B8003
02
ต่างก็เคยผิดหวังในรักมา เคยหลับหูหลับตาไอตอนเวลาหาคู่
ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไง ก็เห็นแล้วชอบแค่นั่นก็เลยเผลอใจ
ไม่เป็นไรส่วนฉันไม่ต้องการเยอะแค่มีเธอผู้เดียวฉันก็พอเถอะ
เดินไปด้วยกันแค่เพียงมีฉันและมีเธอ : )
.
.
.
คนเรามีเรื่องให้คิดตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา โดยคำถามที่ขบคิดในแต่ละวันก็จะต่างกันไปตามช่วงวัย อย่างวัยผมคำถามที่จะถามตัวเองบ่อยมากที่สุดในทุกเช้าคือ ‘เอาไง? จะตื่นไปเรียนดีไหมเรา?’ แต่วันนี้คำถามยามเช้าของผมแตกต่างไปนิดหน่อย แล้วถ้าเป็นไปได้ผมก็ต้องการใครสักคนช่วยตัดสินใจ ว่า…ผมควรจะพูดถึงอะไรก่อนดีระหว่าง
1.อาการเมาค้างที่ทำให้ผมปวดท้องจนอยากจะย้อนเวลากลับไปชวนเพื่อนเมาแป๊ปซี่แทน
2.การตื่นเช้ามาในห้องของใครก็ไม่รู้ และจำได้ด้วยว่าไม่เคยมาห้องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือ
3.การรับรู้ได้ว่าข้างซ้ายของตัวเองมีคนนอนหันหลังให้อยู่ ซึ่ง…เป็นผู้ชาย…และยังไม่ใช่ไอ้เพื่อนสองตัวที่ไปกินเหล้าด้วยกันอีก
เอาเป็นว่าก่อนที่ผมจะพูดถึงอะไรก็ตาม ผมว่าผมควรจะออกจากที่นี่ก่อนอย่างด่วนที่สุด แล้วโทรด่าไอ้เพื่อนสองตัวจนกว่ามันจะก้มขอขมาผม!
…
เวร โทรศัพท์ผมหาย!
ผมตบไปตามเสื้อและกางเกง (ขอบคุณที่ผมยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมอยู่) หากระเป๋าเงินและโทรศัพท์พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ เผื่อว่าคนที่พาผมมาที่นี่อาจจะหวังดีเอาของๆ ผมออกไปวางไว้ที่ไหนสักแห่ง
“เชี้ย อยู่ไหนวะ” ผมสบถเสียงเบา
“ตื่นแล้วหรอ?”
ผมเผลอสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากคนที่นอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนจะละล่ำละลักตอบ “อ่า ครับ”
ผมขอสารภาพครับ แว๊บแรกที่ผมตื่นขึ้นพร้อมกับรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ในห้องใครไม่รู้และมีผู้ชายที่ไม่รู้จักนอนอยู่ข้างๆ ผมคิดว่า ‘เอาแล้ว…’ แต่พอลุกขึ้นมาเห็นตัวเองใส่เสื้อผ้าครบถ้วน ไม่ผ่านการถอด และตัวยังเหม็นกลิ่นเหล้าอยู่ ก็เลยรู้ตัวว่าเมื่อวานผู้ชายคนนี้เขาแค่น่าจะพาผมที่เมายังกับหมามาพักที่ห้องของเขาแค่นั้น
ฮ่ะๆ ตลกความคิดตัวเองชะมัด ผมคงดูหนังมากไป
“แฮงค์มากไหม? เดี๋ยวผมไปเอายาแก้แฮงค์ให้”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ค่อยแฮงค์มากเท่าไหร่” ผมโกหก ผมโคตรปวดหัว สามารถเห็นโลกหมุนทั้งๆ ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่ายมากกว่านี้ แล้วก็อยากกลับคอนโดฯ ด้วย “เอ่อ ขอโทษนะครับ เห็นโทรศัพท์กับกระเป๋าตังของผมบ้างไหมครับ?”
“ไม่ครับ พนักงานที่ร้านลองหาโทรศัพท์เพื่อที่จะติดต่อเพื่อนคุณแล้ว แต่เห็นว่าเขาหาโทรศัพท์ไม่เจอ แล้วก็กระเป๋าตังคุณด้วย”
ฉิบหาย…
อันนี้เป็นความฉิบหายของจริงแล้วครับ
“ขอโทษนะครับ เอ่อ ถ้างั้น ผมขอยืมโทรศัพท์แป๊บนึงได้ไหมครับ” ผมชี้ไปที่โทรศัพท์เครื่องหรูที่กำลังชาร์จแบตอยู่หัวเตียง อีกฝ่ายมองตามนิ้วของผมก่อนจะกระชากที่ชาร์จแบตออกแล้วยื่นเครื่องโทรศัพท์มาให้ “ขอบคุณครับ”
ผมไม่รอช้าต่อสายไปที่เบอร์ของตัวเองทันที ผมภาวนาเลยว่าขอให้เป็นใครสักคนแค่เก็บไปแล้วรอคืนเจ้าของเถอะ อย่าเป็นมิจฉาชีพเลย พ่อฆ่าผมแน่ถ้าผมทำโทรศัพท์ที่เพิ่งได้มายังไม่ถึงปีหายและเตรียมตัวใช้โทรศัพท์รุ่นคุณปู่จนกว่าจะเก็บเงินซื้อเองได้เลย
(ฮัลโล)
เสียงนี้…
“ลี!!”
(หนึ่ง! เชี้ย! มึงอยู่ไหนเนี่ย!? เมื่อคืนมึง-)
“เอาไว้ก่อนเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยเคลียร์” ผมเบรกคนในสายที่กำลังถามถึงเรื่องเมื่อคืน “มึงเก็บโทรศัพท์กูใช่ไหม รวมถึง’เป๋าตังด้วยหรือเปล่า?”
(เออ ก็เก็บมาหมดแหละ เมื่อคืนมึงเมาไม่รู้เรื่องฉิบหาย กูกลัวว่าจะมีคนขโมยไปก็เลยเอาโทรศัพท์ของมึงกับกระเป๋าตังมึงมาด้วย)
“แล้วตอนนี้อยู่ไหน เอามาคืนกูเดี๋ยวนี้เลย”
(แล้วมึงอยู่ไหน?)
ผมหันไปหาเจ้าของห้อง “เอ่อ ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนครับ?”
“เอ็กเซล คอนโดมิเนียม”
ผมพยักหน้าก่อนจะตอบคนในสาย “ตอนนี้กูอยู่-”
เดี๋ยวนะ
(มึงอยู่ไหน?)
“แป๊บนึงนะมึง เดี๋ยวกูโทรไปอีกรอบ” ผมกดตัดสายก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเจ้าของห้องอีกครั้ง “ตอนนี้ผมอยู่คอนโดเอ็กเซลหรอครับ?”
“ครับ ห้องผม B8003”
เอ้า!
“ผมจะพาคุณกลับห้องคุณแล้วเมื่อคืน แต่คุณบอกว่ากุญแจอยู่ในกระเป๋าตัง แล้วผมหากระเป๋าตังคุณไม่เจอ ก็เลยพามานอนห้องตัวเองแทน ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่ครับๆ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่พี่…แบบว่าขอเรียกพี่แล้วกันนะครับ…ขอบคุณที่พี่พาผมกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงได้นอนอยู่ที่นั่น”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้น…ผมขอตัวกลับห้องผมก่อนนะครับ” ผมยิ้มเจื่อนชี้ไปที่ประตูห้องนอน ก่อนจะเดินถอยหลังออกทางประตูแล้วปิดคืนเสียงเบา
พอพ้นจากห้องนอนแล้วผมก็ไม่รอช้า สาวเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วตรงดิ่งไปยังห้องข้างๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงแห้งเมื่อเห็นว่าห้องข้างๆ เป็นห้องของผมจริงๆ
ขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้โวยวายเล่นใหญ่อะไรออกไป ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไหวที่ไหน และผมหวังว่า เมื่อคืนผมคงจะไม่ได้เผลอทำตัวแย่ๆ ใส่เพื่อนบ้านที่ผมเพิ่งรู้จักหรอกนะ
…
ใช่ไหมวะ?
“อุตส่าห์คิดว่ามีเซอร์ไพรส์วันเกิด รีบลงมาเกือบตกบันได แต่กลับต้องมาเจอคำบอกเลิก มันใช่หรอ!”
“แค่บอกเลิกกันวันเกิดก็แย่มากพออยู่แล้ว จิตใจทำด้วยอะไรกับการส่งข้อความมาย้ำอีกว่า ‘โทษทีนะที่บอกเลิกวันนี้ ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเกิด’! เพิ่งเลิกกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ความแคร์กันนี่ไม่เหลือแล้วเลยหรอไง! สรุปตั้งแต่คบกันมาใครที่มันหลอกใครกันแน่วะ!” เดี๋ยวนะ…
เอ่อ ฮ่ะๆๆๆ ผมพูดกับเพื่อนของผมใช่ไหม?
เมื่อวานผมนั่งกินเหล้ากับลีแล้วก็เดช ผมจำได้ว่าบ่นอะไรไม่รู้กับพวกมันเยอะมาก นี่ก็เป็นหนึ่งในอะไรสักอย่างที่ผมพูดกับเพื่อนของผม…ที่ร้านเหล้า…ใช่ไหม?
“คุณคิดว่าที่จริงแล้ว เพราะผมเป็นเกย์หรือเปล่า?”
“วันนี้ที่มันมีแต่เรื่องแย่ๆ มันอาจเพราะว่าผมเป็นเกย์ก็ได้” “หนึ่ง พยายามที่สุดแล้ว” ผมรู้ว่าผมพูดคำนี้หลายรอบมากแล้วในวันนี้ แต่ผมขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับวันนี้
ฉิบหายยย!!!!!!!
ยังไม่ทันทีที่ผมจะได้เปิดประตูห้องของตัวเอง ผมก็หันหลังกลับไปที่ห้องที่ผมเพิ่งออกมา ห้อง ‘B8003’ ก่อนจะเปิดผัวะ! เจอเข้ากับเจ้าของห้องที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำพอดิบพอดี
“เมื่อคืน”
“??”
“เมื่อคืนผมไม่ได้พูดอะไรกับพี่ใช่ไหม? แบบว่า ตอนพี่พาผมมาผมหลับปุ๋ยเลย แบบไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เงียบสุดๆ จนถึงเช้าเลย ใช่ไหมครับ?”
ขอเถอะ ขอให้ภาพที่ผมจำได้ลางๆ นั่นเป็นเพียงแค่ฝันไป
เรื่องที่ผมโดนบอกเลิก หรือวันเกิดอะไรที่ทำให้ผมเสียหน้านั่นผมพอรับได้ถ้าหากเผลอพูดกับตรงหน้าออกไป แต่อย่างน้อยแค่ ‘เรื่องนั้น’ ขอให้เป็นแค่ฝัน ขอแค่ ‘เรื่องนั้น’ ที่ผมไม่ได้พูดออกไปกับใครเลย!
“คุณพูดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ผมพาออกจากร้านจนถึงที่ห้อง”
อ๊ากกกกกกกกกกก!!!
“ผมพูดอะไรไปบ้างหรอ?” ผมถามเสียงแห้ง รู้สึกถึงเหงื่อที่มือ และขาก็หมดแรงคล้ายจะล้มพับ
“เรื่องเลิกกับแฟน เรื่องวันเกิด เรื่องที่ต้องออกจากหอ มีบ่นเรื่องที่เพื่อนไม่ให้กินเหล้าด้วยอะไรสักอย่าง แค่นั้น ก็ไม่เยอะนะ”
ไม่เยอะห่าอะไร นี่มันทุกเรื่อง!
แต่ดูเหมือนว่า ‘เรื่องนั้น’ ผมแค่คิดมากจนเก็บเอาไปฝันจริงๆ โอเคๆ ถ้าแค่เรื่องนั้นผมไม่ได้พูดออกไปก็พอแล้ว
“ผมพูดแค่นั้นใช่ไหมครับ อ่าา โอเคครับ ผมแค่มาถามดูน่ะ พอเหล้าเข้าปากแล้วผมชอบพูดไม่ดี กลัวว่าจะเผลอพูดอะไรที่ทำให้พี่ไม่พอใจไป” ผมโกหกไปคำโต “ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะครับ ขอโทษที่รบกวนอีกครั้งครับ”
ผมบอกลาเจ้าของห้อง ‘B8003’ ที่ผมยังไม่รู้ชื่ออีกครั้ง หมุนตัวกลับไปที่ประตูเตรียมออกจากห้อง แต่ว่า…
“เฮ้”
เสียงเรียกของอีกคนที่ดังขึ้นขัด ก็ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดของผมหยุดลงก่อนจะหันกลับมาตามเสียงเรียกนั้น “ครับ?”
ผมส่งเสียงตอบ แต่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้าวเดินตรงมาหาผมพร้อมสีหน้าที่ดูจริงจัง…มันดูเครียดมากจนผมเผลอถอย หลังติดประตูยามที่เจ้าของห้องเดินมาอยู่ตรงหน้าห่างกันไม่ถึง 30 เซนฯ
แปะ…
หะ?
ผมที่หลับตาปี๋ตอนที่มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าลืมตาขึ้นช้าๆด้วยความงุนงงเมื่อมือนั้น (ที่คิดว่าอาจจะโดนตบ (แบบที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร) หรือเท้าประตู (แบบในละคร)) วางลงบนหัวของผมพร้อมใบหน้าอ่อนลงที่ยื่นมาใกล้
“ผมรู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างผมจะพูดได้ แต่ว่า..ผมไม่อยากให้คุณดูถูกตัวเอง เรื่องที่เกิดกับคุณมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้กับทุกคน ทั้งผม ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย สิ่งที่คุณเป็นไม่ได้ทำให้คุณต่ำต้อยกว่าใครจนต้องสมควรที่รับอะไรอย่างนั้นอย่างที่คุณคิดเลย”
…สาบานไหมว่าการที่เจ้าของห้องพูดมาแบบนี้ คุณจะไม่รู้สึกตัวว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ไหนพี่บอกว่าผมพูดแค่เรื่องเลิกกับแฟน เรื่องวันเกิด เรื่องย้ายออกจากห้อง กับเรื่องที่เพื่อนไม่ให้ผมกินเหล้าไง…”
“อ่า มีเรื่องนี้ด้วยอีกเรื่องนึง แต่ว่าไม่ต้องห่วง คุณไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ผมไม่พอใจอย่างที่คุณกังวลอยู่หรอก สบายใจได้”
“มึงไหวปะ? กูเข้าใจนะเว้ยว่าคบกันมาเป็นปีก็ต้องมีอาลัยอาวรณ์บ้าง แต่เขาทิ้งมึงแล้ว มึงก็ต้องก้าวเดินต่อไป หรือรอใจเย็นกว่านี้ค่อยง้อก็ยังได้”
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แดกเหล้าอีกอะ”
“เออ ปกติก็ไม่ค่อยอยากเห็นด้วย แต่อันนี้กูเห็นด้วยกับไอ้เดช เมื่อคืนพอกูกลับมาไม่เจอมึงวุ่นวายกันฉิบหาย จะตามตัวจากพนักงานที่กูฝากให้ดูมึงไว้ เสือกกลับไปตอนไหนไม่รู้ แถมพอจะหาทางติดต่อพนักงานคนนั้น ก็ทำไม่ได้อีกเพราะดันไม่รู้ชื่อพนักงาน”
“เมื่อคืนพวกมึงไปทำอะไรกันมาเนี่ย ดูวุ่นวายจัง”
“พาหมาไปแดกเหล้าที่มันอกหักเนี่ยแหละ มึงน่าจะมาด้วยอะตาว”
“หยุดคุยเรื่องกูตอนที่กูก็นั่งฟังอยู่ได้ไหม รีบเก็บของได้แล้ว หมิวให้เวลากูแค่ถึงตอนเย็น ไม่ใช่เที่ยงคืน”
ผมหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสามคนพร้อมกับคว้าเสื้อผ้าที่ ‘ตาว’ เพื่อนในกลุ่มอีกคนเป็นคนพับ ยัดใส่กระเป๋าเป๋
“ก็แค่เล่าเรื่องระหว่างเก็บของเอง ทำงานเงียบๆ มันอึดอัดอะ” ลี ไอ้เพื่อนตัวดีทุกสถานการณ์เอ่ยพูดแก้ตัวพลางเอาชีทเรียนของผมใส่กล่องลังกระดาษโดยมีเดชเป็นคนคอยจัดที่จัดทางให้เป็นระเบียบ
“มึงก็พูดเรื่องอื่นดิวะ เรื่องมีเป็นร้อยเป็นล้าน” ผมพูดหัวเสีย
“เออ มึง แอนเจลิน่า โจลี่ เปลี่ยนสัญญาชาติแล้วนะเว๊ย”
“เฮ้ย จริงปะ!?”
“ไม่จริง…เนี่ยหนึ่ง พอคุยเรื่องอื่นแล้วมันไม่ค่อยมันส์เลยว่ะ ต้องเรื่องมึงอะ”
ผมเกลียดความกวนตีนหน้านิ่งของไอ้เดชชะมัด ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ใจผมไม่ค่อยอยู่กับล่องกับลอยผมคงนึกคำด่ามันได้แล้ว
“เออ หนึ่ง แล้วยังไงต่อวะหลังจากที่พี่เขาบอกว่ามึงไปพูดใส่พี่เขาทุกอย่างไอ้เรื่องเมื่อวานอะ” ลีถาม
“ก็ไม่แน่ใจ รู้สึกมึนๆ รู้ตัวอีกทีก็ยืนเคาะห้องตัวเองแล้ว แล้วก็นึกได้ว่ามีเรียนบ่ายก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็โทรให้มึงมารับนั่นแหละ จบ”
“เหล้าแม่งน่ากลัวสัส” ตาวเป็นคนแรกที่ออกความเห็นหลังจากที่ผมเล่าจบ
“ต่อไปมึงจะไม่แดก?”
“แดกอย่าให้หมาเหมือนหนึ่งดิ นี่ดีนะที่มึงแค่พูดเรื่องประสบการณ์วันเหี้ยอะไรของมึง กูเคยครั้งนึงกินเหล้าอยู่กับลูกบ้านข้างๆ ที่บ้านข้างๆ นั่นแหละ แล้วกูก็พูดเรื่องนู่นนี่ของกูไปเรื่อย พ่อแม่เพื่อนกูได้ยิน พอเจอหน้าพ่อกูก็จัดใส่ไม่มีเหลือ ความลงความลับอะไรของกูหลุดสู่พ่อแม่กูหมด ตอนนั้นกูก็ค้นพบสัจธรรมว่า ถ้ามีเรื่องที่ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ ก็ปิดข้างบ้านให้มิดด้วย”
“ดีนะ กูไม่สนิทกับข้างบ้าน แล้วข้างบ้านก็ไม่คิดจะผูกมิตรกับใคร”
“เออ แม่ง จะทักทายก็พูดว่า ‘หวัดดีครับ’ ดิวะ ไม่ใช่มาพูดเรื่องกู”
ผมนั่งฟังเพื่อนสามคนคุยกันแบบหน้าซีดๆ จากที่ผมนั่งคิดถึงคำพูดของเจ้าของห้อง B8003 ตลอดคาบบ่ายและภาพในหัวที่โผล่มาอย่างคับคล้าบคับคลา ผมก็มั่นใจว่าเมื่อคืมผมคงได้เผลอโพล่ง ‘เรื่องนั้น’ ออกไปจริงๆ แม้จะดูเหมือนว่าคุณเจ้าของห้องจะไม่ได้โฟกัสที่ว่าผมเป็นเกย์ แต่ผมคิดว่าเพราะไม่ได้ใส่ใจจุดนั้นเนี่ยแหละ ที่อาจจะทำให้เขาเผลอไปพูดต่อได้ง่าย
ถ้าเขาบังเอิญเจอพ่อผม แล้วไปทักทายด้วยเรื่องพวกนี้เขา…แบบ ‘เมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับลูกชายคุณนะครับ ผมว่าคุณพ่อควรจะให้กำลังใจเขานะครับว่า ‘เป็นเกย์’ ไม่ได้ทำให้ใครด้อยกว่าใคร’ อะไรประมาณนี้ ชีวิตผมคงจบ
ไม่ดิ!!
ตอนเช้าเขาไม่น่าจะได้เจอพ่อผม โอกาสเจอกันก็มีแค่ช่วงเย็น แล้วตอนนี้พ่อก็น่าจะยังไม่กลับบ้านด้วย ถ้าเกิดว่าผมไปคุยกับเขาก่อน……
“ลี เดช ตาว มึงรีบเก็บของเดี๋ยวนี้เลย กวาดใส่กล่องได้กวาด เสื้อผ้าอะไรไม่ต้องพับแล้ว ยัดใส่มาเลย! แล้วรีบขนขึ้นรถไอ้ลี กูจะรีบกลับบ้าน!!”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมเคาะห้อง B8003 ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ให้ความรู้สึกเคาะประตูห้องปกครองตอนที่โดนเรียกตัวให้ไปสารภาพผิดอะไรแบบนี้
ผมไม่เคยพูดเรื่องผมเป็นเกย์กับใคร แล้วอย่างที่ผมเคยบอก ผมไม่อยากแม้แต่จะจำได้ว่าผมเป็น มันไม่ใช่อะไรที่ผมภูมิใจนัก แต่ตอนนี้ผมกำลังจะพูดเรื่องพวกนี้กับคนแปลกหน้า คุยเรื่องความลับเดียวในชีวิตของผม
“ครับ?”
ผมเผลอหยุดหายใจชั่วขณะ เมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูออกมา เอาวะ…ไม่มีอะไรให้ลังเลแล้ว
“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ? ใช้เวลาไม่นานครับประมาณสิบนาที เอ่อ หรือห้านาทีก็ได้”
พี่เจ้าของห้องมีสีหน้างงงวยเล็กน้อยแต่ก็ยอมเบี่ยงตัวหลบไปในที่สุด ผมสูดหายใจให้กำลังใจตัวเองเต็มที่ก่อนจะเดินก้าว-
“อ้าว โยยังไม่ไปทำงานอีกหรอ?”
เสียงนี้มัน…
“วันนี้ผมลางานน่ะครับ เหมือนว่าแฟนผมจะมีปัญหา เลยว่าจะไปหาสักหน่อย”
ผมหันขวับไปทางเจ้าของห้อง B8003
เขา-เขา…รู้จักพี่เอสด้วย
“เตรียมเงินไปเท่าไหร่ละทีนี้ โทษที ปากไวน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของเสียงทุ้มพูดรับพร้อมกับยิ้มดูเหมือนว่าไม่ได้ติดใจเอาความอะไรกับความปากเสียของพี่เอสจริงๆ
….
ซื่อจัง
“งั้นพี่เข้าห้องก่อนนะ แล้วก็…ที่หนึ่ง ห้องเราอยู่นี่ ไปทำอะไรห้องโย”
“รู้ด้วยหรอ?” ผมหัวเราะเสียงแห้งขณะหันหน้ากลับมาทางพี่เอส “หนึ่งมีเรื่องจะคุยกับพี่โยนิดนึงก็เลยมาห้องพี่เขาไง ไมอะ ไม่ได้หรอ?”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่าไปก่อความเดือดร้อนให้พี่เขาแล้วกัน”
“หนึ่งอยู่ปีสองแล้วนะ”
“อ๋อหรอ ลืมๆ นึกว่ายังสิบขวบอยู่” พี่เอสหัวเราะก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง B8002 พอหลังจากพี่เอสไปแล้วผมก็คว้าข้อมือพี่โยเข้าห้อง B8003 บ้าง พร้อมปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ
ตอนที่กลับคอนโดฯ ผมยังคิดในแง่ดีว่าต่อให้เป็นเพื่อนข้างห้องกัน แต่ถ้าไม่รู้จักมักจี่กันก็คงไม่เอาเรื่องของผมไปเล่าต่อให้ใครฟัง แต่ดูจากที่คุยกับพี่เอสเมื่อกี้แล้ว ผมว่าไม่ใช่แค่รู้จักแบบทักว่า ‘หวัดดี’ กันไปมาด้วยซ้ำ
ความลับของผมกำลังอยู่ในอันตราย
“ผมจะพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยนะ” ผมเกริ่น สูดลมหายใจเข้าปอดไปอีกเฮือก “เรื่องที่ผมพูดไปตอนเมาเมื่อคืนน่ะ”
“…”
“เรื่องนั้นน่ะ เรื่องที่ผม…พูดอันหลังๆ อะ”
“ครับ? เรื่องเลิกกับแฟน?”
“ไม่ใช่”
“เรื่องวันเกิด?”
“ไม่ใช่ เรื่องที่ผมพูดก่อนที่ผมหลับอะ ที่ผมพูดหลังๆ โถ่เว้ย เรื่องที่ผมเป็นเกย์น่ะ!”
ผมพูดออกไปแล้ว!
“อ๋อ ครับ เรื่องนั้น”
“เรื่องนั้นแหละ! มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แล้วผมก็ไม่อยากให้ใครรู้ด้วย โดยเฉพาะครอบครัวของผม ที่จริงผมก็อยากจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตายไปพร้อมกับผม แต่นั่นแหละ เหล้าเอาความจริงผมออกมาแล้ว ผมถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ตอนนี้”
“…”
“ที่ผมมาวันนี้ผมเลยอยากจะมาขอให้-”
Rrrrrrr
“โทษทีนะ เดี๋ยวเราค่อยมาคุยต่อได้ไหม แฟนพี่โยเขาโทรตามแล้วครับ พี่โยต้องไปก่อน” ไม่พูดเปล่า พี่โยเจ้าของห้องเดินไปหยิบกระเป๋าตังและกุญแจรถก่อนจะดุ่มๆ ไปยังประตู ทิ้งผมที่ยังพูดไม่จบให้ยืนขวางทางอยู่กลางห้อง “ออกจากห้องล็อคประตูให้พี่โยด้วยนะ”
“อ่า ครับ”
ปัง…
ประตูห้องปิดลงไปแล้ว เจ้าของห้องก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแต่ผมที่ยืนเคว้งคว้างคนเดียวอยู่ในห้องของเพื่อนบ้าน…บ้าเอ้ย เขาจะรีบอะไรกะหนักกะหนากับแค่อยู่ฟังผมพูดว่า ‘พี่เก็บเป็นความลับได้ไหม?’ อีกแค่ประโยคเดียว แล้วเขาตอบว่า ‘ได้ครับ จะเก็บให้มิด’ แล้วค่อยออกไป ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำ!
บ้าเอ้ย! ความลับของผมอยู่ในระยะปลอดภัยหรือยังเนี่ย ทำไมเริ่มต้นวันเกิดปีที่ 20 ของผมถึงได้ย่ำแย่แบบนี้กัน คนบนฟ้าลืมให้พรวันเกิดผมหรอ ฮัลโล!?
เฮ้อ…ให้ตายเถอะ
ผมเกลียดเหล้าที่สุด
“พรุ่งนี้สงสัยต้องมาล็อคตัวแค่เช้า”
TBC