“จะเข้าก็เข้ามาเลย กดกริ่งทำไม 3 บาทนะ มันเปลือง!” สาบานเถอะ ว่าผมได้ยินปลายสายหัวเราะด้วยล่ะ
ไม่นานจาเลทก็เปิดประตูกระจกเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาดใจเหมือนเดิม ส่วนผมก็ยังนั่งกินข้าวอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงบ๊อกเซอร์ที่โต๊ะอาหาร
“อย่าพูดถึงเรื่องวันเกิด ห้ามแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ห้ามมีของขวัญ” ผมพูดดักคอ และคนที่เดินเข้ามาใกล้ก็ทำหน้างงเสียเต็มประดา ผมไม่ตอบอะไรแค่ยักไหล่กลับไปให้เท่านั้น
“ติสแตกจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย?” เขาถาม และผมพยักหน้าจริงจัง “ก็ได้ครับก็ได้ ไม่พูดเลย”
“ดีมาก”
ผมไล่จาเลทไปดูหนัง ส่วนผมก็ยกแลปทอปเพื่อนตายลงมาเปิดเล่นข้างๆ หมอนั่นน่ะแหละ แอบสงสารนิดนึง อุตส่าห์มาแล้วนี่นะ
ไม่รู้อะไรดลใจให้เปิดเฟสบุคขึ้นมา
อาจเป็นเพราะก่อนนอนเมื่อคืน หน้าไทม์ไลน์ของผมมันขึ้นว่า
‘วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ’
ก็ได้ละมั้ง…
แล้วก็อย่างที่คาดเลย เป็นร้อยการแจ้งเตือนที่ไม่ได้อ่าน
มีคอมเม้นอวยพรวันเกิดเข้ามา บางคนเป็นเพื่อนเก่าที่สนิทหน่อย ก็จะมาแบบยาวทำให้ผมยิ้มออกบ้าง
บางคนเป็นเพื่อนสมัยมัธยมแบบไม่สนิทมาก ก็อาจพ่วงท้ายว่าคิดถึง
บางคนก็มาสั้นๆ แค่
HBD จนผมต้องถามในใจว่า
‘เพื่ออะไรวะ?’ ยิ่ง
ฮปบด. นี่นะ อยากจะถามกลับเหลือเกินว่า
‘เพื่อนส้นตีนอะไรครับ’ และส่วนมากไอ้แค่ HBD นั่นคือผมไม่รู้จัก ผมก็เลยกดเข้าไป …
unfriend ลดประชากรคนแปลกหน้า
เยี่ยม! (กูรับแอดมันแต่แรกทำไมไม่รู้สิ -_-)
แต่ก็มีบางคอมเม้นก็ทำผมตื้นตันจริงๆ เช่น
‘เจเคโรวเลอร์ ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่เลือก พระเจ้าอวยพร ไว้จะร้องเพลงให้ฟังถ้ามาตึก’ พี่แกเป็นพี่ว๊าก ที่ตั้งชื่อในคณะให้
เจเคโรว์เลอร์นั่นล่ะ
และวันที่พี่เค้าเฉลยว๊าก จำได้ว่าไปนั่งแกล้งให้พี่แกร้องเพลงให้ฟัง ข้อหาที่ตอนว๊ากชอบให้ผมวิดพื้นนักหนา
แต่ผมไม่คิดว่าพี่แกจะจำได้ไง ... ผู้ชายเถื่อนๆ ไม่ได้เจอกันนานมาก
ชื่อรองที่เป็นชื่อในคณะ ผมก็ลบออกไปจากหางเฟสบุคแล้วตั้งแต่ซิ่วออกมา
หึ พี่แม่งละเอียดอ่อนเหมือนกันนี่หว่า ... พอเห็นคนโพสอวยพร (เหรอ? กูเห็นแต่ตัว HBD เต็มไทม์ไลน์) เยอะแยะ
ผมก็เลยเกิดอาการคันไม่คันมืออยากจะตอบขึ้นมา สุดท้ายเลยไล่ตอบตั้งแต่โพสแรกเลยครับ
ถ้าเป็นคนอื่นเค้าก็คงจะแค่
‘ขอบคุณครับ/ขอบคุณนะ/ขอบใจ’ หรือไม่ก็อะไรประมาณนี้
แต่นี่ใครครับ?
นิทานนะครับ นิทาน ผมตอบไม่ซ้ำกันสักประโยค ให้รู้ไปเลยว่าตั้งใจตอบ โดยเฉพาะคนที่คอมเม้นแค่
‘HBD’ นี่ ผมยิ่งตั้งใจตอบเป็นพิเศษ พิมพ์ยาวเกือบสองบรรทัด ถ้าอ่านตามใจความแล้วมันก็ดูว่าผมไม่ได้กวนตีนหรอกครับ เพราะผมพูดดีจริงๆ
แต่ไอ้คนที่ดูหนังแล้วหยิบไอโฟนมาส่องเฟสบุคผมเนี่ย มันนั่งขำอยู่
คงรู้แหละว่าผมตั้งใจตอบยาวๆ ดีๆ เพื่อเป็นการกวนตีนคำอวยพร (เหรอ?) ที่ว่าด้วยตัวภาษาอังกฤษ 3 ตัว
H-B-D นี่คืออีกสาเหตุที่ผมเกลียดคำว่า ‘มารยาท’ เพราะการทำตามมารยาทอย่างไม่ได้เต็มใจ มันน่าทุเรศกว่าคนไม่มีมารยาทอีกนะครับผมว่า…
15.32 น. “จะไปไหนน่ะ” จาเลทเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อเห็นผมเดินลงมาจากบนบ้าน และตอนนี้ผมเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวที่ดูดีกว่าเดิมหน่อย กางเกงจากบ๊อกเซอร์ก็เป็นสามส่วนแทน แล้วก็ผมประบ่าที่เมื่อกี้ยังปล่อยเซอร์ถูกหวีให้ดเรียบร้อยขึ้น (คิดว่างั้นนะ) แถมหอบกระดานวาดรูปอันเบ้อเร้อ
“วัด” ผมเดินไปปิดแอร์ ล๊อคประตูหลังบ้าน ยัดโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งเปิดเพื่อจะฟังเพลง (แต่ไม่เปิดสัญญาณ) ลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินมาฉีกกระดาษสมุดออกมาเขียนโน้ต
‘ไปวาดรูปมั้ง ไม่รู้กลับกี่โมงไม่ต้องรอกินข้าวนะ อาจไปนอนบ้านเพื่อนด้วยบางที’ “จะไม่กลับเหรอ” คนที่ยืนซ้อนข้างหลังก้มมาดูผมเขียนโน้ตแล้วเอ่ยปากถาม
“ไม่รู้สิ” ผมตอบแค่นั้นแล้วก็เดินนำออกไป
ผมเลือกจะมาสตาร์ทรถมาสด้าของตัวเองมากกว่าจะรอให้อีกคนสตาร์ทมินิคูเปอร์
จาเลททำหน้างงเดินมาเปิดประตูฝั่งที่ผมนั่งอยู่
“เดี๋ยวขับให้” แต่ผมส่ายหัวและตอบกลับไป
“เอาไปคนละคัน” “โกรธอะไรกันหรือเปล่า” เค้าถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เปล่านะ แค่อยากขับรถเล่นคนเดียวน่ะ” เขาไม่ถามอะไรต่อ แต่ก็ยังคงทำหน้าไม่เข้าใจ และยังยืนตากแดดอยู่อย่างนั้น
“ไม่ใช่ว่าไล่หรอกนะ ไปด้วยกันได้ แค่เอารถไปคนละคันนี่ ไม่เป็นไร
ใช่มั้ย?”
สุดท้ายเค้าก็พยักหน้า… ไม่รู้ว่าเข้าใจ หรือว่ายอมแพ้กันแน่
เจอกันพาร์ทจบ (๓/๓) ค่ะ
เอ่อ... จริงๆ จะให้มี ๒ พาร์ทแหละแต่เขียนเพลิน ๓ เลยแล้วกันนะ
บางทีคนอ่านอาจงง นี่มันนิยายแนวไหน (วะ) เนี่ย?
พิวส์ก็หาคำจำกัดความไม่ได้เหมือนกันค่ะ -______-; คือมันออกจะอินดี้ๆ อาร์ตๆ อยู่สักหน่อย
แต่ไม่ใช่ไม่มีจุดมุ่งหมายนะ ทุกๆ อย่างจะเคลียในพาร์ท ๓
( คิดว่าเคลียร์นะ -0- )
ไม่แปลกใจที่ไม่ค่อยมีคนเม้น นิยายเรื่องนี้อาจห่วยมากก็ได้ ๕๕๕๕๕๕ ๕
แต่พิวส์ชอบมากๆ เลยนะ อยากรู้ว่าทำไม ต้องติดตามทอล์คพาร์ท ๓ ค่ะ
มารยา ♥