3
แดดที่นี่ยังคงร้อนแรงไม่ต่างจากวันอื่นๆ ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้ รอเหยื่อสักรายที่จะนำอาหารมาให้ด้วยความสงสารแมวจรสีดำผอมกะหร่อง ที่ต้องกินซากอาหารเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ
ไม่ได้กินเต็มอิ่มมานานแล้ว
แม้ว่าร่างนี้จะมีบางส่วนที่คล้ายจะสบายกว่ามนุษย์ เช่นว่ารวดเร็วกว่า ประสาทสัมผัสไวกว่า ถึงอย่างนั้น ผมกลับรู้สึกโหยหาการหลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้งอยู่ทุกวัน
อยากยืนสองขา
อยากมีสองแขน
อยากใช้สองขาเดินตามหาหมอนั่น
อยากใช้สองแขนรวบกอดตัวเล็กๆ นั่นไว้
อยากกดจูบประทับลงที่เปลือกตาสวย ปลอบประโลมทุกเรื่องที่โหมเข้ามาใส่
ถอนหายใจแมวออกมาอีกครั้ง ยังไงซะ...หมอนั่นก็คงมีชีวิตที่ดีแล้วล่ะมั้ง ไม่กลับมาเยี่ยมกันเลย
ผมกระโดดขึ้นรั้วบ้านที่ความสูงต่างกันหลายเท่าตัวด้วยความปราดเปรียว ทำตัวเป็นแมวมากขึ้นทุกวัน จากการสังเกต มุมนี้ดีที่สุดในการมองหาคน ตั้งอยู่ชิดสี่แยก ความสูงมากพอที่จะมองเห็นผู้คนแต่ไกล ผมทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์อีกครั้ง ยังมีความหวังว่าหมอนั่นจะมา...
จวบจนฟ้ามืด ไม่มีวี่แวว
พลันจะกระโดดลงจากกำแพง กลับถิ่นที่ที่มีหลังคาคุมหัวนอนคิดว่าวันนี้คงเหมือนวันก่อนๆ ทว่ามีเสียงเรียกหนึ่งขึ้นมา
“กี้”
ผมหันขวับทันที หาใช่เพราะชื่อ แต่เพราะน้ำเสียงคุ้นเคยที่รอมานานมีหรือจะจำไม่ได้
เขามาแล้ว!
ร่างแมวดำพุ่งเข้าใส่อย่างผิดปกติแมว แต่ผมไม่สนหรอก ผมไม่ใช่แมวมาก่อนนี่
“ขอโทษนะ หิวมั้ย ซื้อขนมมาให้เยอะเลย” หมอนั่นว่าพลางลูบหลังผมแทนคำขอโทษ ในขณะที่ผมเองก็ถูไถมือเขาด้วยเช่นกัน ทำไงได้ คิดถึงนี่นา
ระหว่างที่ผมก้มกินอาหารที่เขานำมาให้ หมอนั่นไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำจนผมนึกสงสัยในความผิดปกติ ยอมเงยหน้าออกจากของอร่อยตรงหน้าก่อนจ้องมองใบหน้าใส
ที่เปื้อนหยาดน้ำตาเต็มไปหมด
อาหารตรงหน้าหมดความหมายทันทีเมื่อหยาดน้ำใสทำงาน ใจผมกระตุกวูบ ก่อนพยายามปีนเข้าไปหาใบหน้านั้นมากขึ้น
เป็นอะไร ทำไมถึงร้องไห้ ใครทำอะไรให้เสียใจ
คำพูดพร้อมปลอบใจรออยู่มากมายเต็มไปหมด ทว่าสุดท้ายแล้วผมก็ทำได้แค่ร้องเสียงแมว กับใช้ใบหน้าตัวเองเช็ดคราบน้ำตาให้เท่านั้น
“หื้อ ปลอบเราหรอลัคกี้ ฮะๆ” คนยิ้มหวานเอ่ยพร้อมรอยยิ้มคู่ใจ ผมตอบไม่ได้ จึงจ้องตาเขาแทน ดวงตากลมใสที่ฉาบด้วยน้ำตา ทำให้น่ามองมากกว่าเดิมเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นี้จะต้องแดงก่ำเพราะหยาดน้ำตา
ผมใช้ลิ้นเล็กเลียคราบน้ำตาบนใบหน้า สิ้นสุดการกระทำ คนตัวเล็กตวัดแขนกอดผมไว้แน่น เสียงสะอื้นชัดเจนกว่าเดิม
ให้ความเศร้าได้ถูกปลดปล่อย
ผมอยู่นิ่งในอ้อมกอดอุ่น ปล่อยให้เวลาคอยช่วยปลอบโยนคนน่ารัก เพราะผมเป็นแมว...ทำได้มากสุดก็แค่ให้กำลังใจ แค่จะกอดเขากลับยังทำไม่ได้เลย...
เสียงลมพัดผ่านไป ไอเย็นเริ่มคืบคลานเข้ามากขึ้นเมื่อไร้แสงตะวัน ผมขดตัวหนาว ทว่าพยายามใช้ไออุ่นที่มีมอบให้แก่คนที่กอดผมไว้ ถ้าผมเป็นคนล่ะก็...ผมคงไม่ปล่อยให้อากาศหนาวทำร้ายเขาแบบนี้
เขาขยับตัว ปาดน้ำตาครั้งสุดท้ายออก ส่งรอยยิ้มเศร้าๆ มาหาผม
“เราไม่ได้เรื่องเลยเนอะกี้ อะไรก็ทำไม่ได้ไม่ดีสักอย่าง”
“ขนาดดูแลแมวตัวเดียวยังทำไม่ได้เลย ฮึก...”
“ขอโทษนะ”
ผมอาจเป็นผู้ฟังที่ดี แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่หาทางทำอะไรสักอย่างกับน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้านี่
ยืนสองขาอีกครั้ง ป่ายปีนขึ้นตัก พยายามเช็ดคราบน้ำตาให้เป็นครั้งที่สอง
“ฮะๆ จั๊กจี้”
ยิ้มสิ นายยิ้มแล้วดูดีกว่าตอนมีน้ำตานะ
“ขอบใจนะ ยังกับว่ากี้ฟังเรารู้เรื่องเลย”
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
“พรุ่งนี้เราจะลองสู้ใหม่นะกี้”
คนพร้อมสู้ว่าพร้อมกอดผมแน่น รับรู้ได้ว่า สิ้นสุดการพบเจอแล้ว เวลาลาจากกำลังจะมาถึง
คนตัวเล็กเก็บซากอาหารที่ผมกินเหลือ ลุกขึ้นยืน ก่อนจัดการขยะในมือ
“พรุ่งนี้จะมาหานะ สัญญา”
แมวไม่ฟังคำสัญญา ผมไม่รอสัญญา ไม่รอวันพรุ่งนี้ เดินตามแผ่นหลังเล็กๆ นั่นไปอย่างไม่นึกขลาดกลัว ผมไม่รอแล้ว ผมรอเขามาหลายวัน วันนี้ผมต้องได้อยู่กับเขานานกว่านี้
“กี้? ตามมาทำไม ไม่มีขนมแล้วนะ”
เมี้ยว
“ลัคกี้”
คนนึงเดินหนี ส่วนผมเดินตาม
“โถ่ ไม่เอาสิ อยากมาอยู่ด้วยหรอ”
เมี้ยว
“ที่หอไม่ให้เลี้ยงแมวนะ”
“...แต่ถ้าแอบเข้า...ก็ได้อยู่มั้ง ข้างห้องก็เลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ไม่เห็นใครว่าไง”
“ลัคกี้ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เสียงดัง ไม่ทำเลอะเทอะนะ”
เมี้ยว
“คืนเดียวนะ เดี๋ยวใครรู้แล้วเราจะแย่เอา”
เมี้ยว
สัญญาแบบนี้สิค่อยน่าร่วมมือหน่อย
ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกล เดินเรื่อยๆ กำลังพอดีก็มาถึงที่หมาย ผมจดจำเส้นทางไว้เป็นอย่างดี เผื่อครั้งหน้าหมอนี่เบี้ยวนัดอีกจะได้มาตามตัวถูก เมื่อถึงหน้าห้อง ประตูห้องถูกเปิดออก ผมก้าวตามหลังเขาไปติดๆ อย่างรู้งาน ห้องหับไม่แคบเท่าห้องผม แถมยังมีกลิ่นหอมๆ ตลอดเวลา คิดว่าเป็นกลิ่นข้าวของของเขานั่นแหละ สบายใจจัง
“กี้ตามมาจริงๆ ด้วยอ่ะ...”
ทำไม คิดว่าผมจะทิ้งคุณไว้กลางทางหรือไง
“ตอนแรกนึกว่าเพราะหิว เดินๆ ไปอาจจะเบื่อเอง แต่ก็มาจนถึงห้องเลยนะ”
อยากจะร้องเมี้ยวตอบรับ เสียแต่สัญญาว่าจะไม่เสียงดังไปแล้ว
“ขอบคุณนะ” เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ไม่เป็นไร
ระหว่างรอหมอนั่นอาบน้ำ ผมแอบมองข้าวของในห้อง พยายามหาตัวตนของหมอนี่ จนตัดสินใจตะปบกระเป๋าตังออกมาดู กว่าจะแงะบัตรประชาชนออกมาได้ก็แทบหมดแรง เกือบข่วนกระเป๋าหนังจนขาดไปหลายรอบ แต่สุดท้ายผมก็รู้จักชื่อเขาเสียที
รวมไปถึง...บัตรพนักงานในกระเป๋าที่สะดุดตาผมยิ่งกว่าอะไร
หมอนี่ทำงานตึกเดียวกับผม แม้ไม่ใช่บริษัทเดียวกัน แต่บัตรเข้าตึกเป็นแบบเดียวกัน ผมมั่นใจว่าเขาต้องอยู่ที่ไหนสักชั้นของที่ทำงานตัวเอง พอรู้เรื่องราวมากขึ้น ใจอยากกลับเป็นคนยิ่งคูณทวี ผมอยากไปรอเขาที่บริษัท อยากเอ่ยบอกความในใจ อยากทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้
ในร่างของคน...
สุดท้ายแมวดำก็ทำได้แค่นอนขดตัวยึดเตียงอุ่นๆ เท่านั้น ผมต้องทำยังไงให้กลับมาเป็นคน อยู่อย่างนี้ไม่ดีเลย กินอาหารที่ชอบก็ไม่ได้ ไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก พูดคุยกับใครก็ไม่ได้
ผมดูแลเขาในร่างแมวไม่ได้
เจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำ สภาพทำเอาผมใจกระตุกอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะหลงรักผู้ชาย หรือหลงใหลในเรือนร่างเพศเดียวกัน ทว่าก็ไม่ได้ปิดกั้นหัวใจ
ร่างเนื้อขาวบางตอนนี้ยั่วยวนผมยิ่งกว่าสิ่งใด หยาดน้ำเกาะตามตัวประปราย เส้นผมลู่น้ำ ใจผมกระตุกอีกครั้งเมื่อสบเข้ากับดวงตากลม ริมฝีปากสีแดงคลี่ยิ้ม
“หนาวหรอกี้”
ใช่ อยากกอดนายมากด้วย
แต่ผมไม่สามารถกอดเขาได้ร่างแมวได้
น่าหงุดหงิดชะมัด
คนน่ากอดมานั่งลงข้างๆ ผม เช็ดหัวตัวเองไปพลาง พร้อมเริ่มเอ่ยเล่าเรื่องราว
“อันที่จริงก็ดีนะที่กี้มาด้วย ไม่งั้นเราต้องสติแตกกว่านี้แน่ๆ เลย”
“ช่วงนี้ทำงานไม่ได้เรื่องเลย บอสดุบ่อยมาก พี่ที่แผนกก็เริ่มฝากงานมาให้เราทำ เรารับมืออะไรไม่ไหวเลย”
“ยิ่งเค้าคนนั้นก็มาอาการไม่ดีอีก...”
“เราช่วยเขาไม่ได้เลยกี้...”
“เราไม่อยากเห็นเขานอนเป็นคนป่วยไมได้สติแบบนี้แล้ว แต่เราทำอะไรไม่ได้เลยกี้ เรา...”
ผมพยายามกุมมือเขา อันที่จริงก็แค่เอาอุ้งเท้าแมวไปแปะที่มืออุ่นๆ ออกจะน่าขำมากกว่าปลอบด้วยซ้ำ แต่ก็นะ ทำอะไรให้คนที่เราชอบไม่ได้เลยเนี่ย ผมเข้าใจดีที่สุด
แต่อย่างน้อย เป็นคนก็มีโอกาสได้พูดนะ ลองบอกความในใจเค้าไปรึยัง ลองกุมมือเค้าไว้หรือยัง...
แค่แสดงความคิดเห็นผมยังพูดไม่ได้เลย
คนตัวขาวนั่งน้ำตาซึมเงียบๆ ผมได้แค่นั่งมอง พิงตัวเองใส่คนข้างๆ ให้รับรู้ว่าอย่างน้อยเขาก็มีผมอยู่ข้างๆ ถึงแม้ใจจะเจ็บอยู่ลึกๆ ก็ตาม ถ้าผมได้กลับเป็นคน อย่างน้อย ผมก็จะไม่ทำให้เขาเสียใจ
เจ้าของห้องลุกขึ้นไปสวมเสื้อผ้าดีๆ ก่อนกลับมาที่เตียงอีกครั้งพร้อมความมืดมิด ไฟในห้องปิดแล้ว ท่ามกลางความเงียบ ผมเห็นความเสียใจที่โหมกระหน่ำเข้ามา
ทำอะไรไม่ได้เลย
เราต่างทำอะไรไม่ได้เลย
ผมไม่ส่งเสียง ทำเพียงแค่คลอเคลียเขาไว้ให้มืออุ่นคอยลูบขนนุ่ม หวังว่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง คนตัวเล็กไม่นานก็นิ่งไป เขาหลับไปแล้ว ผมจ้องมองใบหน้าหวานในความมืด ยิ่งดูยิ่งหน้าหลงใหล แสงจันทร์พาดผ่านเข้าห้อง ฉาบใบหน้าให้ขึ้นสีนวล ผมอยากสัมผัสเขา
อยากมอบจูบให้เขา
ทว่า...ร่างแมวไม่เอื้อให้ทำตามความคิด
ผมถอนหายใจ ขดตัวนอน เริ่มง่วงแล้ว ผมหาวอีกครั้งเป็นสัญญาณว่ากำลังจะดิ่งลงสู่นิทรา ก่อนปิดเปลือกตา ผมเหลือบไปเห็นเงาแมวดำข้างนอกหน้าต่าง
สายลมพัดแรงจนใบไม้ข้างนอกสั่นไหว เคลื่อนไหวราวกับเป็นเงาของปิศาจ แมวดำใช้ดวงตาสีเหลืองจ้องมาทางผมเขม็ง ผมไม่อาจรับรู้ได้ว่ามันต้องการจะบอกอะไร ไม่ทันได้เอ่ยถาม
โลกทั้งใบพลันมืดสนิท ผมไม่มีแรงรับรู้เรื่องราวอีกต่อไป...
...
ขยับตัวไม่ได้ ลืมตา...ยังเป็นเรื่องยาก ร่างกายหนักไปหมด คอแห้งผาก หิวน้ำ ปวดหัว ปวดตัวไปหมด นี่ผมเป็นอะไรอีกวะเนี่ย
ผมพยายามเปิดเปลือกตาจนได้ในที่สุด สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวสว่าง ที่ไม่คุ้นตา ไม่ใช่ห้องนอนเขา ไม่ใช่ห้องนอนผม ไม่ใช่ที่ๆ ไปหลบอาศัยอยู่ ที่นี่ที่ไหน
ปวดตัวไปหมด แค่จะหันไปมองรอบๆ ยังเป็นเรื่องยาก ให้ตาย เกิดอะไรขึ้นกับผมอีกแล้ววะ เมื่อขยับคอไม่ได้ ผมจึงไปพยายามขยับมือแทน กระดิกนิ้วได้เล็กน้อย ก่อนค่อยๆ ไล่ประสาทไปยังฝ่ามือ ดูท่าจะได้ผลกว่าการหันคอ ผมขยับมือไปมา บีบ คลาย บีบ คลาย...
พลันนึกได้ว่า กูมีนิ้วมือแล้วหรอ
ไอ้เชี่ย นี่ผมกลับเป็นคนแล้วหรอ!
ดวงตาเบิกโพลง อยากจะลุกขึ้นมาถามใครก็ได้ ทว่ายังไม่ทันลุกได้ เสียงอึกทึกก็ดังขึ้นข้างตัว ผมฟังไม่ทัน จากหนึ่งเสียงเปลี่ยนเป็นสอง วุ่นวายไปหมด จนกระทั่งมีคุณหมอท่านนึงเข้ามา เสียงวุ่นวายถึงได้เบาลงไป
ผมปล่อยให้หมอตรวจร่างกายผมไป ตอบคำถามเท่าที่จะตอบได้ สักพักผมถึงค่อยมีแรงลุกขึ้นมานั่งพิงพนักพิงที่เตียง ภายในหัวสับสนไปหมด เมื่อหมอออกไป คนแรกที่ผมเห็นคือเพื่อนร่วมงานที่ชื่อเป๊ก มันพุ่งเข้ามาหาผมทันทีที่คุยกับหมอเสร็จ
“มึงเป็นไงบ้างวะ ไปทำไรมาถึงสลบไปตั้งสองอาทิตย์ขนาดนี้”
“...” ผมพยายามจะตอบ ทว่าไม่มีเสียง ผมเห็นเพื่อนอีกคน ไอ้ยอด รินน้ำมาให้ ผมค่อยๆ จิบน้ำทันทีที่มันยื่นแก้วมาให้
“แค่กๆ กู...เป็นอะไรวะ” คือคำถามแรกที่ผมพูด
“พวกกูสิต้องถาม จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์มาบอกว่ามึงหมดสติที่สวนสาธารณะแถวหอมึง แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เนี่ย พวกกูมากันมาเยี่ยมตลอด มึงเป็นอะไรวะ ไม่ไหวก็น่าจะบอกกันบ้างดิ”
“เห้ย ใจเย็นๆ กูยังไม่รู้เลยกูเป็นอะไร กูปกติดีทุกอย่าง แต่จู่ๆ จะลุกกลับบ้านภาพก็มืดไปเลย” แล้วกูก็กลายมาเป็นแมว แต่จะบ้าหรอ บอกไปใครจะเชื่อ
“เอ๊า หมอตรวจก็ไม่เจออะไรเลย คนเราจะสลบนานๆ ได้เป็นอาทิตย์เลยหรอวะ”
“กูก็ไม่รู้”
“หมอบอกให้อยู่ดูอาการอีกสักพัก ที่บริษัทเองก็ตกใจเรื่องมึงกันใหญ่ เห็นว่าเพิ่งเลิกกับแฟน เลยห่วงว่าจะเป็นอะไร”
“กูไม่เป็นอะไร” อันที่จริง ลืมไปแล้วเรื่องเลิกกับแฟนเก่า
“ให้จริงเถอะ โหย ใจกูจะวาย นึกว่าเพื่อนจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดซะละ”
“....” กูก็กลัวเหมือนกันเพื่อน กลัวว่าจะเป็นแมวไปตลอด
ผมไม่ตอบพวกมันที่เอาแต่นั่งเถียงกันนู่นนี่ ได้แต่นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ดีใจจริงๆ ที่กลับมาอยู่ในร่างคนได้ ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ผมจะพุ่งเข้าหาเค้าเป็นคนแรกเลย
ผมยังจำชื่อเค้าและบริษัทที่เค้าทำงานได้ขึ้นใจ
“เออ จะว่าไป ตอนมึงนอนเป็นผักอยู่ที่นี่ มีน้องคนนึงมาหาทุกวันเลยว่ะ รู้จักกันหรอ”
“ใครวะ”
ไอ้ยอดเอ่ยชื่อเดียวกับที่ผมเห็นในบัตรประชาชน ผมเบิกตาโพลง ร้องเสียงดังลั่นจนไอออกมาไม่หยุด
“ใจเย็นๆ สรุปมึงรู้จักน้องเค้าหรอ”
“เปล่า...ก็ ไม่เชิง”
เรื่องจริงหรอวะเนี่ย ถ้าผมคิดไม่ผิด เค้าคนนั้นของหมอนั่นคือผมงั้นหรอ ใจผมเต้นแรงมากขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อ ไม่กล้าที่จะเชื่อ ถามเพื่อนซ้ำๆ ว่าคนนี้จริงๆ หรอจนไอ้เป๊กรำคาญ
“เออ มึงจะคุยกับน้องเค้ามั้ยล่ะ น้องเค้าให้เบอร์กูมาด้วย บอกถ้ามึงฟื้นให้บอกน้องเค้าที กูว่านะ น้องมันชอบมึงแน่ๆ”
“แค่กๆ ๆ”
“จริงๆ นะ ไม่งั้นแม่งจะมาหาทำไมทุกเย็น เนี่ย เดี๋ยวมึงรอดูเย็นนี้”
“เป็นผู้ชายแต่ก็น่ารักดีนะเว้ย”
ไม่ต้องมาพูด เรื่องความน่ารักของมันกูรู้ดีที่สุด ไม่เจ๋อ! อยากจะตะโกนออกไปแต่ทำได้แค่คิดในใจ เดี๋ยวมันถามกลับว่ารู้ได้ไงแล้วจะตอบกลับไม่ได้
ไม่ใช่ไม่มีคำตอบ แต่เพราะถ้าบอกไปว่า อ๋อ ตอนกูสลบกูไปอยู่ในร่างแมว แล้วน้องมันก็เลี้ยงดูกูอย่างดี ได้จับมือได้นอนด้วยกัน เลยรู้ว่าน้องมันน่ารัก แบบนี้ใครมันเชื่อวะ
“แล้ววันนี้พวกมึงไม่ไปทำงานหรือไงวะ”
“ทำเสร็จแล้ว ออกไซต์ตอนเช้า แล้วตอนบ่ายก็มาหามึงเนี่ย ดีนะมึงตื่นมาเจอพวกกู”
“เออ ขอบใจว่ะ”
เอาเข้าจริง ผมใจชื้นมาเลยที่ตื่นมาแล้วเจอคนรู้จัก ชีวิตเหลวเป้วก่อนหน้านี้เป็นเรื่องขี้หมูไปเลยเมื่อได้เจอกับพวกมีน อย่างน้อยผมก็ยังมีคนรักอยู่ล่ะว้า
รวมถึงไอ้หมอนั่นด้วย
อย่าให้ออกไปได้นะ กล้าดียังไงมาทำให้ผมคิดว่าตัวเองอกหักมาตลอด
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูดังขึ้น การมาของผู้มาเยือนทำให้พวกหันไปมองเป็นทางเดียวกัน ใบหน้าที่แสนคิดถึงโผล่ออกมาจากประตูห้อง ใจผมกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
บ้าเอ้ย เพิ่งพูดถึงเมื่อกี้ ตอนนี้ก็มาเลย
หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ
“เห้ย นี่ไงๆ มาพอดี”
“ส..สวัสดีครับ”
“ว่าจะบอกพอดีว่าเพื่อนพี่มันฟื้นแล้ว เพิ่งฟื้นเมื่อกี้เลยคุยกันเพลินไปหน่อย”
“ค...ครับ....”
“เอางี้ ปล่อยให้พวกมันอยู่ด้วยกันดีกว่าไอ้ยอด หมดหน้าที่ของเราๆ แล้วล่ะ” ไอ้เป๊กว่าพร้อมอมยิ้มขำ ผมถลึงตาใส่มันแทนคำด่า แต่ใจหนึ่งก็เอาเถอะ ออกไปเลยพวกมึง
คนตัวขาวทำหน้าอึกอักอยู่กลางห้องอย่างน่ารัก มองผมสลับกับพวกเพื่อนที่ทยอยกันออกจากห้อง
“ไปละ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูมาหาใหม่”
แล้วทั้งห้องก็เงียบลง
ผมสบตากับดวงตากลมที่คุ้นเคย ยกยิ้มมุมปากอย่างห้ามใจไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอตอนเป็นคนเร็วขนาดนี้
“สวัสดี ชวินทร์”
เจ้าของชื่อชะงัก ก่อนหน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด โอ้ย น่ารักโว้ย
“พ...พี่กี้ ตื่นนานแล้วหรอครับ”
รู้จักชื่อเล่นผมด้วยเว้ย
“ก็...สักพัก”
“คือ...ผม ไม่รบกวน...”
“ไม่ต้องเกร็ง มานั่งคุยกันก่อน”
ผมยกยิ้มให้คนข้างๆ ว่าแล้วเชียวว่ามองตอนเป็นคนดีกว่าจริงๆ ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นให้เมื่อย ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่รู้สาเหตุที่ทำให้กลายเป็นแมวก็เถอะ แต่ก็นะ มันทำให้ผมได้เจอกับชวินทร์ทั้งที จะไม่ถือโทษโกรธสิ่งใดๆ ก็ตามที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ก็ได้
ถ้าผมไม่กลายเป็นแมว ผมคงไม่รู้จักเขา ถ้าผมไม่ได้นอนสลบแบบนี้ เขาคงไม่มาหาผม
ในเวลาเลวร้าย ก็ยังมีช่วงดีๆ อยู่บ้าง
แต่ ต่อจากนี้ ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ได้เหมือนก่อนหน้า
ผมจะทำให้เวลาต่อจากนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีตลอดไป
“ชวินทร์ รู้จักแมวที่ชื่อลัคกี้ไหม?”
ミミミミミミミミミミミミミミミミミミミ
หายไปนานกว่าน้องชวินทร์ก็คนเขียนเนี่ย
ขอโทษที่มาช้านะคะ
อย่างที่บอกไปว่าแต่งตามอารมณ์ล้วนๆ พอไม่มีอารมณ์ก็ไม่แต่ง5555
แต่กลัวว่าจะดองนานไปกว่านี้เลยรีบขุดไหดองขึ้นมา
เป็นเรื่องที่รีบแต่งรีบเขียนมาก ไม่ได้วางโครงเรื่องอะไรเลย
เขียนไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์จริงๆ
ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ