บทที่ 22
{ ทางออกสุดท้าย }
- Wan’s Part – คำอวยพรวันเกิดและท่าทีที่เปลี่ยนไปของพี่วิสกี้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นกว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถึงขนาดที่ว่ารีบล้างหน้าล้างตาแล้วเปิดประตูออกจากห้องเพื่อจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไปเล่าให้พ่อกันแม่ฟัง
“อ้าว ยังไม่นอนอีกหรอคะคุณวาฬ” แต่ในขณะที่เปิดประตูออกไป ก็เจอกับพี่ฟ้าที่กำลังถือถาดวางแก้วนมผ่านหน้าห้องนอนของผมไป
“ยังครับ ว่าจะลงไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่สักหน่อย”
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวเอานมนี่ไปให้นายเอียนก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวครับ” ผมถึงกับต้องเบรคพี่ฟ้าเอาไว้ทันที เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ไม่คิดว่าจะกินนมในเวลาแบบนี้ได้ “พี่ฟ้าคิดไงเนี่ยจะเอานมไปให้เอียน เขาไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ?”
“เปล่านะคะคุณวาฬ พี่ไม่ได้คิดเองนะคะ แต่นายวาฬเขาเดินลงไปขอพี่เองต่าง”
“เอียนเนี่ยนะขอเอง?” ผมถึงกับขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิมเมื่อได้ยินแบบนั้น
คือ.. ก็ไม่ได้ไม่เชื่อในสิ่งที่พี่ฟ้าพูดหรอกนะ เพราะยังไงก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ฟ้าจะต้องโกหกผมอยู่แล้ว เพียงแต่แค่..การขอรีเควสนมจากแม่บ้านของเอียนมันเป็นอะไรที่แปลกมากจริงๆ นั่นแหละ
“ใช่ค่ะ เขาลงไปขอกับพี่เองเลย ตอนแรกพี่ก็งงๆ นะคะ แต่ไม่กล้าถามอะไรมาก เดี๋ยวนี้หมอนี่ยิ่งอารมณ์ร้ายๆ อยู่ด้วย ไม่เห็นจะจะน่ารักเหมือนเมื่อก่อนเลย”
“...” นั่นสินะ.. ถ้าลองเป็นเมื่อก่อน เอียนคงสุภาพกับทุกคนในบ้านมากกว่า แต่ก็อย่างว่าแหละ เขาเองก็คงเจออะไรมาหนักหนาไม่น้อย ตั้งแต่วันที่หนีหายไป.. “งั้นเอามานี่ครับ เดี๋ยววาฬเอาไปให้เอียนเอง”
“อุ๊ย จะดีหรอคะ เขายิ่ง..”
“เอามาเถอะครับ วาฬจัดการได้” พูดจบแค่นั้น ผมก็หยิบแก้วนมมาถือไว้ ก่อนจะบอกให้พี่ฟ้ามีอะไรทำก็ไปทำได้ตามสบาย
ก๊อกๆๆ!
พอเห็นว่าพี่ฟ้าเดินลงไปแล้ว ผมก็เดินย้อนกลับมาที่หน้าห้องของเอียนเพื่อเคาะเรียกเขา
“...” ซึ่งไม่นานนัก เขาก็เปิดออกมา ก่อนจะมองผมสลับกับแก้วนมที่อยู่ในมือโดยไม่พูดอะไร
“คือ.. ฉันอาสาเอานมมาให้แทนพี่ฟ้าน่ะ หวังว่านายคงจะไม่ว่าอะไรนะ?” ผมเลยรีบพูดถึงสาเหตุที่ผมมาเคาะ เพราะถ้าไม่อย่างงั้น เขาอาจจะปิดประตูใส่หน้าผมเหมือนที่ผ่านๆ มาก็ได้
“...” แล้วก็เป็นอะไรที่แปลกมาก.. ที่วันนี้เขาไม่ปิดประตูใส่หน้าผมอย่างที่คิด แถมยังยื่นมือออกมารับแก้วนมด้วย จนผมคิดว่านี่น่ะ..ต้องเป็นสัญญาณที่ดีที่ผมกับเขาได้ปรับความเข้าใจกันแน่ๆ!
เพราะฉะนั้น.. “นี่” ก่อนที่เขาจะปิดประตูลง “ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายน่ะ” ผมเลยบอกความต้องการของตัวเองออกไป
แอ๊ดดดดด~
แล้วใครจะคิดครับ ว่าเรื่องน่าประหลาดใจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จากตอนแรกที่รับแก้วนมจากมือของผมไปแล้ว ตอนนี้เอียนยังเปิดประตูออกกว้างขึ้นเพื่อให้ผมเข้าตามคำขออีกด้วย!
แปลก แปลกมาก! แปลกที่สุด!!
“ขอบคุณนะ” แต่ถึงจะแปลกยังไง ผมก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปหรอก เอียนอุตส่าห์เปิดประตูให้ขนาดนี้ แล้วผมจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ
ปัง!
“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงปิดประตูไล่หลังของเอียนค่อนข้างแรงมาก จนผมเผลอคิดไปในด้านลบว่า..เขาอาจจะจู่โจมในขณะที่ผมหันหลังอยู่ก็ได้!
แต่ผลคือ.. “โทษที..ที่ทำให้ตกใจ” นอกจากที่เอียนจะไม่จู่โจมผมแล้ว เขายังกล่าวคำขอโทษผมด้วย ราวกับว่าเอียนที่เคยส่งสายตาชิงชังมาให้..พลันหายไปแล้วเสียอย่างงั้น?
“ไม่ต้องขอโทษหรอก”
ซึ่งพอผมบอกเขาว่าไม่ต้องขอโทษ เอียนก็พยักหน้าหนึ่งที แล้วเงียบไป.. ปล่อยให้ผมยืนงงๆ ว่าจะสามารถจัดวางตัวเองเอาไว้ตรงไหนของห้องๆ นี้ได้บ้าง คือไม่ใช่ว่ามันรกหรืออะไรหรอกนะ ในทางตรงกันข้ามคือมันแทบจะไม่มีร่องรอยของการใช้ชีวิตเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่แค่..พอความผูกพันที่เคยมีมันหายไป อะไรๆ มันก็ดูจะวางตัวลำบากไปเสียหมด
“...” แต่ก็เพียงไม่นานนัก เอียนที่ตอนแรกเอาแต่ยืนเงียบก็เริ่มขยับร่างกายไปยังโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่เขาจะวางแก้วนมลงบนนั้น พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น เอาหลังพิงกำแพง
“...” ในขณะที่ผมยืนชั่งใจอยู่เกือบนาที ก่อนที่จะตัดสินใจเดินไปนั่งในแนวเดียวกับเขา เพียงแต่เว้นระยะห่างแบบที่สามารถให้คนมานั่งตรงช่องว่างระหว่างพื้นที่ได้ถึงสองคน
คือ..ก็ไม่ได้อยากจะทำตัวตีสนิทอะไรหรอกนะ เพียงแต่แค่คิดว่า ถ้าจะต้องคุยกันจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะยืนค้ำหัวเขา หรือว่านั่งห่างกันมากจนเกินไปอะไรแบบนั้น
“มีอะไรจะพูด ก็พูดมาสิ” แล้วเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเรื่องที่สามก็เกิดขึ้น เมื่อผมที่ไม่รู้จะเริ่มต้นการสนทนาในครั้งนี้ยังไงดี กลับได้ตัวช่วยเป็นเอียนที่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา ถึงน้ำเสียงจะดูไร้อารมณ์อย่างมาก แต่ก็ดีกว่าที่เขาไม่พูดอะไรกับผมเลยน่ะนะ
“คือ.. ก่อนอื่นเลย ฉันอยากจะขอโทษนายนะเอียน ขอโทษ..สำหรับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับนาย โดยเฉพาะ..เรื่องในคืนนั้น..”
“...”
“ฉันเสียใจมากจริงๆ นะ ไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างเป็นแบบนั้นเลย เพียงแต่ถ้าแค่ตอนนั้นนายฟังฉัน...”
“ขอโทษหรอ?”
“วะ..ว่าไงนะ?”
ตอนแรกทุกอย่างดูจะไปได้สวยนะ คืออย่างน้อยๆ เอียนก็ยอมนั่งฟังผมแต่โดยดี แต่พอถึงตอนที่ผมจะเริ่มอธิบายเนี่ยสิ เขาก็ดันถามขัดขึ้นมา ก่อนที่แค่นหัวเราะในลำคอ จนผมถึงกับต้องหันไปถามซ้ำ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงต้องขัดขึ้นมาแบบนี้ด้วย
“นายรู้สึกผิดกับเรื่องนี้จริงๆ น่ะหรอวาฬ?”
“กะ..ก็ต้องรู้สึกผิดอยู่แล้ว ในเมื่อ..”
“ถ้ารู้สึกผิดแล้วทำไมถึงทำให้ฉันต้องกลับมาติดอยู่กับนายด้วย!?”
“...”
“ทำไมถึงไม่ปล่อยฉันไปสักที!!?”
แล้วเอียนก็ทำเอาผมอึ้งไปเลย เมื่อจู่ๆ เขาก็หันมาเขย่าตัวผมแรงๆ อย่างบ้าคลั่ง จนความกลัวเข้าครอบคลุมหัวใจผมในช่วงเวลาอันรวดเร็ว
สะ..สายตาเกลียดชังของเอียนมันกลับมาอีกแล้ว!
“เอียน...” แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังใจดีสู้เสือนะ พยายามที่จะเรียกชื่อเขาเพื่อให้ฟังผมบ้าง
แต่กลับกลายเป็นว่า.. “ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน!” ..ยิ่งทำให้เขาเขย่าตัวผมแรงยิ่งกว่าเดิม!
“...”
“ฉันเคยคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ทั้งๆ ที่ฉันเกลียดการที่ต้องมาอยู่ทำพันธะสัญญายังกับทาสของมนุษย์ แต่ฉันก็ยังเฝ้าอุตส่าห์ดูแลนายสารพัด แทบจะไม่ต่างจากนายชายในไส้!”
“...”
“แล้วนายตอบแทนฉันยังไงวาฬ.. ตอบแทนด้วยการจูบอย่างงั้นน่ะหรอ ไอ้คนผิดเพศ!!”
“เอียน.. ปล่อย..” แรงบีบที่มาพร้อมคำด่าของเอียนเริ่มทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่หัวไหล่ทั้งสองข้างมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามจะขอให้เขาปล่อยแล้วนะ แต่กลายเป็นว่าเขายิ่งบีบแรงขึ้น จนผมต้อง.. “บอกให้ปล่อยไงเล่า!” ..ผลักเขาออกไปให้ห่างจากตัว!
ทำให้เอียนหงายหลังไปชนกับขอบเตียงอย่างรุนแรง “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ~” แต่แทนที่เขาจะโวยวาย กลับหัวเราะราวกับว่าสะใจในความเจ็บที่เกิดขึ้นยังไงยังงั้น ยะ..ยังกับพวกคนบ้า!
“ฟังฉันนะเอียน ฉัน..”
“ฉันจะไม่ฟังอะไรจากปากนายทั้งนั้นแหละ!”
“แต่นายต้องฟัง!”
“...”
“นายควรได้รู้เรื่องจูบนั่น ว่าที่จริงแล้วฉันแค่ต้องการพิสูจน์ความรู้สึกที่มีต่อนายก็เท่านั้น และผลก็คือฉันไม่ได้ชอบนายเลยสักนิด มันเป็นแค่ความสับสนในวัยเด็ก นายเข้าใจฉันมั้ย!” ผมยืนหอบหายใจทันทีเมื่ออธิบายทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าเดี๋ยวเอียนก็จะหาเรื่องขัดขึ้นมาอีก
“...” ซึ่งผลคือ..เอียนดูนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนว่าเขากำลังตกใจกับสิ่งที่ผมพูด “นี่แสดงว่าที่ผ่านมา..ฉันเข้าใจนายผิดมาตลอดเลยอย่างงั้นหรอ?” ไม่เพียงเท่านั้น.. เขายังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้า คล้ายกับคนที่กำลังตกอยู่ในอาการรู้สึกผิดจากสิ่งที่เข้าใจผิดมาอย่างยาวนาน..
“เอียน..” ด้วยความเห็นใจ ผมจึงรีบก้าวยาวๆ เข้าไปหาเอียน ตั้งใจจะช่วยดึงตัวให้ลุกขึ้น และหมายจะปลอบโยนเขาเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ทว่า.. “เอียน!”
ปึก!
แทนที่เขาจะเศร้าอย่างที่แสดงออก เอียนกลับผลักผมจนล้มลงนอนกับพื้น ก่อนที่เขาจะตามเข้ามากดไว้ พร้อมกับระเบิดหัวเราะใส่หน้าผมด้วยสีหน้าของคนที่เสียสติไปแล้ว!
“มาบอกตอนนี้มันก็สายไปแล้ว! เพราะถึงยังไงนายก็เป็นเกย์ ได้ยินมั้ย นายเป็นเกย์! ไอ้พวกสิ่งมีชีวิตน่าสมเพช!”
“...”
“ฉันน่ะ..ขยะแขยงไอ้พวกผิดเพศอย่างนายเต็มทนแล้ว! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ~ นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องยอมโดนอะไรบ้าง เพื่อให้พวกพ่อมดเกย์พวกนั้นมันช่วยปิดบังเรื่องของฉันน่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ~”
“ฮึก..”
“น่ะ..นี่นายร้องหายหรอ!? โอ๋ๆๆ ไม่เอาสิ จุ๊ๆๆ อย่าร้องนะ เพราะถ้ายิ่งนายร้อง ยิ่งนายขอความเมตตา พวกมันก็จะยิ่งทำกับนายเหมือนสัตว์ เหมือนกับที่มันทำกับฉันไง!”
“ฮึก..” ผมรู้นะว่าเวลาแบบนี้ควรที่จะต้องเข้มแข็งเอาไว้เพื่อหาทางรอด เพราะการแสดงออกของเอียนเข้าขั้นจิตวิปริตไปแล้ว แต่ว่า.. พอฟังจากสิ่งที่เขาเล่า.. ผมก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้จริงๆ เพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่า.. ฮึก.. เขาเจอเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้าง ถึงได้ส่งผลต่อจิตใจของเขาจนมันผิดเพี้ยนไปขนาดนี้..
“นี่โชคยังดีนะ ที่ตระกูลพยอนช่วยฉันไว้ ฉันถึงได้อยู่อย่างปลอดภัยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วยังไงต่อรู้มั้ย?”
“ฮึก..”
“แล้วไอ้ความรักผิดเพศของนายกับไอ้พ่อมดนั่นก็ทำให้ฉันต้องกลับมาเดือดร้อนอีกครั้ง!”
“ฮึก..”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ~ ได้ยินมั้ยวาฬ!”
“ฮึก..”
“ความรักของนายทำให้ฉันเดือดร้อน ได้ยินมั้ย!!?”
“เอียน!” เอียนเขย่าตัวผมอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่เขาจะดึงผมให้ลุกขึ้นมา แล้วโยนกลับไปนอนกองกับพื้นตามเดิม
ซึ่งมันเจ็บมาก.. แต่ผมไม่มีเวลามาสำออยอะไรทั้งสิ้น เพราะต้องใช้จังหวะนั้นหนีออกจากห้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
ทว่า..
ปึก!
“อื้อ!” ผมกลับล้มลงนอนคว้าหน้ากับพื้น เมื่อเอียนใช้เวทมนตร์เสกเชือกขึ้นมามัดมือมัดเท้าของผมไว้ รวมถึงเสกผ้ามามัดปากผมด้วย!
“จะหนีไปไหนล่ะ ไหนว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่หรอ ฉันรอฟังอยู่นะ” ก่อนที่เอียนจะตามมาลากผมกลับไปกลางห้อง แล้วจับพลิกให้นอนหงาย
“อื้อ!” ผมร้องเสียงหลงเลยเมื่อจู่ๆ นายเอียนก็ขึ้นคร่อมร่างของผมเอาไว้ เพราะถ้าเป็นตอนที่เขาปกติดี ผมจะไม่คิดไปในเรื่องใต้สะดือเลย แต่พอเขาเสียสติแบบนี้แล้ว... เขาอาจจะทำอะไรกับผมก็ได้นั้น!
“จุ๊ๆ อย่าร้องสิ ฉันไม่ได้จะทำอะไรนายสักหน่อย”
“...”
“ฉันแค่อยากจะเป็นอิสระจากเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง นายเข้าใจฉันใช่มั้ย..นายตัวเล็ก”
“...”
ผมรู้สึกสะเทือนใจกับคำเรียกนายตัวเล็กของเอียนมาก เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน มันคือความเอ็นดูในแบบของพี่ชาย แต่กับตอนนี้..ตอนที่เขาค่อยๆ เอามือลูบหัวผมพร้อมทั้งฉีกยิ้มจนผิดธรรมชาติ มะ..มันกลับทำให้ผมชักไม่แน่ใจ.. ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกับผมกันแน่!?
“และทางเดียวที่ฉันจะหลุดพ้นจากนายได้ก็คือ.. นายจะต้องตายซะ!!!”
“อื้อ!!!”
โดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว สองฝ่ามือใหญ่ๆ ของเอียนก็ตรงเข้าบีบคอผมอย่างแรง จนผมต้องพยายามดิ้นพล่านเพื่อเอาชีวิตรอด
“ฮึก.. อย่าโกรธกันเลยนะ ฮึก.. ฉัน.. ฮ่าๆๆๆๆๆๆ~ ฉัน.. ฉันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ!”
“อึก..” แต่ก็อย่างที่ผมเคยได้บอกไปแล้ว ว่าเอียนน่ะตัวใหญ่กว่าผมมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางเลยที่ผมจะสู้แรงของเขาได้..
ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันชาไปหมดหลังจากนั้น.. รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่หลงเหลืออากาศให้หายใจอีกต่อไป.. รวมถึงแรงที่ดิ้นรนต่อสู้ก็น้อยลงเรื่อยๆ ตามไปด้วย
จนในวินาทีนั้น.. ผมเริ่มคิดถึงหน้าพ่อกับแม่.. ตามด้วยพวกเพื่อนๆ ก่อนที่จะจบท้ายด้วย..เหล้ารัม..
“อึก..” ใจจริงผมก็ไม่ได้อยากจะยอมแพ้แค่นี้หรอกนะครับ แล้วก็ไม่ได้อยากจะให้ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้ด้วย เพียงแต่.. ผมคงทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจริงๆ..
“นี่มันอะไรกัน?” แต่ในขณะที่ผมกำลังจะหมดลมหายใจอยู่ในเสี้ยววินาทีนั้น.. จู่ๆ เอียนก็ดันปล่อยมือของเขาออก!? ก่อนที่เขาจะจับมือที่ถูกมัดอยู่ของผมชูขึ้น และชี้ไปยังด้ายแห่งพันธะสัญญาที่ปรากฏขึ้นมา..
เพล้งงงง!!
ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป หน้าต่างห้องที่เคยปิดทึบก็ถูกระเบิดออก พร้อมกับใครอีกคนที่พุ่งตัวเข้ามา..
คนที่...อยู่อีกฝั่งของเส้นด้ายระหว่างเรา!
“แกนี่เอง! ตายซะ!” แต่ยังไม่ทันที่ผมกับเหล้ารัมจะได้พูดอะไรต่อกัน เอียนก็ระเบิดเสียงดังลั่น ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเหล้ารัมทันที!
เพล้ง!
แรงชนของทั้งเหล้ารัมและเอียนส่งผลให้หลอดไฟด้านบนแตกละเอียด จนห้องที่เคยสว่างไสวกลับมืดลงจนมองไม่เห็นสิ่งใด
ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน...
ตู้มมมมมมมมมม!
ฟิ้วววววว!
ฟิ้วววว!
ตู้มมมมมมมม!!
...แสงสีเสียงตระการตาจากพลังเวทมนตร์ก็ถือกำเนิดขึ้น!
ตู้มมมมมมมมมมมมมม!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!”
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะคลานไปหลบตรงมุมๆ ห้อง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่โดนลูกหลงจากการปะทะกันของพ่อมดทั้งสอง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอย่างที่ใจคิด เสียง ‘ตู้ม’ สุดท้ายก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องที่ต่อจากนั้นที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าเป็นของใคร
พรึ่บ!
จนกระทั่งหลอดไฟที่เคยแตกไปแล้วกลับมาสว่างไสวอีกครั้งนั่นแหละ ผมถึงได้พรั่งพรูน้ำตาออกมา.. ฮึก.. ดะ..ด้วยความดีใจ.. ที่ได้เห็นว่าคนที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็คือเอียน ในขณะที่เหล้ารัมยืนหอบหายอยู่เหนือร่างนั้นอย่างผู้ชนะ!
“วาฬ!” แต่พอเขาหันมาเห็นว่าผมมองอยู่ ก็รีบตรงรี่เข้ามาแกะทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพันธนาการออกให้ แล้วเริ่มถามในสิ่งที่ทำเอาผมถึงกับน้ำตาพรั่งพรู “เป็นยังไงบ้าง เจ็บอะไรต้องไหนมั้ย แล้วมันทำอะไรคุณรึเปล่า!?”
“ฮึก..” จริงๆ คือช่วงคอของผมที่โดนเอียนบีบมันก็มีความเจ็บอยู่นะ แต่เมื่อเทียบกับบาดแผลตามร่างกายของเหล้ารัมที่โคตรจะยับเยินแล้ว ผมก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด..
นี่เขา.. ฮึก.. เคยห่วงตัวเองมากกว่าผมบ้างมั้ยเนี่ย!?
“คุณนี่มัน..” และเพราะว่าหมดคำจะพูด ผมเลยเลือกที่จะดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบหนักๆ เพื่อบอกผ่านทุกความรู้สึกที่อยู่ในใจ
“อ๊ะ!” ซึ่งตอนแรกเหล้ารัมก็ดูจะชะงักไปเล็กน้อยนะ คงเพราะไม่คิดว่าจู่ๆ ผมก็จะส่งสัมผัสอันหนักหน่วงผ่านทางริมฝีปากให้เขาแบบนี้ แต่พอเขาเริ่มตั้งตัวได้เท่านั้นแหละ เลยสลับกลับกลายเป็นฝ่ายผมที่อ่อนระทวยเสียจนต้องให้เหล้ารัมประคองร่างกายเอาไว้แทน
ปัง!
ผมกับเหล้ารัมเราแทบจะไม่มีทีท่าว่าจะผละออกจากกันและกันเลยนะ เพราะยิ่งจูบกันเท่าไหร่ เราทั้งคู่ก็ดูจะยิ่งโหยหากันมากขึ้นเท่านั้น จนในช่วงขณะหนึ่ง..มันเกินเลยไปถึงขั้นที่สอดผ่านมือเข้าไปในส่วนใต้ร่มผ้ากันแล้ว..
“วาฬ นี่มันเกิดเราเรื่องอะไรขึ้น!?”
แต่ทำไงได้ล่ะ ถึงไม่อยากผละก็ต้องผละน่ะนะ เมื่อในเวลาต่อจากนั้น ประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับผู้คนที่พากันกรูเข้ามา ทั้งเหล้ารัมและผมจึงต้องผละออกจากกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เหล้ารัม นี่นายหนีออกมาจากคุกต้องห้ามได้ยังไงเนี่ย!? นี่ถ้าเกิดทางคุกไม่แจ้งว่านายหนีมาที่นี่ ฉันไม่ทางเชื่อหูตัวเองจริงๆ ด้วย” แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้รับคำอธิบายจากสิ่งที่เกิดขึ้น พี่วิสกี้ที่ตามเข้ามาทีหลังก็แผดเสียงนำหน้ามาซะก่อน
ซึ่งพอเห็นว่าพี่สาวของตัวเองเดินเข้ามา สิ่งแรกที่เหล้ารัมทำก่อนตอบคำถามก็คือคว้าผมเข้าไปกอดไว้แน่น ก่อนที่จะถอยออกให้ห่างจากพี่วิสกี้ ราวกับกลัวว่าเธอจะพรากเราสองคนออกจากกันอีกครั้ง.. “คือ.. ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แวบนึง..เหมือนลางสังหรณ์มันบอกผมว่า..วาฬกำลังตกอยู่ในอันตราย ผมก็เลย..ตัดสินใจแหกคุกออกมาช่วยเขา”
“แล้วก็สำเร็จเนี่ยนะ!?”
“ใช่ครับ ผมถึงได้ยับเยินแบบนี้ไงพี่”
“นายนี่มัน.. บ้ามาก!” พี่วิสกี้ถึงกับตีหน้าผากตัวเองไปทีนึงเลยเมื่อได้ยินคำยืนยันจากน้องชายของตัวเองถึงเรื่องของการแหกคุกต้องห้ามแบบนั้น ราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว
“แล้วทำไมคุณถึงได้มีลางสังหรณ์ว่าผมกำลังตกอยู่ในอันตรายล่ะครับ?” ผมเลยอาศัยจังหวะที่พี่วิสกี้กำลังเดินไปเดินมา ถามถึงเรื่องลางสังหรณ์อันแม่นยำของเหล้ารัม
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ” แล้วผลก็คือ.. คนที่กอดผมอยู่ก็ดูจะไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน ว่าลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากอะไรกันแน่ “แต่อาจจะเป็นเพราะ.. สายใยในการทำพันธะสัญญาครั้งที่สองของเราก็ได้” มีแต่เพียงแค่การสันนิษฐานเท่านั้น
แต่รู้อะไรมั้ย ผมว่าผมเชื่อในการสันนิษฐานครั้งนี้ของเหล้ารัมนะ เพราะดูอย่างตอนที่ผมยังไม่รู้เรื่องอะไรสิ ยังฝันว่าเหล้ารัมบอกว่าจะตายไปพร้อมกับผมเลย แล้วเป็นไง มันก็กลายเป็นแบบนั้นจริงๆ คล้ายกับลางบอกเหตุยังไงยังงั้น
ซึ่งผมว่า..มันน่าจะเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั่นแหละ..
“แล้วนี่ทำไมนายเอียนถึงได้มาจมกองเลือดอยู่ตรงนี้เนี่ย!?” แล้วจากนั้นคำถามของพี่วิสกี้เรียกความสนใจจากทุกคนอีกครั้ง ผมถึงได้เห็นว่าเธอกำลังหันไปหาคำตอบจากคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ในห้องแทน โดยมี.. พ่อผม แม่ผม พี่ฟ้า ฟาเรเนีย แล้วก็มะม่วง รวมทั้งสิ้นห้าชีวิต
จะ..จนผมเองยังงงเลยว่าทำไมถึงได้ขนกันมาเยอะแยะขนาดนี้?
กระทั่งได้ยินคำตอบจากพ่อที่กล้าพอจะหันไปตอบคำถามพี่วิสกี้ “พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงดังโครมครามจากในห้อง แต่พยายามช่วยกันเปิดประตูเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักที ก็เลยไปตามฟาเรเนียมาช่วยเปิดให้ ถึงได้เข้ามาได้ แต่ยังไม่ทันที่พ่อจะได้ถามอะไรให้รู้ความ คุณก็ดันมาซะก่อนนี่ไง” ถึงได้เข้าใจเรื่องราวราวที่เกิดขึ้นด้านนอก
ซึ่งพอพี่วิสกี้ได้ยินแบบนั้น เธอจึงหันมาทางผม เหมือนต้องการคำตอบที่ดีกว่าคำว่า ‘ไม่รู้’ จากคำถามเดิมที่ได้ถามไปแล้ว
ผมก็เลยเริ่มเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกคนฟัง จนถึงตอนที่เหล้ารัมมาช่วยนั่นแหละ
“นี่มันบีบคอคุณงั้นหรอเนี่ย!?” แต่แทนที่พี่วิสกี้ซึ่งเป็นคนที่ต้องการคำตอบจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง กลับเป็นเหล้ารัมที่ตั้งท่าจะเดินไปจัดการเอียนซ้ำ เลยร้อนถึงพี่วิสกี้ที่ต้องรีบเข้ามาห้ามน้องชายของตัวเอง
“พอได้แล้วเหล้ารัม อยากติดคุกข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไง!?”
“...” ผมรู้สึกโล่งใจที่เหล้ารัมยอมหยุดตามคำเตือนของพี่วิสกี้ แต่ที่แย่คือ..พอพี่วิสกี้เข้ามาใกล้ นายพ่อมดเหล้าก็ทำการคว้าตัวผมแล้วรีบถอยห่างออกมาอีก จนถึงขนาดที่ว่าพี่วิสกี้ดูจะชะงักไปเลย..
ก๊า!
..ห้องทั้งห้องเกือบจะตกอยู่ในความเงียบ ถ้าไม่ได้เสียงจากกาของฟาเรเนียที่ร้องขึ้นมา ก่อนที่เจ้าของของมันจะเดินเข้าไปใกล้ร่างเอียน แล้วหันมาถามเสียงเรียบ
“ให้พาคนเจ็บไปส่งโรงบาลก่อนมั้ย?”
“ก็ดี แต่พาไปโรงพยาบาลในคุกนะ จะได้ขึ้นทะเบียนนักโทษไปทีเดียวเลย”
ก๊า!
เป็นอีกครั้งที่อีกาบนไหล่ของฟาเรเนียส่งเสียงขึ้น คล้ายต้องการจะตอบรับคำของพี่วิสกี้แทนเจ้านาย
ฟึ่บ!
ก่อนที่หลังจากนั้นฟาเรเนียจะก้มลงแตะตัวเอียน แล้วทั้งคู่ก็พลันหายตัวออกจากห้องนี้ไป..
ลาก่อนนะ..เอียน
“ส่วนนาย ฉันขอคุยกับนายเป็นการส่วนตัวจะได้มั้ย?” ซึ่งพอหลังจากที่เคลียร์เรื่องร่างนองเลือดของเอียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนต่อไปที่พี่วิสกี้ต้องการจะเคลียร์ก็คือ..ผม
ทว่า.. “ไม่!” กลับเป็นเหล้ารัมที่ปฏิเสธ แล้วเบี่ยงตัวมาบังเพื่อให้ผมซ่อนอยู่ด้านหลังของเขาแทน
ซึ่งถ้าเป็นปกติ พี่วิสกี้คงแผดเสียงใส่น้องชายของเธอไปแล้ว แต่กับคราวนี้.. “เหล้ารัม.. ถ้านายอยากได้ทางออกของปัญหานี้ นายต้องยอมให้พี่คุยกับวาฬเป็นการส่วนตัว”
“แต่ว่า..”
“จงเชื่อใจพี่”
“...”
“เพราะถ้าไม่อย่างงั้น ก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่นายต้องการ”
“...”
พอเจอคำพูดแบบนั้นของพี่วิสกี้ เหล้ารัมก็หันมองหน้าผม เหมือนต้องการให้ผมเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะตัดสินใจ
“ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปคุยกับพี่วิสกี้เอง”
แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่คุยล่ะ ในเมื่อตลอดระยะเวลาตั้งแต่ที่โดนจับได้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สอง พี่วิสกี้ก็แทบจะไม่เคยเปิดโอกาสให้เราได้เจรจากับเธออย่างเป็นทางการเลยกันสักครั้ง
แถมครั้งนี้สัญญาณที่พี่วิสกี้ส่งมาก็ดูจะดีกว่าทุกครั้งด้วย ผมจะไม่ยอมให้โอกาศดีๆ แบบนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด!
“งั้นพี่จะไปรอข้างนอกนะ” พอพูดจบ พี่วิสกี้ก็เดินออกจากห้อง เลยเหลือก็แต่เหล้ารัมเท่านั้นที่ต้องตกลงว่าควรจะเอายังไง?
และผลก็คือ..
“โอเค” เหล้ารัมยอมตกลง ..เยส!
“งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ : )” ผมเลยรีบเดินตามพี่วิสกี้ไป ด้วยหัวใจที่เต้นแรง..
/ ต่อด้านล่าง /