หมายเหตุ*
เนื้อหาของช่วงปฐมบท ไม่ใช่ช่วงต่อกับเนื้อเรื่องหลักค่ะ================
“พันวัง…” มือซูบซีดจนหนังติดกระดูกยื่นออกมาด้านข้าง กระสีดำเข้มกระจายอยู่ทั่วผิวหนังเหี่ยวย่นราวกับปานสูบชีวิตที่เหลือน้อยลงไปทุกที เจ้าของนามขยับตัวเข้าใกล้ตั่งเตียงสีแดงคล้ำ ลายรักสีทองดูหม่นหมองลงไปยามแสงตะวันนอกหน้าต่างดับมืดพร้อมๆกับเมฆฝนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมท้องฟ้า บันดาลให้ทุกสรรพสิ่งใต้หล้ากลายเป็นสีดำหมอง
“พัน…วัง….” สุรเสียงแหบทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาอีกคราหนึ่ง ครั้งนี้คนฟังรีบฉวยมืออ่อนแรงนั้นไว้ได้ทัน
“ข้าอยู่ตรงนี้..” น้ำเสียงนั้น..แทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึกใดๆ “..เจ้าพ่อ..”
ผู้เป็นบิดาไร้เรี่ยงแรงแม้แต่จะเปิดเปลือกตา หูฟ้าฟางยินถ้อยคำเช่นนั้นกลับแสนพร่าเลือน..แต่สัมผัสอุ่นๆที่ตัวเองยังพอรับรู้ได้ว่าบุตรชายคนเดียวของตนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ริมฝีปากคล้ำเข้มหยักยกขึ้นมา
“พันวัง…” แหบแห้งเหมือนทรายที่แห้งผาก “…เจ้า…ยังจำได้อยู่รึไม่…?”
“อะไรรึขอรับ?”
“หน้าที่ของเจ้า…แค่ก!”
ครั้งหนึ่งกระแอมกระไอจนตัวโยน ร่างผมซูบแทบจะหักไปพร้อมๆกับอาการโคลงอย่ารุนแรงนั่น เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย..แต่ก็ขืนตัวเองไม่ให้เผลอผลันไถลไปไหนไกล
นายรับใช้รีบช้อนกระโถนเหล็กนิลขึ้นรับหมากเลือดที่อาเจียนออกมาครั้งหนึ่ง ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ..ไม่มีใครเปล่งเสียงใด ไม่แม้แต่เสียงลมหายใจ
…ด้วยวาระหนึ่งในผู้ครองเรือนคนสำคัญใกล้วายชีวี
ดวงหน้าสวยพยักรับคำขานนั้น และเอื้อนเอ่ยวลีต่อไปด้วยเป็นสิ่งที่ถูกบังคับให้ท่องจำจนขึ้นใจมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์
“รับใช้จ้าว..” คำสอนนั้นช่างขมขื่น
“..ตราบเท่าชีวิต” กัมปนาทหนึ่งแล่นผ่านฟ้า ส่งเสียงดังกระหึ่มจนคบไฟที่จุดไว้ไหววูบ ดวงตาสีทองอ่อนเหลือกลืมขึ้นมองใบหน้าของบุตรชายคนเล็ก แต่ภายในไม่ได้ฉายภาพใดๆ แม้นพยายามเพ่งมองแค่ไหนแต่ก็เห็นเพียงสีขาวโพลน
“หน้าที่เรา…”
มือที่แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงนั้นยื่นมาแปะที่แผ่นอกแบนราบ สั่นพร่าจนสะเทือนมาถึงภายใน
..ราวกับปฏิญาณที่กรีดลึกลงในเนื้อดวงใจ
“…จำไว้…ให้มั่น…” ...นั่นเป็น…สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้…จากเมื่อหลายปีก่อน…
หนึ่งชีวิตหวนกลับสู่พื้นผืน
หนึ่งดวงใจหวนคืนสู่สายธาร
ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๑-
“น้องพันวัง!” ดวงหน้าหวานเหลือบสายตาขึ้นไปตามเสียงเรียกจากบนเรือนหนึ่งครั้ง และเมื่อสบกับดวงตาสีอำพันระริกระรี้ของคนเบื้องบน พลันให้นึกคลางใจกับรอยยิ้มทะเล้นที่ฉายชัดลงมาจนจับพิรุธได้
คนถูกเรียกผ่อนลมหายใจ
“จ้าวพี่โคจร จะเล่นสนุกอะไรอีกรึขอรับ?”
“มาทางนี้เถิด” จ้าวบ้านหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ยังมิวายกวักมือเรียกพัลวัน “อ้ายแสนตาจะถึงอีกมิช้านาน เจ้ากับข้าต้องรีบเตรียมตัว”
คนฟังเลิกคิ้ว ทวนคำขึ้นมาทันที “เตรียมตัว?”
“อย่ามัวแต่ถามเช่นนั้นอยู่เลย ขึ้นเรือนมาก่อนเถอะน่า”
“แต่..แต่ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก” หนุ่มน้อยกล่าวตอบ พยักเพยิดมาทางกระจาดปลาตากแห้งในอ้อมแขน “ขบวนอ้ายพี่แสนตาจะถึงอีกมิช้านานดั่งคำจ้าวพี่ว่า เช่นนั้นงานครัวยิ่งหนักนัก มิมีเวลาเที่ยวเล่นกับท่านอยู่ดอก”
คู่สนทนาเบ้ปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ที่ไม่ว่าใครจะมองก็นึกขันกันเสียทุกตัว
มีหลายเหตุผลที่ว่าคือไม่ว่าใครในบ้านเป็นอันต้องหาว่าเขาคึกคะนองเกินกว่าเหตุทุกครั้งไป ก็จริงครึ่งหนึ่งที่ ‘โคจร’ ผู้ครองเรือนหนุ่มอาจจะมีกิริยาที่ดูไม่น่าเคารพเท่าไหร่ไปบ้าง จ้าวหนุ่มอารมณ์ดีที่ขยันหยอดหยอกล้อและแสนขี้เล่น แต่ถึงขนาดเที่ยวเล่นไปทั่วมิรู้จักเวล่ำเวลาสักที่ไหน
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่า ข้ามิได้เล่นสักหน่อย”
“ท่านไปเตรียมตัวเทอด ทำเช่นนี้อีกมินานอ้ายอินทรต้องดุข้าแน่”
“ผู้ใดกล้าดุน้องข้า” ชายหนุ่มยืดอกขึ้น แกล้งชี้มือไปรอบๆลานอย่างคาดโทษ “ข้าจักเฆี่ยนเสียให้เข็ด”
พันวังถอนหายใจ ระหว่างที่คนอื่นในบริเวณหัวเราะคิกคักไปตามประสา กิริยาหยอกเย้าเช่นนี้ช่างน่าหมั่นไส้นัก
“รังแกข้าเช่นนี้ สนุกมากงั้นรึ?”
“เอาเถอะน่า” อีกครั้งที่ต้องกวักมือเรียก พร้อมรอยยิ้มทะเล้นเริงร่าจนเกินพอดี “ข้าบอกให้เจ้าขึ้นมาก็ขึ้นมาเทอด อย่าให้ต้องลงไปอุ้มขึ้นมาเหมือนครั้งที่แล้ว….”
“อ้ายพี่โคจร!!”
“จะหน้าแดงทำไมกันเล่า คนเขาก็รู้ทั่วบ้านทั่วเมืองกันหมดแล้วว่าเจ้ากับข้าน่ะ….”
“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงแหบหวานประกาศกล่าว รีบกุลีกุจอวางกระจาดลงบนแคร่หนึ่งใกล้ตัว “ปากท่านคู่ควรกับตีนข้ามิแคล้ว นับหนึ่งถึงสิบได้โดนดีแน่”
“เฮ้ย อะไรกันเล่ายอดรัก หยอกเล่นแค่นี้ต้องถึงมือถึงตีนเชียวหรือ”
“ถ้ามิคิดหนีเดี๋ยวนี้ก็จงเตรียมรับมือไว้เลยขอรับ!”
ร่างผอมบางสะบัดเท้าเตรียมก้าวขึ้นบันได ในขณะที่เสียงหัวเราะทุ้มแหบยังดังไปทั่วทั้งเรือน แม้ว่าจะเดินไปที่แห่งใดก็มีอันต้องหลบตาแก้มระเรื่อขึ้นทุกครั้งไป ไอ้ความจริงที่ว่าเราชาว ‘จระเข้’ คลาดแคลนเพศเมียนั่นมันก็ใช่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศกับใครต่อใครเสียหน่อยว่าเป็น ‘นายบำเรอ’ !!
…ถึงทุกคนเขาจะรู้กันแล้วอย่างที่อีกคนว่าก็เถอะ… ไม่นานเท้าบอบบางก็ลากตัวเองขึ้นมาจนกระไดขั้นสุดท้ายได้สำเร็จ ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆชานเรือนอย่างมุ่งมั่น..ไม่เห็นคนกวนประสาทแม้แต่เงา เพียงเสียงหัวเราะคิกคักก็ยังดังลอยมาตามลมคล้ายเพิ่งจากไปได้ไม่นาน
และยังไม่ทันจะเอ่ยปากถามใคร หนึ่งบ่าวก็ชี้ไปที่เรือนใหญ่ด้านในสุด
“จ้าวโคจรกลับห้องไปแล้วขอรับ”
“กลับห้อง?”
คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนถอนหายใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกมาด้วยให้รู้แล้วรู้รอด
…วางแผนเล่นตลกอันใดอีกเล่า จ้าวพี่โคจร!? ใจหนึ่งก็หงุดหงิดจนแทบเป็นบ้า…ส่วนอีกใจกลับหวั่นไหวรุนแรงกับกิริยาชวนให้คิดไปเองของนายเหนือหัวซะเหลือเกิน ก็จริงที่ตนเป็นหนึ่งในขบวนแห่นายบำเรอของท่านจ้าวที่ว่า แต่ก็อดคิดไปเองมิได้ว่าอีกฝ่ายท่าทางจะเอ็นดูเขามากที่สุด…ด้วยอยู่กันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จนแทบไม่มีช่วงเวลาใดที่ไม่เห็นหน้าค่าตาอีกคนเสียด้วยซ้ำ
ผู้เป็นนายใช้กิริยาวาจาเช่นนี้เพื่อซื้อใจบ่าว..เป็นเช่นนี้มาช้านานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
…แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่เคยชินกับมันสักครั้ง “จ้าวพี่!” ประตูไม้สักเปิดผางเข้าไปในห้องอย่างอุกอาจ ด้วยแรงผลักชนิดที่ว่าต่อให้สวมกลอนไว้ก็เป็นอันต้องพังกระจุย คนถูกเรียกเบือนดวงเนตรคมเข้มมาสบ ก่อนสาวเท้าตรงจากโต๊ะทำงานมาหา
ร่างผอมบางชะงักครู่หนึ่ง
“..ทำ...อะไรอยู่รึขอรับ?”
เจ้านายหนุ่มขยับยิ้มหวาน มือหนาคลี่หอบผ้าในอ้อมแขนออกเป็นสไบผืนหนึ่ง “ของขวัญให้น้อง”
อีกคนรับมาหน้าเก้อ “นี่มันชุดอิสตรีมิใช่รึ?”
“เจ้าหน้าหวาน สวมเช่นใดก็ขึ้นทั้งนั้น”
“ไม่สนุกนะเจ้าพี่ ทุกวันนี้คนเขาก็ลือว่าข้าเป็นหญิงแฝงตัวมาทั้งสิ้นยังจะ…”
“เขาจะคิดเช่นไรก็เรื่องของเขา เจ้าทำตามข้า”
คนฟังกัดริมฝีปาก เชิดหน้าขึ้น “ใช่สิ ข้าเป็นเพียงบ่าว..ตามสนุกนายจ้าวเท่านั้น”
“แน่นอน แต่มิได้สนุกอย่างเดียวดอก” ดวงหน้าคมเข้มยักคิ้วให้ รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้า “ยินว่าอ้ายแสนตาพานางหนึ่งตามติดมาด้วย ข้ามิเชื่อดอกว่าสตรีนางนั้นจะดีเลิศกว่าเจ้า ไป หอบสิ่งนี้ไปแต่งตัวเสียให้เรียบร้อย รอเห็นใบหน้าตื่นตาตกใจของอ้ายแสนตาก็แล้วกัน”
แรกทีเดียวหนุ่มน้อยคิดจะขัดขืนการตัดสินใจเช่นนั้นเสียหน่อย แต่บริบทกลับทำให้ต้องเลิกคิ้ว
“เมียของอ้ายแสนตา?”
“ได้ยินว่ากำลังจะเป็นเช่นนั้น”
ดวงตากลมโตเป็นประกาย “เช่นนั้นจะแก่งแย่งกับอ้ายพี่หญิงไปทำไมรึ เมื่ออ้ายพี่แสนตามีงานมงคล เราต่างหากที่ต้องแสดงความยินดีด้วย”
คนฟังย่นจมูก “ไม่มีทาง อ้ายแสนตาน่ะรึจะได้ดีไปกว่าข้า”
“ทำเป็นพูดดี ยินว่าสั่งให้เตรียมแต่อาหารโปรดของอ้ายพี่มิใช่รึ?”
อีกฝ่ายไหวไหล่ไม่ตอบคำค่อนแคะนั้น
คนตัวเล็กกว่าหัวเราะคิก “เอาเถิด ท่านประสงค์สิ่งไหนข้าจะขัดได้รึไร”
“ให้อ้ายนั่นเก้อไปเลยนะ”
“หากออกมาไม่งดงามเหมือนแม่หญิงทั่วไปก็อย่ากล่าวโทษเพียงข้าละกัน!”
“อย่าลบหลู่สายตาข้าสิ สีชบาอ่อนเช่นนี้แหละเหมาะกับผิวเจ้าที่สุด” ชายหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้ตามวิสัย “แล้วข้าก็เตรียมเครื่องมุกงามไว้ให้พร้อมแล้วด้วย”
“จ้าวพี่อยากเอาชนะขนาดนั้นเลยรึ!?”
เมื่อได้เห็นดวงตากลมโตเบิกค้างอย่างตกใจ อีกคนกลับพ่นหัวเราะออกมาเสียหน่อย ไอ้เครื่องมุกที่ว่านั่นก็หาได้ใช่สิ่งมีค่ามากมายอะไรไม่ เพียงแค่ริมฝั่งแม่น้ำจะหาเครื่องประดับเช่นนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่เห็นเหตุที่ต้องตื่นอกตกใจขนาดนั้น
“มิใช่ดอก”
ปลายนิ้วข้างหนึ่งแตะลงบนคางเนียน เชยขึ้นให้ดวงตาสีอำพันสองคู่สบกัน
“…สิ่งที่ข้าประสงค์….มีค่ามากมายกว่านั้นเยอะ….” ก่อนบรรจงแตะริมฝีปากลงมาต้องกันอย่างเบาบาง
…แต่หอมหวานยิ่งกว่าขนมใดๆทั้งมวล
= = = = = = = = = =
บทบรรเลงขลุ่ยผิวดังมาจากหัวน้ำครั้งหนึ่ง เร่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ต้องวิ่งกันจ้าละหวั่นด้วยเตรียมตัวยังมิทันจะเตรียมการ อารัมภบทแรกจบลงด้วยเสียงกลองทัดกระหึ่มตามลำธาร สะเทือนกิ่งไม้และแผ่นน้ำให้ไหวหวั่นคลอตามกันไป
บรรดาจระเข้ตัวเล็กตัวน้อยผุดดวงตาขึ้นมาเหลือบมอง ผู้ครองแก้วแปลงกายกุลีกุจอมารอรับจ้าวจระเข้ต่างเมืองที่ท่าน้ำใหญ่ การมาเยือนครั้งนี้ไม่เป็นเพียงการพบเจอระหว่างเพื่อนบ้านเท่านั้น ทั้งยังประกาศข่าวลือเรื่องงานมงคลระหว่างจ้าวหนึ่งกับเพศเมียตัวสำคัญที่หาแทบไม่ได้แล้วอีกด้วย ซึ่งถึงแม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ..แต่ชาวบ้านก็ลือร่ำกันทั้งคุ้ง
ไม่นานขบวนเรือพายก็เลียบแหวกน้ำมาเทียบจอดสมใจ.. หนึ่งบุรุษเจ้าของผิวเข้มจัดและดวงตาคมดุก้าวขึ้นมายืนที่ท่าน้ำ อาภรณ์แพรบางสีขาวปักดิ้นทองคลุมไว้เพียงบนบ่าแหวกผิวเนื้อช่วงอกลงมาถึงหน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อดูแข็งแกร่งและแก่กร้านอยู่ในที..เขาสอดส่ายดวงตาสีอำพันมองไปรอบๆคล้ายกับการทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งอดีตมากกว่าแค่วางอำนาจ
บรรดาบ่าวรับใช้ทุกผู้ต่างพากันทิ้งตัวนั่งพับเพียบเป็นคลื่นตามกันออกไปทำความเคารพ หลายคนเล็งเห็นว่าจ้าวตนนี้มีบรรยากาศผิดแผกไปจากนายเหนือหัวของตนอยู่มิใช่น้อย ทั้งความเคร่งขรึมที่แฝงอยู่ใต้รอยยิ้มจางๆนั่นก็ด้วย ทั้งดวงตาร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาผู้มองนั่นก็อีก ช่างแตกต่างจากจ้าวโคจรจอมทะเล้นร่าเริงของตนเสียจริง
“อ้ายแสนตา” เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นมา ก่อนบุรุษร่างสูงโปร่งนาม ‘จ้าวโคจร’ จักก้าวเท้ามารับอาคันตุกะตรงหน้า เจ้าบ้านฝั่งนี้เองก็ดูน่าเกรงขามมิใช่น้อยเมื่อฉลององค์เสียเต็มยศ แม้ผิวกายจะขาวและดูเยาว์วัยกว่า ถ้าไม่นับเรื่องรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากลกับกระแสเสียงช่างกระเซ้าเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับว่าดวงหน้ารูปสลักนั้นหล่อเหลาคมคายไม่แพ้กันทีเดียว
“อ้ายโคจร” เสียงแหบกร่นปนหัวเราะ “ช่วงอาทิตย์นี้รบกวนด้วยล่ะ”
“ไม่เจอกันนาน…” ชายหนุ่มชี้มาที่แผ่นอกตัวเอง เป็นเชิงอธิบายถึงรอยแผลเป็นที่กลางอกอีกคนด้วย “ท่าทางเมืองใต้คงจะรบราฆ่าฟันกันน่าดู”
“วุ่นไม่ได้หยุดเลยล่ะ”
“ฟังดูน่าสนุกนะ”
“สนุกกับผีสิ! พวกหมอจระเข้เริ่มเล่นงานหัวเมืองเล็กเมืองน้อย เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีเถิด”
“แถบนี้ไม่มีหมอจระเข้มาป่วนให้กวนใจดอก” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เมืองพิจิตรดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่านครที่อยู่ต่ำลงไป “เล็กๆน้อยๆนั่นข้าปกครองได้ แต่หากมีสิ่งใดให้เมืองเหนือช่วยโปรดบอก”
“ไม่เป็นไรดอก คนของข้าก็เข้มแข็งพอดู”
“ข้ารู้ หึ ตอนเด็กๆข้าเคยรบชนะเจ้าเสียเมื่อไหร่กัน”
ชายหนุ่มลอบยิ้ม เงยหน้ามองเงาไม้เบื้องบน
“..ที่นี่เปลี่ยนไปนะ” “กาลเปลี่ยน…สิ่งใดย่อมเปลี่ยนตาม” อีกคนรำพันเลื่อนลอย “ได้ข่าวน้องพันตรา…ข้าเสียใจด้วยนะ”
“หนึ่งชีวิตหวนกลับสู้พื้นผืน..” แสนตาไหวไหล่..แม้จะดูไม่ใส่ใจแต่ดวงตาคู่นั้นไม่ใช่เลย
“…หนึ่งวิญญาณหวนคืนสู่สายธาร” อีกคนยิ้ม “ได้ยินว่าท่านมีข่าวดี”
“แน่นอน ไว้คืนพรุ่งนี้ข้าจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกที”
“นางนั้นช่างโชคดีนัก”
“ข้าโชคดีกว่าที่ได้เจอนาง”
“จะว่าไป…ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาตั้งแต่ตอนที่ท่านขุนเสียสินะ”
“นั่นสินะ…เอ๊ะ ว่าแต่…” อาคันตุกะผิวเข้มปราดมองไปรอบๆ “เจ้าพันวังตัวเล็กนั่นล่ะ? ไม่เห็นออกมาต้อนรับข้า”
คนฟังลอบยิ้มบางราวกับรอคำถามนี้มาแสนนานแล้ว
ก่อนจะผายมือไปด้านหลังเชื้อเชิญให้อีกคนก้าวเท้าออกมาเผชิญหน้า
ร่างโปร่งบางขยับตัวโผล่จากด้านหลังของอีกคนอย่างเก้อเขิน ผิวขาวจัดรับกับสไบสีชมพูอ่อนที่พันเกลี่ยไหล่มนปรกลงมายังช่วงแขนเนียนนุ่ม ผ้าถุงสีม่วงเข้มรับกับเอวบอบบางและสะโพกกลมลงมาถึงข้อเท้าที่คล้องกำไลทองไว้ข้างหนึ่ง สร้อยมุกสีนวลคล้องลำคองามระหงขับให้ดวงหน้าดูสวยหวานขึ้นทันตา
ริมฝีปากแต้มสีอุทัยเผยอขึ้นเล็กน้อยราวต้องการจะพูดทักทายอะไรสักอย่าง แต่ก็ปิดลงฉับเมื่อพบว่าสรรพเสียงใดๆมีเพียงลมหวิววาบเท่านั้น
ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำ ใช่หวั่นไหวกับดวงตาที่แทบลุกเป็นไฟของคนมองเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อเกิดมาเพิ่งเคยนุ่งชุดสตรีเต็มยศแบบนี้เป็นครั้งแรก หนำซ้ำบรรดาคนมองยังถึงกับอ้าปากค้างเช่นนั้นจะให้เอาหน้าไปไว้ไหน
สุดท้ายเลยต้องก้มหน้างุดๆ ยื่นมือออกไปดึงชายเสื้อของจ้าวพี่ตัวเองเสียหนึ่งที
..มันแย่ตรงที่..จ้าวโคจรไม่ได้พูดอะไรสักคำ!!
….แถมยังขำออกมาหนึ่งครั้งซะอีก!!
“…น้องพันวัง?” คำนั้นหลุดออกมาจากปากอ้ายพี่แสนตา เจ้าของนามอ้อมแอ้ม..แต่ก็พยักหน้าไป
ก่อนลมหายใจหัวเราะหึจะหลุดออกมาครั้งหนึ่ง
“ให้ตาย…จำได้ว่าตอนเล็กๆยังแก้ผ้าวิ่งไปทั่วเรือน โตขึ้นมากลับเป็นสาวไปซะได้”
“ไม่ใช่สักหน่อยอ้ายพี่แสนตา” ดวงแก้มขึ้นสีจัดขึ้นมา “เพราะจ้าวพี่โคจรบังคับข้าต่างหากเล่า”
คนถูกกล่าวหาผิวปากหวือ “แต่ก็เหมาะมิใช่รึ? ขอบคุณข้าหน่อยสิ”
“ท่านสิต้องขอบคุณข้า…บอกว่าอยากเห็นสีหน้าประหลาดใจของอ้ายพี่แสนตามิใช่รึ ก็ได้ยลไปแล้วมิใช่รึไร เห็นทีข้าจะได้เวลาเปลี่ยนกลับแล้ว”
“เฮ้ย ใช่ยามนี้ซะเมื่อไหร่กัน เจ้าสิต้องอยู่สภาพนี้ไปจน…..
ตะวันขึ้นอีกคราโน่น”
คนฟังเลิกคิ้ว “ท่านว่ากระไรนะ?”
ชายหนุ่มสองคนสบตากัน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาทั้งคู่
“นี่เจ้ายังไม่ได้บอกน้องพันวังหรอกรึ?”
“จะให้ข้าเริ่มบอกจากสิ่งใดดีล่ะ”
“พอถึงเวลาจะไม่หวั่นกลัวจนตัวขดเรอะ?”
“ถึงตอนนั้นค่อยหาทางแก้กันไปน่า”
“อะไร?” เด็กหนุ่มถลึงตา “พวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน? วางแผนอะไรกันอยู่งั้นรึ?”
น้ำคำไร้เดียงสานั้นทำให้จ้าวทั้งสองไม่อาจกลั้นขำได้อยู่ ยิ่งเห็นท่าทางลนลานของเจ้าตัวยิ่งนึกสนุกนัก อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปหยิกแก้มแดงอย่างเอ็นดู แล้วเปลี่ยนเรื่องไป
“ขึ้นเรือนก่อนสิ เดินทางมาเสียไกลคงเหน็ดเหนื่อย น้ำท่าอาหารพร้อมรับรองพวกเจ้าไว้หมดแล้ว”
ชายหนุ่มวาดแขนโอบไหล่เพื่อนรัก พาเดินนำขึ้นเรือนไปเสียก่อน
“รวมถึง..เรื่องคืนนี้ด้วย”TBC===================