ตอนที่ 1 พี่เป็นลูกครึ่ง...
“เชี่ยวิน พอเหอะ มึงจะกินให้ตายเลยหรือไงวะ” พี่เวสปรามคนข้างๆผมที่ตั้งแต่มาถึงก็กระดกเหล้าเข้าปากอย่างกับน้ำเปล่า
พวกผมมากินเลี้ยงทั้งสายรหัสกันที่ร้านเหล้าแถวมอครับ พี่เวสเป็นพี่ปีห้า แกเล่นดรอปไว้วิชานึงตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วเสือกไม่ไปเก็บเลยยังต้องมาเรียนอยู่ ไม่งั้นเรียนไม่จบ ส่วนผมชื่อน้ำเป็นน้องปีหนึ่ง เด็กสุดในโต๊ะเลยแต่ก็หล่อสุดด้วย ไม่ต้องรอใครชมผมก็ชมตัวเองนี่แหละ
“ได้ก็ดี” พี่วินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจแล้วยังกินต่อจนผมต้องเสียมรรยาทแย่งแก้วมาจากมือเขา แอบรู้มาจากพี่เวสว่าพี่วินเครียดๆเรื่องโปรเจคจบที่ทำโดนลอกซะงั้น เลยต้องคิดใหม่ทำใหม่หมด
“แก้วนี้ผมขอนะพี่ ดื่มเยอะเกินไปแล้ว” ผมเอ่ย พี่เวสมองผมอย่างอึ้งๆ เพราะพี่วินเป็นคนนิ่งๆ บวกกับสายตาคมๆที่เวลาไม่พอใจใครแค่มองก็กลัวแล้ว เลยทำให้ไม่มีใครกล้าขัดใจอะไรพี่เขานัก ขนาดพี่เวสยังได้แค่เอ่ยปรามๆเท่านั้นเอง แต่ผมที่เป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่งเสือกคว้าแก้วพี่เขามาเสียดื้อๆ ทำให้แววตาคมตวัดมองอย่างไม่พอใจ
น่ากลัวสัสๆ ผมนี่เสียวสันหลังวูบเลย ตอนแย่งแก้วพี่เขามาในหัวผมก็ไม่ได้คิดก่อนไง ไม่ใช่ว่าใจกล้าห่าเหวอะไรทั้งนั้นอะ แค่อยากให้พี่เขาหยุดดื่มได้แล้ว เพราะเดี๋ยวก็ต้องขับรถกลับเองอีก ถ้าดื่มหนักกว่านี้ขับไปไม่พ้นแยกหน้าก็ได้ทักทายเสาไฟฟ้าอย่างแนบชิดแน่ๆ
“ยุ่ง”พี่วินพูดแต่นั้น แต่ก็ยอมหยุดกินเหล้าโดยดี มือเรียวคว้าแก้วสไปรท์ของพี่ขิงมาดื่มแทนแล้วลุกยืน “กลับนะ จะกลับกันหรือยัง” ผมกับพี่เวสมองดูแต่ละคนในโต๊ะที่ก็เมากันมากแล้วเลยแยกย้ายกันกลับเลย พี่เวสอาสาไปส่งพี่ขิงที่เป็นพี่ปีสอง พี่แม็คปีสามแฟนมารับ ส่วนผมขับมอไซค์มา แต่ตอนที่กำลังเดินออกจากร้านกันพี่วินก็เดินชนใครไม่รู้ ดีที่ผมคว้าไว้ทันเลยไม่ล้มไปเสียก่อน
“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะครับ” ผมเอ่ย อีกฝ่ายยกมือบอกเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไรผมเลยส่งยิ้มขอบคุณเขาไปทีนึง “พี่วินโอเคนะครับ?” ผมถามเพราะพอพยุงออกมานอกร้านก็ทำให้เห็นว่าพี่วินหน้าแดงมาก ลามไปยันลำคอขาวๆที่ตอนนี้แดงจนผิดสังเกต
“วินกูไปส่งดีกว่ามั้ย” พี่เวสพูดแต่พี่วินก็ส่ายหน้า
“ไปส่งน้องขิงเหอะ ดึกแล้วเดี๋ยวหอในปิด ผมยังโอเค” คนที่บอกว่าตัวเองโอเคพยายามยืนตรงๆให้อีกคนดูแต่สุดท้ายก็โงนเงนหน้าจะทิ่มจนผมต้องคว้าไว้อีกที
“ให้ผมไปส่งดีกว่าไหมพี่ แค่เดินผมยังต้องพยุงเลย ยังไงพี่ก็ขับไม่ถึงคอนโดแน่ๆ อะ”
“ทำไมยุ่งจังวะ” พี่วินหันมาบ่นรำคาญๆ แต่ก็ส่งกุญแจรถให้ผมโดยดี พี่เวสเห็นอย่างนั้นก็ดูเบาใจขึ้นมาหน่อย
“ฝากดูมันที ถ้าส่งมันถึงคอนโดแล้วโทรมาบอกด้วย” พี่เวสบอก ผมพยักหน้ารับก่อนพาคนเมาขึ้นรถแล้วขับออกไป คอนโดพี่วินอยู่ติดมหาลัย พี่เวสเคยชี้ให้ดูเลยรู้จักแต่ก็ไม่รู้ว่าห้องไหน พอขับถึงแล้วคนข้างๆก็ผล็อยหลับไปแล้วเสียอย่างนั้นเลยต้องล้วงคีย์การ์ดจากกระเป๋ากางเกงพี่วินมาดูเผื่อมีเขียนเลขห้องเอาไว้จะได้อุ้มไปส่งเลย ดูพี่เขากำลังหลับสบายไม่อยากปลุก พี่วินตัวนิดเดียวผมอุ้มไหวอยู่แล้ว โชคดีที่คีย์การ์ดมีเขียนเลขห้องเอาไว้นะครับ….แต่ 0000 นี่ห้องอะไรวะเนี่ย ปกติสองตัวแรกจะบอกชั้น ส่วนสองตัวหลังจะเป็นเลขห้องไง แต่ชั้น 0 ห้อง 0 นี่คือยังไง ผมขมวดคิ้ว ลองโทรไปถามพี่เวสเขาจะรู้ไหมวะ
[ว่าไง ถึงแล้วใช่มั้ย] ทันทีที่กดโทรออก ปลายสายก็รับอย่างรวดเร็ว
“ครับพี่ แต่ผมไม่รู้ห้องพี่วิน พี่เวสพอจะรู้ไหมอะครับ”
[มันหลับไปแล้วหรอ งั้นลองล้วงๆกระเป๋ากางเกงหาคีย์การ์ดดูนะ แล้วในลิฟต์จะมีที่แตะคีย์การ์ดอะ ไม่ต้องกดชั้นอะไรทั้งสิ้น พอลิฟต์เปิดก็ถึงหน้าห้องไอ้วินเลยทั้งชั้นมีมันอยู่ห้องเดียว]
“โอเคครับพี่ ขอบคุณครับ” ผมกดวางสายแล้วออกไปเปิดประตูฝั่งที่พี่วินนั่ง ช้อนตัวอีกคนขึ้นมาอุ้มเอาไว้แล้วพาเดินไปเข้าไปในตัวตึกซึ่งหรูสัสๆอะ ขนาดรปภ.ยังใส่สูท พอเข้าไปในลิฟต์ก็แตะคีย์การ์ดกับจอเล็กๆ ใต้แผงปุ่มกดชั้นต่างๆ แบบที่พี่เวสบอก แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อตอนนี้ผมอยู่ชั้นหนึ่ง แต่แทนที่ลิฟต์จะเลื่อนขึ้นกลับเลื่อนลงทั้งๆที่แผงกดลิฟต์ไม่มีชั้นใต้ดิน
“เสียหรอวะ” ผมพึมพำ เตรียมจะกดลิฟต์ให้มันกลับขึ้นไปที่ชั้น 1 แต่ประตูลิฟต์ก็เปิดออกก่อน ด้านนอกเป็นประตูห้องหมายเลข 0000 ทำเอาผมอุทานเหี้ยเบาๆในใจด้วยความอึ้งแต่กลัวคนในอ้อมแขนตื่น
คอนโดพี่วินกี่ล้านวะเนี่ย แล้วทำไมห้องต้องลึกลับขนาดนี้ พอเปิดประตูเข้ามาในห้องก็อึ้งกว่าเดิมเมื่อพบว่ามันกว้างมากกกก แค่ห้องรับแขกก็ใหญ่กว่าหอในที่ผมนอนกับเพื่อนสี่คนราวๆสามเท่าเลยมั้ง ผมกวาดสายตามองเห็นประตูมีอยู่สามบาน ไม่รู้อันไหนห้องนอนพี่วินก็เลยค่อยๆวางพี่วินลงกับโซฟาก่อนเดินไปเปิดดูทีละห้อง
“ขออนุญาตหน่อยนะครับ” ผมเอ่ยเบาๆก่อนจะเปิดประตูบานแรก แล้วก็พบว่าเป็นห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ ในห้องมีประตูอีกบานคาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ ผมปิดประตูก่อนจะเดินไปเปิดห้องถัดไปก็พบว่าเป็นห้องนอนที่ตกแต่งโทนขาวดำเทา ผ้าปูที่นอนสีดำสนิท ส่วนปลอกหมอนสีขาว ไม่มีหน้าต่างเพราะเป็นชั้นใต้ดิน ยังดีที่ผนังเป็นสีขาวเลยทำให้ไม่มืดนัก
“อื้อ..” คนที่นอนอยู่บนโซฟาส่งเสียงออกจากลำคอทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง พี่วินพลิกตัวแบบไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไหร่ อาจจะเพราะโซฟาแคบเกินไปผมเลยอุ้มพี่วินมานอนบนเตียงดีๆ ผิวขาวๆของพี่วินยังคงออกสีแดงๆชมพูๆอยู่ ผมค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเบาๆไม่ให้พี่วินตื่น ก่อนจะไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ พี่วินสะดุ้งเมื่อความเย็นของผ้าโดนตัวก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ภาพตรงหน้าทำเอาผมใจเต้นแปลกๆ แล้วกลืนน้ำลายลงคอ พี่วินทั้งเอวคอด สะโพกผาย ถ้าได้จับคงเต็มไม้เต็มมือ ทั้งแผ่นอกและหน้าท้องที่ขาวเนียนซึ่งตอนนี้ก็เป็นสีชมพูระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ ไหนจะหัวนมสีชมพูอ่อนๆ นั่นที่ผมพยายามจะไม่มองแต่มันก็เด่นชัดซะขนาดนั้นใครจะเลี่ยงไม่มองได้
“ทำอะไร” เสียงแหบพร่าด้วยความงัวเงียของอีกฝ่ายยิ่งเหมือนตัวกระตุ้นให้ตรงนั้นผมตื่นตัวหนักกว่าเดิม ชิบหายแล้วไอ้น้ำ
“อะ..เอ่อ…พี่วินเหมือนไม่สบายตัว ผมเลยเช็ดตัวให้น่ะครับ” ผมตอบแบบพยายามคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติ เขาพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนจะปลดกระดุมกางเกงของตัวเอง รูดซิปลงแล้วพยายามถอดออก ด้วยความที่ขาบ็อกเซอร์มันกว้างบวกกับขาพี่วินเล็กด้วยมันก็เลยทำให้ตอนที่พี่วินชันขาขึ้นเล็กน้อยแล้วยกสะโพกเพื่อถอดกางเกง สายตาหื่นๆของผมก็มองลอดบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วเข้าไปเห็นต้นขาเนียนๆของอีกฝ่ายเต็มๆ
ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ คนบนเตียงเหมือนจะรู้ว่าผมแอบมองอยู่ แต่แทนที่พี่เขาจะว่ากลับดึงบ็อกเซอร์ตัวเองลงมากองที่ปลายเท้า ชันขาขึ้นแล้วอ้าออกกว้าง ดีที่ยังมีกางเกงในอยู่แต่ท่าทางแบบนี้มันยั่วกันชัดๆ!
“พี่วินทำอะไรครับ!!” ผมเอ่ยเสียงดุแต่คนบนเตียงกลับกระตุกยิ้ม แววตาสวยคมคู่นั้นฉายแววบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังนึกสนุก
“ก็เมื่อกี๊เห็นมองอยู่ เลยเอาให้มองชัดๆไง”
“โถ่พี่วิน อย่าเล่นแบบนี้สิ่ครับ ใส่กลับไปเลย” ผมบอกเสียงดุหน่อยๆ แต่พี่วินก็แค่หัวเราะเบาๆเท่านั้น
“หยิบไอ้นั่นที่ลิ้นชักให้ทีสิ่” พี่วินบอก ผมเลิกคิ้วเชิงถาม ไอ้นั่นคืออะไรพี่ พูดงี้คิดไปไกลแล้วนะเฮ้ย “เข็มน่ะ อยู่ในกล่องสีดำในลิ้นชัก”
“อ่า..ครับ”ผมถอนหายใจโล่งอก นึกว่าจะถูกใช้ให้หยิบอะไรแปลกๆ แต่พอเปิดลิ้นชักแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นว่าในลิ้นชักนอกจากจะมีกล่องกำมะหยี่สีดำแล้วยังมีขวดบรรจุเจลใสๆที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร ผมหยิบกล่องที่พี่วินบอกขึ้นมาเปิด ส่งเข็มอันเล็กๆสีเงินให้แบบที่ก็งงว่าพี่เขาจะเอาไปทำอะไร แต่งงเรื่อเจลนั่นมากกว่า มีไว้ทำอะไรเนี่ยย!!!
“ขอบใจ” พี่วินบอกเบาๆก่อนจะจิ้มเข็มเบาๆที่ปลายนิ้วตัวเอง การกระทำที่ผมงงแต่ยังไม่ทันจะถามก็มีเรื่องให้งงยิ่งกว่าเมื่อของเหลวที่ไหลจากบาดแผลเล็กๆนั่น แทนที่จะเป็นเลือดสีแดงกลับกลายเป็นน้ำสีชมพูใสๆเท่านั้น ก่อนจะแข็งตัวเป็นผลึกวาวหล่นลงบนผ้าปูที่นอนพร้อมกับแผลที่สมานเร็วจนน่าตกใจ "อืม..แค่สีชมพูนิดหน่อยสิ่นะ”
“พะ..พี่วิน?” ผมช็อคไปแล้ว พี่วินยิ้มมุมปากก่อนะเอ่ยสั้นๆ
“พี่เป็นลูกครึ่งน่ะ” ครึ่งเหี้ยไรวะ เขามีแต่เป็นลูกครึ่งแล้วตัวขาว เลือดสีขาวกูไม่เคยเจอ!
“…ละ…ลูกครึ่งอะไรพี่” ผมถามเสียงสั่นๆ
“แม่พี่เป็นคนไทย” ผมยักหน้าหงึกๆ แล้วพ่อล่ะครับพี่ อย่าเว้นวรรคนาน ผมใจคอไม่ดี”ส่วนแด๊ดพี่…..เป็นแวมไพร์” พูดจบก็อ้าปากโชว์เขียวสวยก่อนจะพุ่งขึ้นมาจากเตียง ฝังคมเขี้ยวลงบนคอผมอย่างรวดเร็ว ผมก้าวขาไม่ออก ได้แต่หลับตาแน่น บอกกับตัวเองในใจว่าคงโดนฆ่าแน่ๆแล้ว ดันไปรู้ความลับของเขาเข้าให้ แต่คมเขี้ยวที่ฝังลงมากลับไม่เจ็บอย่างที่คิด มันจี๊ดๆปนสยิวมากกว่า ทำไมโดนแวมไพร์ดูเลือดมันไม่เจ็บแต่ไอ้นั่นแข็งแทนวะ!!
“ฮ่ะๆ ตกใจหรอ” พี่วินแทรกขาตัวเองมาที่หว่าขาของผมก่อนจะยกต้นขาให้สีเบาๆที่กลางกายผม ถึงแม้จะมีกางเกงกั้นอยู่แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก……เสียว.. “แข็งกับผู้ชาย..เป็นเกย์หรอเรา” พี่วินผละจากคอมากระซิบชิดใบหูยิ่งทำให้ผมรู้สึก..มากขึ้น ผมหันไปมองกระจกปลายเตียงก็ทำให้รู้ว่าเมื่อครู่นั้นพี่วินไม่ได้ดูเลือด แต่ดูดคอผมเป็นรอยเลยต่างหาก! กูว่าทำไมถึงไม่เจ็บแต่กลับรู้สึกสยิวแทน
“พี่วินน พอเถอะครับ” ผมร้องครางเสียงอ่อนเมื่อคนตัวเล็กไม่ยอมหยุดแกล้ง ขาเนียนๆยังถูเป้าผมไม่เลิกจนลูกชายพองคับกางเกงแล้ว ผมคิดว่าพี่เขาจะเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย
“ไหนก็อยู่ด้วยกันละ ช่วยทีสิ่”
“ห้ะ? ชะ..ช่วยอะไรครับ”
“ปกติเลือดพี่ต้องสีใสน่ะ แต่กินเหล้าไปมันเลยเป็นสีนี้ ต้องขับออก” คำอธิบายของอีกฝ่ายเหมือนจะยิ่งทำให้ผมงงกว่าเดิมเลยถามด้วยความอยากรู้ เรียกว่าเสือกก็ได้ แต่ใครมาเป็นผมก็ต้องอยากเสือกเหมือนกันนั่นแหละน่า
“ทำไมกินเหล้าแล้วเลือดเปลี่ยนสีอะพี่ แล้วถ้าเป็นสีชมพูมากขึ้นจะเป็นยังไง อันตรายหรือเปล่า” ผมเผลอถามไปเป็นชุด นึกว่าจะโดนด่าแล้ว แต่พี่เขาก็แค่ยิ้มขำๆ แล้วอธิบาย
“แวมไพร์ไม่ถูกกับแอลกอฮอล์น่ะ กินมากเกินก็ตายได้ ถ้าเลือดมันเปลี่ยนจนเป็นสีแดงก็ตาย” ผมอึ้งกับความรู้ใหม่ คือจะว่าไงดีอะ แบบ ในหนังที่เคยๆดูมันไม่เห็นมีบอกแบบนี้ไง แต่จะเชื่อหนังมากกว่าคนตรงหน้าก็คงไม่ได้ ในเมื่อมาตัวเป็นๆตรงหน้าอย่างนี้ หลักฐานก็ชัดคาตาแบบนี้อีกว่าคนตรงหน้าเนี่ย แวมไพร์ตัวจริงเสียงจริง
“กินเหล้าแล้วตายได้แล้วกินไปเยอะขนาดนั้นทำไมครับเนี่ย” ผมดุพี่วินรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ด้วยความเคยชิน ผมมีน้องชายที่ซนชิบหายอยู่สี่คน เลยติดนิสัยชอบดูแลคนอื่น แล้วก็ชอบดุเลยเผลอใช้กับพี่วินด้วย ลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นพี่
“ก็มันเครียดๆนี่นา น้ำก็ช่วยพี่ขับออกสิ่”
“ขับออกคือต้องทำยังไงครับ”
“เอาของเหลวในร่างกายออกน่ะ ส่วนใหญ่พี่ก็ไปวิ่งที่ฟิสเนสของคอนโดเอา ให้เหงื่อมันออกไปเยอะๆ แล้วเดี๋ยวเลือดก็เป็นสีปกติ แต่ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าฟิสเนสคงปิดไปแล้วล่ะ”
“งั้นมีวิธีอื่นอีกไหมครับ”
“หาแวมไพร์มาอีกตน แล้วถ่ายเลือดเขามาให้พี่แทน…แต่เขาก็จะตายอะนะ”
“โถ่พี่วิน ไม่เล่นสิ่ครับ เอาวิธีที่ทำได้ง่ายๆตอนนี้ พอจะมีไหมครับ”
“ก็มี แต่มันทำคนเดียวไม่ได้” พี่วินเอ่ยพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทำอะไรครับ”
“รับปากสิ่ว่าจะช่วย” ผมขมวดคิ้ว มองพี่วินที่ทำท่าโคตรๆไม่น่าไว้ใจ แต่ก็พยักหน้าไป
“ครับ” ทันทีที่ผมตอบตกลงก็ถูกอีกฝ่ายผลักให้นอนลงบนเตียงแล้วคร่อมทับทันที “เฮ้ย พี่วินทำอะไร”
“ขับออกไง วิธีนี้ได้ผลดีสุดเลยนะ”
“ผมไม่เล่นนะพี่วิน จริงจังหน่อยสิ่ครับ เรื่องเป็นเรื่องตายเลยนะ”
“เล่นที่ไหน พี่เอาจริง นี่ขับออกได้ทั้งเหงื่อทั้งน้ำตรงนี้เลยนะ” มือเรียวคว้ามือผมไปวางเข้าที่เป้าตัวเองซึ่งมีเพียงกางเกงในสีดำตัวบางๆกั้นเท่านั้นทำให้รู้สึกถึงความแข็งขืนของส่วนนั้นเต็มๆ “ไม่ไหวละ
เอากันเหอะ”
“พี่วินนน!!!!”
****************************************************************************
ตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นยูว่าทุกคนเดาได้
เครียดนิดหน่อยเลยแอบมาเขียนเรื่องสั้นให้สบายใจขึ้นหน่อย เดี๋ยวตอนต่อไปตามมานะคะ จุ้บๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันน้าา ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ