❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17  (อ่าน 31195 ครั้ง)

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 16

เครื่องต่อรอง





ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ อีกไม่นานช่วงกลางวันจะหมดไป และเป็นสัญญาณบอกว่าใกล้ได้เวลาเปิดร้านแล้วเช่นกัน บนถนนหน้าร้าน เสียงสั่งการโหวกเหวกของโคคิดังคับถนน


“กวาดเร็วๆ ถ้าเสร็จช้าสักนาทีไม่ต้องกินข้าว!” เหล่าคนงานต่างรีบขยับไม้กวาดในมือจนฝุ่นตลบ ทำเอาคนสั่งถึงกับต้องปิดปากปิดจมูกเดินหนีห่างออกมาจนเกือบจะชนกับอีกคนที่เดินผ่านมาเข้า


“ขออภัย” โคคิรีบเอ่ยปากขอโทษเมื่อตัวเขาหยุดอยู่ห่างหญิงสาวผู้หนึ่งไม่ถึงครึ่งก้าว นางยืนนิ่งไม่ขยับ ด้วยความสูงที่ผิดกันมากทำให้โคคิมองหน้านางไม่ถนัดนัก เขาเอียงคอลงเพื่อจะดูว่านางสบายดีหรือไม่


“เป็นอะไรไหม” แทนคำตอบ ร่างของหญิงก้าวขยับเข้ามาชิดใกล้ มือเรียวยกขึ้นทาบลงบนอกของโคคิอย่างช้าๆ ด้วยสัญชาตญาณโคคิชักเท้าหนีแต่ช้าเกินไป เมื่อได้สบตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่เรืองรองขึ้นจนคล้ายเป็นสีทองร่างของเขาก็ไม่อาจขยับได้อีกแล้ว


“ข้าอยากจะพบเด็กของท่านคนหนึ่ง ช่วยนำทางไปหน่อยจะได้ไหม” เสียงหวานเอ่ยขออย่างนุ่มนวล ทว่าหัวใจคนฟังกลับเย็นเฉียบด้วยความตื่นตระหนก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ และนางกำลังควบคุมร่างกายของโคคิให้ทำตาม


จากสายตาคนอื่น เจ้าของร้านได้ตอบรับคำขอนั้นและเป็นผู้นำทางหญิงสาวแปลกหน้าเข้าร้านด้วยตัวเอง ดวงตาโคคิมองเห็นทุกสิ่ง หูยังได้ยินทุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง แม้ในตอนที่เจอหน้าซาโตรุระหว่างทาง


“โคคิ นั่นเจ้าจะไปไหน” ซาโตรุถามพลางขมวดคิ้วยุ่ง แม้ว่าร้านนี้จะขายบริการผู้ชาย แต่ไม่เคยรับลูกค้าผู้หญิงมาก่อน


“ข้าเพียงมาขอพบคนรู้จัก ไม่นานก็จะไปเจ้าค่ะ” คนที่ตอบกลับมาคือหญิงสาวแปลกหน้า ในขณะที่โคคิไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ ซาโตรุจึงทำท่าจะเดินตามไปคุย


“ไล่เขาไป ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเขา” เสียงกระซิบจากข้างกายทำให้โคคิสะท้านไปทั้งร่าง เพียงเสี้ยวนาทีที่ได้เป็นนายร่างกายของตัวเองอีกครั้งโคคิจึงรีบหันไปตะคอกใส่ซาโตรุเสียงดัง


“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ ไปทำหน้าที่ของเจ้า!” ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงัก ซาโตรุแทบอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู เจ้าหมียักษ์กล้าขึ้นเสียงกับเขาด้วย


มองดูสีหน้าซาโตรุก็รู้ว่าโกรธ แต่ที่เงียบไปเพียงเพราะจำต้องรักษาหน้าเจ้าของร้านต่อหน้าแขก เพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทจึงเพียงแค่หมุนตัวกลับหลัง เดินลงส้นเท้าตึงตังจากไป


“เชื่อฟังข้า แล้วจะไม่มีใครต้องเจ็บตัว” เมื่อจบประโยคนั้น ขาของโคคิก็เริ่มก้าวโดยที่เจ้าของมันไม่ได้เต็มใจอีกครั้ง เวลานี้โคคิทำได้เพียงภาวนาในใจ


ขออย่าได้เกิดเรื่องร้ายใดๆ กับคนในร้านแห่งนี้







ภายในห้องพักส่วนตัว อาคาเนะกำลังแต่งตัวเพื่อรอรับแขก ระหว่างที่มือและสายตากำลังเลือกกิโมโน หัวใจกลับล่องลอยนึกถึงใครบางคนที่หายหน้าไปหลายวัน ฝ่ายนั้นบอกว่าจะไปทำธุระ แต่ไม่ยอมบอกวันกลับที่แน่นอนเอาไว้ คิดไปคิดมาชักเริ่มขุ่นเคืองในใจ ทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายรอให้โทชิฮิโระมาหาทุกที


ประตูห้องถูกเปิดออกโดยไม่มีการส่งเสียงเรียกใดๆ อาคาเนะจึงหันไปด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ปากขยับจะบ่นเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามาคือโคคิ แต่แล้วกลับต้องปิดปากลงเพราะเบื้องหลังโคคิยังมีใครอีกคนก้าวตามเข้ามา


“สึซึรัน...” น้ำเสียงอาคาเนะแข็งกระด้างกว่าครั้งไหนๆ แม้หญิงสาวตรงหน้าจะมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์สักเพียงใด แต่ใบหน้านั้นอาคาเนะจำได้ดี เช่นเดียวกับที่คาสุมิเคยเตือนเอาไว้ ใบหน้าของคนที่พยายามฆ่าโทชิฮิโระมาแล้วครั้งหนึ่ง


เจ้าของชื่อก้าวออกมายืนด้านหน้าโคคิ เส้นผมสีดำเปลี่ยนจากสีดำเป็นขาวจากโคนผมยาวจรดปลาย เหนือศีรษะมีหูแมวสีเดียวกันโผล่ออกมา ดวงตาสีทองเปล่งประกายขึ้นเมื่อนางแสยะยิ้ม


“ดูท่าเราคงไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก” โคคิมองดูทั้งสองคนที่มีท่าทีราวกับรู้จักกันมาก่อนด้วยความสับสน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เขาดูแลมา ส่วนอีกคนคือปีศาจ ทำไมอาคาเนะถึงได้รู้จักกับปีศาจ แล้วทำไมถึงได้ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวสักนิดด้วย


“เจ้าทำอะไรโคคิ” อาคาเนะลุกขึ้นยืนตรงเต็มความสูง เขาปิดเรื่องเลือดปีศาจมาตลอดก็จริง แต่ถ้าจำเป็นเขาก็พร้อมจะใช้มันเพื่อปกป้องโคคิ


“แค่ทำให้แน่ใจว่าจะได้คุยกับเจ้า” ท่าทีของสึซึรันทำให้อาคาเนะแทบอยากกระโจนเข้าใส่ แต่เขาไม่รู้ว่าโคคิเป็นอะไรถึงได้เอาแต่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นจึงไม่กล้าผลีผลาม เกรงว่าโคคิจะมีอันตรายไปด้วย


“ถ้าจะคุยก็ปล่อยเขาไป” อาคาเนะบอกเสียงเรียบ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจจากสึซึรัน นางวาดมือไปทางโคคิเพื่อคลายมนต์สะกด เมื่อพ้นจากการถูกควบคุมได้ สิ่งแรกที่โคคิทำคือสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แต่ยังไม่ทันอ้าปากถามอะไรกลับถูกอาคาเนะไล่เสียก่อน


“ออกไปโคคิ แล้วอย่าให้ใครขึ้นมา” แม้จะพูดกับโคคิ แต่อาคาเนะยังไม่ยอมละสายตาจากสึซึรันไป ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้ว ฆ่าคนสักคนคงง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ


“เจ้า!” โคคิขึ้นเสียงเหมือนอยากจะค้าน


“ได้โปรด ถือว่าข้าขอร้อง” เพียงพริบตาที่อาคาเนะมองมาด้วยแววตาอ้อนวอนกลับทำให้โคคิไม่สามารถเปิดปากค้านอะไรได้อีก เขารู้ตัวว่าช่วยอะไรไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ต่อให้แข็งแรงเพียงใดก็ยังยากจะต่อกรกับปีศาจได้


“ห้ามทำอะไรเกินตัวเด็ดขาด เข้าใจไหม” โคคิเอ่ยเตือนเสียงเข้ม อาคาเนะจึงพยักหน้ารับแต่โดยดี รู้สึกอุ่นใจที่โคคิยังเป็นห่วง หลังรอจนโคคิออกจากห้องไปอาคาเนะจึงคลายอาคมสะกดพลังเพื่อกลับคืนสู่ร่างจิ้งจอก


หากต้องสู้ เขาจะสู้จนสุดกำลัง


“ช่างน่าซาบซึ้งเสียจริงที่ยังมีคนห่วงเจ้า แม้จะรู้ว่าเจ้าข้องเกี่ยวกับปีศาจ”


“พวกเขาไม่ใจแคบเช่นเจ้า” อาคาเนะตอกกลับเสียงเรียบ

 
“รู้สึกอย่างไรที่ตัวเองต้องกลายเป็นปีศาจบ้าง” เพราะมุมมองคับแคบของมนุษย์บางกลุ่ม ทำให้โทชิฮิโระถูกลอบวางยาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ใครจะคิดว่าวันหนึ่งผู้หญิงคนนี้จะต้องกลายมาเป็นปีศาจเสียเอง


“มันก็สะดวกดี โดยเฉพาะกับสิ่งที่ข้าตั้งใจจะทำ” สึซึรันยกมือของนางขึ้นมามอง กรงเล็บบนนิ้วทั้งห้าสามารถยืดยาวออกได้จนมีความยาวเกือบเท่าฝ่ามือของนาง


“จะทำอะไร” เห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของสึซึรันแล้วอาคาเนะเริ่มใจไม่ดี


“วางใจได้ เป้าหมายข้าไม่ใช่เจ้า” เมื่อสึซึรันสะบัดมือเบาๆ กรงเล็บของนางก็หดกลับจนเหลือความยาวเท่าเล็บมนุษย์ทั่วไป ไม่ต่างจากแมวเวลาเก็บซ่อนกรงเล็บ


“ข้าไม่ให้เจ้าทำร้ายโทชิฮิโระ” เปลวไฟลุกไหม้ในอุ้งมือของอาคาเนะ หากสึซึรันมาเพื่อสานต่อสิ่งที่นางทำค้างเอาไว้ เขาจะทำให้แน่ใจว่านางจะไม่มีวันได้เข้าใกล้โทชิฮิโระอีก


“คิดว่าเปลวไฟของเจ้าฆ่าข้าได้ในครั้งเดียวหรือเปล่า” ดวงตาสีทองหรี่มองอาคาเนะโดยไม่มีแสดงท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ


 “ครั้งเดียวแล้วทำไม สิบครั้งแล้วทำไม ไม่ว่ากี่ครั้งข้าจะหยุดเจ้าให้ได้” โทชิฮิโระสูญเสียพลังทั้งหมดไปแล้ว ย่อมไม่มีทางเอาชนะสึซึรันในสภาพปีศาจได้ มีแค่อาคาเนะเท่านั้นที่มีกำลังพอจะหยุดนาง


“ข้าไม่ชอบต่อสู้เสียด้วย ถ้าเจ้าลงมือครั้งเดียวไม่สำเร็จ แทนที่จะสู้กับเจ้า ข้าคงออกไปฆ่าคนในร้านแทน” มือของคนฟังสั่นกระตุก ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับที่เปลวไฟในมือมอดดับลง สึซึรันก้าวเข้าหาอาคาเนะอย่างช้าๆ แตะมือลงบนหลังมือของอาคาเนะพลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหู


“เจ้าจะพยายามฆ่าข้าก็ได้ แต่เจ้า...กล้าเดิมพันฝีมือตัวเองกับชีวิตทุกคนที่นี่หรือเปล่า” ดวงตาของอาคาเนะปิดลงเพื่อข่มกลั้นความรู้สึก


ที่แท้นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน สึซึรันก็ได้วางแผนจะใช้ชีวิตทุกคนเป็นเครื่องต่อรองอยู่แล้ว ต่อให้เขาอยากจะฆ่านางเพียงใด คงยากที่จะจัดการให้จบภายในครั้งเดียว


“นี่เป็นเรื่องระหว่างโทชิฮิโระกับข้า ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังจะไม่มีใครต้องเจ็บตัว”


โกหก


นั่นเป็นเพียงคำโกหก เช่นเดียวกับที่นางเคยโกหกเทพมังกร


ขวดกระเบื้องใบเล็กถูกหยิบออกมาจากสายคาดเอวของสึซึรัน นางเปิดจุกออกแล้วเทมันลงบนฝ่ามือ ยาเม็ดกลมๆ ขนาดเล็กสีม่วงคล้ำกลิ้งตัวออกมา มันถูกยื่นให้กับอาคาเนะ


“ไม่ต้องกลัว พิษนี้ไม่รุนแรงถึงตาย แค่ทำให้อ่อนแรงลง แล้วเราจะได้ไปจากที่นี่” รู้ทั้งรู้ว่าเป็นยาพิษ แต่เพราะมีชีวิตทุกคนเป็นเดิมพันอาคาเนะจึงไม่มีทางเลือก อย่างน้อยขอเพียงได้ออกไป ยังมีโอกาสให้โต้กลับบ้าง


ยาเม็ดขมถูกกลืนลงคอ เพียงไม่นานความเจ็บปวดก็แล่นทั่วร่างจนต้องทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ทรมานจนต้องจิกเล็บลงบนพื้น ลมหายใจสะดุดเพราะความรู้สึกราวกับมีบางสิ่งบีบรัดในปอด ภาพทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของสึซึรันที่เพียงเหลือบตามองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง







“อาคาเนะ!” ซาโตรุร้องเรียกทันทีเมื่อเห็นอาคาเนะเดินลงจากชั้นสองมาพร้อมสึซึรันด้วยใบหน้าซีดเซียว ทั้งสองต่างแปลงรูปลักษณ์ภายนอกให้เหมือนมนุษย์ก่อนจะลงมา ซาโตรุพยายามจะวิ่งเข้าไปหาอาคาเนะ แต่ถูกโคคิรั้งข้อศอกไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม


“ข้าไม่เป็นไรพี่ซาโตรุ” สีหน้าของอาคาเนะห่างไกลจากคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ไปไกล ยิ่งทำให้คนมองทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ซาโตรุช้อนตามองเพื่อนสนิทอย่างขอความช่วยเหลือ แม้โคคิจะบอกแล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างอาคาเนะเป็นปีศาจ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ซาโตรุเป็นห่วงอาคาเนะมากขึ้นไปอีก


โคคิกัดฟันเบือนหน้าหนีโดยใช้มือข้างหนึ่งเหนี่ยวรั้งเอวซาโตรุเอาไว้ อาคาเนะมองภาพนั้นแล้วยิ้มให้ โคคิทำถูกแล้วที่ยอมอดทนทำเป็นนิ่งเฉย เพราะถ้าหากทั้งสองคนเป็นอะไรเขาคงเกลียดตัวเองจนทนไม่ได้ที่นำปีศาจเข้ามาในร้าน


“ขอข้าลาพวกเขาหน่อย” สึซึรันเลิกคิ้วขึ้น มองดูอาคาเนะกับชายอีกสองคนก่อนจะยอมถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว คล้ายเป็นการอนุญาต อาคาเนะจึงเดินเข้าไปหาซาโตรุกับโคคิโดยเว้นระยะไว้ก่อนจะถึงตัว


“อาคาเนะ...” ซาโตรุบิดตัวออกจากมือของโคคิแล้วเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของอาคาเนะเอาไว้ ความเป็นห่วงแทบล้นทะลักจากอก แต่ซาโตรุไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด กลับเป็นอาคาเนะเสียเองที่สวมกอดและซุกใบหน้าไว้กับไหล่ของซาโตรุ


“อย่าบอกอะไรกับโทชิฮิโระ” อาคาเนะกระซิบเสียงค่อย เขารู้ว่าซาโตรุได้ยินเพราะอีกฝ่ายเกร็งไปทั่วร่าง อาคาเนะจึงผละห่างออกมาพร้อมก้มลงคำนับแทนคำลาต่อพี่ชายทั้งสองคน


“ไปกันได้แล้ว” สึซึรันแตะศอกอาคาเนะเป็นการเร่ง เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวเดินตรงไปยังทางออก สองเท้าก้าวไปอย่างมั่นคงและไม่คิดเหลียวหลังกลับไปอีก


ก้าวออกจากร้านครั้งนี้ อาคาเนะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกไหม แต่อย่างน้อยได้จากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจ คงดีที่สุดแล้วสำหรับเวลานี้



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.



พระเอกกำลังกลับมา แต่เที่ยวบินดีเลย์อยู่  :ruready

พรุ่งนี้วันทำงานเต็มรูปแบบวันแรกของปี สู้ๆ นะทุกคน  :katai4:



ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 17

พบกันอีกครั้ง






เวลาล่วงเลยจากเย็นไปสู่ค่ำ ในที่สุดโทชิฮิโระก็เดินทางกลับมาถึง ช้าจากเวลาที่กะเอาไว้พอสมควร ภาพเมืองที่มาอาศัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ชวนให้คิดถึงอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะคิดได้ว่าคงมีใครบางคนนั่งบ่นถึงเขาอยู่เป็นแน่


โทชิฮิโระตัดสินใจขี่ม้าเข้าเมือง วันนี้เขาไม่ได้จองตัวอาคาเนะเอาไว้ก่อน จิ้งจอกน้อยคงมีแขกมาหา แต่ถ้าหากเขาโผล่หน้าไป อาคาเนะคงยอมลงมาเจอ


หน้าร้านที่เคยคึกคักด้วยบรรดาแขกเดินเข้าออกวันนี้กลับเงียบสงัด โคมไฟที่ควรถูกแขวนขึ้นยังวางทิ้งไว้ข้างประตูที่ปิดสนิท โทชิฮิโระขมวดคิ้ว ปกติเวลานี้ร้านน่าจะเปิดบริการแล้ว เขาลงจากหลังม้า ตบหลังคอมันเบาๆ เพื่อบอกให้มันรอก่อนเดินไปเคาะประตู


ชายคนหนึ่งแง้มประตูเปิดเพียงแค่พอยื่นหน้าออกมา เขาเอ่ยปากบอกว่าวันนี้ปิดร้านโดยยังไม่ทันมองแขกหน้าประตู แต่พอมองเห็นหน้าโทชิฮิโระชัดถนัดตาชายคนนั้นก็เบิกตากว้างก่อนจะผลุนผลันวิ่งกลับเข้าร้านไปโดยเปิดประตูทิ้งเอาไว้ ไม่กี่อึดใจทั้งโคคิและซาโตรุต่างรีบเร่งเดินมาหา


“เกิดอะไรขึ้น...!” โทชิฮิโระถามยังไม่ทันจบดีหมัดลุ่นๆ ก็พุ่งเข้ากระแทกเข้าที่กรามจนเซถอยหลัง รสเค็มของเลือดซึมผ่านปลายลิ้น เจ้าของหมัดยืนมองเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงโดยมีซาโตรุยืนอยู่ข้างๆ


“เราต่างหากที่ควรถาม เจ้าพาอะไรมาหาพวกเรา!” โคคิตะคอกเสียงแข็ง ความรู้สึกเมื่อต้องยืนบนขอบเหวแห่งความตายคืออะไร เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งวันนี้


ปีศาจ...สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ยากจะต่อกรได้


โคคิอดนึกภาพไม่ได้ว่าถ้าหากปีศาจตนนั้นเกิดอาละวาด เวลานี้ร้านของเขาจะเป็นเช่นไร จะถูกชโลมไปด้วยเลือดมากสักแค่ไหน


“โคคิ นี่ไม่ใช่เวลามาต่อว่า” ซาโตรุผลักอกโคคิให้ถอยห่างจากโทชิฮิโระแล้วพาตัวเองเข้ามายืนขวางกั้น

 
“ข้าจะไม่ถามอะไรท่านตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่ข้าคิดว่าควรบอกท่านก่อน” ใบหน้าของซาโตรุไม่ได้ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นทุกวัน แววตาที่มองจ้องมามีคำถามมากมายซ่อนอยู่ แต่ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญเท่าความปลอดภัยของใครอีกคน


“อาคาเนะถูกพาตัวไป โดยปีศาจที่ชื่อว่าสึซึรัน” น้ำเสียงของซาโตรุเคร่งเครียด วูบหนึ่งเขาคิดว่ามองเห็นใบหน้าของโทชิฮิโระไร้สีเลือด


“เป็นไปไม่ได้” ความเจ็บจากหมัดเมื่อครู่จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกชาที่เริ่มแผ่ซ่านสู่ปลายนิ้ว ชื่อนั้น ผู้หญิงคนนั้น ควรตายไปแล้ว


“เด็กนั่นพยายามปกป้องเจ้า! ห้ามพวกเราไม่ให้พูดอะไร แต่เจ้าเป็นคนเดียวที่พาอาคาเนะกลับมาได้...ใช่ไหม” ท้ายเสียงของโคคิกวัดแกว่งด้วยความลังเล โทชิฮิโระเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เขามั่นใจ แต่ชายที่เลือดกบปากเพียงเพราะถูกเขาต่อย จะมีอะไรไปต่อสู้กับปีศาจได้


โทชิฮิโระขบกรามแน่น เขาหมุนตัวกลับรีบตรงไปขึ้นม้าแล้วควบทะยานออกไป แว่วเสียงร้องเรียกตามหลัง แต่โทชิฮิโระไม่ได้สนใจอีกแล้ว หากสึซึรันยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังกลายเป็นปีศาจ ย่อมไม่มีทางมาดีแน่ ผู้หญิงที่เคยกล้าทรยศหักหลังเขาเมื่อครั้งยังเป็นมังกร


ครั้งนี้เขาจะปลิดชีวิตนางด้วยตัวเอง!







ความเย็นเฉียบของโซ่ตรวนรอบข้อมือทั้งสองข้างคอยกระตุ้นเตือนให้อาคาเนะเอายังคงมีสติ เด็กหนุ่มนั่งเอนตัวพิงผนัง ภายในห้องแคบและเหม็นอับ แทบไม่มีแสงลอดเข้ามา แต่คะเนจากแสงจางๆ ที่เห็น นี่คงเป็นเวลากลางคืนแล้ว ทุกครั้งที่เขาขยับ โซ่จะกระทบกันสร้างเสียงเสียดแทงหูจนต้องหลับตาลง


อาคาเนะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด รู้เพียงว่าออกจากร้านมาได้ไม่กี่ก้าว ควันสีดำก็เข้าโอบล้อมทั้งตัวเขาและสึซึรันก่อนสติจะขาดหายไปช่วงหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่ ไม่เห็นแม้เงาของสึซึรัน


สภาพรอบตัวราวกับอยู่ในห้องเก็บของที่ถูกทิ้งร้าง ทั้งฝุ่นและหยากไย่มีอยู่ทั่ว แต่ห้องเก็บของประเภทใดถึงได้มีโซ่สำหรับล่ามคนเอาไว้ด้วย


พิษที่สึซึรันให้กินลงไปยังมีผลอยู่ อาคาเนะแทบไม่มีแรงยกแขนของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดนับว่าทุเลาลงมาก ทางออกเดียวคือประตูไม้ซึ่งอยู่คนละฟากห้อง ถ้าไม่ตัดโซ่ทิ้งอาคาเนะคงไม่มีวันไปถึงได้


ไม่นานนักประตูที่เคยปิดสนิทได้เปิดออก อาคาเนะไม่ได้ยินเสียงโซ่คล้องหรือกลอนประตู นั่นแปลว่าประตูบานนั้นไม่ได้ป้องกันอะไรเอาไว้ มันคงง่ายขึ้นถ้าเขาหลุดจากโซ่เส้นนี้ไปได้


คนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น สึซึรันเดินเข้ามาพร้อมด้วยชามใบหนึ่งในมือ นางเดินมายืนเบื้องหน้าอาคาเนะแล้วก้มตัวลงยื่นชามส่งให้ ภายในมีเพียงน้ำใสๆ ที่ยังคงแกว่งจากแรงที่ส่งมา อาคาเนะเหลือบตาขึ้นมองสึซึรันนิ่ง


“แค่น้ำเปล่า บอกแล้วว่าเป้าหมายข้าไม่ใช่เจ้า เจ้ามันแค่เหยื่อที่ใช้ล่อโทชิฮิโระมาหา”


“เขาจะไม่มา”


“ทำไม เพราะเจ้าห้ามคนพวกนั้นไว้หรือ” สึซึรันเหยียดยิ้มก่อนนั่งคุกเข่าลงแล้ววางชามน้ำไว้ตรงหน้าอาคาเนะ เด็กหนุ่มที่กำลังจ้องนางราวกับอยากจะฉีกให้เป็นชิ้นๆ


“ยิ่งเจ้าเอ่ยชื่อโทชิฮิโระออกไป คนพวกนั้นยิ่งต้องพยายามบอกเขาให้ได้ มันเป็นนิสัยของมนุษย์” ทำไมสึซึรันจะไม่รู้ว่าอาคาเนะเข้าไปหาผู้ชายที่ร้านเพื่อจะบอกอะไร ยิ่งข่าวไปถึงตัวโทชิฮิโระเร็วเท่าไร ชายผู้นั้นจะยิ่งร้อนรนมากขึ้น


อาคาเนะสบถลั่นด้วยความโกรธ เปลวเพลิงลุกท่วมร่างของเด็กหนุ่มเมื่อเขาคลายมนต์สะกดเผยร่างจิ้งจอก อาคาเนะโถมตัวเข้าใส่สึซึรัน ทว่าทันทีที่สุดปลายโซ่ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่างเช่นกัน อาคาเนะไอโขลก รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ปะปนออกมากับลมหายใจ


“ถ้าไม่อยากตายจงกลับร่างมนุษย์เสียจะดีกว่า พิษที่เจ้ากินลงไปอันตรายกับปีศาจมากกว่ามนุษย์เสียอีก” สึซึรันหรี่ตามองลูกครึ่งจิ้งจอกที่พยายามดิ้นรนด้วยสีหน้าเย็นชา ความยาวโซ่ตรวนคือระยะมากที่สุดที่อาคาเนะจะเคลื่อนไหวได้ และนางจะไม่มีวันเข้าไปใกล้กว่านั้น


“ข้าไม่ให้เจ้าทำร้ายโทชิฮิโระอีก!” ชามใส่น้ำถูกปัดไปจนกระแทกผนังแตกออกเป็นเสี่ยง อาคาเนะรวบรวมกำลังข่มความเจ็บเพื่อสร้างเปลวไฟขึ้นอีกครั้ง แต่ความร้อนจากพิษที่กำลังแผดเผาอยู่ในร่างทำให้มันสลายไปก่อนจะได้แตะตัวสึซึรัน


“ข้าไม่ได้กลับมาจากปากทางปรโลกเพื่อมาตายด้วยมือเจ้า” หญิงสาวลุกขึ้น หันหลังให้กับอาคาเนะที่ทำได้เพียงร้องตะโกนออกมาอย่างสุดกลั้น







“คาสุมิ!” สถานที่ที่โทชิฮิโระมุ่งตรงมาคือคฤหาสน์ที่เขาอยู่อาศัย ก่อนไปเขาฝากฝังอาคาเนะไว้ให้คาสุมิดูแล แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้


“คาสุมิ! ออกมาหาข้า!” ทั่วทั้งคฤหาสน์เงียบกริบ ไม่มีเสียงใครนอกจากตัวโทชิฮิโระเอง กำปั้นเหวี่ยงฟาดเข้ากับผนังด้วยแรงโทสะที่ไม่อาจระบายออกไปได้ เขาไม่น่าหลงไว้ใจปีศาจหิมะเลย


โทชิฮิโระมุ่งตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง บานประตูถูกกระชากเปิดจนแทบจะหลุดออกจากกรอบ ดาบคาตานะเล่มที่คาสุมิเคยมอบให้เพื่อไปช่วยอาคาเนะเมื่อครั้งก่อนยังวางพิงอยู่ที่มุมห้อง โทชิฮิโระหยิบมันขึ้นมากำเอาไว้แน่น


ครั้งก่อนที่ใช้มันจิ้งจอกน้อยทั้งหวาดกลัวและระแวงเขาจนหนีไป ไม่นึกเลยว่าจะต้องหยิบมันขึ้นมาอีก ร่างมนุษย์อันไร้กำลังนี้ หากไม่พึ่งพาอาวุธไม่มีทางเลยที่จะสู้ปีศาจได้ ตอนนี้ที่สำคัญคือต้องรู้ให้ได้ว่าสึซึรันพาอาคาเนะไปที่ไหน


ถ้าเป้าหมายของสึซึรันคือเขา นางอาจเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง แต่ใจของโทชิฮิโระร้อนรนเกินกว่าจะทนนั่งรออยู่เฉยๆ ได้ เขากระชับดาบในมือและเตรียมออกจากห้อง ต่อให้ต้องควบม้าไปทั่วเมืองทั้งคืนเขาก็จะทำ


สายลมยามราตรีพัดแรงขึ้นจนได้ยินเสียงต้นไม้เอนไหว ทว่าท่ามกลางสายลมนั้นกลับมีกลิ่นอันคุ้นเคยล่องลอยปะปนมาด้วย

 
...กลิ่นของดอกสึซึรัน


ที่ลานกว้างด้านในคฤหาสน์ ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ เส้นผมสีขาวโพลนปลิวสยายเมื่อสายลมพัดผ่าน นางเพียงแค่ยืนรอเงียบๆ รอจนกระทั่งโทชิฮิโระก้าวลงจากคฤหาสน์มาหา


“ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านโทชิฮิโระ” เสียงหวานอันแสนนุ่มนวลในความทรงจำ เวลานี้กลับบาดลึกจนหัวใจคนฟังจนรู้สึกเจ็บปวด


ทุกถ้อยคำที่สึซึรันเคยเอื้อนเอ่ย ในสายตาโทชิฮิโระเวลานี้มันล้วนเป็นเรื่องโกหก ทุกการกระทำล้วนเป็นการหลอกลวง ทุกสิ่งของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารังเกียจ แต่การเห็นนางมายืนอยู่ตรงหน้ายังคงสร้างรอยแผลให้ อดีตที่อยากจะลืมกำลังกลับมาหลอกหลอนโทชิฮิโระอีกครั้ง







โซ่เส้นโตส่งเสียงไม่หยุดเมื่อแต่ละข้อของมันกระทบกัน อาคาเนะกำลังพยายามบิดข้อมือให้หลุดออก แม้ว่าตอนนี้ข้อมือทั้งสองข้างจะแดงช้ำและเริ่มเป็นแผลจากการถูกขอบคมๆ ของโซ่ตรวนบาดเอา


“โธ่!” เด็กหนุ่มสะบัดมืออย่างหัวเสีย ไม่ว่าจะทำอย่างไรโซ่บ้าๆ นี่ก็ไม่ยอมหลุดออกเสียที พอจะใช้พลังปีศาจก็โดนพิษเล่นงานจนแทบขยับตัวไม่ได้


กริ๊ง


เสียงกระพรวนที่ดังขึ้นทำเอาอาคาเนะสะดุ้งเฮือกรีบหันขวับไปทางประตู แต่มันยังคงปิดสนิทเช่นเดียวกับเมื่อตอนสึซึรันออกไปจนอาคาเนะคิดว่าตัวเองอาจหูฝาด


กริ๊ง


เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อาคาเนะเพ่งสายตามองไปทางต้นเสียงและพบดวงตาสีเหลืองคู่หนึ่งมองตอบกลับมา ดวงตาของแมวตัวที่เขาเคยเห็นมาก่อน


“สึซึรัน...” แมวสีขาวหางดำตัวนี้เหมือนกับร่างแปลงของสึซึรัน แต่อาคาเนะกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างต่างออกไป มันค่อยๆ เดินเข้ามาหาอาคาเนะ และเมื่อมันเดินผ่านตรงที่แสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามา ร่างของมันดูเลือนรางลงจนแสงส่องผ่านได้


‘ท่านจิ้งจอก’


เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของอาคาเนะ ภายในห้องนี้ไม่มีใครอื่น นอกจากแมวที่โปร่งแสงตรงหน้า เด็กหนุ่มโน้มตัวลงเพื่อจะได้มองมันได้ถนัดขึ้น


“เจ้า...พูดกับข้าหรือ” แมวตัวนี้ไม่ใช่สึซึรัน ไม่ใช่ปีศาจ หรือสิ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า ‘วิญญาณ’ เสียมากกว่า


‘ข้าจะช่วยท่านออกไป แต่ได้โปรดช่วยท่านหญิงของข้าด้วย’



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

งานโซ่ แส้ กุญแจมือก็มา  :hao7:

เริ่มต้นปีใหม่ พลังงานหมดแต่ต้นปีเลยค่ะ  :z3:

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 18

หน้ากาก






สายลมอันหนาวเหน็บยามเมื่อมันพัดหวนยิ่งพาให้เส้นผมสีขาวปลิวสยาย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้าของสึซึรันยังคงเดิม ยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มดั่งหน้ากากตลอดเวลา


“ผิดหวังไหมที่ข้ายังอยู่” หญิงสาวยังคงแย้มยิ้ม ไม่มีน้ำเสียงประชด หรือท่าทีเยาะเย้ยใดๆ สึซึรันรู้อยู่แก่ใจว่าครั้งนั้นโทชิฮิโระทำลายปราสาททั้งหลังเพื่อหมายชีวิตตัวนางด้วย


“อาคาเนะอยู่ที่ไหน” โทชิฮิโระถามเสียงเรียบ เวลานี้คนที่เขานึกถึงไม่ใช่ผู้หญิงตรงหน้า เลี่ยงการปะทะน่าจะดีที่สุด


“เด็กหนุ่มคนนั้นสำคัญกับท่านมากหรือ” สึซึรันเอียงคอถาม เพียงแค่ลักพาตัวมา ชายที่เคยเมินเฉยต่อทุกสิ่งรอบกายกลับดูร้อนรนถึงเพียงนี้ ต่างกับเทพมังกรที่นางรู้จักราวกับคนละคน


“อย่าถามสิ่งที่เจ้ารู้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ไปยุ่งกับอาคาเนะ” ผู้หญิงคนนี้อาจจับตาดูเขามาระยะหนึ่ง นานพอที่จะรู้ว่าจะจับตัวอาคาเนะมาจากร้านได้อย่างไรด้วยซ้ำ คำตอบนั้นทำให้สึซึรันหัวเราะ


 “ท่านในสภาพนี้ช่างน่ารักนัก ต่างกับเทพมังกรผู้เย็นชาที่ข้าเคยได้อยู่ใกล้”


“เลิกพล่ามเสียที!” ดาบยาวถูกชักออกจากฝักตวัดชี้ตรงไปยังสึซึรัน โทชิฮิโระเกลียดการรื้อฟื้นอดีต เช่นเดียวกับที่เกลียดผู้หญิงจอมเสแสร้งคนนี้


“รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ข้าคือปีศาจ ส่วนท่านเป็นเพียงมนุษย์ คิดว่าจะสู้ข้าได้หรือ” สึซึรันเพียงใช้ปลายนิ้วทัดผมไว้หลังหู โดยไม่ใส่ใจปลายดาบที่ชี้ตรงมา


“ระหว่างเราต้องมีคนใดคนหนึ่งตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถึงจะสมใจเจ้า” ในเมื่อเคยคิดเอาชีวิตกันมาก่อน ต่อให้สถานะจะกลับกัน ความต้องการก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี


“ถูกของท่าน” เมื่อจบประโยคนั้น สึซึรันได้วาดมือไปข้างกาย เงาของนางบนพื้นเคลื่อนไหวก่อนจะยืดตัวขึ้นจากพื้นตรงขึ้นสู่ฝ่ามือดุจน้ำหมึกสีดำที่มีชีวิต สึซึรันกำปลายด้านใกล้มือแล้วจับมันสะบัด เมื่อหยดหมึกข้นกระเซ็นหลุดไป สิ่งที่เหลือไว้คือดาบสีเงินวาววับไม่ต่างจากดาบในมือโทชิฮิโระ


“อาวุธแบบเดียวกัน และข้าจะไม่ใช้พลังปีศาจตกลงไหม” ดาบในมือถูกแกว่งไปมาราวกับของเล่น ท่าทีสบายอกสบายใจของสึซึรันทำให้โทชิฮิโระยิ่งหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น


“จะไม่ถามถึงอาคาเนะแล้วหรือท่านโทชิฮิโระ”


“ไว้เจ้าตาย ข้าค่อยหาเขา” ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินเขาก็จะหาอาคาเนะให้เจอ แต่ก่อนอื่นต้องกำจัดปีศาจร้ายตรงหน้าเสียก่อน


“รีบหน่อยก็ดี ก่อนที่เด็กดื้อของท่านจะตายเพราะพิษที่กินเข้าไป” คำพูดนั้นตัดทำลายความอดทนที่เหลืออยู่ของโทชิฮิโระจนหมดสิ้น เขาวิ่งตรงเข้าไปหาสึซึรันพร้อมทั้งฟาดฟันลงไปเต็มแรง ทว่าสึซึรันสามารถยกดาบขึ้นตั้งรับเอาไว้ได้ ดาบแล้วดาบเล่าปะทะกันอย่างสูสี


ทุกครั้งที่โทชิฮิโระโถมแรงเข้าใส่ สึซึรันจะเบี่ยงทางดาบแล้วปัดออก แม้ปากจะบอกไม่ใช้พลังปีศาจ แต่การเคลื่อนไหวของนางยังคงเร็วกว่ามนุษย์ จึงแทบไม่มีช่องว่างให้โทชิฮิโระได้เล่นงานเลย







เสาไม้ที่อยู่ห่างออกไปสามก้าวดูแสนห่างไกลสำหรับอาคาเนะ เมื่อแตะมันได้อาคาเนะถึงกับต้องกอดมันเอาไว้เพื่อพยุงไม่ให้ตัวเองทรุดลงไป พิษของสึซึรันไม่อันตรายถึงชีวิตแต่สูบเรี่ยวแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งคืนร่างปีศาจความเจ็บร้าวทั่วร่างยิ่งเพิ่มขึ้น


“อย่าให้ได้เอาคืน” อาคาเนะเค้นเสียงพลางหายใจหอบ ไม่น่าเชื่อว่าที่ที่เขาถูกขัง แท้จริงแล้วอยู่ภายในคฤหาสน์ของโทชิฮิโระ ขนาดเขามาที่นี่หลายต่อหลายครั้งยังไม่รู้ว่ามีห้องเก็บของห้องนั้นอยู่ แล้วยังโซ่ตรวนอีก สักวันจะต้องถามจากโทชิฮิโระให้ได้ว่าไปซื้อคฤหาสน์หลังนี้จากใครมา


เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วมาเข้าหู กระตุ้นให้อาคาเนะต้องกัดฟันข่มความเจ็บแล้วรีบวิ่งไปตามที่มาของเสียง หักเลี้ยวอีกครั้งตรงมุมหลังห้องครัว อาคาเนะก็วิ่งมาถึงลานที่อีกสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่จนได้


“โทชิ!!” เด็กหนุ่มตะโกนจนสุดเสียง ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสองต่างถอยห่างออกจากกัน อาคาเนะเห็นว่าโทชิฮิโระมองมา แต่ระหว่างพวกเขามีสึซึรันยืนขวาง ชั่ววินาทีนั้นสึซึรันหมุนตัวกลับมาพร้อมวิ่งตรงมาหาอาคาเนะ


“อาคาเนะ! หนีไป!” ทันทีที่อาคาเนะปรากฏตัว เป้าหมายของสึซึรันก็เปลี่ยนไปทันที โทชิฮิโระที่มองออกก่อนรีบร้องเตือน ทว่าอาคาเนะกลับยืนนิ่ง


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสึซึรันพุ่งเป้าไปยังอาคาเนะ นางจึงหันหลังให้กับโทชิฮิโระ และเพื่อช่วยอาคาเนะ โทชิฮิโระต้องรีบฉวยโอกาสนั้น แต่ขาของมนุษย์ยากจะตามปีศาจได้ทัน สึซึรันจึงเข้าถึงตัวอาคาเนะก่อน


“อาคาเนะ!” โทชิฮิโระตะโกนลั่นพร้อมเงื้อดาบจนสุดแขน หมายฟันสึซึรันให้ตายในดาบเดียว ในเสี้ยวนาทีนั้นร่างของหญิงสาวกลับถูกดึงให้พ้นจากทางดาบจนล้มลงไปพร้อมกับคนที่ช่วยนางเอาไว้ ในขณะที่ดาบของนางกระเด็นไปอีกทาง โดยไม่มีกระทั่งรอยเลือดสักหยด เมื่อมันห่างจากมือของสึซึรันก็สลายไปทันที


“หยุดนะ!” อาคาเนะร้องห้าม ซ้ำยังพลิกตัวมาบังสึซึรันเอาไว้เมื่อเห็นว่าโทชิฮิโระยังตามมาหมายลงดาบสังหาร


“ทำอะไร หลีกไปซะ!” โทชิฮิโระตวาดลั่น เมื่อครู่เขานึกว่าจะต้องเสียอาคาเนะไปแล้ว แต่คนที่เพิ่งรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิดยังมาปกป้องคนที่คิดฆ่าตัวเองอีก


“วางดาบเถอะ คืนนี้จะไม่มีใครตายทั้งนั้น” อาคาเนะร้องขอเสียงอ่อนโดยยังไม่ยอมขยับตัวออกจากการปกป้องสึซึรันที่เอาแต่นั่งเงียบ


“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดแน่นแต่ยังไม่ยอมลดดาบลง หากสึซึรันขยับเพียงนิด ต่อให้อาคาเนะขอร้องเขาก็พร้อมจะฆ่านาง


“พวกท่านต่างหากที่บ้า” อาคาเนะสวนกลับเสียงแข็งพลางเหลือบตามองคนข้างหลัง ร่างกายของสึซึรันที่สัมผัสถูกกันกำลังสั่น จนกระทั่งเมื่อนางหัวเราะออกมา


“พวกเจ้ามันน่าขำ ช่วยข้าหรือ คิดจะเวทนาข้าหรือ น่าขำสิ้นดี” สึซึรันค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น อาคาเนะเองก็เช่นกัน เด็กหนุ่มคว้าข้อมือโทชิฮิโระข้างที่ถือดาบเอาไว้เป็นการห้าม แม้ว่าสึซึรันยังคงพูดเสียดสีออกมา


“ดูท่านสิ เทพมังกรผู้ทะนงตัวหายไปไหน หรือลงเสน่ห์จิ้งจอกจนกลายเป็นคนอ่อนแอไปแล้ว!”


เพี้ยะ!


เสียงตบดังขึ้นทันทีเมื่อจบประโยคนั้น อาคาเนะเป็นฝ่ายตบสึซึรันจนหน้าหัน ส่วนคนที่ควรจะโกรธได้แต่ยืนมองอาคาเนะที่กำลังหอบจนไหล่สั่น


“เลิกพูดมากได้แล้ว! แค่พูดว่าขอโทษมันยากตรงไหน จะโกหกคนที่เจ้ารักไปถึงเมื่อไรกัน!” อาคาเนะขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ร่างกายกำลังประท้วงด้วยความปวดร้าวถึงกระดูก เขาอยากจบเรื่องนี้เต็มทน


“อาคาเนะ” โทชิฮิโระคว้าต้นแขนของเด็กหนุ่ม แต่อาคาเนะบิดตัวออก


“มีเรื่องที่ท่านต้องฟัง มีเรื่องที่พวกท่านควรพูดกันเสียที”


“ข้าไม่อยากฟัง เจ้าต้องการหมอ” ใบหน้าของอาคาเนะซีดขาวใต้แสงจันทร์สลัว ผิวเนื้อร้อนผ่าว เหงื่อไหลโทรมกาย อาการดูแย่จนโทชิฮิโระอยากจับอุ้มหนีไปเสีย แต่พอแตะเจ้าตัวกลับขู่ฟ่อใส่


“ท่านเจ็บปวดที่เห็นนาง เพราะเชื่อมาตลอดว่าสึซึรันหักหลัง แต่นางไม่..”


“เงียบนะ!” สึซึรันตวาดออกมาพลางยกมือขึ้นทาบบนหน้าอกตัวเอง ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มเสมอเริ่มบิดเบี้ยวราวกับจะร้องไห้


“ใช่แล้วข้าทำ ข้าเข้าใกล้ท่านเพื่อหลอกใช้ความไว้ใจ หาช่องว่างเพื่อฆ่าท่าน” โทชิฮิโระก้าวเข้าหาสึซึรันแต่ถูกอาคาเนะดันตัวเอาไว้ เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนหันไปสบตาสึซึรัน


“เจ้าบอกว่าไม่ได้กลับมาจากปากทางปรโลกเพื่อตายด้วยมือข้า แล้วเจ้ากลับมาเพียงเพื่อตายด้วยมือเขาเท่านั้นหรือ เห็นชีวิตที่สละไปเพื่อขาของเจ้ามีค่าแค่นั้นใช่ไหม”


อาคาเนะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มันกลับทำให้หยดน้ำใสไหลเอ่อขึ้นรอบดวงตาสีทองของหญิงสาว มันเอ่อล้นจนไหลลงมาเป็นสายระหว่างที่ดวงตายังคงเบิกค้าง ก่อนที่ทั้งร่างจะทรุดลงนั่งคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง


“คุโระไม่เคยไปไหน แต่เจ้าไม่เคยมองเห็นมัน เพราะดวงตาของเจ้ามันมืดบอดด้วยความรู้สึกผิดไปแล้ว” เพียงคำขอปากเปล่า อาคาเนะคงไม่มีวันยอมช่วยสึซึรันเพราะเขาเกลียดนางเหมือนที่โทชิฮิโระเกลียด แต่แมวตัวเล็กๆ ตัวนั้นพยายามอย่างมากที่จะเหลือเจ้านาย


เจ้านายที่ช่วงชิงชีวิตของมันไปเพื่อกลายเป็นปีศาจ และกลับมาเดินได้อีกครั้ง


“ข้า...ไม่รู้...ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้น” ปีศาจสาวที่วางท่าเยาะเย้ยโทชิฮิโระอยู่เมื่อครู่ กำลังสะอื้นหนักจนไหล่สั่น มือของนางฝังเล็บจิกแน่นลงบนเข่าทั้งสองข้างจนเลือดไหลซึมออกมาผ่านเนื้อผ้า


“นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร” เมื่อเห็นว่าสึซึรันไม่ได้อยู่ในสภาพที่อยากจะฆ่าเขาอีกแล้ว โทชิฮิโระจึงเก็บดาบกลับเข้าฝัก สิ่งที่อาคาเนะพูดถึงรวมทั้งท่าทีของสึซึรัน คล้ายกำลังเติมช่องว่างในที่หายไปในอดีตอยู่


“นางไม่รู้อะไรเรื่องแผนสังหารท่าน เป็นแค่คนที่...ถูกหลอก...ใช้” ร่างของอาคาเนะซวนเซ เช่นเดียวกับดวงตาที่หรี่ปรือลง ทุกอย่างที่ทนฝืนไว้กำลังปลดปล่อยออกมาเมื่อเห็นแล้วว่าทั้งสองคนคงไม่พยายามฆ่ากันอีก โทชิฮิโระรีบคว้าร่างเด็กหนุ่มเอาไว้พร้อมช้อนขาเพื่ออุ้มขึ้น


“ยาจะสลายไปภายในหนึ่งวัน เขาจะไม่เป็นไร” สึซึรันบอกออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง หลับตาลงเพื่อปล่อยให้หยดน้ำตารินไหล หัวใจเจ็บเหมือนถูกฉีกไม่ต่างจากตอนที่รู้ว่าบิดาส่งนางไปหาเทพมังกรเพียงเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อ


“เจ้าต้องพัก เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน” โทชิฮิโระประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากคนในอ้อมกอด หากเป็นก่อนหน้านี้สักหนึ่งวัน โทชิฮิโระคงไม่มีวันยอมหันหลังให้สึซึรัน แต่ในเมื่ออาคาเนะยืนยันจะปกป้องนาง เขาก็ไม่จำเป็นต้องระวังอีกแล้ว


“ท่านมาช้า” คำต่อว่าเสียงแผ่วดังแว่วมาจากคนที่เอนหัวมาซบอกพร้อมด้วยดวงตาที่ปิดลง โทชิฮิโระผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก แม้จะบาดเจ็บ แต่อย่างน้อยในที่สุดเขาก็ได้ตัวจิ้งจอกน้อยกลับมาอยู่ในอ้อมแขนเสียที



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


คดีพลิก คืนความสุขให้ชาวประชา พาพ่อมังกรกลับมาหาจิ้งจอกแล้วนะ  :L2:


ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 19

ชายผู้นั้น





ท่ามกลางความโกลาหลเมื่อเทพมังกรอาละวาด และปราสาททั้งหลังกำลังพังทลายลงมา สึซึรันทำได้เพียงเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรกับเทพที่นางเฝ้าเทิดทูน


“ท่านหญิง!” คนรับใช้คนสนิทวิ่งปราดเข้ามาหา พยายามฉุดรั้งพาตัวเจ้านายให้หนีไป



“ทำไม...ข้า...ไม่ได้ทำอะไร” น้ำตาหลั่งรินลงเป็นสายเมื่อนึกถึงชายที่นางเฝ้าปรนนิบัติด้วยความภักดี ขอเพียงได้อยู่ใกล้ ขอเพียงได้เฝ้ามอง เทพมังกรผู้สง่างาม ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมนุษย์ตัวเล็กๆ  ทั้งที่นางพอใจเพียงแค่นั้น


“บ่าวทำเอง! ตามคำสั่งของนายท่าน แต่เราต้องรีบหนีก่อน” คำตอบนั้นทำให้หัวใจสึซึรันแตกสลายด้วยความจริงที่ว่าตัวเองคือผู้ชักนำความตายมาสู่เทพมังกร


สิ่งเดียวที่ทำได้คือคว้าตัวฆาตกรเอาไว้ รั้งไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แม้ว่าหญิงใจร้ายจะพยายามดิ้นรนจนต้องคลานหนี แต่สึซึรันไม่ยอมปล่อยนางไป จนกระทั่งเมื่อเพดานถล่มลงมา


ทว่าสวรรค์อาจคิดว่าสึซึรันยังชดใช้บาปนั้นได้ไม่พอ ไม่ยอมแม้แต่จะมอบความตายให้ นางยังคงลืมตาตื่น มองเห็นโลกอันหม่นหมอง โดยไร้ความรู้สึกจากช่วงเอวลงไป มีชีวิตเหมือนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่ ใบหน้าบิดากลายเป็นใบหน้าของชายน่ารังเกียจผู้ไม่เคยมองเห็นลูกสาวคนนี้มีค่ามากไปกว่าเครื่องมือ


แต่ละวันยาวนานและทรมานขึ้นเรื่อยๆ เพราะปรารถนาความตาย สึซึรันจึงไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม ร่างกายผ่ายผอมลงทีละน้อย ทุกวันได้แต่นอนนิ่งอยู่บนฟูก กลอกตามองผู้คนที่ผ่านไปมา


จนถึงวันที่ยมทูตปรากฏตัว


“ได้โปรดพาข้า...ไปยังปรโลก” น้ำเสียงแหบแห้งจากลำคออันแห้งผาก พยายามร้องขอต่อชายที่ปรากฏตัวจากหมอกควันสีดำทะมึน ชายคนนั้นเดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างฟูก ผิวกายเขาซีดขาวตัดกับเส้นผมและดวงตาที่ดำมืดยิ่งกว่าสีของรัตติกาลที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาว


“เหตุใดจึงปรารถนาความตาย” ยมทูตเอ่ยถามพลางเอื้อมมือมาจับปลายนิ้วของสึซึรันเอาไว้


“เพราะข้าทำร้ายคนที่รักยิ่ง” น้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปพร้อมกับความตายของเทพมังกรกลับไหลรินออกมากครั้ง


“แล้วหากเขายังไม่ตาย เจ้ายังอยากตายหรือไม่” ดวงตาของคนฟังเบิกค้าง รีบตวัดมืออีกข้างมากุมมือของยมทูตเอาไว้ พร่ำถามซ้ำๆ ว่าเทพมังกรยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ


“ให้ข้าพบเขา ขอเพียงครั้งเดียว” แม้รู้ว่าไม่มีวันได้รับการอภัย แต่หากได้ชดใช้ ได้ตายด้วยมือนั้น นางคงไม่มีอะไรติดค้างภายในใจอีก


“เพียงพบเท่านั้นหรือ” ยมทูตเอ่ยถามก่อนก้มลงกระซิบตรงข้างหู


“ขาที่สามารถก้าวเดิน พลังที่สังหารเหล่าคนชั่วที่คิดฆ่าเทพมังกรได้ เจ้า...ต้องการหรือไม่” ในเวลานั้นสึซึรันตระหนักแล้วว่าผู้ที่อยู่ข้างกายนางไม่ใช่ยมทูต แต่เป็นปีศาจ ปีศาจที่กำลังหยิบยื่นข้อเสนอให้


“ข้าต้องการ” เมื่อไม่อาจอยู่ข้างกายเทพเจ้าได้อีกต่อไป จะเสียหายตรงไหนหากจะตอบรับข้อเสนอจากปีศาจ


“ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด” ประโยคนั้นคล้ายกับการถามย้ำ


“ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด!” และสึซึรันไม่ลังเลที่จะตอบรับมัน ตอนนั้นเองที่มีบางสิ่งถูกฉีกกระชากอยู่เหนือร่าง ของเหลวอุ่นร้อนไหลหลั่งออกจากสิ่งนั้นลงสู่ใบหน้าของสึซึรัน รสเค็มขมและกลิ่นคาวบอกให้รู้ว่ามันคือเลือด เมื่อพยายามเบิกตามองผ่านดวงตาที่ถูกย้อมเป็นสีแดงจึงได้เห็น ว่าเลือดเหล่านั้นมาจากร่างของแมวขาวที่เคยโอบอุ้ม


“จงดื่มกิน เลือดเนื้อของสิ่งที่ภักดีต่อเจ้า กลืนกินชีวิตมันแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง!”


หลังจากนั้นทุกอย่างสับสนเกินกว่าจะจำได้ มีเพียงเศษเสี้ยวความรู้สึกจากหยาดเลือดที่ไหลชโลมร่าง และเสียงกรีดร้องของผู้คน ตราบจนรุ่งสาง เมื่อแสงตะวันปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า ปราสาทที่สึซึรันเกิดและเติบโตก็เหลือเพียงความเงียบงันและกองซากศพ







“ปีศาจที่สังหารเจ้าเมือง ที่แท้คือเจ้าเอง” บุตรสาวที่สูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวของตน ได้ลงมือสังหารบิดาของตัวเอง ผลที่ตามมาสึซึรันคงไม่เคยนึกถึง โทชิฮิโระถอนหายใจ ความแค้นที่ฝังใจมาหลายปี ท้ายที่สุดแล้วเหมือนหยดน้ำที่ซึมลงกลางทรายอันแห้งผาก ไม่อาจโทษใครได้ คงถึงเวลาต้องสลายไปเสียที


มือหนึ่งยังคอยลูบผมให้คนที่นอนหนุนตัก อาคาเนะเพิ่งจะยอมหลับไปได้ไม่นานหลังถูกเขาพาเข้ามานอนพักในห้อง จิ้งจอกตัวร้ายยังพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวเองมาเกยบนตักเพื่อป้องกันไม่ให้โทชิฮิโระลุกขึ้นไปคิดฆ่าสึซึรันอีก


“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ถ้าไม่มีข้า ท่านพ่อคงทำอะไรไม่ได้ ข้ายินดีตายด้วยมือท่าน” หญิงสาวจรดมือลงกับพื้นด้านหน้าพลางก้มหมอบลงเพื่อยอมรับความผิด การได้ตายด้วยมือโทชิฮิโระ คือความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตของนาง


“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า สิ่งที่เจ้าทำถือว่าชำระแค้นให้ข้าจนหมดสิ้นแล้ว” โทชิฮิโระบอกปัดอย่างง่ายดาย ทั้งเขาและสึซึรันต่างเป็นเหยื่อของแผนการร้ายไม่ต่างกัน มองดูตัวเองตอนนี้แล้ว สึซึรันอาจต้องทุกข์ทรมานมามากกว่าเขาด้วยซ้ำไป


“แต่...”


“ได้ยินที่อาคาเนะพูดแล้วไม่ใช่หรือ ชีวิตเจ้าในตอนนี้ได้มาจากการสละอีกชีวิตหนึ่ง อย่าทิ้งมันไปอย่างไร้ค่า เจ้าต้องอยู่เพื่อคุโระด้วย”


ดวงตาโทชิฮิโระมืดบอดด้วยความแค้นมานาน จนไม่อาจมองเห็นความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ในตัวสึซึรัน ถ้าไม่มีอาคาเนะ เขาคงฆ่าสึซึรันอย่างไม่ลังเล ดูเหมือนเขาจะติดหนี้จิ้งจอกน้อยเข้าเสียแล้ว


“ขอโทษที่ทำร้ายเขา” แม้จะเพียงเพื่อยั่วยุโทสะของโทชิฮิโระ แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มซึ่งไม่เกี่ยวข้องมาบาดเจ็บไปด้วย ตอนแรกคิดว่าหากตายคงถือว่าชดใช้กันหมด มาตอนนี้สึซึรันจึงยิ่งรู้สึกผิดอย่างมาก ดวงตานางยิ่งหมองหม่นเมื่อได้เห็นโทชิฮิโระคอยลูบผมของอาคาเนะอยู่ตลอด


ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน สึซึรันไม่เคยถูกสัมผัสแม้แต่ปลายเส้นผม ดังนั้นส่วนลึกของหัวใจจึงยังมีความอิจฉา แต่เมื่อนึกถึงภาพอาคาเนะตอนพยายามช่วยนางเอาไว้ กลับเผลอยิ้มออกมา


“ข้าเทียบเขาไม่ได้เลย” ทั้งความซื่อตรง มั่นคง และแน่วแน่ ต่อให้เรื่องร้ายไม่เคยเกิดขึ้น ต่อให้นางยังสามารถอยู่เคียงข้างโทชิฮิโระเช่นเมื่อก่อน ก็คงไม่มีวันที่นางจะกล้าขึ้นเสียงใส่โทชิฮิโระเป็นแน่


“เจ้าเคยเป็นสหายที่ดี” โทชิฮิโระเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่มันมากพอให้หัวใจอันแห้งแล้งรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง สึซึรันก้มหน้าลงเอ่ยขอบคุณทั้งน้ำตา


“ท่านจะบอกรักกับเขาไหม” มือที่กำลังเคลื่อนไหวหยุดชะงักไปเพียงนิดเมื่อได้ยินคำถามนั้น


“อาคาเนะก็เคยถามข้าเช่นกัน สักวันข้าอาจหาคำตอบเจอ” การมีจิ้งจอกตัวนี้อยู่ใกล้คือความสุข เรื่องนั้นโทชิฮิโระไม่คิดปฏิเสธ เขามีชีวิตอยู่มานาน นานเกินกว่าจะปริปากบอกรักใครง่ายๆ เพราะหากตัดสินใจผูกใจรักใครสักคนแล้ว ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่คงสุดแสนทรมาน หากไม่สามารถโอบกอดคนรักเอาไว้ได้


“จากนี้เจ้าจะทำอย่างไรต่อ” เมื่อหมดสิ้นความแค้นต่อกัน ต่างฝ่ายต่างต้องเดินไปบนเส้นทางของตัวเองต่อ


“ข้าไม่เคยคิดถึงวันข้างหน้าเลย” หญิงสาวหลุบตาลง นางมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตายนับจากวันที่กลายปีศาจ จึงไม่อาจบอกได้ว่าต่อจากนี้จะไปอยู่ที่ไหน หรือมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร


“กลับไปยังบ้านของเจ้า” โทชิฮิโระเอ่ยปาก ตัวเขาตอนนี้ไม่มีอำนาจใดจะสั่งสึซึรัน แต่ถ้าเป็นสึซึรันที่เขาเคยคิดว่ารู้จักจะต้องทำตามแน่


“แต่ที่นั่นไม่มีใคร”


“ชาวเมืองของเจ้ายังต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตรอดอยู่” ยังคงมีคนที่ดิ้นรนต่อสู้ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคใดๆ พลังใจนั้นแม้แต่โทชิฮิโระยังนับถือ


“จะดีหรือ ปีศาจอย่างข้า” ปีศาจที่สังหารผู้คนไปมากมาย เหมาะสมแล้วหรือที่จะกลับไปอยู่ในสังคมของมนุษย์อีก


“แค่ทำสิ่งที่ข้าเคยทำก็พอ” แค่ปกป้องคนเหล่านั้นจากปีศาจและศัตรูที่มารุกราน ไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับมนุษย์ด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่โทชิฮิโระเคยทำมาตลอด


“ข้าจะทำให้สุดความสามารถ” สึซึรันรับปากอย่างหนักแน่น ความไว้วางใจที่ได้รับกลับมาอีกครั้ง นางจะไม่มีวันยอมสูญเสียมันไปอีก


“คงถึงเวลาบอกลากันเสียที” โทชิฮิโระวางมือลงบนไหล่ของอาคาเนะก่อนเหลือบตาขึ้นมองสึซึรัน ครั้งแรกที่เจอกันนางถูกแนะนำต่อเขาอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อจากกันกลับต้องแยกกันด้วยความเกลียดชัง วันนี้มีโอกาสได้พบกันอีก ถือโอกาสบอกลากันน่าจะดีกว่า


“ข้าจะได้พบท่านอีกไหม” สึซึรันถามออกมาโดยมีรอยยิ้มเศร้าๆ ประดับบนใบหน้า รู้ดีว่าพื้นที่ข้างกายโทชิฮิโระไม่มีที่ว่างเหลืออีกแล้ว แต่อย่างน้อยในฐานะคนเคยรู้จักกัน ได้พบปะกันบ้างก็ยังดี


“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มีคนที่ข้ารับปากว่าจะไปพบอีกสักครั้งที่เมืองนั้น” คำสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงชราโทชิฮิโระยังจำได้ดี ตอนนี้เขาทำได้เพียงส่งสึซึรันกลับไปก่อน แต่วันใดที่ได้ร่างเดิมกลับคืนมา เขาจะพาจิ้งจอกน้อยไปเจอคุณยายแสนใจดี


สึซึรันพยักหน้าแทนการตอบรับ นางลุกขึ้นแล้วแปลงร่างเป็นแมวขาวที่โทชิฮิโระคุ้นตา ก้าวขาคล้ายจะจากไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันหน้ากลับมาอีกครั้ง


“ข้ามีบางเรื่องอยากถาม” สึซึรันในร่างแมวเดินเข้ามาใกล้โทชิฮิโระมากขึ้น ยกหูทั้งสองข้างรับฟังเสียงพลางใช้จมูกดมกลิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่ใกล้ๆ


“มีอะไร”


“ปีศาจหิมะที่ชื่อคาสุมิ ท่านรู้จักกับนางหรือ”


“ทำไม” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดเข้าหากัน จะว่าไปเขายังโมโหคาสุมิอยู่ ทั้งที่ฝากให้ดูแลอาคาเนะแต่กลับมาหายตัวไปเสียได้ ช่างเป็นผู้หญิงที่ไว้ใจได้ยากเสียจริง


“นางเข้ามาปกป้องอาคาเนะจากข้า แต่ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นนางมาก่อน”


“คาสุมิไปไหนมาไหนตามใจชอบ เจ้าอาจบังเอิญเจอนางเข้า” ปีศาจหิมะชอบเอาแต่ใจและชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น ไม่แปลกเลยหากคาสุมิจะไปโผล่ในที่แปลกๆ แล้วได้พบกับสึซึรันเข้า


“วันที่ข้าถูกเปลี่ยนเป็นปีศาจ ข้าคิดว่านางอยู่ที่นั่นด้วย” ประโยคที่สึซึรันตอบกลับมาทำให้โทชิฮิโระเงียบไปชั่วอึดใจ บางอย่างกำลังร้องเตือนเขาจากภายใน ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว


“ถ้าหากนางคือคนที่ข้าคิด ท่านควรอยู่ให้ห่างนางเอาไว้”


“เหตุผล?” โทชิฮิโระเก็บซ่อนสีหน้าและถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ


“ระหว่างออกตามหาท่าน ข้าได้ยินเรื่องคนที่เปลี่ยนข้าเป็นปีศาจมา เขาเคยเป็นเทพแต่ถูกขับไล่จากสวรรค์ เป็นคนน่ากลัวที่แม้แต่ปีศาจก็ไม่อยากเข้าใกล้ เทพตกสวรรค์นาม...”


“มาซาโนริ” คำพูดของสึซึรันถูกต่อให้จบโดยโทชิฮิโระเอง สองมือกำแน่นจนเล็บแทบจิกฝังลงในเนื้อเพื่อสงบสติ เพราะมาซาโนริคือคนที่เขารู้จักดี ชายที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง


ผู้สร้างพันธสัญญาและส่งเขามาหาอาคาเนะ


•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

ช่วงนี้เนื้อเรื่องหม่นหมองอึมครึม เดี๋ยวตอนหน้าเอาความหวานกลับมาเสิร์ฟให้น้าาา


ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
มีตัวการที่แท้จริงนี่เอง ลุ้นต่อไปค่ะ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 20

คำขอ





เหล่านกตัวจ้อยส่งเสียงร้องแข่งกันระงมเมื่อเห็นแม่ของมันคาบอาหารกลับมาส่งถึงรัง เสียงเจื้อยแจ้วนั้นพาให้ใบหูของจิ้งจอกกระดิก ดวงตาที่ปิดสนิทเปิดปรือขึ้นช้าๆ กะพริบซ้ำเพราะแสงแดดอันสว่างจ้าเกินกว่าจะปรับตัวได้ แต่สัมผัสจากมืออันว่างเปล่าเรียกให้อาคาเนะต้องรีบลุกขึ้น


“โทชิ” คนที่โอบกอดเขาไว้ก่อนหลับตาลงหายไป แม้แต่ฟูกนอนยังเย็นเฉียบบ่งบอกว่าโทชิฮิโระลุกออกไปนานมากแล้ว พิษในตัวอาจสลายไปหมด แต่ความเมื่อยล้าจากผลของมันยังคงอยู่ อาคาเนะลุกขึ้น เดินโซเซไปยังประตู กางใบหูพร้อมทั้งใช้จมูกช่วยสูดกลิ่น ตอนนั้นเองที่บานประตูถูกเปิดออก


เจ้าของคฤหาสน์ยืนมองคนป่วยที่อยู่ตรงหน้า อ้าปากจะทักทายแต่ถูกอีกฝ่ายโผเข้ามากอดเอาไว้เสียก่อน มือข้างหนึ่งจึงยกขึ้นลูบหลัง ส่วนมืออีกข้างคล้องเอวบางเอาไว้


“เป็นอะไร ฝันร้ายหรืออาคาเนะ” น้ำเสียงอบอุ่น อ้อมกอดอันคุ้นเคย ช่วยให้หัวใจคนฟังอุ่นซ่าน


“หายไปไหนมา” คำถามที่ดังอยู่กับอก ฟังดูตัดพ้ออยู่ไม่น้อย แต่โทชิฮิโระแกล้งทำเฉไฉ ถือว่าอาคาเนะถามถึงเช้าวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เขาหายไป


“แค่ตื่นตามปกติ ไม่อยากปลุกคนเจ็บ” อาคาเนะเงยหน้าทำปากคว่ำ กำมือทุบลงกลางอกโทชิฮิโระ


“ทิ้งข้าไปตั้งหลายวัน ยังกล้าทิ้งข้าไว้คนเดียวอีก” ก่อนหน้านี้อาคาเนะคิดว่าไม่เป็นไร หากพวกเขาจะไม่ได้เจอหน้ากันเป็นบางครั้ง แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้อาคาเนะรู้สึกราวกับว่าโทชิฮิโระอาจหายตัวไปในสักวันหนึ่ง หายไปโดยที่อาคาเนะไม่สามารถตามหาได้


“ไม่ได้ทิ้ง ใครจะทิ้งเจ้าได้ลง” โทชิฮิโระก้มลงกดจมูกกับแก้มนุ่ม อาคาเนะไม่เคยงอแงอย่างนี้มาก่อน แต่ในสายตาเขา ได้เห็นคนถือตัวอย่างอาคาเนะงอแงเสียบ้างมันก็น่ารักดี


“อย่าเคืองกันเลย ข้าก็ตามมาช่วยแล้วไม่ใช่หรือ” เพราะรู้ว่าตัวเองผิดที่ทำให้อาคาเนะถูกจับตัว โทชิฮิโระถึงยอมเป็นฝ่ายง้อ


“ข้าต่างหากช่วยท่าน อย่ามาเอาดีเข้าตัวนะ” จิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวใส่ ถ้าไม่มีเขาเมื่อคืนคงมีใครสักคนตายไปแล้ว แต่พอช่วยอีกใจหนึ่งกลับเป็นห่วงขึ้นมา กลัวว่าเมื่อความเข้าใจผิดถูกแก้ไข โทชิฮิโระอาจอยากกลับไปมีใครอีกคนอยู่ข้างกาย


ดวงตาสีเพลิงที่เสมองไปทางอื่น ท่าทางนั้นบอกโทชิฮิโระว่าอาคาเนะมีบางอย่างให้ครุ่นคิด แม้ปากจะปิดเงียบ แต่การแสดงออกทางอื่นของอาคาเนะมักจะซื่อสัตย์ยิ่งกว่า


“อ้อ”


“อ้อ อะไร” อาคาเนะตวัดสายตากลับมามองโทชิฮิโระตาขวาง


“ที่โกรธเพราะตื่นมาแล้วข้าไม่อยู่ หรือเพราะกลัวข้าทิ้งเจ้าแล้วไปกับสึซึรันกันแน่” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ยิ่งได้เห็นอาคาเนะหน้าแดงวาบยิ่งมั่นใจ


“ก็...ก็แล้วจะทำไม! ปรับความเข้าใจกันแล้วนี่!” ความโกรธและเขินอายตีรวนจนอาคาเนะอยากจะดิ้นหนี แต่ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ไม่สามารถหนีจากโทชิฮิโระได้เสียที ซ้ำยังโดยคนขี้แกล้งฉวยจูบเอาเสียอีก ริมฝีปากที่แนบชิดกันวันนี้นุ่มนวลกว่าครั้งก่อนๆ ไม่ได้เริ่มจากการรุกล้ำ เพียงแค่ไล้เลียคล้ายกำลังวอนขอให้อาคาเนะเป็นฝ่ายเปิดปากเอง


...มีหรือที่จะปฏิเสธได้


มือที่พยายามผลักไส กลับกลายเป็นโอบกอด หลับตาลงผ่อนลมหายใจ ปล่อยให้โทชิฮิโระเป็นฝ่ายชักนำ รับรู้ว่าอีกฝ่ายค่อยๆ พาพวกเขาเดินไปจนแผ่นหลังแนบผนัง มือข้างหนึ่งเชยคางให้ต้องแหงนหน้าขึ้นจนเผลอสบเข้ากับดวงตาคมกล้าที่จ้องมองมา


“ข้าจะทำอย่างนี้กับเจ้าแค่คนเดียว พอใจไหม” เสียงทุ้มกระซิบบอกกับใบหู ชวนให้อาคาเนะยิ้มกว้าง แต่เพราะไม่อยากให้โทชิฮิโระได้ใจเลยต้องยืดตัวขึ้นกอดคออีกฝ่ายไว้แล้วเกยคางลงบนไหล่ เรื่องอะไรจะยอมให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างขนาดนี้


“อย่าหายไปอีกก็พอ” ในเวลานั้นไม่ได้มีเพียงอาคาเนะที่อยากหลบซ่อนใบหน้า แววตาของโทชิฮิโระที่หรี่ลงแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งก่อนที่สองแขนจะโอบกอดอาคาเนะไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี







“ถามจริงๆ ไม่มีที่มันเล็กกว่านี้แล้วใช่ไหม” คิ้วของคนถามขมวดแน่นระหว่างหมุนตัวมองดูสภาพตัวเองในชุดกิโมโนตัวโคร่ง ไหนจะแขนเสื้อที่ห้อยจนบังมือมิด แล้วยังชายล่างที่ยาวลงไปกองถึงพื้นอีก ถ้าไม่ใช่ว่าหลังอาบน้ำแล้วไม่มีชุดให้เปลี่ยน อาคาเนะคงไม่ยอมสวมมันเด็ดขาด


“ไม่ได้แกล้งข้าใช่ไหม” สายตาขุ่นๆ เหลือบมองไปทางเจ้าของชุดที่กำลังทำเป็นยืนกอดอก แต่แอบเอียงหน้าซ่อนรอยยิ้มอยู่ เห็นแล้วชวนหงุดหงิด แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อชุดเก่าของอาคาเนะสกปรกจนไม่กล้าหยิบมาใส่ กิโมโนชั้นในที่ใส่นอนมาทั้งคืนก็ไม่เหมาะจะใส่ออกไปเดินข้างนอก


“มานี่มา” เมื่อโทชิฮิโระกวักมือเรียก อาคาเนะเลยจำต้องยกชายผ้าขึ้นแล้วเดินมาหาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


“ช่วงตัวยาวไปก็แค่จับพับทบขึ้นมา” นอกจากปากจะบอกแล้วมือของโทชิฮิโระยังจัดการจัดแต่งกิโมโนของเขาที่อาคาเนะยืมไปสวมให้เข้าที่ด้วย ผ้าคาดเอวที่ผูกไว้ถูกแก้ออกเพื่อขยับเนื้อผ้าเสียใหม่ ชวนให้คนที่กำลังถูกแต่งตัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้


ไม่ใช่ว่าไม่เคยใกล้ชิดกัน สัมผัสกันมากกว่านี้ก็เคยทำมาก่อน แต่อาจเป็นเพราะเมื่อวานเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมามันช่างบีบคั้นความรู้สึก รวมเข้ากับความคิดที่ว่าโทชิฮิโระไม่ได้อยู่ในที่ที่เอื้อมคว้าได้เสมอ ความรู้สึกที่คิดว่าอาจไม่ได้พบกันอีกยังติดค้างอยู่ ยิ่งทำให้หัวใจบีบรัดหนักเข้าเมื่อได้กลับมาอยู่ใกล้


“แกล้งผูกช้าๆ ดีไหม เผื่อคนกลั้นหายใจแถวนี้จะได้ลองขาดอากาศ” ดวงคาคู่โตแสดงชัดว่าประหม่าทำเอาอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ ยิ่งเห็นสองแก้มอาคาเนะพองลม โทชิฮิโระยิ่งทำเป็นขยับเข้าใกล้มากขึ้น


“พอแล้วๆ ข้าผูกเอง” สุดท้ายอาคาเนะต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน เด็กหนุ่มหมุนตัวหันหลังให้คนขี้แกล้งแล้วผูกสายคาดเอวตัวเองอย่างรวดเร็ว


“ผู้ใหญ่นิสัยเสีย” อาคาเนะบ่นพึมพำกับตัวเอง คนอย่างโทชิฮิโระเผลอทีไรเป็นต้องคอยกลั่นแกล้งอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าการเห็นเขาวางตัวไม่ถูกมันน่าสนุกตรงไหน


“ทำไม กลัวข้าจับเจ้ากินหรือ” แขนหนึ่งคว้าเอวอาคาเนะเข้ามากอด กำลังจะเอียงหน้าไปฉวยหอมแก้ม แต่ถูกอาคาเนะยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกเอาไว้เสียก่อน


“ข้าสิจะกินท่าน อย่ามาเข้าใกล้นัก พอร่างกายแย่แล้วมันชอบมองมนุษย์เป็นอาหาร” ประหม่าเพราะรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังจะข้ามเส้นบางอย่างมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ตื่นเต้นเพราะกลิ่นอันคุ้นเคยจากเลือดที่เคยดื่มกินมันก็อีกเรื่อง


ก่อนหน้านี้ร่างกายของอาคาเนะยังอ่อนล้าเพราะฤทธิ์ยาเกินกว่าจะสนใจเรื่องอาหาร แต่พอได้ผ่อนคลาย ได้อาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ประสาทรับรู้เหล่านั้นจึงเริ่มตื่นตัวขึ้น


“ดื่มเลือดหน่อยไหม” โทชิฮิโระถกแขนเสื้อยื่นแขนให้ มนุษย์อาจใช้ยาเพื่อรักษาอาการป่วย แต่สำหรับปีศาจนั้น เลือดเนื้อมนุษย์ถือเป็นยาที่ดีที่สุด


“ไม่เอา” แขนที่ยื่นมาถูกดันออก อาคาเนะเดินหนีจากคนข้างหลัง หันกลับไปพิงผนังอีกด้านเพื่อให้สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้


“ข้าติดรสเลือดท่านมากไปแล้ว มันทำให้เลือดของคนอื่นรสแย่ไปหมด” ช่วงที่โทชิฮิโระไม่อยู่ อาคาเนะยังคงใช้วิธีเดิมเพื่อขโมยเลือดจากลูกค้า แต่รสของมันแตกต่างจากที่เคยดื่ม


“ตามใจ มาเถอะ จะไปส่งที่ร้าน” ถึงเรื่องเลือดจะถูกปฏิเสธ แต่โทชิฮิโระยังคงยื่นมือไปให้อาคาเนะอีกครั้ง เด็กหนุ่มมองมือนั้นก่อนหลุบตาลงต่ำ


“ให้ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ” คำถามแสนแผ่วเบาจบลงด้วยการที่คนพูดก้มหน้าเม้มปากแน่น ครั้งหนึ่งโทชิฮิโระเคยชวนอาคาเนะให้มาอยู่ด้วยกันมาก่อน แต่นั่นเป็นตอนที่ต่างฝ่ายต่างยังรู้จักกันไม่มากพอ อาคาเนะไม่รู้ว่าถึงวันนี้โทชิฮิโระจะยังคิดแบบเดิมอยู่ไหม


“ไม่ได้” คำตอบที่ได้มาทำให้หัวใจคนฟังเจ็บแปลบ แว่วเสียงถอนหายใจจากอีกคน ยิ่งทำให้อาคาเนะปวดใจยิ่งขึ้น แต่ก่อนจะได้ก้าวหนีร่างทั้งร่างกลับถูกรวบเข้าไปกอด ใบหน้าถูกจับกดลงกับแผ่นอกที่เคยยึดเอาไว้เป็นที่พักพิง เพียงเท่านั้นขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวไปหมด


“อย่าขอแบบนั้นถ้ามันเป็นเพียงเพราะเจ้าไม่กล้ากลับไปเจอหน้าโคคิ กับซาโตรุ”


“ข้า...” อาคาเนะเถียงไม่ออก โทชิฮิโระมักอ่านความคิดเขาออกเสมอ เขาทำให้ทุกคนเดือดร้อน ทำให้พี่ชายทั้งสองคนต้องเจอกับปีศาจ และเขาไม่อยากปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก


“พวกเขารักเจ้ามากรู้ใช่ไหม” หากไม่รักโคคิคงไม่ชกแขกอย่างโทชิฮิโระอย่างไม่ลังเล หากไม่รักซาโตรุคงไม่พยายามบอกเรื่องทั้งหมดกับเขาทั้งที่ทำหน้าราวกับจะร้องไห้


“แต่ถ้าข้ากลับไป สักวันพวกเขาคงต้องเจอเรื่องอันตรายอีก” สองแขนของอาคาเนะยกขึ้นกอดตอบ พลางซุกหน้าลงกับอกอุ่น แค่พื้นที่เล็กๆ ตรงนี้เท่านั้นที่เขาจะเผยความอ่อนแอออกมาได้


“แต่ถ้าเจ้าไม่กลับไป ข้าคงต้องโดนโคคิต่อยอีกหมัดแน่”


“โคคิต่อยท่าน?!” อาคาเนะเงยหน้าถามอย่างไม่เชื่อหู


“เพราะเป็นห่วงเจ้า” มือใหญ่ยีผมของคนตัวเล็กกว่าจนยุ่งเหยิงก่อนวางคางเกยลงไป จนอาคาเนะแทบเกร็งคอไว้ไม่ทัน


“ให้เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าจะไปรับเจ้า จะไปรับอย่างเปิดเผย ให้ทุกคนรู้ว่าต่อไปเจ้าเป็นของข้าคนเดียว ดีไหม” ใบหน้าของคนฟังแดงซ่านขึ้นตาเห็น ขอบคุณโทชิฮิโระที่ไม่ได้พูดตรงหน้าเขา ไม่เช่นนั้นอาคาเนะคงอายจนสู้หน้าไม่ไหวแน่


“ไม่ใช่ว่าหลอกให้รอเก้อหรือ ท่านชอบทำอะไรไม่บอกข้า” อาคาเนะโขกหน้าผากกับอกที่ซุกตัวอยู่ ทั้งที่โทชิฮิโระรู้ทันเขาไปเสียหมด แต่เขากลับแทบไม่รู้ถึงความคิดในหัวโทชิฮิโระเลย วันหนึ่งมาคอยตามป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ พออีกวันกลับหายไป ไปที่ไหนยิ่งไม่เคยบอก


“อีกแค่เรื่องเดียวที่ข้าต้องสะสางให้เสร็จ”


“เรื่องร่างจริงของท่านใช่ไหม ท่านเคยพูดเรื่องสัญญา ท่านบอกว่าเขาส่งท่านมาหาข้า ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือเปล่า” หากช่วยเหลือโทชิฮิโระได้ ไม่ว่าเรื่องใดอาคาเนะยินดีที่จะทำ


“โอ๊ย!” อาคาเนะร้องลั่นเพราะถูกฟันคมขบเข้าที่ปลายจมูก พอมองคนกัดตาขวางยังโดนฟาดเข้าให้ที่สะโพกจนสะดุ้งอีก


“เด็กอย่างเจ้าจะทำอะไรได้ ก่อนอื่นเลิกงอแงแล้วกลับบ้านได้แล้วไป ก่อนพ่อกับแม่เจ้าจะมาแหวกอกข้า”


“ข้าจะฟ้องพี่ซาโตรุว่าท่านเรียกเขาว่าแม่”


“รู้ว่าข้าหมายถึงใครแปลว่าเจ้าเองก็คิดเหมือนกับข้า”


“คิดได้แต่ห้ามพูด! ไอ้ผู้ใหญ่รังแกเด็ก! ไม่ยุ่งด้วยแล้ว!” คนถูกแกล้งเดินลงส้นเท้าปึงปังออกจากห้องไป ส่วนคนแกล้งยังคงอมยิ้มแต่แอบลอบถอนหายใจ


ไม่คิดว่าจะได้ยินอาคาเนะเอ่ยปากขออยู่ด้วยกัน ทำเอาความตั้งใจของเขาเกือบจะสั่นคลอน



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


เกือบมาไม่ทันก่อนหมดวัน  :katai5:


*อีดิทเพิ่ม มาตอบเม้นนะคะ เมื่อคืนว่าตอบแล้วแต่หายซะงั้น  :hao5:


มีตัวการที่แท้จริงนี่เอง ลุ้นต่อไปค่ะ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่มาอ่านเช่นกันค่า  :pig4: เอาความหวานมาคั่นให้สักนิด เดี๋ยวเดินหน้าดราม่ากันต่อ  o13

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:31:53 โดย Magdaren »

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 22

ดนตรีบรรเลง






บรรยากาศที่คุ้นชิน สถานที่อันคุ้ยเคย วันนี้ไม่รู้ทำไมการจะก้าวเข้าไปมันถึงยากเย็นนัก อาคาเนะยืนตัวแข็ง ดวงตาจับจ้องกรอบประตูพลางกำมือแน่น


ร้านแห่งนี้คือบ้านสำหรับเขา เป็นที่หลบซ่อนจากสังคมภายนอก จากเหล่ามนุษย์ที่ยากจะเข้าใจ แต่เพราะครั้งก่อนเขาก้าวออกไปโดยการบังคับของปีศาจ ไม่รู้ว่าถ้าเข้าไปอีกครั้ง ทุกคนในร้านจะทำหน้าแบบไหน จะหวาดกลัวตัวเขาไปเลยหรือเปล่า


ความคิดทั้งหมดสะดุดลงเมื่อใครอีกคนสอดนิ้วเข้ามาในอุ้งมือเขา มันทำให้อาคาเนะเผลอคลายมือออก เปิดโอกาสให้มือใหญ่ได้กุมมือเขา


“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ตรงนี้” คำปลอบโยนแสนธรรมดา กลับสามารถลบความกังวลในใจอาคาเนะได้จนหมด เด็กหนุ่มเหลือบตามองโทชิฮิโระที่กำลังส่งยิ้มให้ ทำปากยื่นใส่คนหลงตัวเองข้างๆ แต่ไม่คิดปฏิเสธมือที่จับอยู่


“นั่นอาคาเนะนี่!” ใครบางคนร้องขึ้นมาจนเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง ต่อจากนั้นยังหันไปร้องบอกคนอื่นในร้านว่าให้ไปตามเจ้าของร้านออกมาอีก ทำเอาอาคาเนะต้องก้าวไปหลบหลังโทชิฮิโระด้วยความตกใจ


ไม่นานนักคนที่ถูกเรียกหาก็วิ่งออกมาพร้อมเพื่อนสนิท โคคิทำหน้าเหมือนกับกำลังโกรธและหยุดยืนระหว่างทาง ส่วนซาโตรุเดินเข้ามาใกล้กว่า แต่ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้


“อาคาเนะ” น้ำเสียงของซาโตรุเบาหวิว เขายกมือขึ้นเหมือนอยากจะยื่นมาหาอาคาเนะ แต่แล้วก็ลดมือลงไปจับมืออีกข้างของตัวเองไว้ ท่าทีลังเลนั้นทำให้อาคาเนะยิ่งพยายามซุกตัวอยู่หลังโทชิฮิโระมากขึ้น


“น่ารำคาญเป็นบ้า!” คนที่โพล่งออกมาคือเจ้าของร้านที่อยู่ห่างออกไปมากที่สุด โคคิเดินจ้ำพรวดๆ เข้ามาหาอาคาเนะ แม้จะมีโทชิฮิโระยืนขวางอยู่ แต่โคคิไม่ได้สนใจ เขาคว้าแขนของอาคาเนะแล้วกระชากจนเซมาตามแรง ออกแรงลากเด็กหนุ่มย้อนกลับไปหาซาโตรุก่อนจะผลักหลังอาคาเนะจนเกือบล้มคว่ำ พอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าได้มายืนอยู่ต่อหน้าซาโตรุเสียแล้ว


อาคาเนะย่นคอหลับตาปี๋ เมื่อเห็นว่าซาโตรุเงื้อมือขึ้นมาจะตีเขา แต่ฝ่ามือนั้นกลับเพียงแค่แตะเบาๆ ตรงข้างแก้ม เรียกให้อาคาเนะลืมตามขึ้นมอง ตอนนั้นถึงได้เห็นสังเกตเห็นว่าซาโตรุกำลังยิ้มด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้


“อย่าทำให้เป็นห่วงจะได้ไหม เจ้าเด็กคนนี้” ซาโตรุใช้สองมือประคองใบหน้าอาคาเนะเอาไว้ ตอนอาคาเนะถูกเอาตัวไปเขากลัวไปหมด กลัวว่าจะไม่มีวันได้เห็นอาคาเนะอีก


“ขอโทษขอรับ” อาคาเนะคว้ามือซาโตรุเอาไว้พลางก้มหัวลง ทั้งเสียใจและโล่งใจที่ได้รู้ว่าพี่ชายคนนี้ยังคงเป็นห่วง ไม่ได้หวาดกลัว หรือรังเกียจ ทั้งที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับปีศาจ


“ไม่ต้องมาสำออยเลย ก่อนนี้ทำเก่งนัก” โคคิไม่เพียงว่ากล่าว แต่ยังตบหัวอาคาเนะจนเกือบเซไปชนซาโตรุเข้า ได้ยินเสียงซาโตรุตวาดใส่โคคิกลับไป แต่อาคาเนะไม่ได้โกรธ ตรงข้ามเขากลับหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ


“ผู้ใหญ่ดุต้องสลดสิ ยังจะหัวเราะอีก” โคคิยกมือหมายจะเคาะหัวอาคาเนะอีกสักครั้ง แต่โดนซาโตรุปัดมือออกเสียก่อน ซ้ำยังเอาตัวมาบังอาคาเนะไว้ด้วย


“พอได้แล้ว ตัวเองก็ดีใจที่อาคาเนะกลับมา อย่ามาทำโหด”


“ดีใจก็ส่วนดีใจ ทำโทษก็ส่วนทำโทษ มานี่เลยเจ้าตัวดี มานี่!” อาคาเนะกระโดดหลบอุ้งมือหมียักษ์โดยมีซาโตรุเป็นโล่ เสียงหัวเราะของอาคาเนะปะปนกับเสียงโวยวายของโคคิ เรียกรอยยิ้มจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แม้สุดท้ายทุกคนจะต้องพร้อมใจกับหุบปากเมื่อซาโตรุตวาดออกมา


“ขออภัยที่พวกเราค่อนข้างเอะอะไปเสียหน่อย” คนที่ซาโตรุหันไปพูดด้วยคือโทชิฮิโระซึ่งยังมีฐานะเป็นแขกอยู่


“ไม่เป็นไร ข้าออกจะชอบ” ปากตอบซาโตรุ แต่สายตายแอบมองไปทางอาคาเนะ คนถูกมองเองก็รู้ตัวเลยแสร้งทำเป็นแหงนมองฟ้าไม่สนใจ


“ขอบคุณที่พาอาคาเนะกลับมา” ซาโตรุโน้มตัวลงคำนับ หากไม่ได้โทชิฮิโระไม่รู้ว่าป่านนี้อาคาเนะจะเป็นอย่างไรบ้าง


“ทั้งหมดเป็นความผิดข้า แค่พวกท่านไม่เอาความก็พอ” เรื่องร้ายในครั้งนี้ ต้นเหตุทั้งหมดล้วนเกิดจากตัวโทชิฮิโระเอง บางทีมันอาจเริ่มนับตั้งแต่เมื่อเขายอมให้สึซึรันมาอยู่ข้างกายด้วยซ้ำ


“มีเรื่องอยากจะขอคุยกับพวกท่านตามลำพัง...สักหน่อย” ซาโตรุและโคคิมองหน้ากันก่อนหันไปมองอาคาเนะ เพราะเข้าใจว่าคำว่า ‘ตามลำพัง’ นั้น หมายถึงต้องกันใครออกไป อาคาเนะกะพริบตาปริบๆ เอียงคอมองทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ สุดท้ายโคคิจึงเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา


“ขึ้นห้องไปก่อนไป ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน” โคคิโบกมือไล่อาคาเนะพลางเดินไปจับหมุนตัวให้หันกลับเข้าร้าน


“ทำไม”


“ไม่ต้องถาม ถ้ายังเรื่องมาก เดี๋ยวข้าจะยกเจ้าให้เขาแบบแถมเงินให้ด้วย” เวลาแขกขอคุยส่วนมากมักไม่พ้นเพื่อตกลงเรื่องราคาค่าไถ่ตัวคาเงมะที่ตัวเองต้องการ ระหว่างโทชิฮิโระกับอาคาเนะก็ดูจะผูกพันกันมาก โคคิเลยคิดไปทางนั้น


“เกี่ยวอะไรกัน!” ถึงปากจะโวยวายแต่อาคาเนะยังยอมเดินไปตามแรงของโคคิ มีแอบหันมาแลบลิ้นใส่ก่อนวิ่งหนีขึ้นบันไดไป


“ดูลูกรักเจ้าเถอะซาโตรุ กับข้านี่ไม่เคยจะเคารพ” กับซาโตรุยังพี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ กับแขกยิ่งสำรวม รู้จักออดอ้อนใส่ แตกต่างจากที่แสดงออกกับโคคิอย่างสิ้นเชิง


“เพราะเจ้าชอบแกล้งอาคาเนะต่างหาก สมควรแล้ว” ซาโตรุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วหันมาเชื้อเชิญโทชิฮิโระเข้าไปด้านในเพื่อคุยกันเสียที







เสียงดนตรีบรรเลงจากเครื่องสายกังวานใสภายในห้อง อาหารรสเลิศ สุรารสดียิ่งพาให้บรรยากาศรื่นรมย์ขึ้น เรียวนิ้วที่กรีดลงมาสายแต่ละเส้นสร้างให้มันกลายเป็นบทเพลงแสนหวานขึ้นมา


“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าเก่งโคโตะด้วย” นักดนตรีในค่ำคืนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เพราะอาคาเนะเพิ่งกลับมา และซาโตรุอยากตอบแทน โทชิฮิโระถึงได้มีโอกาสฟังดนตรีอันไพเราะนี้


“ทุกคนที่นี่ต้องเรียนดนตรีสักอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่แขกของข้ามักไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องดนตรีนัก” อาคาเนะทาบฝ่ามือลงบนสายเพื่อหยุดเสียงพลางยืดอกยิ้มอย่างภูมิใจ เขาถูกบังคับให้เรียนตั้งแต่เข้ามาที่ร้านใหม่ๆ แต่แทบไม่เคยเล่นมันให้แขกคนไหนฟัง ดูท่าซาโตรุคงอยากตอบแทนโทชิฮิโระมากถึงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมขนาดนี้


“ไม่เล่นต่อแล้วหรือ” คนฟังหยักยิ้มที่มุมปาก ท่าทางอาคาเนะตอนบรรเลงดนตรีทั้งแปลกตาและสวยงามชวนมอง


“ฟังมากไปเดี๋ยวจะเบื่อ ข้าเติมเหล้าให้นะ” เด็กหนุ่มลุกออกจากที่นั่ง ฉวยหยิบขวดสุราก่อนนั่งลงข้างๆ โทชิฮิโระ คนที่นั่งอยู่ก่อนส่งจอกให้พลางมองดูคนรินไปด้วย


“มองอะไร” ถึงจะไม่ได้สบตา แต่อาคาเนะรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกมองอยู่ จอกเหล้าถูกส่งคืน ส่วนขวดเปล่าในมือถูกตั้งไว้ข้างๆ


“กำลังคิดถึงวันแรกที่เจอเจ้าอยู่ ดื้อกว่านี้หลายเท่านัก” วันแรกที่เจอกัน อาคาเนะเอาแต่เขม่นใส่โทชิฮิโระ ขนาดรินเหล้ายังทำหน้าราวกับอย่างจะขว้างขวดเหล้าใส่เขาเสียให้ได้


“เพราะท่านมันทำตัวไม่น่าไว้ใจไม่ใช่หรือ วาจาเหมือนพวกเจ้าชู้ไม่มีผิด” อาคาเนะย่นจมูก โทชิฮิโระที่ได้พบวันแรกดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจเป็นที่สุด ไม่นึกว่าวันนี้จะมานั่งอยู่ข้างกันได้


“แล้วตอนนี้ยังคิดว่าข้าเจ้าชู้หรือเปล่า” สายตาคนถามไม่ได้มองมาที่อาคาเนะ แต่กำลังก้มมองลงไปในจอกเหล้าในมือ ก่อนกระดกน้ำในนั้นลงคอรวดเดียวหมด


“ตอนนี้ไม่ แต่วันหน้าใครจะรู้” อาคาเนะเบ้ปากพร้อมยักไหล่ เรื่องอะไรเขาจะยอมตอบเอาใจโทชิฮิโระเพียงอย่างเดียว


“ช่างพูด ดื่มกับข้าสิอาคาเนะ” โทชิฮิโระยื่นจอกเหล้าไปทางอาคาเนะอีกครั้ง นานแล้วเหมือนกันที่พวกเขาไม่ได้ดื่มเป็นเพื่อนกัน


“ขวดเก่าหมดแล้ว ข้าจะไปสั่งให้ใหม่” หน้าที่ดูแลแขกไม่ว่าเรื่องใดๆ ภายในห้องนี้ล้วนเป็นหน้าที่อาคาเนะ พอเก็บขวดเปล่าส่งคืนไป ไม่นานนักเหล้าขวดใหม่ก็ถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยจอกเพิ่มมาอีกหนึ่ง


“คืนนี้คงไม่วางยาข้าใช่ไหม” โทชิฮิโระเอ่ยถามพลางเหลือบตาไปทางสำรับน้ำชาที่พวกเขาต่างรู้ดีว่าอาคาเนะมีมันไว้เพื่ออะไร

 
“อยากดื่มสักถ้วยไหม เผื่อจะหลับสบาย” อาคาเนะยิ้มเจ้าเล่ห์ระหว่างยกจอกเหล้าของตนขึ้นดื่ม รู้ว่าโทชิฮิโระแกล้งถาม เขาเลยแกล้งถามกลับ ทั้งที่ความจริงสำรับน้ำชานั้นไม่มีแม้แต่น้ำด้วยซ้ำ เพราะไว้ใจ และรู้จักกันมากพอจนไม่ต้องพึ่งยาสลบอีกแล้ว หากอาคาเนะเอ่ยปาก โทชิฮิโระคงแบ่งเลือดให้แต่โดยดี


“ดื่มอีกสิ ข้าดื่มไปเป็นขวดแล้ว” โทชิฮิโระคว่ำจอกของตัวเองลง เป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่เติมมันอีกในเร็วๆ นี้ อาคาเนะพยักหน้ารับแบบไม่เกรงใจ ใช่ว่าเขาจะได้ทำตัวตามสบายบ่อยๆ มีหรือจะพลาดการผ่อนคลายด้วยสุราดีๆ เสียบ้าง


“ท่านคุยอะไรกับพวกโคคิหรือ” หลังดื่มติดต่อกันเป็นจอกที่สาม อาคาเนะคิดว่าควรจะชวนคุยเรื่องอื่นบ้าง ก่อนที่เขาจะเผลอกระดกคนเดียวหมดทั้งขวด


“เรื่อง...ของวันหน้า”


“วันหน้า?”


“เมื่อถึงวันนั้นเจ้าจะได้รู้”


“ทำอย่างกับเป็นความลับนักหนา” อาคาเนะโคลงหัวไปมาพลางกระดกเหล้าเข้าไปอีกจอก เขาเองไม่ได้อยากรู้สักเท่าไรเลยคร้านจะถามต่อ


“อาคาเนะ”


“ขอรับ” แม้ปากจะตอบ แต่อาคาเนะยังคงมีความสุขกับสุราในมือ อยู่กับโทชิฮิโระ เขาจะเป็นตัวของตัวเองสักเท่าไรก็ได้ นั่นคงเป็นหนึ่งในข้อดีของผู้ชายคนนี้


“ไม่มีอะไร” กลับเป็นคนเรียกที่เป็นฝ่ายล้มเลิกไปเสียก่อน ทำให้คิ้วของอาคาเนะขมวดยุ่ง


“ถ้าอยากจะถามก็ถามสิ ส่วนจะตอบหรือไม่มันสิทธิ์ของข้า” มาเรียกกันแล้วเงียบไปแบบนี้ ชวนให้รู้สึกสงสัยพิกล


“แล้วถ้าถามว่าเจ้ารักข้าไหม เจ้าจะตอบหรือเปล่า” คราวนี้คนถูกถามถึงกับสำลักออกมา ต้องทุบอกตัวเอง ไอโขลกอยู่พักใหญ่ถึงจะสงบลงได้


“คนอย่างท่านนี่มัน!” ใบหน้าอาคาเนะขึ้นสี แต่พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของโทชิฮิโระก็รีบหุบปากแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทางแทน เรื่องหน้าด้านหน้าทนคงหาคนเทียบโทชิฮิโระได้ยาก ไม่น่าหลงกลหลุมพรางเล็กๆ นั่นเลย


ทว่านาทีต่อมาจอกเหล้ากลับหลุดลงจากมือของอาคาเนะ โชคดีที่ตกลงไปไม่สูงมากเลยไม่ถึงกับแตก แต่มันทำให้อาคาเนะต้องก้มลงซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง


“อาคาเนะ” โทชิฮิโระเลื่อนตัวเข้าไปหาอาคาเนะ แล้วรั้งให้เด็กหนุ่มเอนตัวมาซบลงบนไหล่ แว่วเสียงครางเครือจากคนที่ยังคงกุมขมับตัวเองอยู่


“ข้ารู้สึกมึนๆ ปกติไม่เป็นอย่างนี้” อาคาเนะค่อนข้างมั่นใจในความคอแข็งของตัวเองมาตลอด แต่นี่เหล้ายังไม่ทันหมดขวดแรกด้วยซ้ำ อยู่ๆ กลับปวดหัว ตาลายขึ้นมา


“คิดอยู่เหมือนกันว่ากับเจ้ามันคงออกฤทธิ์ช้ากว่า” ประโยคที่โทชิฮิโระเอ่ยออกมานั้นทำให้ดวงตาคนฟังเบิกกว้าง พยายามขืนตัวออกห่าง แต่ถูกอีกฝ่ายใช้แรงยึดไหล่เอาไว้


“ท่านทำอะไรข้า!” สมองมึนชาขึ้นทุกที ภาพตรงหน้าเริ่มจะพร่ามัวไปหมด แต่ทำไม เพราะอะไรโทชิฮิโระถึงต้องวางยาเขาด้วย


“เพราะเราหมดธุระกันแล้ว เพราะเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อข้าอีก” ร่างกายของอาคาเนะเกร็งขึ้น มือที่พยุงตัวโดยวางอยู่บนขาของโทชิฮิโระกำแน่นจนมันสั่น ก่อนเจ้าของคำพูดใจร้ายจะคว้ามือข้างนั้นมาจูบลงบนหลังมือแล้วบีบเอาไว้เบาๆ


“ถ้าข้าพูดแบบนั้นกับเจ้าได้ก็คงดี คงไม่ต้องใช้ยากับเจ้า” แม้จะเลือนราง แต่อาคาเนะยังคงมองเห็นสีหน้าของความเจ็บปวดบนใบหน้าโทชิฮิโระ


“ทำไม..” น้ำเสียงอาคาเนะขาดหาย สติของเขาใกล้หลุดลอยเต็มที เหล้าขวดนั้น เขาดื่มมันเพียงคนเดียว แต่ไม่ใช่โทฮิโระที่เป็นคนเตรียมเหล้านั้นเสียหน่อย


“ข้ามีที่ที่ต้องไปอาคาเนะ” โทชิฮิโระโอบกอดอาคาเนะเอาไว้ด้วยสองแขน เกยคางลงบนไหล่ และกอดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้


“การบอกลาเจ้ามันยากเกินกว่าข้าจะทำได้” เส้นทางที่โทชิฮิโระจะก้าวไปต่อ เป็นเส้นทางที่ไม่สามารถพาอาคาเนะไปด้วยได้ ความจริงเขาควรทำให้อาคาเนะเกลียดแล้วจากไป จึงนับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกับอาคาเนะมากที่สุด แต่เพราะเสียงร่ำไห้ราวจะขาดใจของอาคาเนะที่เคยได้ฟังมาครั้งหนึ่ง มันบาดลึกเกินจะรับไหว โทชิฮิโระถึงได้เลือกวิธีนี้


“อย่าตามหาข้า อย่ารอข้า ถึงลืมข้าก็ไม่เป็นไร แต่สัญญาที่ข้าให้ไว้จะไม่เปลี่ยน สักวันข้าจะกลับมา แล้วถ้าเจ้ายังต้องการข้า เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”


“ไม่เอา...อย่าไป” หยดน้ำอุ่นร้อนไหลล้นลงจากหัวตา แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถกอดรั้งโทชิฮิโระเอาไว้ได้


“ขอโทษ ข้าผิดเองทุกอย่าง อย่าร้องไห้เลย” คำปลอบโยนที่ได้ยินค่อยๆ เบาลงทุกที แม้หัวใจจะปวดร้าวสักเพียงใด แต่ไม่สามารถฝืนร่างกายให้คงสติเอาไว้ได้


“โทชิ”


“ขอโทษนะอาคาเนะ”


“โทชิ...”


“ลาก่อน เด็กน้อยของข้า”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

 
:ling3: หลบอาวุธใดๆ ที่จะลอยมาหา เค้าไม่รู้เรื่องนะ เค้าไม่ได้ทำาา


ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
สนุกมากกกก มาต่อนะ รักจิ้งจอกน้อยมากๆเลย

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
น่าสนใจนะเรื่องนี้ แนวแฟนตาซี มาร์กไว้ก่อนค่ะ

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ขอบคุณมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 22

เมื่อหิมะโปรย





เทือกเขาอันสูงชัน เป็นดั่งปราการธรรมชาติที่คอยตัดขาดหุบเขาแห่งนี้ออกจากโลกมนุษย์ บวกกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ และหิมะที่ตกเกือบตลอดปี ยิ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ไม่มีมนุษย์คนใดอยากย่างกรายเข้ามาใกล้


ทว่าท่ามกลางหิมะขาวโพลนและผาสูง มีคฤหาสน์หลังหนึ่งซุกซ่อนตัวอยู่ แม้หลังคาจะปกคลุมหนาด้วยหิมะ แต่ภายในยังคงมีเปลวไฟที่ไม่เคยมอดดับส่องสว่างอยู่


“ท่านมาซาโนริ” สตรีผู้สวมกิโมโนสีขาว ยืนนิ่งอยู่หน้าบานประตูที่ปิดสนิทบานหนึ่ง แววตาของนางหม่นเศร้าเพราะหลายวันแล้วที่ห้องนี้ปิดตายไม่ต้อนรับคนนอก และไม่มีเสียงตอบจากคนข้างใน แต่นางมั่นใจว่าคนที่เรียกหายังอยู่ข้างในนั้น


“ข้าเป็นห่วงท่าน ได้โปรด เปิดประตูได้ไหม” เพราะรู้ว่ามาซาโนริกำลังต่อสู้กับสิ่งใด คาสุมิจึงยอมทนเงียบมาตลอด เพราะสิ่งที่มาซาโนริกำลังต่อสู้อยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางจะช่วยเหลือได้ แต่มันนานเกินไปที่จะอยู่คนเดียว


“โทชิฮิโระกลับมาหรือยัง” ในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับออกมา น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นแหบพร่าจนคนฟังเผลอกำมือแน่น


“ยัง” คำตอบสั้นๆ ก่อเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกของบางสิ่ง รุนแรงจนพื้นไม้สะเทือน กองหิมะทับถมบนหลังคาต่างพากันไถลเลื่อนลงมา


“ไปเอาตัวมันมาให้ข้า! เวลา...เหลืออีกไม่มากแล้ว” น้ำเสียงของมาซาโนริทั้งเกรี้ยวกราดและสับสน คาสุมิทำได้เพียงเบือนหน้าหนีพร้อมหลับตาลง การเป็นเทพตกสวรรค์ คือยาพิษสำหรับเหล่าเทพ และตอนนี้พิษนั้นกำลังกัดกินมาซาโนริเข้าไปทุกที


โทษทัณฑ์จากสวรรค์ ไม่มีใครหนีรอดได้ มีแต่ต้องเลือกว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างไร


“ได้ตามประสงค์ นายท่าน”







ร่างที่หมดสติถูกอุ้มไปวางลงบนฟูกอย่างนุ่มนวล หางตาของคนหลับยังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ โทชิฮิโระใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยปาดมันออกไป มือข้างเดิมถูกใช้เพื่อลูบไล้ใบหน้าของอาคาเนะด้วยความทะนุถนอม ไม่รู้ว่าครั้งหน้าถ้าเจอกัน ใบหน้านี้จะยังคงยิ้มให้กับเขาไหม


เมื่อผู้ที่ช่วยชีวิตเขา และช่วยชีวิตสึซึรันเป็นคนคนเดียวกัน แต่กลับไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิด โทชิฮิโระจึงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะเชื่อใจมาซาโนริได้สักแค่ไหน แต่เดิมคำสั่งที่เขาได้รับมาคือการเข้าใกล้ลูกครึ่งจิ้งจอก และสร้างความเชื่อใจให้ได้มากที่สุด มาซาโนริไม่เคยบอกถึงเหตุผล และตัวเขาในตอนนั้นก็ไม่คิดใส่ใจ


ต่างกับเวลานี้ หากความเชื่อใจนั้นจะถูกใช้เพื่อทำร้ายอาคาเนะ ถือเป็นความรับผิดชอบของโทชิฮิโระที่ต้องหยุดมัน ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด แม้ว่าจะต้องทำให้อาคาเนะเสียใจอีกก็ตาม


เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่มันจะถูกเปิดออก ชายสองคนก้าวมา และเป็นซาโตรุที่ถอนหายใจ สีหน้าทุกข์ใจของโทชิฮิโระไม่ใช่สิ่งคุ้นเคยนักสำหรับซาโตรุ


“ขอบคุณที่เตรียมยาให้” ถ้าไม่ใช่ด้วยความร่วมมือของเจ้าของร้านทั้งสอง มีหรือที่โทชิฮิโระจะสามารถวางยาอาคาเนะได้ ก่อนหน้านี้ที่ขอคุยกับซาโตรุกับโคคิตามลำพังก็เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเท่าที่บอกได้


“ทำอย่างนี้ ดีแล้วจริงหรือ” โคคิถามเสียงขุ่น ตอนที่โทชิฮิโระบอกออกมาว่าจะต้องจากไปสักระยะ เขาคิดว่าคงแค่เป็นการเดินทางเพื่อธุระบางอย่าง แต่ถึงขั้นวางยากัน การเดินทางนี้คงอันตรายกว่าที่คิด


“จากนี้คงต้องรบกวนพวกท่าน” สิ่งที่โทชิฮิโระขอต่อโคคิและซาโตรุไม่ได้มีเพียงสุราผสมยานอนหลับอย่างแรงแค่ขวดเดียว แต่รวมถึงการฝากฝังอาคาเนะเอาไว้ด้วย


“เจ้านี่แปลกคน เสียเงินตั้งมากเป็นค่าไถ่ตัวอาคาเนะ แต่กลับไม่ยอมพาไป แล้วยังฝากไว้กับพวกเราอีก” โคคิเกาหัวแกรกๆ จะว่าไปเรื่องที่คุยกันก็ถือว่าเป็นไปตามคิดอยู่ โทชิฮิโระจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นค่าอิสระของอาคาเนะ แต่บอกเพียงว่าเมื่อถึงเวลาจะมีคนมาพาอาคาเนะไป


“ที่นี่คือบ้านสำหรับอาคาเนะ มีพวกท่านอยู่จะได้ไม่ต้องห่วง” ครั้งนี้เขาสร้างความเจ็บปวดให้อาคาเนะด้วยมือตัวเองอีกครั้ง การจะรักษาบาดแผลนั้น อาคาเนะจำเป็นต้องมีคนอยู่ด้วย ในโลกนี้คงมีแต่ซาโตรุกับโคคิเท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้


“ถ้าท่านลำบากเรื่องกำลังคน โคคิอาจช่วยท่านได้” คำแนะนำแฝงความเป็นห่วงของซาโตรุเรียกรอยยิ้มจากโทชิฮิโระ น่าเสียดายที่ความช่วยเหลือนั้นไม่เพียงพอจะรับมือกับปัญหาที่รออยู่


“ขอบคุณ แต่คงไม่ได้ ข้าต้องไปแล้ว” โทชิฮิโระลุกขึ้นยืน เหลียวมองคนที่หลับไปแล้วก่อนหันกลับมาหาอีกสองคนในห้อง


“แล้วพบกันใหม่” ทั้งสองฝ่ายต่างก้มหัวลงเพื่อบอกลากันและกัน เมื่อโทชิฮิโระออกไปแล้ว ซาโตรุถึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เรื่องเช่นนี้อาจเป็นคำสาปของการเป็นคาเงมะ ให้ความรักช่างเป็นสิ่งที่ได้มายากยิ่ง







สายลมเย็นยะเยือกพัดมากระทบผิว พร้อมกับละอองเย็นบางเบาที่ล่องลอยลงมาท่ามกลางความมืด โทชิฮิโระหงายมือขึ้นพลางแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เช่นเดียวกับหลายคนที่ยังเดินอยู่บนท้องถนน


หิมะแรกได้เริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว...


“โทชิฮิโระ” เสียงหนึ่งเรียกขานจากด้านหลัง โทชิฮิโระลดมือลงก่อนหันหลังกลับไป ปีศาจหิมะที่หายหน้าไปกลับมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ช่างประจวบเหมาะเสียจริง


“หายไปไหนมา ข้าฝากเจ้าดูอาคาเนะไม่ใช่หรือ” ก่อนหน้านี้เขาฝากฝังอาคาเนะไว้กับคาสุมิ แต่ปีศาจหิมะกลับหายตัวไป ปล่อยให้อาคาเนะถูกจับ ไม่แน่ นั่นอาจเป็นความตั้งใจของนางก็เป็นได้


“นายท่านอาการแย่ลง” ใบหน้าของคาสุมิไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคย นางใช้มือข้างหนึ่งบีบต้นแขนของตัวเองจนแน่น


“เจ้าก็รู้ว่าสำหรับข้า สิ่งใดสำคัญที่สุด” คาสุมิจงรักภักดีต่อมาซาโนริอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นสิ่งเดียวที่โทชิฮิโระคิดว่ามองคาสุมิได้ทะลุปรุโปร่ง บ่อยครั้งที่นางหายตัวไป ล้วนเพื่อกลับไปอยู่ข้างกายมาซาโนริทั้งนั้น


“นายท่านเรียกหาเจ้า”


“พาไปสิ” โทชิฮิโระยื่นมือให้ เขาเองก็ต้องการพบมาซาโนริอยู่แล้ว ถือเป็นโอกาสดี ไม่ต้องเดินทางฝ่าพายุหิมะอีกด้วย
ชั่วขณะหนึ่งที่แววตาของปีศาจหิมะวูบไหว


ก่อนนางจะคว้ามือโทชิฮิโระแล้วสร้างพายุหมุนขึ้นโอบล้อมพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ แว่วเสียงผู้คนร้องอย่างตกใจ จนกระทั่งเมื่อเสียงของลมได้กลบทุกสิ่ง ตราบจนเมื่อพายุหิมะสลาย รอบกายพวกเขาก็ไม่ใช่กลางเมืองอีกต่อไป


“ตามข้ามา” โทชิฮิโระพยักหน้าพลางใช้มือปัดเศษหิมะออกจากตัวไปด้วย คฤหาสน์หลังนี้เขาเคยมาพักอยู่ระยะหนึ่ง ยังจำได้ดีว่าถ้าก้าวพ้นเขตตัวคฤหาสน์ออกไปจะต้องพบกับความหนาวเย็นจนสะท้านถึงกระดูก แต่ด้วยเขตอาคมของมาซาโนริ ทำให้ภายในอากาศค่อนข้างอุ่น จนแม้แต่เขาที่อยู่ในร่างมนุษย์ยังอาศัยอยู่ได้สบาย


“นายท่าน ข้าพาโทชิฮิโระมาแล้ว” ประตูบานเดิมที่คาสุมิทำได้เพียงยืนเฝ้ามาหลายวันค่อยๆ แง้มเปิดออกเมื่อคนที่ต้องการพบมาถึง ภายในห้องมืดสนิทจนมองอะไรแทบไม่เห็น ก่อนที่เปลวไฟบนเชิงเทียนที่ข้างผนังจะถูกจุดขึ้นโดยคาสุมิ


แสงสว่างสร้างเงาดำที่วูบไหวไปตามจังหวะของเปลวไฟ เพียงพอให้มองเห็นร่างของชายคนอีกที่หลบซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าสีดำสนิท


“ทำไมไม่พาจิ้งจอกกลับมาด้วย” น้ำเสียงของมาซาโนะเรียบนิ่งทว่าแฝงไว้ด้วยความกดดันอย่างน่าประหลาด คาสุมิถอยไปยืนชิดกำแพงห้อง ปล่อยให้โทชิฮิโระยืนอยู่ต่อหน้ามาซาโนริตามลำพัง


“ท่านยังไม่ได้บอกว่าให้ข้าใกล้ชิดกับจิ้งจอกตัวนั้นเพื่ออะไร” โทชิฮิโระตอบกลับโดยไม่แสดงออกถึงความหวั่นเกรงใดๆ สำหรับเขามาซาโนริไม่ใช่เทพตกสวรรค์ที่น่าหวาดกลัว เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ได้รู้จักโดยบังเอิญเท่านั้น


“วันนั้นเจ้าไม่ถาม เหตุใดถึงมาถามเอาป่านนี้ หากข้าตอบเหตุผลที่เจ้าไม่พอใจ จะยกเลิกสัญญาหรือ” มาซาโนริก้าวเข้ามาโทชิฮิโระช้าๆ ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมดูคล้ายทอประกายขึ้นเล็กน้อย


“ข้ามีสิทธ์จะรู้ ตราบเท่าที่เรายังมีพันธสัญญาต่อกัน”


“ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าหลงรักจิ้งจอกเข้าแล้วหรือ” มือของมาซาโนริทาบลงบนอกซ้ายของโทชิฮิโระที่ยังคงปิดปากเงียบ


“น่าเศร้านักมังกรเอ๋ย พิษรักจากเด็กสาวชาวมนุษย์เคยเกือบฆ่าเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เจ้าก็ยังลุ่มหลงไปกับมันอีก” โทชิฮิโระขบกรามแน่น เขาคว้ามือของมาซาโนริแล้วปัดออก


“นั่นไม่ใช่ปัญหาของท่าน แค่ตอบคำถามข้า!”


“ชีวิตของจิ้งจอก หากข้าบอกเช่นนี้ เจ้าจะยอมแลกกับชีวิตตัวเองไหม” สัญญาที่ตกลงกัน คือการชำระล้างพิษปีศาจทั้งหมดออกจากร่างมังกรของโทชิฮิโระ หากยกเลิกสัญญานั่นเท่ากับเทพมังกรจะต้องกลับสู่ชะตากรรมเดิม และตายไปพร้อมร่างของตน


“ถ้าแค่ชีวิต คงไม่ต้องพึ่งข้า” ด้วยอำนาจมาซาโนริ การจะฆ่าอาคาเนะดูจะง่ายแสนง่าย หากมาซาโนริต้องการเพียงเลือดเนื้อ หรือวิญญาณ โทชิฮิโระคงไม่มีโอกาสได้เจออาคาเนะด้วยซ้ำ


“ประตูยมโลก เจ้าเคยเห็นมันหรือเปล่า” มาซาโนริเดินผ่านโทชิฮิโระไปหาคาสุมิ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินมาใกล้ คาสุมิจึงขยับไปยืนข้างๆ แล้วใช้มือแตะข้อศอกเอาไว้คล้ายจะช่วยพยุง


“เรื่องเล่าเก่าแก่ มีเพียงคนตายเท่านั้นที่ข้ามไปยังยมโลกได้” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดยุ่ง คิดไม่ออกว่าเรื่องประตูยมโลกจะมีความเกี่ยวข้องกับอาคาเนะที่ตรงไหน


โลกและยมโลกเชื่อมถึงกันด้วยความเป็นและความตาย แต่อีกนัยหนึ่ง ทั้งสองโลกได้ถูกตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคนเป็นไม่สามารถไปยังแม่น้ำแห่งความตายได้


ดังนั้นในสมัยโบราณจึงเคยมีความเชื่อ เรื่องเล่าขานถึงประตูที่เชื่อมต่อระหว่างโลกของคนเป็นกับคนตาย ว่ากันว่าหากประตูบานนั้นเปิดออก โลกของความตายจะค่อยๆ กลืนกินคนเป็นทีละน้อย และเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นดินแดนของภูตผีปีศาจไปในที่สุด


“ข้าจะเปิดประตูนั่น และมีเพียงปีศาจที่กำเนิดจากยมโลกเท่านั้นที่เปิดมันได้” ต้นกำเนิดปีศาจมีมากมายหลายสาเหตุ ส่วนมากมักเกิดจากความแค้น ความเศร้า และความเกลียดชัง ทว่ายังมีปีศาจบางพวกที่ถือกำเนิดจากขุมนรกอยู่


ด้วยเขตแดนระหว่างภพทำให้มีเพียงปีศาจไม่กี่ตนที่สามารถหลุดรอดขึ้นมายังโลกเบื้องบนได้ การตามหาสายเลือดปีศาจเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งยากยิ่ง จนต้องยอมใช้แม้กระทั่งลูกครึ่งปีศาจ


“นี่ท่าน...!” เพียงขยับตัว ขาทั้งสองข้างของโทชิฮิโระกลับถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยแท่งน้ำแข็งจนก้าวขาไม่ออก สายตาของโทชิฮิโระจึงตวัดมองไปยังปีศาจหิมะที่อยู่ไม่ไกล คาสุมิกำลังปกป้องนายของนางอยู่ ใบหน้านางไร้รอยยิ้ม และมองผ่านโทชิฮิโระราวกับเป็นเพียงอากาศ


“อาคาเนะจะไม่มีวันช่วยท่าน ยกเลิกพันธสัญญาที่มีต่อกัน” หากสัญญานั้นต้องแลกด้วยการให้อาคาเนะทำลายชีวิตนับร้อยนับพัน บ่าเล็กๆ นั่นไม่มีวันจะแบกรับมันไหว


“ยอมเลือกความตายให้ตัวเองหรือ” โทชิฮิโระไม่ยอมตอบคำถามของมาซาโนริ เขาเตรียมใจมาเพื่อยกเลิกสัญญาตั้งแต่ต้น หากอยากขัดประสงค์เทพตกสวรรค์คงมีแต่ต้องแลกด้วยชีวิตเท่านั้น


“เสียดายที่ข้าไม่ได้สนใจสัญญานั่นแต่แรก” ผ้าคลุมเหนือศีรษะค่อยๆ ถูกปลดออก เมื่อมันร่วงหล่นลงสู่พื้นจึงเผยให้เห็นเขาเล็กๆ ข้างหนึ่งที่งอกขึ้นบนหน้าผากด้านซ้ายของมาซาโนริ


“อีกไม่นานข้าจะถูกปีศาจเข้ายึดร่าง คิดว่าข้ามีเวลานั่งรอเจ้าพาจิ้งจอกมาหาหรือ” มันคือการลงโทษจากสวรรค์ เทพที่ถูกทอดทิ้งจะค่อยๆ ถูกความมืดเข้ากลืนกินทีละน้อย สุดท้ายจะสิ้นไร้พลัง กลายเป็นเพียงปีศาจที่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ
ดวงตาของโทชิฮิโระเบิกกว้างขึ้นทีละน้อย แต่ละก้าวที่มาซาโนริเดินเข้ามาหา ช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าเขาเพิ่งทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่


“เข้าใจแล้วใช่ไหม ข้าส่งเจ้าไปเพื่อใช้ล่อจิ้งจอกให้มาหา ความรัก...คือยาพิษที่รุนแรงที่สุดบนโลกใบนี้!” สิ้นเสียงนั้น แท่งน้ำแข็งได้ขยายตัวขึ้นจนห่อหุ้มร่างกายของโทชิฮิโระเอาไว้ทั้งหมด ปีศาจหิมะค่อยๆ ลดมือที่ร่ายอาคมลง เบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนรอยยิ้มอันขมขื่น


นางคือผู้ที่รับรู้ทุกเรื่องตั้งแต่ต้น นำพาทั้งสองให้มารู้จัก คอยกระตุ้นให้โทชิฮิโระเข้าใกล้อาคาเนะ สร้างความผูกพันขึ้นด้วยความห่วงใยและความเจ็บปวด หลอกใช้แม้กระทั่งหญิงสาวที่ไร้ความผิดอย่างสึซึรัน ทั้งหมดเพียงเพื่อให้มาซาโนริมีอำนาจที่จะใช้ชีวิตโทชิฮิโระเพื่อต่อรองกับอาคาเนะ  ให้เด็กหนุ่มคนนั้นต้องเลือกระหว่างคนที่รัก กับชีวิตของคนไม่รู้จัก


 “ไปพาจิ้งจอกมาหาข้า” คำสั่งราบเรียบไร้ความรู้สึก หากหัวใจไม่แปดเปื้อน มาซาโนริคงไม่ถูกขับไล่จากสวรรค์ เขามุ่งมั่นก้าวเดินสู่ปลายทางที่ตั้งใจ


ไม่ว่าต้องเหยียบย่ำสิ่งใดก็ตาม



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


คลานมาอัพในสภาพตาจะปิด เพื่อเปิดดาร์กโหมดอย่างเป็นทางการ  :hao7:



สนุกมากกกก มาต่อนะ รักจิ้งจอกน้อยมากๆเลย

มาต่อแล้วค่า รังแกจิ้งจอกน้อยจะเป็นไรมั้ยคะ  :-[


น่าสนใจนะเรื่องนี้ แนวแฟนตาซี มาร์กไว้ก่อนค่ะ

เป็นลูกผสมหลายสายค่ะเรื่องนี้ หวาน ดราม่า แฟนตาซี ตลก เราเหมาหมด  :laugh:



ขอบคุณมากค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามเช่นกันค่า


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 23

เพียงแค่...รัก





สายลมยามเช้าหลังหิมะเริ่มตกลงมาเมื่อคืนหนาวเย็นกว่าวันอื่นๆ คนที่หลับอยู่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ สมองหมุนคว้างจนต้องยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ทบทวนความทรงจำที่ดูจะขาดหายไปบางช่วง


“โทชิ!” อาคาเนะลุกพรวดขึ้นกวาดสายตาไปรอบตัว ทุกด้านมีเพียงห้องที่ว่างเปล่า ไร้เงาคนที่ควรจะอยู่ด้วยกัน ถ้อยคำบอกลายังคงฝังแน่นในความทรงจำที่เหลืออยู่ ผู้ชายจอมเอาแต่ใจ แม้กระทั่งเวลาจะจากไปยังบังคับกัน


“อย่ามาล้อเล่นนะ!” ความอัดอั้นถูกระบายออกมาผ่านน้ำเสียง ทั้งที่โทชิฮิโระเป็นฝ่ายเข้ามาวุ่นวายรอบตัวเขาเองแท้ๆ ทั้งที่พยายามผลักไสตั้งหลายครั้ง แต่ผู้ชายหน้าด้านหน้าทนคนนั้นก็ยังกลับมา คอยวนเวียนรอบกายไม่ยอมไปไหน แล้วทำไมถึงมาบอกลากันเอาป่านนี้


บอกลากันในวันที่เขาสูญเสียหัวใจตัวเองไปแล้ว


ดวงตาร้อนผ่าวแต่ไม่มีน้ำตาจะไหล อยากจะร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก ความเสียใจกำลังตีรวนกับความโกรธอยู่ในอก ชีวิตนี้อาคาเนะเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่รักใครเด็ดขาด เพราะโลกที่ได้เห็น เพราะงานที่ได้ทำ ล้วนสอนเขาว่าความรักสร้างความทุกข์มากกว่าความสุขเสมอ แต่โทชิฮิโระทำให้เขาลืมความตั้งใจของตัวเอง จนต้องมาเผชิญความเจ็บปวดอย่างตอนนี้
ต้องตามหา


เรื่องอะไรจะต้องเป็นฝ่ายรออย่างไร้จุดหมาย หากต้องอยู่บนเรือที่ลอยคว้างกลางทะเล ไม่รู้ว่าชายฝั่งอยู่ทางไหน สู้ออกแรงพายไป พายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงไม่ดีกว่าหรือ


“อาคาเนะ ตื่นหรือยัง” เสียงของซาโตรุดังมาจากด้านนอกห้อง อาคาเนะรีบใช้หลังมือเช็ดไปตามใบหน้าเพื่อปรับสีหน้าให้เข้าที่แล้วเดินไปเปิดตูให้


“ข้าเปล่าตื่นสายนะ” อาคาเนะยิ้มร่าเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเอง ไม่อยากจะทำให้คนอื่นต้องมาเป็นห่วงไปด้วย แต่คนที่เข้ามากลับไม่คิดจะยิ้มด้วยสักนิด


“เป็นอะไรไปพี่ซาโตรุ ทำหน้าบึ้งตึง” ปกติถึงซาโตรุจะไม่ใช่พวกยิ้มเรี่ยราด แต่มักมองอาคาเนะด้วยสีหน้าอ่อนโยนเสมอ ไม่รู้ทำไมวันนี้ซาโตรุถึงกำลังทำหน้าเหมือนคนกินยาขมไปได้


“อย่าฝืนยิ้มได้ไหม เห็นแล้วข้าปวดใจแทน” มืออุ่นวางลงกลางกระหม่อมคนช่างถาม น้ำหนักของมือข้างนั้นทำให้อาคาเนะก้มหน้าลงจนคางแทบจะแตะอก


“ท่าน...รู้เรื่องหรือ” แค่เพียงได้ยินคำพูดของซาโตรุ อาคาเนะรู้สึกเหมือนถูกฉุดกลับไปสู่ความจริงอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง จากที่ไม่มีน้ำตา พอได้รับความอบอุ่น หยดน้ำเหล่านั้นก็เริ่มเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้


“ท่านโทชิฮิโระไถ่ตัวเจ้าแล้วนะ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่เขาขอให้เราช่วยดูแลเจ้าสักระยะ” น้ำตาหยดลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไถ่ตัว’ จากปากคนอื่น ทั้งที่เขาควรจะได้ยินมันจากโทชิฮิโระก่อนใคร


“ไม่คิดจะมาอยู่ด้วยกันจริงๆ หรืออาคาเนะ”


โทชิฮิโระเคยถามเขาแบบนั้น เคยบอกว่าจะรอจนกว่าเขาจะตัดสินใจ แล้วไหนเล่าที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกัน ไถ่ตัวกันแล้วแต่ไม่ยอมอยู่เคียงข้าง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร


“ร้องออกมาเถอะอาคาเนะ ข้าจะอยู่กับเจ้าตรงนี้ ไม่บอกใครเด็ดขาด” ซาโตรุโอบกอดอาคาเนะเอาไว้หลวมๆ คอยลูบไหล่ที่กำลังสั่นไหว ไม่มีใครเข้มแข็งได้ตลอดไป แต่เขารู้ว่าอาคาเนะจะลุกขึ้นได้อีกในไม่ช้า


สายลมรุนแรงพัดกระแทกจนบานหน้าต่างสั่นกระทบกันทำให้อาคาเนะเงยหน้าขึ้น ดวงตาและปลายจมูกของเด็กหนุ่มแดงขึ้นจากการร้องไห้


“อากาศไม่ดีเลยวันนี้” ซาโตรุบ่นขึ้นลอยๆ ระหว่างที่มือยังปลอบโยนอาคาเนะอยู่ นับแต่หิมะตกลงมา อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ แสงตะวันช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ได้แค่นิดหน่อย กลัวว่าเมื่อดวงตะวันลับไป พายุจะมาเยือน


เสียงกระพรวนดังขึ้นจากความว่างเปล่า ไม่นานนักก่อนการปรากฏตัวของใครคนหนึ่งจากกลุ่มควันสีดำที่พุ่งผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ซาโตรุรีบดึงอาคาเนะไปหลบข้างหลัง เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ นางคือปีศาจที่พาตัวอาคาเนะไป


“ไม่เป็นไร” อาคาเนะแตะแขนของพี่ชายแล้วก้าวออกมาด้านหน้า ตบลงบนหลังมือของซาโตรุที่คว้ามือเขาเอาไว้เพื่อห้ามพลางส่ายหน้า สึซึรันไม่ได้อันตรายสำหรับเขาอีกแล้ว


“นางกำลังมา เจ้าต้องไปกับข้าเดี๋ยวนี้” หญิงสาวโพล่งออกมาแล้วรีบคว้ามืออาคาเนะลากออกจากห้อง อาคาเนะก้าวขาตามทั้งที่ยังไม่เข้าใจนัก แต่สีหน้าของสึซึรันดูกังวลจนเขายอมตามมาก่อน


“ใครกำลังมา”


“หยุดนะ!” ซาโตรุวิ่งตามมาด้านหลังร้องห้าม เสียงตะโกนนั้นเรียกคนอื่นในร้านให้โผล่ออกมาดู สึซึรันไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้น นางมีหน้าที่ต้องทำ และจะต้องทำให้สำเร็จ


“สึซึรัน” อาคาเนะเรียกคนที่กำลังพยายามพาเขาออกนอกร้านอีกครั้งด้วยความลังเล คนหนึ่งคือผู้หญิงที่โทชิฮิโระนับเป็นสหาย อีกคนคือพี่ชายที่เขานับถือ ต่างคนต่างอยากพาเขาไปคนละทาง


“เป็นคำสั่งท่านโทชิฮิโระ” เพียงชื่อหนึ่งถูกเอ่ย เพียงพอแล้วที่จะทำให้อาคาเนะสะบัดข้อมือออกจากมือของสึซึรันทันที คนที่อยู่ๆ ก็จากไปมีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตเขาอีก


“ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ!” หญิงสาวตวาดเสียงเขียว ชายที่นางเคารพและรักที่สุด กำลังเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ และสิ่งเดียวที่โทชิฮิโระขอเอาไว้ คือการพาอาคาเนะหนีไปให้ไกลหากมีอะไรเกิดขึ้น


“ช่วย? ช่วยข้าจากอะไร”


“ข้าเอง” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังสะท้อนตามทางเดินก่อนที่พายุหิมะจะพัดโหมจนทุกคนต้องยกมือขึ้นเพื่อบังใบหน้า ไม่นานนักเมื่อลมสงบลง ทั่วทางเดินได้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ


“คาสุมิ” ชื่อนั้นถูกเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาจากปากของอาคาเนะ หญิงสาวแสนสวยที่มาพร้อมกับความหนาวเหน็บ สร้างความพรั่นพรึงให้กับทุกคนจนไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว


“อย่ายุ่งกับเขา” สึซึรันเผยร่างปีศาจพร้อมกางกรงเล็บขู่ แต่คาสุมิยังคงมองตรงไปยังอาคาเนะด้วยสีหน้าว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม


“ข้ามารับเจ้านะอาคาเนะ”


“อย่าไปฟัง! นางเป็นศัตรูของเจ้าแล้ว” สึซึรันเอ่ยเตือนเสียงเข้ม สมองอาคาเนะกำลังสับสน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ โทชิฮิโระหายไป สึซึรันกับคาสุมิโผล่มา เอาแต่พูดสิ่งที่ตัวเองเข้าใจกันเองทั้งนั้น


“เกะกะ” คาสุมิพึมพำเบาๆ ก่อนร่ายอาคม แท่งน้ำแข็งคมกริบได้ก่อตัวขึ้นจากพื้น มันพุ่งทะลวงหน้าอกของสึซึรันในเสี้ยววินาทีแล้วแตกสลายไปพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบลง


เสียงหวีดร้องดังขึ้นจากรอบด้าน ซาโตรุที่อยู่ใกล้กว่าคนอื่นทรุดลงไปนั่งคุกเข่าด้วยความกลัว หยดเลือดสีแดงฉานค่อยๆ แผ่ออกเป็นวงจากใต้ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ ดวงตาของอาคาเนะเบิกค้าง เลือดในกายเย็นเฉียบ


“ไปหาโทชิฮิโระกับข้าเถอะ” มือซีดขาวถูกยื่นออกมาหาอาคาเนะ คนที่ถูกเรียกกัดฟันขบกรามแน่น


“ทำอย่างนี้ทำไม!” ฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย สมกับเป็นสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ ไม่นึกว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยมองคาสุมิเป็นเพื่อน


“นึกว่าสิ่งที่เจ้าอยากรู้ คือโทชิฮิโระอยู่ที่ไหนเสียอีก”


“เขาเป็นฝ่ายไปเอง!”


“เพื่อปกป้องเจ้า” ประโยคต่อมาของคาสุมิทำให้อาคาเนะสะดุ้ง


“ปกป้องข้า?” ปกป้องจากสิ่งใด ถ้าการหายไปคือการปกป้อง แล้วความปวดร้าวที่เขาเผชิญอยู่มันคืออะไร ชีวิตจะดีได้สักแค่ไหน หากต้องอยู่กับความทุกข์ใจไปตลอด


“เทพมังกรจะสละชีวิตตัวเองเพื่อเจ้า อยากให้เป็นแบบนั้นหรือ” ประโยคนั้นทำให้หัวใจคนฟังชาวาบ ราวกับไม่มีอากาศให้หายใจไปเสียดื้อๆ


“ทำไม หมายถึงอะไร” อาคาเนะรีบก้าวเข้าไปหาคาสุมิ ไม่ใส่ใจแล้วว่ารอบตัวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในใจมันร้อนรนเกินกว่าจะทนเฉย


“นายของข้ามีงานที่อยากให้เจ้าทำถึงได้ส่งโทชิฮิโระมาเพื่อเกลี้ยกล่อมเจ้า แต่โทชิฮิโระคัดค้าน เขาจะยกเลิกสัญญาเพื่อเจ้า ถ้าสัญญาจบลง เทพมังกรจะต้องกลับสู่ร่างเดิมและตายไป เข้าใจหรือเปล่า”


นั่นเป็นเรื่องที่อาคาเนะเคยได้ฟังมาก่อน มันคือสัญญาแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาชีวิตของโทชิฮิโระเอาไว้ และเงื่อนไขสำคัญกลับเป็นเขาเอง


“เจ้าเท่านั้นเปลี่ยนใจเขาได้” คาสุมิยื่นมือออกไปหาอาคาเนะอีกครั้ง ดวงตาของเด็กหนุ่มเสมองไปทางอื่นเพื่อซ่อนความสับสน ถ้าหากเป็นสิ่งที่โทชิฮิโระตัดสินใจ ควรแล้วหรือที่จะเข้าไปห้าม


“แล้วถ้าถามว่าเจ้ารักข้าไหม เจ้าจะตอบหรือเปล่า”


คำตอบที่ติดค้างอยู่ในใจผลักดันให้อาคาเนะเลือกคว้ามือนั้น







โลหะเย็นเฉียบถูกตอกตรึงติดกับผนังโดยครอบทับข้อมือของนักโทษเอาไว้ แขนที่ถูกบังคับยกเหนือศีรษะเป็นเวลานานเริ่มชาจากปลายนิ้วทีละน้อย แต่สิ่งที่รู้สึกชายิ่งกว่า อาจเป็นก้อนเนื้อที่อยู่ในอก ทุกสิ่งคงดีกว่านี้หากเขายอมตายไปตั้งแต่แรก


“ต่อให้เจ้าตายตอนนี้ จิ้งจอกก็ยังมาหาข้าอยู่ดี เพราะเชื่อว่าเจ้ายังอยู่” มาซาโนริเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งเอนตัวเท้าคางมองเหยื่อล่อของตนอยู่ มันเป็นความสามารถส่วนหนึ่งของการเป็นเทพ การรับฟังคำอธิษฐานของผู้คน หากเขาปรารถนา ไม่ว่าความคิดของใครก็ล้วนอ่านได้


“จะเปิดประตูยมโลกไปเพื่ออะไร มีคนที่ท่านอยากพบอยู่ในยมโลกอย่างนั้นหรือ” โทชิฮิโระแค่นหัวเราะ หากตำนานมีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เทพไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในยมโลกย่อมเป็นจริงด้วย แต่เพราะเหล่าเทพมักไม่ผูกพันกับใคร พวกเขาถึงได้ไม่แยแสยมโลกนัก


“ใช่แล้วข้ามี” มาซาโนริตอบกลับมาด้วยใบหน้าอันเรียบนิ่ง จนแม้แต่คนถามยังเลือกที่ปิดปากตัวเองลง


“รู้ไหมว่าเมื่อเทพตาย เราไม่ได้ลงไปสู่ยมโลก เพียงแค่สลายไปไม่อาจคงอยู่ จึงไม่มีคำว่าชาติหน้าสำหรับเทพ” มาโซโนริต่างกับโทชิฮิโระที่เป็นเทพด้วยการถูกมนุษย์ยกย่อง เขาเกิดมาด้วยความปรารถนาของผู้คน มีตัวตนแต่ก็เหมือนอยู่คนละโลกกับมนุษย์ ต่อให้ตายไปก็ไม่อาจไปพบคนที่ตายไปก่อนหน้าได้ แววตาของมาซาโนริหม่นหมองลง นี่คือการลงโทษสำหรับเขา


“แต่สิ่งที่ท่านทำจะฆ่าคนบริสุทธิ์อีกมาก”


“ข้าไม่สน! บริสุทธิ์แล้วทำไม เป็นคนดีแล้วทำไม เพียงเพราะสวรรค์ลิขิต ต่อให้ทำดีมากเพียงใดเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!” มาซาโนริหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน โลกนี้มีคนดีที่ต้องทุกข์ทรมานและตายไปอยู่มากมาย โดยที่ไม่เคยมีใครคิดจะช่วย


ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับกำลังเอ่ยถึงใครคนหนึ่ง อาจเป็นคนที่ทำให้เทพตกสวรรค์เลือกเดินบนเส้นทางนี้


“ดูเจ้าสิ ทำดีมาเท่าไร ปกป้องมนุษย์มาแล้วกี่คน เคยได้สิ่งตอบแทนที่มันคุ้มค่าบ้างไหม”


“ข้าไม่เคยร้องขอ” ทุกสิ่งที่ทำ นับตั้งแต่ถูกเรียกขานว่าเทพมังกร โทชิฮิโระไม่เคยคิดว่าจะต้องได้สิ่งใดกลับมา เขาเพียงแค่ทำในสิ่งที่อยากทำ และใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะใช้


“วันหนึ่งเมื่อเจ้าถูกพรากสิ่งสำคัญไป คงจะเข้าใจข้า” ดวงตาเหม่อลอยทอดมองอย่างไร้จุดหมาย ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าวของมาซาโนริ มีความเจ็บปวดรวดร้าวหลบซ่อนอยู่ นานมาแล้วที่ส่วนหนึ่งของหัวใจถูกฉีกออกไปโดยพวกที่อ้างตัวว่าเป็นเทพ


รู้ดีว่าไม่มีวันทำให้ทุกสิ่งย้อนหวนกลับ ต่อให้ใช้อำนาจเทพทั้งหมดก็ไม่อาจได้พบกับใครคนนั้นอีกแล้ว โลกที่มีแต่การทรยศหักหลังใบนี้ ด้วยเปลวไฟสุดท้ายของชีวิตที่ยังเหลืออยู่ มาซาโนริได้ปฏิญาณต่อตัวเอง ว่าจะทำให้แผ่นดินนี้ต้องจมดิ่งลงสู่ความมืดไปด้วยกัน


“ดูเหมือนแขกของข้าจะมาถึงแล้ว” เพียงแค่มาซาโนริวาดมือไปด้านข้าง ประตูบานเลื่อนก็ค่อยๆ เปิดออก คาสุมิเดินเข้ามาก่อน นางเหลียวกลับไปมองข้างหลัง พยักหน้าลงเป็นสัญญาณเรียกแขกอีกคนให้ตามเข้ามา


วินาทีนั้นทุกอย่างเงียบกริบ อาคาเนะได้เห็นมาซาโนริเป็นครั้งแรกแต่กลับมองเลยผ่านจนได้สบตาเข้ากับคนที่กำลังมองมาจากอีกฟากห้อง เพียงเวลาชั่วข้ามคืน โทชิฮิโระดูโทรมลงไปถนัดตา


“เข้าไปสิ ข้าไม่ห้ามเจ้าหรอก” มาซาโนริผายมือไปทางโทชิฮิโระ เพื่อกระตุ้นให้อาคาเนะเริ่มก้าวขา


“อย่าเข้ามา!” กลับเป็นโทชิฮิโระเสียเองที่สั่งห้าม ขาที่กำลังก้าวชะงักลงแล้ววางลงที่เก่า แม้ในตอนนี้คำสั่งของโทชิฮิโระก็ยังส่งผลต่ออาคาเนะจนน่าหัวเราะ


“ถ้าเจ้ายังฟังข้า อย่ารับปากอะไรกับมาซาโนริเด็ดขาด ไปเสียอาคาเนะ” ทั้งที่ถูกพันธนาการแต่โทชิฮิโระยังคงวางท่าราวกับเป็นเจ้าของอาคาเนะอยู่ เด็กหนุ่มเม้มปากจนเป็นเส้นตรง เขาไม่ได้มาไกลถึงที่นี่เพื่อจะถูกไล่กลับไปง่ายๆ เสียหน่อย


“ทำไมถึงเอาแต่ตัดสินใจอะไรคนเดียวอยู่เรื่อย” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเครือจนคนฟังยังรู้สึก หากทำได้ก็อยากจะคว้าตัวมากอด อยากจะปลอบจนกว่าจะสงบลง แต่ตัวเขาไร้กำลังเกินจะทำได้


“อาคาเนะนี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะดื้อ” อย่างน้อยขอเพียงได้ปกป้องหัวใจซื่อตรงของอาคาเนะไว้ เขาจะไม่ยอมให้มันต้องแปดเปื้อนด้วยความตายของใครเป็นอันขาด


“ท่านต่างหากที่ดื้อ!” อาคาเนะตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แต่ก็กล้ำกลืนฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้


“คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการปกป้องข้าหรือ ไหนจะทิ้งข้าไว้คนเดียว แล้วยังคิดจะทิ้งชีวิตตัวเองอีก!” โทชิฮิโระพูดไม่ออก เขารู้ว่าทำให้อาคาเนะเสียใจ แต่ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อไม่ให้อาคาเนะต้องมีตราบาปไปชั่วชีวิต


“คนหลงตัวเองอย่างท่าน เคยถามข้าบ้างหรือเปล่า ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจมากที่สุด” เพียงเพราะบอกกับตัวเองว่าทำเพราะหวังดีต่อกัน แล้วจะมีสิทธิ์ทำอะไรกับชีวิตคนอื่นก็ได้อย่างนั้นหรือ


ก่อนหน้านี้คาสุมิได้บอกเป้าหมายของมาซาโนริกับอาคาเนะแล้ว หากอยากช่วยโทชิฮิโระเขาจะต้องทำลายชีวิตอีกมาก เพราะอย่างนั้นโทชิฮิโระถึงจากมา และเป็นฝ่ายเลือกคำตอบให้กับอาคาเนะเอง


สองมืออาคาเนะยกขึ้นแนบข้างแก้มคนที่แสนห่วงหา พวกเขาต่างสบตาแต่ไม่อาจสื่อถึงกัน คนหนึ่งอยากปกป้องแม้จะต้องสละชีวิตตัวเอง ส่วนอีกคนเพียงแค่อยากรักษาสิ่งสำคัญของตนไว้


“ข้าไม่น่าพบกับเจ้าเลย” โทชิฮิโระเอียงหน้าแนบลงกับมือที่ประคองใบหน้าเขา เหยียดยิ้มให้ด้วยแววตาแสนเศร้า หากเขาไม่คิดฝืนชะตา ยอมรับความตายตั้งแต่หลายปีก่อน คงไม่ต้องทำร้ายอาคาเนะอย่างนี้


“ข้าเองก็ไม่น่าหลงรักท่าน” คำบอกรักอันแสนเจ็บปวดจบลงด้วยรสจูบอันขมขื่นยิ่งกว่า โชคชะตานำพวกพวกเขาให้มาเจอกัน แต่กลับบีบบังคับให้ต้องปวดร้าวถึงเพียงนี้ อาคาเนะเป็นฝ่ายถอยห่าง ผละจากคนที่รักเพื่อไปเผชิญหน้ากับเทพตกสวรรค์


“เรามาทำสัญญากัน แลกกับการที่ท่านจะต้องปล่อยโทชิฮิโระไป”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

เชื่อใครดีตอนนี้  :serius2: ดราม่ากันต่อไปทุกคน :heaven



:pig4: :pig4:

กอดแทน  :กอด1:


:hao5: :hao5:

ยังดราม่ากันต่อ อีกนิดนะอีกนิด  :ling1:




ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 24

ประตูยมโลก






“ในเมื่อนายของเจ้าไม่เคยเห็นคุณงามความดี เมื่อใดเจ้าจะเลิกเอาชีวิตไปเสี่ยงในสนามรบเสียที”


“ข้าออกรบเพื่อปกป้องบ้านเกิดข้า ไม่ใช่เพื่อรางวัลเสียหน่อย”


“ระวังจะไม่ได้แก่ตาย”


“ไม่หรอกๆ ในเมื่อข้ามีท่านเทพคอยอวยพรขนาดนี้ ข้าจะต้องเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่”



หากการมีข้าอยู่จะทำให้เจ้าได้โชคดี เหตุใดเจ้าถึงต้องตายโดยไร้การกลบฝัง ไม่อาจหลับใต้แผ่นดินที่เสี่ยงชีวิตปกป้องเอาไว้ด้วยซ้ำ


แท้จริงแล้วข้าคือสิ่งใดสำหรับเจ้ากันแน่


คาสึกิ...







“เรามาทำสัญญากัน แลกกับการที่ท่านจะต้องปล่อยโทชิฮิโระไป” อาคาเนะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่หวั่นกลัวเกรง จุดรอยยิ้มบนมุมปากของมาซาโนริ


กุญแจดอกสุดท้ายที่จะใช้ไขเปิดประตูยมโลกได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์นัก แม้มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นปีศาจ แต่กลับมีจิตที่ใสสะอาดยิ่งกว่าอดีตเทพอย่างเขาเสียอีก


ก็แค่เด็กหนุ่มที่ยังอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง


“คาสุมิ” ปีศาจหิมะขานรับแล้วขยับมายืนข้างๆ


“อยู่ที่นี่กับเทพมังกร ตะวันตกดินเมื่อใดปล่อยเขาไปเสีย ส่วนเจ้าไปกับข้า” ประโยคหลังมาซาโนริหันไปบอกกับอาคาเนะ แต่กลับถูกปฏิเสธทันควัน


“ไม่ ข้าไม่ไปไหนจนกว่าจะเห็นท่านปล่อยโทชิฮิโระไป...!” น้ำเสียงของอาคาเนะขาดหายเพราะลมหายใจถูกตัดขาด เหงื่อไหลซึมทั่วร่างทั้งที่อากาศหนาวเย็นจนน้ำแทบเป็นน้ำแข็ง ต่อให้พยายามหายใจสักเท่าไรก็ไม่มีอากาศผ่านเข้าปอด และยังไม่มีเสียงใดออกจากลำคอ อาคาเนะกำลังขาดอากาศจนถึงกับต้องทรุดลงนั่งทุบหน้าอกเพื่อรั้งสติเอาไว้


“มาซาโนริ! หยุดเดี๋ยวนี้!” โทชิฮิโระที่สังเกตเห็นความผิดปกติของอาคาเนะตะโกนห้ามอย่างเดือดดาล แต่ลำพังด้วยแรงเขา ไม่อาจดิ้นหลุดจากพันธนาการนี้ได้ ปีศาจกำลังกัดกินมาซาโนริอยู่ และมันดูจะไม่ชอบการถูกท้าทายอำนาจนัก


“นายท่าน” กลับเป็นปีศาจหิมะที่เอ่ยขัดขึ้นมา คาสุมิแตะเบาๆ บนหลังมือมาซาโนริ สัมผัสนั้นเบนสายตามาซาโนริไปจากอาคาเนะ ช่วยให้เด็กหนุ่มได้ลมหายใจกลับคืนมา และต้องรีบสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่


“เจ้าอาจยังไม่เข้าใจสถานะตัวเองเท่าไร ข้าคือผู้ตัดสินใจทุกอย่างที่นี่ แต่ไม่ต้องกลัวไป ข้ารักษาคำพูดของตัวเอง” มาซาโนริเหลือบมองอาคาเนะด้วยสายตาหยามเหยียด เขาอาจถูกขับไล่จากสวรรค์ แต่จนกว่าจะถูกยึดร่างอย่างสมบูรณ์ไม่มีปีศาจตนใดเอาชนะเขาได้ทั้งนั้น


“อย่าได้เปิดปากเถียงข้าอีก”







แม้ไม่มีหิมะโปรยลงมา แต่อากาศกลับยิ่งทวีความหนาวเย็นขึ้นมากกว่าเดิม ทุ่งราบสีขาวเวิ้งว้างกว้างไกลสุดตาคือสิ่งที่อยู่ต่อหน้าอาคาเนะ พายุหิมะที่เพิ่งสงบได้กลบฝังทุกสิ่งไว้ด้วยความเย็นอันเงียบสงัด แต่ละย่างก้าวจมลงไปบนหิมะเย็นเฉียบ ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้เห็น


ทางข้างหน้าพร่ามัวคล้ายมีหมอกปกคลุมอยู่ เมื่อมาซาโนริยังคงตามมาโดยไม่พูดอะไร อาคาเนะก็จำต้องก้าวขาต่อไปข้างหน้า อากาศแถวนี้หนาวเหน็บเกินกว่ามนุษย์จะทนไหว อาคาเนะจึงต้องเดินห่อไหล่ถูแขนเพื่อบรรเทาความหนาว


“คืนร่างปีศาจเสีย จะได้สบายขึ้น” คนเดินนำชะงักขา ไม่คาดคิดว่ามาซาโนริจะสนใจเขามากไปกว่าการใช้เป็นเครื่องมือ


“ข้าไม่ชอบคืนร่างต่อหน้าคนอื่น” ร่างปีศาจของอาคาเนะมีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็น ถ้าจะนับกันตามตรงก็มีเพียงบิดาเขา โทชิฮิโระ และสึซึรันเท่านั้น ถือเป็นเรื่องที่ต่อให้มีคนอื่นรับรู้แต่ใช่ว่าจะอยากเผยออกมาง่ายๆ


มาซาโนริไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขาเดินฝ่าทุ่งหิมะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อด้านหน้ามีบางสิ่งปรากฏ สิ่งที่ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านไม่ได้มีเพียงสีขาวอีกต่อไป


ดอกไม้สีแดงสดชูดอกตัดกับก้านสีเขียวอยู่ท่ามกลางหิมะและสายหมอก ไม่ใช่เพียงหนึ่งดอก แต่กินพื้นที่กว้างจนเปลี่ยนพื้นที่ข้างหน้าให้เป็นท้องทุ่งสีแดงฉาน อาคาเนะค่อยๆ เดินเข้าใกล้เพื่อหวังจะสัมผัสมัน นึกไม่ออกเลยว่าดอกไม้เหล่านี้สามารถเติบโตอยู่ท่ามกลางหิมะได้อย่างไร


“ดอกพลับพลึงแดง ดอกไม้สีแดงแห่งความตาย เข้ากับนามของเจ้าไม่ใช่หรือ” มือที่กำลังจะแตะกลีบดอกไม้หยุดชะงักก่อนถูกชักกลับ หมอกรอบกายค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นทุ่งดอกพลับพลึงแดงที่แข่งกันเบ่งบานนับร้อยดอก ยกเว้นเพียงดอกหนึ่งตรงกึ่งกลางที่มีกลีบสีขาวราวกับหิมะ


“มันเติบโตได้ดีแม้ในบรรยากาศของยมโลก เรามาถึงที่แล้ว” ไอพิษจากยมโลกที่รั่วซึมอยู่ในบริเวณนี้ทำให้ดอกพลับพลึงแดงเบ่งบาน และการไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเข้าใกล้ คือหลักฐานชั้นดี บอกให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกับยมโลกอยู่


“จะให้ข้าทำอะไร” เสียงร้องแหลมสูงดังแหวกในอากาศขัดคำถามของอาคาเนะ นกฮูกตัวหนึ่งบินวนเหนือพวกเขา มันคือภูตบริวารของมาซาโนริ และเป็นภูตนำสาสน์ที่มาคอยเฝ้าสังเกต รอคอยที่จะส่งข่าวกลับไปหาคาสุมิอีกครา


“ไม่ต้องทำ แค่อย่าถูกลากลงนรกไปก็พอ” มาซาโนริคว้าข้อมืออาคาเนะหงายขึ้นมาตรงหน้า ค่อยๆ กรีดนิ้วชี้ลากผ่านข้อมือนั้น แต่มันกลับสร้างรอยกรีดลึกราวกับถูกคมมีดลากผ่าน เลือดสีเข้มไหลย้อนออกจากปากแผล และหยดลงบนกลีบดอกไม้สีสด


“กฎของยมโลกคือคนเป็นไม่สามารถล่วงล้ำ ส่วนคนตายไม่สามารถออกมา หากมีสิ่งใดหนีหลุดรอด ยมโลกจะไล่ตามและพร้อมที่จะนำสิ่งนั้นกลับไป โดยการกลืนกินทุกสิ่งรอบข้าง” หยาดเลือดที่รินไหล ถูกดูดซับหายไปโดยกลีบดอกไม้ที่เริ่มเปล่งแสงเรืองรองขึ้น จากดอกหนึ่งสู่ดอกหนึ่ง มันค่อยๆ แผ่ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ จนไปถึงดอกสีขาวที่อยู่ตรงกลาง


แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


“นึกอยู่แล้วว่าเลือดเพียงครึ่งเดียวคงไม่พอ” มาซาโนริขมวดคิ้วพึมพำเสียงค่อย


“หมายความว่าอะไร” คิ้วของอาคาเนะขมวดเข้าหากัน และคำตอบของคำถามนั้นคือการถูกมือของมาซาโนริทะลวงผ่านอกเข้ามาด้วยแรงมหาศาล


อาคาเนะคว้ามือของมาซาโนริด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่มีเลือดสักหยดไหลออกจากอกเขา มีเพียงความร้อนที่กำลังระอุขึ้นจากภายในร่าง


“จะทำ...อะไร” ความรู้สึกราวกับมีเปลวไฟแผดเผาอยู่ในร่าง ทรมานจนไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ และยิ่งต้องตกใจมากขึ้นเมื่อร่างปีศาจกำลังถูกบังคับให้เผยออกมา


“หยุดนะ!”


“ไม่ต้องกลัว ข้าแค่จะทำให้เจ้าได้เป็นปีศาจเต็มตัว” มาซาโนริเหยียดยิ้มเย็น ในขณะที่อาคาเนะร้องลั่นไม่เป็นภาษาพร้อมกับมีเปลวไฟลุกท่วมร่าง ดวงตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสด เส้นผมดำขลับกลับกลายเป็นสีเพลิง ผิวเนื้อมีเส้นขนขึ้นปกคลุมทีละน้อย โครงสร้างร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนจากคนสู่จิ้งจอก และถูกครอบงำสตินึกคิดไปจนหมดสิ้น


ในที่สุดมาซาโนริก็ยอมถอนมือออก ร่างกายอาคาเนะเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะยังยืนได้ด้วยสองขา แต่ใบหน้า แขน และขา ได้กลายเป็นจิ้งจอกไปเสียแล้ว


“จงหลั่งเลือดเพื่อข้า จิ้งจอกเอ๋ย” คำกระซิบกลายเป็นคำบัญชาสำหรับอาคาเนะ มือข้างหนึ่งกางกรงเล็บตวัดลงบนท่อนแขนอีกข้าง เลือดสีเข้มไหลหลั่งและถูกดูดซึมเข้าไปด้วยกลีบดอกไม้อีกครั้ง คราวนี้ดอกไม้ทั้งมวลต่างพากันเรืองแสงดั่งหยาดเลือดสีสด ในขณะที่ดอกสีขาวกลับเหี่ยวเฉาและโรยราไปอย่างรวดเร็ว


“จงเปิดออกมา ประตูแห่งยมโลก!” สิ้นเสียงมาซาโนริ เหล่าดอกไม้ต่างกลายเป็นสีดำสนิท และเหี่ยวแห้งสลายเป็นเศษเถ้า เปลี่ยนพื้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นพื้นสีดำวงใหญ่ ก่อนที่ผืนแผ่นดินจะทลายลงไป


หลุมมืดดำไร้ก้นถูกเปิดออก ไอพิษสีคล้ำพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ก่อเกิดลมหมุนแรงดึงมหาศาล ราวกับว่ามันกำลังพยายามดูดกลืนสิ่งรอบข้างให้จมลงสู่ความมืด







สายลมพัดหวีดหวิวส่งเสียงเล็ดลอดมาทางหน้าต่าง คนหนึ่งหลับตาฟังมัน ส่วนอีกคนลืมตาแต่เหม่อลอยไม่นำพากับสิ่งใด อาคาเนะกำลังเจอกับเรื่องร้าย แต่เขากลับติดอยู่กับผนัง ช่างเป็นคนที่ไร้ค่าสิ้นดี


“หากมือของอาคาเนะเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์ เจ้าจะยังรักเขาหรือเปล่า” คาสุมิปิดปากเงียบนับตั้งแต่มาซาโนริออกไป แต่ตอนนี้นางกำลังถามคำถามโทชิฮิโระโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง ดวงตาภูตนำสาสน์บอกนางให้รู้ว่าประตูยมโลกได้ถูกเปิดออกแล้ว


“เหมือนที่เจ้ารักมาซาโนริหรือ” คำตอบนั้นเรียกคาสุมิให้หันกลับมา ปีศาจหิมะเดินเข้าไปหาโทชิฮิโระด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตรงข้ามกับโทชิฮิโระที่หัวเราะออกมา


“สิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความลุ่มหลงมากกว่า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ปล่อยให้เขาเดินบนเส้นทางนี้”


“อย่าพูดในสิ่งเจ้าไม่รู้โทชิฮิโระ” น้ำเสียงคาสุมิแข็งกระด้างขึ้น ไม่บ่อยนักที่นางจะเป็นฝ่ายถูกยั่วให้โกรธบ้าง


“ที่โกรธเพราะข้าพูดถูกใช่ไหม เจ้ารักมาซาโนริ แต่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ นั่นเพราะในสายตามาซาโนริไม่เคยมีเจ้า ตาสว่างเสียที!” ปีศาจหิมะเป็นทางหนีทางเดียวที่โทชิฮิโระมีอยู่ คงดีหากเปลี่ยนใจนางได้ แม้จะรู้ว่ามันคงไม่ง่ายนัก


“ผิดแล้ว เพราะข้าต่างหาก ที่ทำให้ท่านมาซาโนริต้องกลายเป็นแบบนี้” ความโกรธจางหายไปจากแววตาของปีศาจหิมะ มีเพียงความรู้สึกผิดที่ยังคงอยู่ นางหลุบตาลงซ่อนความหวั่นไหว


“นี่เจ้า...”


“ประตูยมโลกได้ถูกเปิดแล้ว แต่เจ้ายังช่วยอาคาเนะได้” คาสุมิวางมือทาบลงบนตรวนเหล็ก ไอเย็นจากมือของนางเปลี่ยนมันให้กลายเป็นน้ำแข็ง และแตกออกเพียงแค่เคาะลงไปเบาๆ


“จงอยู่ข้างๆ อาคาเนะเมื่อเขาต้องการ อย่าได้ทอดทิ้งคนที่รักเจ้า อย่าคิดจากเขาไปด้วยความตายอีก”


“ทำไมถึงช่วยข้า” โทชิฮิโระถามไปตามตรงด้วยความไม่เข้าใจ หากคาสุมิภักดีต่อมาซาโนริทำไมถึงปล่อยเขา ทั้งที่รู้ว่าเขาจะต้องขัดขวางมาซาโนริ สิ่งที่ปีศาจหิมะต้องการคืออะไรกันแน่


“หากข้าบอกเหตุผล เจ้าจะยกโทษให้ข้าหรือ ยกโทษให้กับการหลอกลวงทั้งหมดที่ผ่านมา” ไม่มีคำตอบจากคนที่อยู่ตรงหน้า คาสุมิจึงเหยียดยิ้มแล้วหมุนตัวหันหลังให้


“เคียดแค้นไปเถิด ทั้งข้าและท่านมาซาโนริ พวกเราตั้งใจหลอกใช้เจ้า เพียงเพื่อให้ไปถึงสิ่งที่หวัง เพียงแต่ตอนนี้ความปรารถนาของข้านั้น ไม่จำเป็นต้องสังเวยชีวิตของใครอีก”


 แผ่นหลังของปีศาจหิมะดูเศร้าสร้อยผิดกับภาพลักษณ์ที่คุ้นเคยในสายตาโทชิฮิโระ หากหลับตาลงเขาอาจคิดว่าคาสุมิกำลังร้องไห้อยู่


“ตามมา ข้าจะคืนสิ่งที่ควรเป็นของเจ้า” หญิงสาวก้าวออกไปจากห้อง ทิ้งความลังเลไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง ว่าควรจะไว้ใจปีศาจหิมะอีกสักครั้งหรือไม่


น่าเสียดายที่คาสุมิยังคงเป็นทางเลือกเดียวที่โทชิฮิโระเหลืออยู่



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


มาช้าแต่มาเบิ้ลนะคะ ตอนต่อไปต่อรีพลายล่างเลยยย  :impress2:


ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 25

คำสัญญา





ท้องฟ้ามัวหม่นแผ่ขยายกว้างไกลออกไปเรื่อยๆ ยิ่งประตูยมโลกเปิดนานเท่าใด ไอพิษจะยิ่งแพร่กระจายออกไปมากเท่านั้น และเมื่อใดที่มันไปถึงเมือง ผู้คนจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วน


เสียงกู่ร้องคำรามดังสะท้อนออกมาจากประตูยมโลก ฝูงปีศาจพรั่งพรูกันหนีออกมา บางส่วนถูกลมหมุนดูดกลับ แต่บางส่วนหนีพ้นออกมาได้ พวกมันต่างรีบทะยานออกไปเพื่อหาอาหารจากโลกมนุษย์


ปีศาจหน้าตาประหลาดตนหนึ่งสะดุดตาเข้ากับสองคนที่อยู่ใกล้ แขนของมันคือปีก ส่วนลำตัวท่อนล่างยาวเรียวรวมเป็นหาง ลิ้นยาวไล้เลียบนคมเขี้ยวของตน หมายลิ้มลองเลือดเนื้อที่อยู่ตรงหน้า มันพุ่งตัวลงมาแต่กลับถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าก่อนจะได้แตะต้องเหยื่อเสียอีก


อาคาเนะลดมือลง ในขณะที่มาซาโนริแสยะยิ้ม จิ้งจอกมีพลังปีศาจสูงกว่าปีศาจทั่วไปเสมอ คิดถูกแล้วที่เลือกอาคาเนะมา ขอเพียงยังมีปีศาจอยู่ใกล้ ประตูยมโลกจะไม่มีวันปิด มาดูกันว่าสวรรค์จะยังคงเมินเฉยได้อีกนานสักแค่ไหน


เสียงร้องโหยหวนของเหล่าปีศาจเรียกให้มาซาโนริต้องแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า บางสิ่งที่ใหญ่โตกว่าพวกปีศาจกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ร่างของมังกรสีขาวโดดเด่นตัดกับผืนฟ้าสีคล้ำ ทั้งกรงเล็บและคมเขี้ยวของมังกร กำลังไล่สังหารฝูงปีศาจจากยมโลกอยู่


“โทชิฮิโระ” มาซาโนริเค้นเสียงต่ำด้วยโทสะคุกรุ่น ไม่คิดว่าเทพมังกรจะกลับคืนร่าง ไม่นานนักหิมะได้เริ่มโปรยลงมาอีกครั้ง ทำให้ทัศนวิสัยรอบด้านแย่ลงกว่าเก่า เช่นเดียวกับจิตใจของมาซาโนริที่ขุ่นมัวขึ้นทุกที


ดวงตาคู่โตของจิ้งจอกจ้องมองร่างสีขาวบนผืนฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า ร่างกายขยับไปเองทีละก้าว แม้สมองจะถูกสั่งการอยู่ แต่จิตใต้สำนึกกลับจำโทชิฮิโระได้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นทั้งที่มันสั่น เพียงเพื่อจะเอื้อมหา เทพมังกรที่อยู่บนฟ้าไกล


“...โท...ชิ...” แสงสว่างเริ่มกลับมาสู่ดวงตาอาคาเนะทีละน้อย ภาพที่พร่ามัวค่อยๆ ชัดขึ้นในดวงตา ทว่ากลับเป็นตอนที่ความอดทนของมาซาโนริสิ้นสุดลงเช่นกัน


ศรแสงสามดอกปรากฏขึ้นเมื่อมาซาโนริวาดมือเหนือศีรษะ ประกายแสงนั้นดึงดูดสายตาอาคาเนะให้หันกลับมา และได้เห็นว่าเป้าหมายศรทั้งสามดอกคือเทพมังกรไม่ผิดแน่


“อย่า!!” อาคาะเนะตะโกนลั่นพร้อมกับที่มาซาโนริตวัดมือไปข้างหน้า ใกล้แค่เอื้อมคว้า แต่ไกลเกินกว่าจะขวางได้ ศรแสงพุ่งออกไป อาคาเนะทำได้เพียงหันตามไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง


ร่างของเทพมังกรหยุดชะงัก เพียงพริบตาก่อนที่ศรแสงจะพุ่งถึงร่างเทพมังกร กลับมีกำแพงน้ำแข็งปรากฏขึ้นเป็นโล่กันศรแสงให้กับโทชิฮิโระ แล้วยังมีอีกส่วนที่พุ่งขึ้นจากพื้นรอบขามาซาโนริเพื่อกักขังเขาไว้ภายใน


“อาคาเนะ!” แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน แต่โทชิฮิโระยังอดโล่งใจไม่ได้ที่เห็นอาคาเนะกำลังมองเขาอยู่ มังกรขาวร่อนลงสู่พื้นพร้อมจำแลงกายเป็นมนุษย์ แล้วรีบก้าวไปหาอาคาเนะ แต่ปีศาจจิ้งจอกกลับชักเท้าหนี ก้มมองมือตัวเองที่กลายเป็นมือของปีศาจ แล้วช้อนสายตามองโทชิฮิโระด้วยใบหูที่ตกลู่


“ขะ...ข้า...”


“มาหาข้าอาคาเนะ เราจะกลับบ้านกัน” โทชิฮิโระกางแขนของตนออกพลางกวักมือเรียก เขารู้ว่าอาคาเนะกำลังเสียขวัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการพาอาคาเนะออกไปจากที่นี่


“อย่าคิดจะหนีไปจากข้า!” มาซาโนริแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมกับที่กำแพงน้ำแข็งทลายลง บนหน้าผากเทพตกสวรรค์มีเขางอกขึ้นเพิ่มอีกข้าง บ่งบอกให้รู้ว่าปีศาจใกล้จะเข้ายึดร่างมาซาโนริได้สำเร็จเต็มที


โทชิฮิโระไม่รอช้ารีบคว้าตัวอาคาเนะมากอดเอาไว้ เขาได้ร่างเดิมกลับคืนมาแล้ว ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ไร้กำลังอีก แม้ต้องต่อสู้กับเทพตกสวรรค์ เขาก็จะทำเพื่อปกป้องอาคาเนะ


“ข้ารับปากจะปล่อยพวกเจ้าไป ทำไมถึงยังขัดขวางข้า!”


“เพราะสิ่งที่ท่านทำ มีแต่การทำร้ายผู้อื่น ข้าจะไม่ยอมให้อาคาเนะต้องแปดเปื้อนไปกับท่าน” โทชิฮิโระดันอาคาเนะให้หลบไปข้างหลัง จิตใจของมาซาโนริได้ถูกความมืดกัดกินจนสายเกินจะเยียวยาได้แล้ว เหตุผลคงใช้กับเทพผู้นี้ไม่ได้อีก


“ถ้าอย่างนั้นจงตายเสีย ตายไปด้วยกันทั้งคู่!” ศรแสงนับสิบปรากฏเรียงกันรอบกายมาซาโนริ แววตาเขามีเพียงความเกลียดชังที่กำลังล้นทะลัก ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร หากคิดเป็นศัตรูกัน เขาก็จะทำลายมันให้สิ้น


มาซาโนริตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จนอาคาเนะต้องยกมือปิดหูของตนแล้วซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังโทชิฮิโระพลางหลับตาแน่น แต่ผ่านไปครู่หนึ่งยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาคาเนะจึงค่อยๆ ลืมตาและชะโงกหน้าออกไป


มาซาโนริยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ศรแสงทั้งหมดได้สลายหายไปแล้ว มีเพียงโลหิตสีแดงคล้ำที่กำลังไหลทะลักออกจากปลายดาบที่แทงทะลุอกของมาซาโนริออกมาจากด้านหลัง ดวงตาของเทพตกสวรรค์เบิกค้าง ไอเย็นจากร่างกายคนแทงที่แนบอยู่ด้านหลังเขาจดจำมันได้ดี


“คา...สุมิ” ปีศาจหิมะกระชับดาบในมือให้แน่นขึ้น แล้วออกแรงแทงดาบให้ลึกลงไปอีก จนกระทั่งมาซาโนริไอเป็นเลือดออกมา
ทั้งโทชิฮิโระและอาคาเนะต่างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา คาสุมิคือคนสุดท้ายบนโลกนี้ที่พวกเขาคิดว่าจะทรยศมาซาโนริได้


“พาอาคาเนะหนีไป เร็ว!” คาสุมิตะโกนสั่ง โทชิฮิโระจึงคืนร่างเป็นมังกรแล้วคว้าอาคาเนะทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยกรงเล็บของตน คนถูกช่วยตั้งสติไม่ทันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทุบลงบนอุ้งเล็บที่จับเขาเอาไว้


“เราทิ้งคาสุมิไว้ไม่ได้ นางจะถูกฆ่า!” ต่อให้ดาบนั้นแทงทะลุหัวใจ ก็ใช่ว่าจะฆ่ามาซาโนริได้ ขนาดอาคาเนะยังรู้เรื่องนี้ โทชิฮิโระกับคาสุมิก็ต้องรู้ด้วย แล้วจะให้ทิ้งปีศาจหิมะเอาไว้ได้อย่างไร


“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ตรงนั้น ประตูยมโลกจะไม่มีวันปิด เราช่วยอะไรไม่ได้แล้วอาคาเนะ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าทำได้”
“ไม่!” อาคาเนะตะโกนลั่น และพยายามดิ้นรนจนเกือบจะหล่นลงไปด้านล่าง


“ข้าไม่อยากทิ้งใครไว้อีก!” ภาพสึซึรันที่ล้มลงต่อหน้ายังคงติดตา อาคาเนะเลือกที่จะตามคาสุมิมาโดยไม่ได้เหลียวมองว่าสึซึรันจะตายหรือไม่ ถ้าหนีไปตอนนี้ก็เท่ากับเขาได้ทิ้งคาสุมิเอาไว้ข้างหลังอีกคน


เทพมังกรส่งเสียงคำรามในลำคออย่างขัดใจ แต่สุดท้ายก็จำต้องม้วนตัวหันกลับหลัง พาจิ้งจอกจอมดื้อกลับไปยังประตูยมโลกอีกครั้ง







ร่างของปีศาจหิมะถูกซัดด้วยคลื่นพลังจนกระเด็นไปยังขอบปากโพรงสู่ยมโลก มาซาโนริดึงดาบออกจากหลังของตนแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ก่อนเดินเข้าไปหาคาสุมิ


“ทำไม...ถึงเป็นเจ้า” เลือดที่ไหลจากแผลบนอกมาซาโนริกลับกลายเป็นน้ำสีดำข้นเหนียว มันหยดลงตามจังหวะการก้าวเท้าของเจ้าของร่าง คาสุมิค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา คลี่ยิ้มให้กับเทพที่กำลังกลายเป็นปีศาจเข้าไปทุกที


“ทั้งที่ข้า...ไว้ใจเจ้า!” มือใหญ่คว้าเข้าที่รอบคอของคาสุมิ ออกแรงบีบพร้อมทั้งยกขึ้นจนปลายเท้าปีศาจหิมะแทบไม่แตะพื้น ผิวเนื้อบนแขนของมาซาโนริเริ่มหลุดร่อนออก เผยให้เห็นผิวหนังสีน้ำตาลด้านหยาบอยู่ภายใน


“ก็สัญญากันไว้ไม่ใช่หรือ” ปีศาจหิมะวางมือกุมลงบนหลังมือที่กำลังบีบลำคอของตน แย้มยิ้มด้วยแววตาอันแสนเศร้า


“สัญญาว่าจะหยุดยั้งกัน หากใครคนหนึ่งพลาดพลั้งไป” น้ำตาอุ่นร้อนไหลออกจากดวงตาของปีศาจที่มีร่างกายเย็นเฉียบ มันไหลลงกระทบมือของมาซาโนริที่กำลังมองปีศาจในกำมือด้วยดวงตาเบิกกว้าง







“ดูสภาพเจ้าสิ รู้ไหมมารดาเจ้ามาร้องไห้คร่ำครวญกับข้าขนาดไหน รักตัวเองให้มากขึ้นหน่อยมันยากนักหรือ”


“อย่าต่อว่าอีกสิ นี่ข้าหลบออกมาเพราะโดนบ่นจนหูชาแล้วรู้ไหม โกรธหรือท่านมาซาโนริ”


“สมน้ำหน้าเสียมากกว่า”


“ใจร้ายจัง ถ้าอย่างนั้นเรามาสัญญากันดีไหม”


“มนุษย์เช่นเจ้า กล้าทำสัญญากับเทพอย่างข้าหรือ จะผิดสัญญาไม่ได้เด็ดขาดนะ”


“ข้าต้องรู้สิ ดังนั้นข้าจะให้สัญญา หากข้าดื้อดึงทำอะไรที่ไม่ดีลงไป ท่านจะว่ากล่าว หรือลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าหากท่านทำผิดบ้าง ท่านก็ต้องยอมฟังข้าบ้างเหมือนกัน”


“อวดดีนัก”


“แล้วสัญญาหรือเปล่า”


“ได้ ข้าสัญญา”








คำสัญญาที่ให้ไว้กับมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมถึงได้ถูกทวงถามจากปากปีศาจหิมะไปได้ ความสงสัยถูกแทนด้วยความโกรธ แค่ความทรงจำของคาสึกิเท่านั้น ที่เขาจะไม่ยอมให้ใครได้แตะต้อง


“อย่าได้เอ่ยคำพวกนั้นออกมา! เจ้าไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงเขา!” มาซาโนริออกแรงบีบคอคาสุมิหนักขึ้นหวังให้มันหักคามือ แต่ร่างหญิงสาวกลับกลายเป็นเพียงก้อนหิมะและแตกออกเป็นผง ร่วงหล่นลงจากมือ รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อแขนเรียวอันยะเยือกเอื้อมมากอดรอบคอเอาไว้จากด้านหลัง


“ไปยมโลกกับข้าเถิด ท่านมาซาโนริ” คาสุมิทาบมือลงบนอกซ้ายของมาซาโนริ พร้อมกับหลับตาลงร่ายอาคมสร้างแท่งน้ำแข็งเป็นปลายหอก ให้มันแทงทะลุทั้งร่างมาซาโนริ และร่างของตัวเองในคราวเดียวกัน


“คาสุมิ!” ใครบางคนร้องเรียกปีศาจหิมะจนสุดเสียง เสี้ยวนาทีที่ละความสนใจ มาซาโนริก็ได้ผลักคาสุมิจนกระเด็นออกห่าง ดวงตาแดงก่ำตวัดมองเจ้าของเสียงนั้น พยายามเดินเข้าไปหาแต่ร่างกายกลับซวนเซจนแทบทรงตัวไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดที่ไหลอาบทั่วร่างชวนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก


“ปล่อยวางได้แล้วมาซาโนริ ก่อนที่ตัวตนของท่านจะถูกกลืนหายไป” โทชิฮิโระกางแขนกันอาคาเนะให้ถอยไปด้านหลัง รู้ว่าอีกฝ่ายร้อนใจอยากเข้าไปดูคาสุมิ แต่มาซาโนริยังคงอันตรายเกินกว่าจะเข้าใกล้ ไอพิษโดยรอบยิ่งกระตุ้นให้ปีศาจครอบงำมาซาโนริได้เร็วขึ้น


“ปล่อยวาง? พวกเจ้ารู้หรือว่าข้าแบกรับอะไรอยู่” มาซาโนริแค่นหัวเราะ ในสายตาคนอื่นมันอาจเป็นเพียงแค่เพราะความตายของคนหนึ่งคน แต่เพราะหนึ่งชีวิตนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่เขาอยากจะปกป้อง ทั้งอย่างนั้น ทั้งที่เป็นถึงเทพมีพลังอยู่มากมาย แต่กลับรักษาเอาไว้ไม่ได้


“ได้ยินเรื่องบุตรชายท่านแม่ทัพหรือเปล่า”


“ที่เสียไปตอนออกไปปราบปีศาจบนเขาใช่ไหม น่าสงสารนะ”


“เขาว่า จริงๆ แล้วเป็นคำสั่งฆ่าจากท่านเจ้าเมืองต่างหาก เพราะนายน้อยท่านนั้นไปยุ่งเกี่ยวกับพวกปีศาจเข้า”


ทั้งที่ยอมเสี่ยงต่อทัณฑ์สวรรค์เพื่อช่วยคาสึกิกลับมา กลับกลายเป็นว่าทำให้อีกฝ่ายต้องถูกกล่าวหา ว่ารอดชีวิตมาได้เพราะร่วมมือกับปีศาจ แต่กว่าจะได้รู้ กว่าจะได้กลับมาหา คาสึกิก็ไม่อยู่อีกแล้ว ถูกพรากไปในที่ที่เทพอย่างเขาไม่วันเอื้อมถึง


“ข้าอาจไม่รู้ถึงสิ่งที่ท่านต้องเจอ แต่ข้ารู้ว่ามีสิ่งใดที่ท่านมองข้าม” สายตาโทชิฮิโระมองผ่านข้ามไหล่มาซาโนริไปยังปีศาจหิมะที่กำลังพยายามจะยืนขึ้น คาสุมิกัดฟันใช้มือกดแผลเอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถห้ามเลือดได้เลยก็ตาม


“ท่านกล่าวโทษต่อสวรรค์ที่ไม่เหลียวแลคนดี ชิงชังตัวเองที่ทำให้คาสึกิต้องตายอย่างน่าเวทนา ขังตัวเองอยู่ความโกรธแค้น จนมองไม่เห็นเลยว่าคนที่ท่านคร่ำครวญหา อยู่ข้างกายท่านตลอดเวลาด้วยซ้ำ”


แววตามาซาโนริวูบไหวจนสั่นระริก เขาหันกลับไปมองคนข้างหลังอย่างช้าๆ บนกองเลือดที่ไหลนองมีของบางสิ่งตกอยู่ ถุงเครื่องรางเก่าๆ เปรอะเปื้อนคราบเลือดสีน้ำตาลคล้ำ แต่เป็นสิ่งที่มาซาโนริจดจำมันได้ไม่มีวันลืม


เครื่องรางจากศาลเจ้าที่เคยเป็นของมาซาโนริ


เครื่องรางที่คาสึกิพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา


“ไม่จริง...” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างแสนเบาและเลื่อนลอย สมองปฏิเสธ แต่หัวใจกำลังกรีดร้องและร่ำไห้ คาสึกิที่เขารู้จัก แม้ไม่ใช่นักรบที่องอาจ แต่ก็เป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญ ตรงข้ามกับปีศาจหิมะที่อยู่ตรงหน้า ซ้ำยังเป็นเป็นผู้หญิง


“ขอโทษที่...โกหกท่าน เทพนำโชคของข้า” ปีศาจหิมะยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอันซีดเซียว เป็นครั้งแรกนับแต่กลายเป็นปีศาจ ที่ร่างกายรู้สึกถึงความเหน็บหนาวจากภายใน ไม่ต่างจากตอนก่อนตายเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์สักนิด


“คาสึกิ!” ชื่อนั้นถูกเรียก ตอนที่โลกของปีศาจหิมะเริ่มเอียงไหว ไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถจะยืนเองได้ โชคดีที่มีคนปราดเข้ามาช่วยคว้าตัวเอาไว้แล้วทรุดลงนั่งไปด้วยกัน


“ทำไม...ทำไมไม่บอกข้า” ไม่ใช่เพียงเสียงของมาซาโนริที่สั่น แต่ทั่วทั้งร่างกำลังสะท้านไหว แรงโอบกอดที่ราวกับกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะหายไปทำให้ปีศาจหิมะอดยิ้มไม่ได้


“เพราะนี่ไม่ใช่ตัวข้า ไม่ใช่คาสึกิที่ท่านรู้จัก คาสึกิคนนั้นตายไปแล้ว ไม่มีหวนกลับมาได้อีก ท่านเข้าใจไหม” ที่คอยอยู่เคียงข้างโดยไม่เอ่ยปาก เพราะรู้ดีว่าชะตาได้ลิขิตไว้แต่แรกให้พวกเขาต้องแยกจาก คนหนึ่งตายส่วนอีกคนยังอยู่ คนหนึ่งคืนชีพ แต่อีกคนรอวันดับสลายไปเพราะปีศาจยึดร่าง ไม่ว่าทางใดล้วนต้องจากกัน ถึงได้ไม่อยากฝันถึงความสุขอีก


“โลกนี้ไม่มีที่สำหรับพวกเรา ข้า...ถึงอยากขอท่าน” มือเย็นเฉียบยกขึ้นแนบลงบนใบหน้าคนที่กำลังหลั่งน้ำตาให้ ทั้งที่เมื่อก่อนแค่จะสัมผัสก็ยังทำไม่ได้


“ไปยมโลกกับข้าได้ไหม ไปจากโลกที่โหดร้ายใบนี้กัน”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

เป็นความโรแมนติกแบบดาร์กๆ ไปอยู่ด้วยกันในยมโลก  :n1:

ขอบคุณที่ติดตามค่า  :pig4:


ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
จากรบเลือดสาดกลายเป็นเศร้าน้ำตากระจาย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 26

กลับบ้าน





ละอองสีขาวโปรยปรายจากฟากฟ้า ช่างเป็นภาพที่สวยงามแต่เยียบเย็น หิมะเหล่านั้นทับถมกันทีละน้อย กลบร่องรอยการต่อสู้ไปเสียสิ้น เหลือไว้เพียงคนที่ยังนั่งหายใจรวยรินอยู่อีกคน


“เหนื่อยแล้วอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงอ่อนหวานกังวานไปในผืนป่า เรียกให้คนที่กำลังนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ไร้ใบต้องเงยมองที่มาของเสียงนั้น สตรีผู้มีใบหน้าแสนงดงามและสวมกิมิโนสีขาวสะอาดกำลังจ้องมองเขาอยู่


“เหนื่อย...เหลือเกิน” ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือ ‘ปีศาจ’ ที่ถูกสั่งให้มาสังหาร แต่คาสึกิกลับทำได้เพียงเหยียดยิ้มให้นางอย่างอ่อนแรง ร่างกายเริ่มไร้ความรู้สึก รับรู้เพียงว่ามีเลือดอุ่นๆ กำลังไหลชโลมแผ่นหลัง มือและเท้าเย็นเฉียบจนไม่สามรถขยับได้


ช่างเป็นจุดจบที่น่าสมเพชนัก เสี่ยงตายท่ามกลางสนามรบมาหลายปี กลับต้องมาตายด้วยมือของสหายร่วมรบ แค่เพียงเพราะความคลางแคลงใจของเจ้าเมือง จากการที่เขาเคยถูกภูตบริวารของมาซาโนริช่วยเอาไว้ในการรบครั้งก่อน


ปีศาจหิมะไม่ถามสิ่งใดอีก เขารู้ว่านางยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งเมื่อสติรับรู้ขาดหายไป ทุกสิ่งรอบกายมีเพียงความเงียบอันมืดดำไร้ที่สิ้นสุด เนิ่นนานจนเวลาผ่านไปเท่าใดไม่รู้ กว่าจะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง


ผ่านดวงตาที่ไม่ใช่ของตนเอง


ร่างกายที่ถือกำเนิดจากหิมะและน้ำแข็ง นำพามาแต่ความเหน็บหนาวไม่จบสิ้น คาสึกิไม่รู้ว่าทำไมปีศาจหิมะถึงหายไป ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเจ้าของร่างนี้ รู้เพียงว่าเขามีคนที่อยากกลับไปหา และนี่อาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ได้ประทานให้


แต่ทุกอย่างสายเกินไป มาซาโนริไม่ใช่เทพองค์เดิมที่เขาเคยรู้จัก ตอนนั้นจึงได้รู้ว่าสวรรค์ไม่เพียงลงโทษมาซาโนริที่ฝ่าฝืนลิขิตช่วยชีวิตคน แต่ยังต้องการลงโทษมนุษย์อย่างเขาที่ทำให้เทพเจ้าต้องแปดเปื้อน ด้วยการสาปส่งมาซาโนริให้โกรธแค้นชิงชังทุกสิ่ง ถูกครอบงำด้วยความเกลียดและความเศร้า บีบให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากเลือกความตายให้กับพวกเขาทั้งสองคน







ร่างของปีศาจหิมะถูกรวบเข้าสู่อ้อมกอด ถูกประคองให้แนบใบหน้าลงกับอกคนที่โอบกอดอยู่ คาสุมิรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อมาซาโนริสูดหายใจลึกก่อนวางคางลงกลางกระหม่อม แล้วเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ข้าจะไปกับเจ้า ไม่ว่าที่ใด” ในเมื่อยมโลกเป็นสถานที่เดียวที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่มาซาโนริจะปฏิเสธ


“พวกเจ้าไปซะ” มาซาโนริเหลือบตามองอีกสองคนที่ยังยืนอยู่ อาคาเนะมีสีหน้าลังเล แต่โทชิฮิโระดูจะเข้าใจ การจะปิดประตูยมโลกต้องพาอาคาเนะออกไปให้ห่างจากที่นี่เป็นอันดับแรก


“มาเถอะ” โทชิฮิโระคว้าต้นแขนอาคาเนะ ออกแรงรั้งเพื่อให้อีกฝ่ายยอมทำตาม


“แต่...”


“ไปเสียจิ้งจอกน้อย รักษาสิ่งสำคัญเอาไว้ให้ดี ใช้ชีวิตแทนในส่วนของพวกเราด้วย” คำพูดนั้นมาจากปีศาจหิมะที่กำลังยิ้มให้จากในวงแขนของมาซาโนริ อาคาเนะเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าแล้วก้าวขาตามโทชิฮิโระไป เพียงสามก้าวเขาก็ถูกมังกรขาวคว้าตัวพาบินขึ้นฟ้าไปอีกครั้ง


พายุหมุนสีดำทะมึนค่อยๆ ไกลออกไปจากสายตา อาคาเนะจึงซุกหน้าเข้ากับนิ้วของเทพมังกร







เมื่อไม่มีสิ่งคอยกระตุ้น พายุหมุนจึงสลายไป หลุมลึกเริ่มถูกเติมเต็มอีกครั้ง พร้อมด้วยเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาเงียบๆ มาซาโนริลุกขึ้นโดยอุ้มปีศาจหิมะไว้ในอ้อมแขน เลือดสีแดงสดหยดลงบนพื้นหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ทิ้งร่องรอยไว้ตามทางสู่ปากทางไปยังยมโลก และคงเป็นเครื่องหมายสุดท้ายที่ยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่


“อย่าปล่อยมือจากข้าเข้าใจไหม” มาซาโนริกำชับบอก ส่วนคนถูกสั่งตอบรับด้วยการยกแขนคล้องรอบคออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น พวกเขาพบและแยกจากกันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นับจากนี้จะไม่มีสักนาทีที่พวกจะยอมแยกจากกันอีก


ร่างของทั้งสองจมหายไปในความว่างเปล่าอันแสนมืดมิด ไม่นานหลังจากนั้นประตูยมโลกได้ปิดลง ดอกไม้สีแดงสดงอกงามและเบ่งบานขึ้นเหนือพื้นดินที่เคยเป็นหลุมลึกอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงรอยคราบเลือดและเศษซากความทรงจำ ที่รอวันถูกกลบฝังไปตามกาลเวลา







ม่านแห่งรัตติกาลกำลังโรยตัวลงมา เปลี่ยนผืนฟ้าให้กลายเป็นสีดำสนิท ช่วยบดบังร่างมังกรขาวให้พ้นจากสายตาคนอื่น โทชิฮิโระร่อนลงต่ำหลังบินสูงเพื่อซ่อนตัวเหนือเมฆมายาวนาน จนสามารถมองเห็นแสงไฟเรืองรองจากเมืองที่อยู่ด้านล่างได้


ตลอดทางอาคาเนะเอาแต่นั่งปิดปากเงียบกริบ และเกาะโทชิฮิโระเอาไว้ราวกับเด็กน้อยต้องการที่พึ่ง สองสามวันที่ผ่านมาคงเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสำหรับอาคาเนะ คงจะดีกว่าหากจะพาอาคาเนะกลับไปยังที่ที่คุ้นชิน


เทพมังกรมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ที่เคยอาศัย วางจิ้งจอกน้อยลงกลางลานกว้างแล้วจำแลงร่างเป็นมนุษย์ตามลงมา ดวงตาคู่โตมีแต่ความหม่นเศร้า ใบหูพับลู่ พวงหางตกลง ดูน่าสงสาร


“ไปล้างเนื้อล้างตัวไป เปื้อนเป็นลูกหมาคลุกฝุ่น” โทชิฮิโระลูบหัวอาคาเนะเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวไหมว่ายังอยู่ในร่างจิ้งจอกเต็มตัวอยู่ การแสดงออกทางร่างกายเลยค่อนข้างเด่นชัดกว่าปกติ


อาคาเนะพยักหน้าและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งให้คนข้างหลังลอบถอยหายใจมองตามไปด้วยความเป็นห่วง อาคาเนะอาจไม่ใช่คนที่เปิดใจให้กับใครง่ายนัก แต่เพราะเปิดใจยาก ถึงได้ให้ความสำคัญกับคนที่ตัวเองเชื่อใจมากกว่าคนอื่น การต้องยืนดูใครสักคนตายไปคงเจ็บปวดมากทีเดียว


คืนนี้เมฆเต็มฟ้าจนยากที่จะมองเห็นดวงจันทร์ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้หิมะอาจตกลงมาอีก ที่นี่ไม่หนาวเท่าคฤหาสน์ของมาซาโนริ แต่ยังต้องการฟูกที่หนากว่าปกติเพื่อให้ความอบอุ่นอยู่ดี


โทชิฮิโระกำลังจัดห้อง เตรียมปูฟูกนอนสำหรับสองคน หูได้ยินเสียงคนเปิดประตู แต่เพราะรู้ว่าเป็นใครเลยยังคงใส่ใจกับสิ่งที่ทำอยู่


ร่างสูงใหญ่ถูกพุ่งชนจากด้านหลัง ทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวเกือบหน้าทิ่ม ดีที่ยังทรงตัวเอาไว้ได้ สัมผัสจากข้างหลังเปียกชื้นจนซึมผ่านเนื้อผ้า บอกให้รู้ว่าคนถูกไล่ไปอาบน้ำยังไม่ยอมเช็ดตัวให้ดี แต่พอจะหันกลับไปดุกลับโดนคว้าเอวเอาไว้เสียแน่น


“เป็นอะไร จะอ้อนข้าหรือ” อาคาเนะไม่ตอบแต่เลือกจะกอดโทชิฮิโระให้แน่นขึ้น


“ขอโทษที่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียว” เพราะไม่ตอบอะไร โทชิฮิโระเลยคิดว่าอาคาเนะอาจยังเคืองเขาอยู่ ถึงจิ้งจอกน้อยจะยอมตามไปช่วย แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่โกรธกัน


“ยกโทษให้ข้าได้ไหม” โทชิฮิโระถามเสียงอ่อน ยกมือขึ้นวางทาบบนมือของอาคาเนะไปด้วย


“ข้า...กลับร่างมนุษย์ไม่ได้” โทชิฮิโระก้มลงมาแขนของคนพูดเสียงเศร้า จะว่าไปเขาก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท อาคาเนะยังคงติดอยู่ในร่างจิ้งจอกที่ตอนนี้กำลังเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ


อาคาเนะกดหน้าแนบกับแผ่นหลังอันเป็นที่พึ่งพิง มาซาโนริได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกเต็มตัว กลายเป็นสัตว์หน้าขนที่เพียงแค่พูดและเดินสองขาได้อย่างมนุษย์เท่านั้น


คนถูกกอดถอนหายใจ ก่อนดึงแขนของอาคาเนะออกพร้อมหมุนตัวกลับหลัง จิ้งจอกน้อยสะดุ้งจนหางตั้ง พยายามสะบัดมือออกแต่กลับสู้แรงโทชิฮิโระไม่ได้ ทำได้เพียงเบือนหน้าหลบ แม้จะรู้ว่าไม่มีทางซ่อนรูปลักษณ์ตัวเองได้


“ใครกันที่บอกว่าน่าเกลียด น่ารักออกนะ” คนถูกชมหันมาถลึงตาใส่ สมองโทชิฮิโระคงต้องมีอะไรผิดเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มองปีศาจอย่างเขาว่าน่ารัก แต่คนชมไม่ชมปากเปล่า ยังไล้มือไปตามลำคอที่มีขนสีขาวตัดกับขนสีแดงบนส่วนอื่นของร่างกาย ละเรื่อยไปจนถึงใบหูใหญ่จนเจ้าของถึงกับย่นคอหนี แล้วก้มลงเคาะหน้าผากตัวเองกับอาคาเนะ


“เจ้าคือจิ้งจอกน้อยของข้า น่ารักเสมอไม่ว่าอยู่ไหนร่างไหน แบบนี้ก็นุ่มมือดี กอดอุ่นด้วย” มือใหญ่คว้าเอวจิ้งจอกเข้ามากอด ไม่ใส่ใจว่าตัวเองจะเปียกปอนไปด้วย อาคาเนะพยายามดิ้นหนี ผลักหน้าคนที่ชอบเป่าลมเข้าหูกันอยู่เรื่อย พลางนึกบ่นตัวเองในใจ
ไม่รู้ทำไมความทุกข์ใจของเขาถึงถูกโทชิฮิโระปัดกระเด็นหายไปได้อย่างง่ายดายทุกครา


“อย่าทำเป็นเล่น ข้าใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้” มีใบหน้าเป็นจิ้งจอก ออกไปไหนคงมีแต่คนขวัญกระเจิง ยกเว้นเสียแต่จะไปหลบซ่อนอยู่ในป่า ไม่ต้องเจอหน้าใครเลยตลอดชีวิต


พอคนถูกแกล้งเริ่มเสียงแข็ง โทชิฮิโระถึงได้ยอมเลิกรา ปล่อยให้อาคาเนะได้เป็นอิสระ แม้ว่าจะถูกมองค้อนใส่ก็ไม่นำพา อย่างน้อยเขาก็ทำให้อาคาเนะหายหดหู่ได้


“ไม่เห็นต้องกลัวไป เจ้าในตอนนี้มีพลังปีศาจมากกว่าแต่ก่อน แค่แปลงร่างทำไมจะทำไม่ได้”


“ท่านไม่รู้หรอกว่ากว่าข้าจะเก็บซ่อนหูและหางได้ต้องใช้เวลาขนาดไหน แล้วนี่ทั้งตัว..”


“นานเท่าไรข้าก็จะอยู่กับเจ้า แค่นั้นไม่พอหรือ” คำพูดที่เหลือของอาคาเนะถูกกลืนหายกลับลงคอ รู้สึกร้อนวูบบนใบหน้า เป็นครั้งแรกที่อาคาเนะนึกดีใจที่มีขนช่วยปิดบังใบหน้าแดงๆ ของตนอยู่ ไม่คิดว่าโทชิฮิโระจะบอกออกมาแบบนี้ ยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่กังวลใจ เป็นเพราะกลัวจะถูกมองด้วยสายตารังเกียจ นี่ไม่รู้ว่าถูกโทชิฮิโระจับได้ หรืออีกฝ่ายแค่มั่นใจเกินไปกันแน่


“ไหนมาลองดู เอาแค่วิธีเดิมที่เคยใช้ก่อน” โทชิฮิโระดึงแขนอาคาเนะให้เดินเข้ามาหา ใช้ฝ่ามือช่วยปิดตาเพื่อให้อาคาเนะได้ตั้งสมาธิ อาคมพรางกายถูกร่ายจนจบ แต่อาคาเนะยังไม่กล้าเปิดตา ภายในใจหวาดกลัวว่าจะลืมตามาพบกับความผิดหวัง จนเมื่อมีบางสิ่งกดแนบลงกับริมฝีปาก อาคาเนะถึงได้สะดุ้งจนต้องลืมตาขึ้น


ดวงตาคู่คมจ้องมองตรงมาแฝงความเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากถูกขบเบาๆ จนเผลอถอยเท้าหนี แต่มือของโทชิฮิโระยังตามมาเกี่ยวรั้งเอวเอาไว้ พออ้าปากจะโวยวาย จอมเจ้าเล่ห์ก็สอดลิ้นเข้ามากวาดต้อน ลมหายใจถูกฉกฉวยจนแทบขาดอากาศ กว่าโทชิฮิโระจะยอมถอนจูบออกไปได้


“โทชิ!” อาคาเนะสบถ ทั้งอายทั้งโมโห จนต้องระบายด้วยการชกอกคนที่กำลังแอบหัวเราะเข้าให้อีกที ตอนนั้นเองถึงได้เห็นว่ามือเขาไม่มีขนปกคลุมอยู่อีกแล้ว แต่ที่หางตายังคงเห็นปลายหางแกว่งไกวอยู่ พอยกมือขึ้นจับเหนือหัว หูแหลมๆ ก็ยังคงอยู่เช่นกัน


“ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็จูบเจ้าได้แล้วเห็นไหม” ยิ่งเห็นโทชิฮิโระยิ้มกว้าง ใบหน้าอาคาเนะยิ่งบูดบึ้ง นึกอยากบีบคอคนอารมณ์ดีตรงหน้าขึ้นมาสุดใจ


“คนชอบเอาเปรียบ” อาคาเนะเอ่ยเสียงขุ่น คนกำลังกังวลใจอยู่แท้ๆ ยังมาคอยแทะเล็มกันอยู่ได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกคิดมากไป หรือโทชิฮิโระคิดน้อยเกินไปกันแน่


“จะจูบคืนก็ได้ข้าไม่ว่า” คนสูงกว่าโน้มตัวลงมาหา แกล้งทำเป็นยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อาคาเนะเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจยกมือขึ้นจับใบหน้าโทชิฮิโระไว้ แล้วหลับหูหลับตายืดตัวขึ้นจูบกลับตามคำท้าทาย


“ไม่ใช่แค่ท่านที่จูบเป็นคนเดียวเสียหน่อย” ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำแต่อาคาเนะยังทำเป็นดุใส่ จนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ พร้อมกับคว้าตัวอาคาเนะมากอดไว้


“ได้ๆ ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว แต่อย่าทำบ่อย จะถูกกินเอารู้ไหม” โทชิฮิโระงับใบหูอาคาเนะด้วยความมันเขี้ยว ทุกทีเห็นแกล้งนิดแกล้งหน่อยเป็นหน้าแดง ไม่นึกว่าจะกล้าต่อกรกับเขา


อาคาเนะก้มหน้ากลอกตาหลุกหลิก ในขณะที่มือขยุ้มกิโมโนของโทชิฮิโระจนมันยับย่น ก่อนจะเอ่ยประโยคแผ่วเบาประโยคหนึ่งออกมา


“ข้าไม่เคย...ห้าม...เสียหน่อย”


•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

และแล้วนิยายเรื่องนี้ก็มาถึงจุดที่ 'อ่อยมาอ่อยกลับไม่โกง'  :hao6: :hao6:




จากรบเลือดสาดกลายเป็นเศร้าน้ำตากระจาย

เราชอบเปลี่ยนอารมณ์คนอ่านค่ะ คาดว่าตอนนี้ก็น่าจะเปลี่ยนอีกหนึ่งรอบ  :z2:



:pig4: :pig4:


 :mew1: :mew1:



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ใกล้จะจบแล้วค่ะ อยู่ด้วยกันก่อนน้าาา


ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
เย้ตามอ่านทันแล้ว  :pig4: กินสิกินเบย5555555 สนุกมากน่ารักมากๆๆๆค่ะ รอนะค้าาา  :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 27

จิ้งจอกจอมยั่ว





การมีความรักนั้นดีอย่างไร ทำไมใครต่อใครถึงคร่ำครวญหา ทั้งบิดาที่ไม่เคยลืมมารดาตราบจนสิ้นลมหายใจ หรือเหล่าพี่น้องร่วมร้านที่ยินดีรอคอยแขกสักคนไม่จบสิ้น


ในสายตาอาคาเนะ ทุกคนล้วนเจ็บปวดเพราะความรัก มากกว่าที่จะได้รับความสุข การปล่อยตัวเองให้ตกลงสู่ภวังค์แห่งรักจึงนับเป็นเรื่องสิ้นคิดที่สุด ทั้งที่คิดเอาไว้อย่างนั้น แต่วันนี้เขากลับเป็นฝ่ายเดินเข้าหากับดักนั้นเองจนได้


แล้วยังหาเรื่องใส่ตัวด้วยการยอมมอบร่างกายให้กับชายคนนั้นอีก


“โอ๊ย! อย่า...โอ๊ย!! นี่!!” จิ้งจอกน้อยตวาดลั่นพร้อมกับปัดมือที่กำลังดึงแก้มของตนออก เล่นทั้งหยิกทั้งดึงจนปวดหนึบทั้งสองแก้ม ส่วนคนทำกำลังหรี่ตามองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กเวลาทำผิด


“โกรธอะไรเล่า มังกรบ้า!” คนอุตส่าห์กลั้นใจข่มความประหม่า ทำไมถึงกลายเป็นว่าถูกโกรธไปได้


“ที่พูดออกมานั่น เข้าใจความหมายบ้างหรือเปล่า” ร่างสูงใหญ่ก้าวเดินด้วยท่าทีคุกคามเข้ามาหา แน่นอนว่าอาคาเนะเองก็ก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณด้วยเหมือนกัน ถอยไปเรื่อยๆ จนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง จนไม่มีทางให้หนีอีก


“ขะ...เข้าใจสิ” ถึงปากจะกล้าตอบ แต่พอถูกจ้องด้วยแววตาดุดัน ถูกใบหน้านั้นโฉบเข้ามาใกล้ อาคาเนะก็เผลอหลับตาลงโดยไม่ตั้งใจ แว่วเสียงถอนหายใจจากคนที่ใช้สองแขนกักตัวอาคาเนะเอาไว้อยู่


“เจ้าที่ตบข้าแค่เพราะโดนจูบที่หน้าผาก กล้าพูดจาเชิญชวนข้าหรือ” นับเป็นความทรงจำของจูบแรกที่ไม่น่าประทับใจ จนคนฟังถึงกับไม่กล้าสู้หน้า


“ถ้ายังไม่ได้เตรียมใจ ก็อย่าพูดออกมาง่ายๆ มันไม่ใช่อะไรที่เริ่มไปแล้วจะหยุดได้ เข้าใจไหม” โทชิฮิโระดุเสียงเข้ม เขาเองอาจเป็นฝ่ายคอยแหย่อาคาเนะอยู่ตลอด แต่เขารู้ขอบเขตของตัวเองดี คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายยังเด็กนัก ทั้งซื่อตรง ทั้งอ่อนไหวง่าย สำหรับเขา อาคาเนะมีค่าเกินกว่าจะทำเรื่องที่เรียกคืนไม่ได้ลงไปโดยไม่คิด


โทชิฮิโระลดมือลงเมื่อเห็นว่าอาคาเนะยืนนิ่งไม่เถียงอะไรอีก เอื้อมมือไปโยกหัวจิ้งจอกน้อยที่ยังคงเอาแต่ก้มหน้า จนเมื่อร่างสูงหมุนตัวกลับหลัง อาคาเนะถึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


“ที่ท่านไม่ยอมมีอะไรกับข้า เพราะคิดว่าสักวันอาจต้องแยกจากกันไม่ใช่หรือ” ขาที่กำลังก้าวชะงักค้างก่อนวางลงที่เก่า ดวงตาสีครามเหลียวกลับมามองเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง


“เพราะรู้ว่าตัวเองเข้าหาข้าโดยไม่บริสุทธิ์ใจ ท่านถึงได้เว้นระยะห่างจากข้าไว้หนึ่งก้าวเสมอ พอถึงวันที่ท่านจะจากไป จะได้จากข้าไปง่ายๆ ใช่ไหม”


ไม่ใช่ว่าไม่เคยถามตัวเอง ว่าทำไมคนที่ยอมเสียเงินซื้อตัวเขาคืนแล้วคืนเล่าถึงได้ไม่เคยทำอะไรอย่างที่แขกทั่วไปอยากจะทำ พอได้รู้เรื่องสัญญาระหว่างโทชิฮิโระและมาซาโนริถึงได้รู้คำตอบ ว่าแท้จริงแล้วโทชิฮิโระพร้อมจะทิ้งเขาไปตลอดเวลามาตั้งแต่ต้น


“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” ถึงจะคิดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้ฟังกับหูแล้วมันยังคงปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ฝ่าฟันจนผ่านด่านความตายมาได้ หลงนึกว่าพวกเขาจะเข้าใจกันได้แล้วเสียอีก


“แต่นั่นมันก็แค่ก่อนที่เจ้าจะบอกรักข้า” สิ้นคำพูดนั้น อาคาเนะก็ถูกฉุดให้เดินตามหลัง ถูกดันให้นอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้โดยมีโทชิฮิโระโน้มตัวลงมาคร่อมเอาไว้ ริมฝีปากถูกครอบครอง ระหว่างที่สายคาดเอวถูกแก้ออก ฝ่ามือร้อนสอดเข้าไปตามรอยผ้าที่แหวกออก เพื่อทาบลงเหนือตำแหน่งหัวใจของอาคาเนะที่กำลังเต้นแรงจนรู้สึกได้ผ่านมือนี้


“เพราะเจ้าสำคัญถึงไม่อยากสร้างรอยแผลที่ลึกจนไม่สามารถเยียวยาได้” เพื่อให้อาคาเนะยังสามารถยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเองเมื่อเขาจากไป ถึงได้ไม่คิดจะสานสัมพันธ์ทางกายให้ลึกซึ้งเกินจะถอยกลับได้


“แล้วตอนนี้ท่านยังคิดจะจากข้าไปอีกหรือ” ดวงตาสีเพลิงช้อนมองและจับมือที่แนบอกไว้เพื่อรอฟังคำตอบ หากเมื่อก่อนคือความใจดีที่โทชิฮิโระพยายามมอบให้ แล้วตอนนี้จะอ้างถึงสิ่งใดสำหรับการไม่แตะต้องเขาอีก


“เจ้ากำลังหาเรื่องใส่ตัวอยู่รู้ไหม”


 “มีท่านอยู่ด้วย ข้ายังต้องกลัวอะไรด้วยหรือ” ใบหน้าอาคาเนะเชิดขึ้น เมื่อเอ่ยคำย้อนถาม เรียกรอยยิ้มจากโทชิฮิโระได้


“ไม่อีกแล้ว ทั้งจากนี้ และตลอดไป” โทชิฮิโระโน้มตัวลงมอบจูบให้กับคนที่รออยู่ เคยได้ยินอยู่หรอกว่าปีศาจจิ้งจอกขึ้นชื่อเรื่องสเน่ห์เย้ายวน แต่ไม่คิดว่าจะมาตกหลุมเอากับเด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์ความรักอย่างนี้


หรืออาจต้องบอกว่าเขาแพ้ทางความตรงไปตรงมาของอาคาเนะ


สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบคออีกฝ่ายไว้ แอ่นกายขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามร่างกาย ทิ้งความร้อนผ่าวไว้ทุกที่ที่ถูกสัมผัส จุดความต้องการจากส่วนลึกให้คุกรุ่น จนไม่อยากให้ไออุ่นจากร่างกายที่ทาบทับอยู่จางหายไปแม้สักเสี้ยวนาที


รสรักอันวาบหวามกระตุ้นสัญชาตญาณของจิ้งจอก ดวงตาอาคาเนะปรือฉ่ำหวานยามโทชิฮิโระเลื่อนตัวลงจูบไล่จากแผ่นอก ละเรื่อยจนถึงหน้าท้อง แล้วครอบครองส่วนที่อ่อนไหว ทั้งร่างสะท้านเฮือกจนเผลอกลั้นหายใจ พอถูกคว้าหางเอาไว้ก็สะดุ้งจนร้องครางออกมา


ผิวกายของอาคาเนะแดงระเรื่อ ลมหายใจหอบกระชั้น หัวใจเต้นแรง ทั้งตื่นเต้นและประหม่า รับรู้ได้ถึงมืออุ่นที่ช่วยเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้า รวมถึงเสียงทุ้มที่กระซิบบอกอยู่ข้างหู เมื่อโทชิฮิโระเคลื่อนตัวกลับขึ้นมา


“ถ้าจะหยุดก็บอกเสียตอนนี้ เพราะหลังจากนี้ถึงจะห้าม ข้าก็ไม่ฟังแล้วเข้าใจไหม” คำตอบของอาคาเนะคือการยืดตัวขึ้นจูบเบาๆ บนปลายคางคนถาม ยิ่งเร่งเร้าให้โทชิฮิโระอยากครอบครองจิ้งจอกจอมยั่วมากยิ่งขึ้น


“ถ้าเจ็บก็กอดให้แน่นๆ” คำเตือนเหมือนสายลมที่ผ่านหู ประสาทรับรู้ทั้งหมดของอาคาเนะถูกหันเหไปยังบางสิ่งที่กำลังถูกสอดใส่เข้ามาในร่างกาย ทั้งอึดอัดและเจ็บแสบ แต่กลับเติมเต็มความอบอุ่นที่หัวใจปรารถนา


กรงเล็บแหลมจิกลงบนต้นแขนของโทชิฮิโระเพื่อระบายความเจ็บ อาคาเนะเคยถูกสอนมาแล้วว่าการร่วมรักระหว่างผู้ชายจะเป็นอย่างไร ต้องทำแบบไหนเพื่อจะเอาใจแขก แต่นาทีนี้ความรู้ทุกอย่างปลิวหายหมด มีเพียงความต้องการที่กำลังเอ่อล้นจนลืมกระทั่งความอายได้


“โทชิ...” เสียงหวานเอ่ยเรียก แต่แล้วก็เงียบลงเมื่อโทชิฮิโระเริ่มขยับ มีเพียงเสียงครางผะแผ่วที่เล็ดรอดออกมาทั้งที่เจ้าตัวพยายามกลั้น


“มีอะไรจิ้งจอกน้อย” โทชิฮิโระถามเสียงนุ่ม ที่ทำอยู่ไม่ได้อยากแกล้ง แต่อยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าอาคาเนะดูเหมือนจะกลั้นหายใจแทบทุกครั้งที่เขาสอดใส่เข้าไปจนสุด


“ข้าเป็น...ของท่าน” ประโยคสั้นๆ กลับทำให้หัวใจคนฟังถึงกับเต้นผิดจังหวะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โทชิฮิโระคิดว่าตัวเองต้องกำลังหน้าแดงอยู่แน่


ได้ยินอาคาเนะเรียกหา ซ้ำยังออดอ้อนใส่ เห็นแล้วอดคิดถึงวันแรกที่เจอกันไม่ได้ เด็กหนุ่มแสนหยิ่งที่เมินใส่เขาหน้าตาเฉย แม้แต่ชื่อก็ไม่ยอมจำ ทั้งดื้อ ทั้งดุ ทั้งยังขี้ระแวงไม่ต่างจากจิ้งจอกป่า ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่อาคาเนะยอมออกปากเป็นของเขาด้วยตัวเองอย่างนี้


แล้วจะไม่ให้รัก ให้หลงได้อย่างไร


อาคาเนะร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ เขาก็ถูกยกตัวให้ขึ้นมานั่งซ้อนบนตักของโทชิฮิโระโดยที่ร่างกายยังเชื่อมต่อกันอยู่ สติที่กำลังล่องลอยกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งจนผวาคว้าคออีกฝ่ายไว้เพื่อทรงตัว


“อะ...อะไร ทำไม” หูและหางของอาคาเนะตั้งขึ้นด้วยความตื่นตกใจ เห็นโทชิฮิโระยิ้มกว้างแล้วรู้สึกสองแก้มร้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


“กลัวข้าหลงเจ้าไม่พอหรือ ถึงได้พูดอะไรน่ารักอย่างนั้น” คนถูกถามหน้าแดงซ่าน ทั้งเขิน ทั้งอายเกินกว่าจะตอบอะไรได้ โทชิฮิโระหัวเราะออกมาเบาๆ ใช้สองมือโอบเอวบางพลางแนบหน้าลงกับอกอาคาเนะเอาไว้


“ข้าก็เป็นของเจ้าผู้เดียว จิ้งจอกที่รักของข้า” คำกล่าวนั้นหนักแน่นดุจดังคำปฏิญาณ ชีวิตที่เหลือนับจากนี้ เขาจะใช้มันโดยมีอาคาเนะอยู่เคียงข้าง


ต่อจากนั้นไม่มีคำใดที่พวกเขาเอื้อนเอ่ยต่อกันอีก มีเพียงภาษากายที่ถ่ายทอดให้กันถึงความรักอันลึกซึ้ง ปล่อยร่างกายให้เคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ และความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจ จนกระทั่งหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

 :z3: :z3: ไม่ถนัดบทรักอย่างรุนแรง  :ling2: เท่านี้ก็หมดพลังงานแล้วค่ะ ขออภัยจริงๆ เอาแค่ที่ผ่านมาได้มั้ย  :sad4:



เย้ตามอ่านทันแล้ว  :pig4: กินสิกินเบย5555555 สนุกมากน่ารักมากๆๆๆค่ะ รอนะค้าาา  :hao6:


ถึงจะกินก็ยังต้องโดนดุก่อนค่ะ พระเอกเราเป็นได้ทั้งสามีและพ่อในคนเดียว  :laugh:




ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 28

ความอบอุ่น





อากาศในฤดูหนาว ต่อให้หิมะไม่ตกมันก็ยังเย็นจนชวนให้ขดตัวอยู่บนฟูกอุ่นๆ แม้ว่าดวงตะวันจะแผดแสงแรงกล้าสักเท่าใด ขอเพียงอยู่ใต้ร่มเงา อาคาเนะก็มั่นใจว่าสามารถนอนได้ทั้งวันแน่


เมื่อเช้าจำได้ว่าตัวเองสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาตอนที่โทชิฮิโระลุกขึ้น อยากจะถามเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะไปไหน แต่ความง่วงงุน และรอยจูบแผ่วเบาข้างขมับ เอาชนะทุกสิ่ง อาคาเนะเลือกตัดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองทิ้ง ก่อนตัดสินใจหลับตาลง แล้วปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง จนกระทั่งโทชิฮิโระกลับมา


เสียงเปิดประตูปลุกอาคาเนะให้รู้สึกตัว แต่ยังคงขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตาขึ้น ต้องโทษโทชิฮิโระที่สูบเรี่ยวแรงเขาไปจนหมด ทำเอาล้าจนไม่อยากขยับตัว


“ตื่นได้แล้วขี้เซา” ใบหูข้างหนึ่งของอาคาเนะตั้งขึ้น แต่แล้วก็พับลงแสดงออกถึงความไม่สนใจ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่พยายามปลุก


“ไม่ตื่นจริงหรือ” เมื่อคำตอบยังคงเป็นความเงียบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าโทชิฮิโระ เขานั่งลงข้างกายคนที่นอนอยู่ ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าไป อาคาเนะตกใจจนตัวแข็งตอนที่ถูกโทชิฮิโระคว้าตัวเข้ามากอด


“ใครให้เข้ามา” ดวงตาสีเพลิงเหลือบมองคนมี่กำลังกอดเขาจากด้านหลังพลางเอ่ยถามเสียงขุ่น ผิวกายโทชิฮิโระเย็นเฉียบจากการออกไปเดินตากลมด้านนอก ทำเอาความอบอุ่นที่เก็บสะสมมาลดลงอย่างรวดเร็ว


“ข้าต้องขออนุญาตจากคนที่นอนอุ่นอยู่คนเดียวด้วยหรือ ใจร้ายจริงนะเจ้า”


“ใครใช้ให้ออกไปไหนแต่เช้าเล่า เดี๋ยว! ทำอะไรเนี่ย!” อาคาเนะโวยลั่น เพราะโทชิฮิโระไม่เพียงแค่กอดอย่างทุกครั้ง แต่ยังสอดมืออันซุกซนเข้ามาในกิโมโนของเขาด้วย


“กำลังหาความอบอุ่นอยู่ อากาศข้างนอกมันเย็นรู้ไหม” เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูเจือไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดจะปกปิด ประกอบกับมือเย็นๆ ที่จับไปทั่วบอกให้รู้ว่านิสัยขี้แกล้งของโทชิฮิโระได้กลับมาแล้ว


“อย่า...มันเย็น...” อาคาเนะพยายามบิดตัวหนี แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งดิ้นยิ่งกลายเป็นถูกสัมผัสมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายจากอบอุ่นเริ่มกลายเป็นร้อนขึ้นอย่างช้าๆ


“โทชิ...”


“เดี๋ยวก็อุ่นแล้ว” เจ้าของอ้อมกอดกระซิบบอก พร้อมจูบลงตรงท้ายทอยของอาคาเนะ


อุ่นเกินไปแล้วต่างหาก ไอ้มังกรลามก!


น่าเศร้าที่อาคาเนะทำได้เพียงร้องประท้วงอยู่ในใจ เพราะดูเหมือนเขาจะพ่ายแพ้ให้กับชายคนนี้อย่างหมดรูป นับตั้งแต่วันที่พบกันในป่าเสียแล้ว


“ถ้าพวกท่านอยาก...ทำธุระกัน ให้ข้ามาใหม่วันหลังไหม” ใครคนหนึ่งเอ่ยถามจากหน้าประตูห้อง ทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มถึงกับสะดุ้งเฮือกรีบตะเกียกตะกายถอยห่างจากโทชิฮิโระ และหันมองเงาบนบานประตูด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง


“ท่าน!” อาคาเนะอยากด่าแต่ด่าไม่ออก ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองดูโทชิฮิโระที่กำลังพยายามกลั้นขำจนไหล่สั่นอยู่อีกฟากห้อง


“เข้ามา” เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยปากบอก ประตูห้องจึงถูกเปิดออก โดยมีหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามา นางก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพต่อโทชิฮิโระ แต่พอจะหันมาทักอาคาเนะอีกคนกลับถูกเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามากอดไว้เสียก่อน


“อาคาเนะ?” เพราะไม่คิดว่าจะถูกกอด สึซึรันเลยได้แต่ยืนนิ่ง ถ้าเป็นคนอื่นคงกางกรงเล็บใส่ แต่เพราะเป็นเด็กหนุ่มที่เคยออกตัวปกป้องนางมาก่อน สึซึรันถึงยอมถูกกอดเอาไว้เช่นนี้


“ขอโทษ” คำขอโทษแสนสั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่สื่อออกมาผ่านอ้อมกอด ความรู้สึกผิด ความห่วงใย ถูกส่งผ่านมาถึงสึซึรันอย่างชัดเจน


“เข้าใจแล้ว แต่ปล่อยก่อนได้ไหม รู้สึกเหมือนมีสายตาใครบางคนค่อยทิ่มแทงแล้วมันอึดอัดนะ” อาคาเนะยอมผละออก ก่อนเหลียวมองไปยังโทชิฮิโระที่ทำเป็นเสมองไปทางอื่นตอนสบตากันเข้า


“ข้าน่าจะอยู่ดูเจ้า” ทั้งที่เห็นสึซึรันถูกทำร้ายจนทรุดลงไปต่อหน้า แต่เขากลับเลือกโทชิฮิโระมากกว่า ราวกับไม่เห็นชีวิตนางมีค่า พอได้เห็นว่าสึซึรันปลอดภัย อาคาเนะถึงได้ดีใจมาก


“ไม่เป็นไร เป็นข้า ข้าก็จะไป เพราะมีคนที่สำคัญมากกำลังรออยู่” สึซึรันไม่ได้ถือโทษโกรธอาคาเนะเลยที่ตามคาสุมิไปในระหว่างที่นางบาดเจ็บ มีแต่เสียใจมากกว่าที่ไม่สามารถเป็นกำลังให้กับโทชิฮิโระมากกว่านี้ได้


“อีกอย่างถึงเจ้าไม่อยู่ ก็มีคนดูแลข้าอยู่แล้ว ดูแลดีมากเสียด้วย”


“ใครหรือ” 


“พวกคนที่ร้านสิจะมีใคร วันนี้พวกเขาก็มากับข้านะ” สึซึรันยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงฝีเท้าและกลิ่นอันคุ้นเคยก็ทำให้ใบหูของจิ้งจอกตั้งตรงขึ้น อาคาเนะหันซ้ายขวามองหาทางหนี ทำท่าจะกระโจนออกนอกหน้าต่าง แต่ถูกโทชิฮิโระใช้เสียงเข้มๆ ปรามเอาไว้


“อย่าหันหลังให้คนที่รักเจ้า เปิดใจได้แล้วอาคาเนะ” นานมาแล้วที่อาคาเนะรู้จักเพียงการหลบซ่อน และปิดบังสายเลือดในตัวเองครึ่งหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่จะทำใจบอกใครๆ ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ แต่มีบางคนที่สมควรได้รับการยกเว้น


อาคาเนะยืนหันหลังให้ประตู ประสาทหูบอกเขาว่าคนที่โทชิฮิโระพูดถึงได้ก้าวเข้ามาในห้อง และคงได้เห็นร่างแท้จริงของเขาแล้ว ร่างที่หลอมรวมกันระหว่างสัตว์และมนุษย์


“อาคาเนะ” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า ไม่มีวี่แววของความตกใจ หรือหวาดกลัวปะปนอยู่แม้แต่น้อย อาคาเนะจึงค่อยๆ หันกลับมาตามคำเรียก


“ไม่ต้องห่วง ข้าเล่าเรื่องเจ้าให้พวกเขาฟังหมดแล้ว” สึซึรันขยิบตาให้แล้วถอยออกไปยืนอยู่กับโทชิฮิโระ คนที่ช่วยรักษาบาดแผลให้นางก็คือคนที่นางเคยจับตัวเพื่อบังคับอาคาเนะในคราวก่อน เจ้าของร้านทั้งสองพยายามช่วยนางแม้ว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เพื่อตอบแทนพวกเขาสึซึรันจึงอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงสาเหตุที่ทำให้อาคาเนะต้องพัวพันกับเรื่องอันตรายด้วย


ซาโตรุมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าจากหัวจรดเท้า ทำเอาคนถูกมองต้องกลั้นใจเพราะทำอะไรไม่ถูก ส่วนโคคิเอาแต่จ้องไปยังใบหูของอาคาเนะที่ค่อยๆ ลู่ลงเรื่อยๆ


“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” คำถามแรกจากซาโตรุสร้างความประหลาดใจให้อาคาเนะอยู่ไม่น้อย จนเอ่ยตอบออกมาได้ค่อนข้างตะกุกตะกัก


“มะ...ไม่ขอรับ” ซาโตรุถอนหายใจออกมาเบาๆ ส่วนโคคิก้าวยาวๆ เข้าไปหาอาคาเนะ สัญชาตญาณสั่งให้อาคาเนะชักเท้าหนี แต่ทำได้เพียงครึ่งก้าวก็เปลี่ยนใจ เขาปิดบังพี่ชายทั้งสองมาหลายปี หากโคคิจะโกรธก็ไม่แปลก ถ้าจะถูกตีบ้างก็ควรก้มหน้ายอมรับ


“...!” มือที่คิดว่าจะชกมาสักหมัดกลับคว้าหมับเข้าที่หาง ทำเอาอาคาเนะสะดุ้งจนพองขน ส่วนคนจับยังคงบีบแน่นเข้าไปอีก พร้อมมองดูด้วยสายตาใคร่รู้


“โคคิ! ทำบ้าอะไร!” ซาโตรุตวาดพร้อมกระชากแขนโคคิกลับ


“แค่อยากรู้ว่าของจริงไหม” เจ้าของร้านตอบกลับหน้าซื่อ จนสหายสนิทถึงกับกุมขมับ ไม่รู้ว่าระหว่างโคคิกับอาคาเนะ ใครเป็นเด็กใครเป็นผู้ใหญ่กันแน่


“แบบนี้เรียกแขกได้เยอะนะ” โคคิทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือตัวเองราวกับเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก แน่นอนว่ามันทำให้ผู้ชายโตแต่ตัวคนนี้ถูกตวาดซ้ำอีกรอบ


“ไปเอาหัวโขกเสาจนกว่าจะลืมความคิดบ้าๆ เสีย! ทำไมข้าถึงมีเพื่อนอย่างเจ้านะ”


“ก็บ้านใกล้กัน”


“นั่นไม่ใช่คำถาม!” ซาโตรุกำมือแน่นด้วยความโกรธ แต่ทุกอย่างยุติลงเมื่อมีเสียงใครบางคนหัวเราะขึ้นมา จนดวงตาทุกคู่ต่างพร้อมใจกันหันไปหาต้นเสียง


“ขอโทษ มัน...กลั้นไม่ไหว” อาคาเนะหัวเราะจนน้ำตาไหล พอความเครียดที่ขมวดเกลียวอยู่ภายในคลายออกก็ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้


“พวกเราไม่ได้เกลียด หรือกลัวเจ้าเลยนะอาคาเนะ” ซาโตรุเอ่ยเสียงนุ่ม หากเป็นมนุษย์ทั่วไปคงจะกลัวจนตัวสั่นเมื่อได้เห็นปีศาจ แต่สำหรับเขาและโคคิ พอได้ฟังเรื่องราวจากสึซึรัน ได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วอาคาเนะเป็นอะไร กลับกลายเป็นเหมือนการไขปริศนาให้กระจ่าง ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างพวกเขากับอาคาเนะ บอกให้รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้เพียรสร้างกำแพงรอบตัวนัก


“แล้วตัวเจ้า ยังกลัวพวกเราอยู่หรือเปล่า” เพราะกลัวการถูกมองด้วยสายตาหวาดกลัวจากผู้อื่น อาคาเนะถึงได้พยายามเก็บซ่อน ไม่ให้ใครเข้าใกล้ เพราะกลัวจะถูกล่วงรู้ถึงตัวตนที่ปิดบังไว้


“ข้าเป็นปีศาจนะขอรับ”


“เห็นแล้ว จับแล้วด้วย” โคคิโพล่งออกมาก่อน แต่จำต้องหุบปากเพราะถูกซาโตรุมองตาขวางใส่ จะเถียงก็ขี้เกียจเลยเดินหลบไปยืนอีกด้านของโทชิฮิโระ


“ถึงเจ้าจะไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร แต่ข้าเชื่อว่านอกเหนือจากนั้น เราอยู่ร่วมกันด้วยความจริงใจ ไม่ใช่หรือ” ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันล้วนไม่ใช่เรื่องโกหก ทั้งยามสุขหรือยามเศร้า ไม่ว่าหัวเราะหรือร้องไห้ แล้วหากอาคาเนะจะเปลี่ยนไปเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก มันจะสำคัญตรงไหน


“ขอบคุณมากขอรับ ขอบคุณที่ยอมรับข้า” อาคาเนะเดินเข้าไปหาซาโตรุ เอียงคอให้เมื่อเห็นพี่ชายยกมือขึ้นหมายจะลูบหัว มือนี้มอบความอบอุ่นที่ต่างจากโทชิฮิโระ แต่อาคาเนะก็ชื่นชอบสัมผัสนี้อยู่ไม่น้อย


“คราวหลังถ้าทิ้งอาคาเนะไว้คนเดียวอีก อย่าหวังว่าข้าจะคืนให้ง่ายๆ” ถึงสายตาจะมองไปทางอื่นแต่โทชิฮิโระรู้ดีว่าโคคิกำลังพูดกับเขา ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยถูกมนุษย์ขู่เอาเป็นครั้งแรก ตอนไปที่ร้านเมื่อเช้าก็ถูกโคคิจ้องเอาราวกับจะฆ่าเสียให้ได้ ดูท่าเขาจะเจอกับพ่อหมีหวงลูกเข้าเสียแล้ว


“ไม่ต้องห่วง จะไม่ปล่อยให้ห่างมืออีกแล้ว”


“มังกรนี่รักษาสัญญาใช่ไหม”


“ด้วยชีวิต” โทชิฮิโระกดหน้าลงเพียงนิด แทนการให้เกียรติโคคิในฐานะผู้ปกครองของอาคาเนะคนหนึ่ง ถึงจะไม่ได้เห็นกับตา แต่โคคิก็ได้ฟังจากสึซึรันแล้วว่าโทชิฮิโระเป็นสัตว์เทพที่มีเกียรติในระดับนึง คำพูดคงจะพอเชื่อถือได้


“แม่ลูกตรงนั้น อ้อนกันเสร็จหรือยัง” ทำเคร่งเครียดได้ไม่เท่าไร โคคิก็หันไปสนใจซาโตรุและอาคาเนะอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถด่ายืดยาวจากสหายคนสนิทของตัวเอง







ดวงตะวันคล้อยต่ำ ช่วงเวลากลางวันกำลังจะจบลงในไม่ช้า เป็นสัญญาณเตือนโคคิและซาโตรุว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องกลับไปทำงานของตน


“ขอโทษด้วยที่มารวบกวนเสียนาน” ไม่ว่าเมื่อไรซาโตรุยังคงปฏิบัติตัวราวกับโทชิฮิโระเป็นแขกของร้านอยู่เสมอ พวกเขาบอกลากันตรงชานบ้าน เพราะเกรงว่าหากไปส่งถึงประตูหน้า อาจมีใครผ่านมาเห็นอาคาเนะเข้า


“ทางนี้ต่างหากที่รบกวนไว้ในหลายๆ เรื่อง” เจ้าของบ้านตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตบบ่าของอาคาเนะที่ยืนอยู่ข้างกันไปด้วย


“หากมีเวลาก็แวะไปที่ร้าน เราจะต้อนรับเป็นอย่างดี” ถึงจะออกปากไปก่อน แต่ซาโตรุก็เหลือบมองโคคิเพื่อขออนุญาต เจ้าของร้านพยักหน้ารับคำ แล้วยังเอ่ยต่อหน้าระรื่น


“ค่าใช้จ่ายจะหักมาจากส่วนของค่าไถ่ตัวอาคาเนะ ไม่ต้องห่วง” พอโคคิพูดจบก็ถูกซาโตรุฟาดใส่กลางหลังเข้าให้ โคคิทำหน้าเหยเกก่อนจะแสร้งกระแอมไอกลบเกลื่อน


“คงต้องรอสักพักใหญ่ๆ” สายตาโทชิฮิโระมองตรงไปยังใบหูและพวงหางของอาคาเนะ ตราบใดที่ยังซ่อนร่างปีศาจไม่ได้ อาคาเนะคงไม่สามารถออกไปเดินในเมืองได้เป็นแน่


“นานเท่าใด ข้ากับซาโตรุก็ยังอยู่ที่เดิมเสมอ และประตูร้านเราจะเปิดรับพวกเจ้าเสมอเช่นกัน” ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินโคคิพูดเรื่องซาบซึ้งกับใคร และมันทำให้อาคาเนะรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อๆ


ร้านแห่งนั้นจะไม่ใช่บ้านของเขาอีกแล้ว ความครึกครื้นของเสียงดนตรี และเสียงพูดคุยของผู้คน จะเป็นเพียงความทรงจำสำหรับเขา ถึงจะแทบไม่สนิทกับใคร แต่ยังอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องจากมา


มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกใครอีกคนค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาประสานไว้แล้วดึงไปซุกไว้ข้างหลัง เรียกให้คนที่กำลังเริ่มซึมเงยขึ้นมอง


“อย่าทำหน้าเศร้า หรืออยากให้ปลอบเจ้าตรงนี้” โทชิฮิโระก้มลงกระซิบข่มขู่ จนโดนอาคาเนะพ่นลมหายใจใส่แรงๆ ทั้งที่หน้าแดงระเรื่อ อาคาเนะออกแรงบีบมือที่ถูกคว้าไปให้คนขี้แกล้งได้เจ็บเล่น


“แล้วพบกันใหม่” ซาโตรุเลือกที่จะไม่เอ่ยคำว่า ‘ลาก่อน’ เพราะเชื่อว่าสักวันเขาจะได้กับน้องชายคนนี้อีก


“แล้วพบกัน พี่ซาโตรุ พี่...โคคิด้วย” คำเรียกขานตะกุกตะกักทำให้โคคิยกนิ้วขึ้นไชหูพลางกะพริบตาปริบๆ มองอาคาเนะที่กำลังทำหน้าเหมือนกินยาขม


“ข้าไม่ได้หูฝาดใช่ไหม เรียกข้าว่าอะไรนะ”


“อย่าให้พูดซ้ำได้ไหมมันกระดากปาก” อาคาเนะตอบกลับพร้อมทำปากยื่น ทำเอาคนถามแทบอยากเดินเข้าไปตบกะโหลกสักหนสองหน ถ้าไม่ใช่ว่าถูกซาโตรุคล้องแขนรั้งไว้เสียก่อน


“กลับกันได้แล้วคุณเจ้าของร้าน ใกล้ถึงเวลาเปิดแล้ว” เพื่อป้องกันการวิวาทระหว่างหมีกับจิ้งจอก ซาโตรุคิดว่าการลากโคคิออกไปน่าจะดีที่สุด เสียงเอะอะโวยวายของโคคิค่อยๆ ห่างออกไป เหล่าคนที่ยังอยู่ต่างพากันถอยหายใจออกมา


“ครอบครัวเจ้านี่ครึกครื้นดีนะ” โทชิฮิโระเอ่ยเย้าคนข้างกายและได้รับข้อศอกถองตอบกลับมา เป็นภาพที่คนมองอดไม่ได้ที่จะขำ


“พวกท่านก็ไม่แพ้พวกเขาหรอก” สึซึรันเอ่ยกลั้วหัวเราะ เทพมังกรที่แสนสง่างามพออยู่กับอาคาเนะแล้วกลับดูเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ชายที่มีคนรักที่รักมากอยู่ข้างๆ และพร้อมจะแกล้งเสมอเสียด้วย


“ไม่เข้าใจเลยว่านิสัยแบบนี้มีคนเคารพได้อย่างไร ถ้าบอกว่าเป็นพวกเจ้าสำราญยังพอว่า” อาคาเนะกอดอกเชิดหน้าใส่ ในสายตาเขาโทชิฮิโระดูไม่เห็นมีอะไรที่ใกล้เคียงกับการเป็นเทพเจ้าเลยสักนิด


“ถ้าอยากรู้ข้าทำให้ดูเอาไหม” โทชิฮิโระย้อนถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ส่วนคนฟังทั้งสองต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน และเป็นสึซึรันที่เอ่ยถามขึ้นก่อน


“ท่านจะกลับไปหรือ”


“ถ้าหากอาคาเนะจะไปกับข้า” โทชิฮิโระยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ใช่ว่าเขาจะเป็นพวกยึดติดกับการถูกยกยอให้เป็นเทพ แต่หากสามารถกลับไปสู่ฐานะนั้น คงมีหลายสิ่งที่ดีต่ออาคาเนะด้วยเช่นกัน


“เกี่ยวอะไรกับข้า” คนถูกพาดพิงขมวดคิ้วถาม


“ถ้าอยากรู้ต้องลองไปดู” ดวงตาสีครามหรี่ลงเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ใบหน้าโทชิฮิโระประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเป็นเชิงท้าทาย


“เว้นเสียแต่จิ้งจอกน้อยจะกลัวโลกภายนอก” ยิ่งได้ฟังคำยั่วยุ ใบหน้าอาคาเนะก็ยิ่งบึ้งตึง เขาอาจอ่อนประสบการณ์กว่าโทชิฮิโระทุกด้านเพราะวัยที่ต่างกัน แต่เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายพูดจาเหมือนเขาเป็นเด็กอยู่ได้


“ก็ไปสิ อยากรู้นักว่าท่านโทชิฮิโระยามเป็นเทพจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน” ความทะนงของเด็กหนุ่มคือสเน่ห์ที่โทชิฮิโระชื่นชม แต่สักวันเขาอาจต้องสอนอาคาเนะว่าให้รู้จักมองกับดักก่อนจะก้าวขาลงไปเสียบ้าง







ท่ามกลางขุนเขาอากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ ทิวทัศน์รอบด้านถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีขาวโพลนด้วยหิมะที่เริ่มตกลงมาหลายวันก่อน สายลมที่ปะทะใบหน้าหนาวเย็นจนอาคาเนะคิดว่าใบหน้าของเขาชาหนึบ


“ทนไหวไหม อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว” คนที่ถามอย่างห่วงใยคือสึซึรันที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน อาคาเนะพยักหน้า พลางแหงนมองเจ้าของอุ้งเล็บที่เขาและสึซึรันนั่งอยู่ โทชิฮิโระในร่างมังกรกำลังบินไปบนฟ้า ฝ่าลมหนาวเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองที่เคยอาศัยอยู่


ครั้งก่อนเพราะกำลังขวัญเสียและอ่อนเพลียมาก อาคาเนะจึงแทบไม่ได้มองเลยว่าร่างมังกรของโทชิฮิโระสง่างามเพียงใด เกล็ดแวววาวสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ ดวงตาสีครามคู่โตดูเปล่งประกายราวกับมีอัญมณีอยู่ภายใน รูปลักษณ์นับว่าห่างไกลจากพวกปีศาจทั่วไปอยู่หลายขุม ดูทรงอำนาจแต่ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัว คงเพราะแบบนี้มนุษย์ถึงยอมรับนับถือมังกรได้


กลิ่นเหม็นไหม้ของควันไฟช่วยฉุดอาคาเนะขึ้นจากภวังค์ อาคาเนะลุกขึ้นเพ่งสายตามองไปยังที่มาของกลิ่นนั้น ที่ปลายสายตาปรากฏกลุ่มควันสีดำคล้ำลอยขึ้นจากพื้นดิน


“โทชิ” อาคาเนะแตะมือลงบนผิวของโทชิฮิโระร้องเรียกเสียงแผ่ว เด็กหนุ่มหันไปสบตากับสึซึรันที่คิดว่าคงจะสัมผัสได้ไม่ต่างกัน สิ่งที่ปะปนมากับสายลมไม่ได้มีเพียงแค่กลิ่นของควันแต่ยังมีกลิ่นคาวเลือดปะปนมาด้วย


“เกาะให้มั่น ข้าจะเร่งความเร็วขึ้น”







บ้านที่สร้างจากไม้กลายเป็นเชื้อไฟได้อย่างดี แม้จะมีหิมะปกคลุมอยู่รอบด้าน แต่ไม่อาจช่วยดับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ได้ เสียงร่ำร้องของคนเจ็บดังระงมจากบนท้องถนน เหล่าชาวบ้านต่างถูกลากออกจากบ้านของตนแล้วบังคับให้มาอยู่รวมกันท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ใครที่ต่อสู้จะถูกฟันอย่างไม่ปรานี ทุกคนจึงทำได้เพียงเกาะกลุ่มเอาไว้แล้วคอยดูแลกันเท่านั้น


“ไอ้หมู่บ้านนี้มันจนชะมัด ผู้หญิงดีๆ สักคนยังไม่มีเลย” เหล่าชายฉกรรจ์สวมเกราะเก่าคร่ำคร่ากวัดแกว่งอาวุธในมือยืนล้อมชาวบ้านเอาไว้ พวกนั้นบ่นใส่กันด้วยท่าทีเบื่อหน่าย เข้าฤดูหนาวอย่างนี้มันเดินทางแสนลำบาก แม้แต่กับพวกโจรป่า พอบังเอิญเจอหมู่บ้านเข้านึกว่าจะโชคดี ที่ไหนได้กลับเป็นหมู่บ้านจนๆ ที่แทบไม่มีอะไรจะให้ปล้น


“อย่างน้อยมีที่ให้ซุกหัวนอนไม่ต้องนอนกลางหิมะ”


“แล้วใครมันเผาบ้านวะ”


“เออ คอยดูอย่าให้ไฟลามแล้วกัน เดี๋ยวก็ไม่ต้องมีที่นอนกันหมด”


“แล้วจะเอาไงกับไอ้พวกนี้ดี” ปลายดาบของคนถามตวัดชี้ไปยังกลุ่มของชาวบ้าน ที่ผ่านมาพวกโจรมักจะแค่บุกเข้ามาปล้นชิงแล้วรีบจากไป แต่พอพวกโจรเอ่ยปากว่าจะอยู่ค้างแรมกันที่นี่ทำเอาทุกคนอดหวาดหวั่นไม่ได้


“ฆ่าทิ้งให้หมด จะได้ไม่ต้องหาคนมาเฝ้า” ใครสักคนตอบออกมาราวกับเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่จำเป็นต้องถาม แน่นอนว่าในกลุ่มโจรเช่นนี้ย่อมมีพวกที่หลงใหลในการฆ่าฟันรวมตัวกันอยู่ พวกมันไม่รีรอที่จะเดินตรงไปหาเหยื่อที่กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและไร้ทางสู้


ตอนนั้นเองที่ลูกไฟตกลงมาจากฟากฟ้าขวางทางกลุ่มโจรเอาไว้!


เหล่าโจรป่าแตกฮือ แม้แต่ชาวบ้านยังเงียบเสียงลง ทุกสายตาต่างมองขึ้นไปบนฟ้า เงาดำทะมึนเคลื่อนบนบังดวงอาทิตย์ ในขณะที่โจรป่าแตกตื่น แต่ชาวบ้านกลับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มออกมา


“นั่นมันตัวบ้าอะไร!” โจรคนหนึ่งร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา กำลังขดตัวอยู่บนฟ้าเหนือหัวพวกเขา


“กลับมาแล้ว”


“เทพของพวกเรา”


นอกจากเทพมังกรที่ส่งเสียงคำรามจากบนฟากฟ้า ยังมีอีกสองคนกระโจนลงมาและก้าวไปยืนขวางระหว่างพวกโจรและชาวบ้านเอาไว้ สึซึรันกางกรงเล็บของตน ในขณะที่อาคาเนะเริ่มสร้างเปลวไฟขึ้นจากฝ่ามืออีกครั้ง


“ปีศาจ!!” พวกโจรร้องกันเสียงหลงและวิ่งหนีโดยไม่คิดจะต่อสู้ บ้างวิ่งกระจายหายไป บ้างขึ้นม้าแล้วควบออกไปสุดกำลัง ทำเอาทั้งอาคาเนะและสึซึรันที่ตั้งท่าเตรียมเผชิญหน้าเต็มที่ถึงกับปรับสีหน้าไม่ถูก


“อะไรกัน ข้าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปากบ่นระหว่างใช้กรงเล็บสางเส้นผมสีขาวของตนไปด้วย ส่วนอาคาเนะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจแล้วดับเปลวไฟในมือลง ดีแล้วที่เขาไม่ต้องฆ่าใครในวันนี้


แรงดึงจากด้านหลังเรียกให้อาคาเนะสะดุ้งจนหางตั้ง พอเหลียวมองข้ามไหล่ถึงได้เห็นว่ามีหญิงชราคนหนึ่งกำลังกำแขนเสื้อของเขาอยู่ อาคาเนะหลบสายตาที่มองตรงมา เม้มปากแน่นด้วยความกังวล ตอนกระโจนลงมาเขาคิดเพียงว่าต้องช่วยชาวบ้านเท่านั้น ลืมคิดไปสนิทเลยว่าตัวเองยังอยู่ในสภาพครึ่งจิ้งจอกอยู่


“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา” หญิงชราเอ่ยออกมาโดยมีหยดน้ำใสไหลล้นจากหางตา


“ข้า...” ยังไม่ทันตอบอะไร เสียงขอบคุณก็ค่อยๆ ดังขึ้นซ้ำๆ จากชาวบ้านที่เดินรุมล้อมเข้ามาหา พวกเขาเนื้อตัวเปรอะเปื้อนแต่กลับยิ้มให้กับปีศาจทั้งสอง จนอาคาเนะเริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมา ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในสภาพร่างแท้จริงอย่างตอนนี้


หลังจากนั้นชาวบ้านทุกคนต่างพร้อมใจกันคุกเข่าแล้วก้มลงคำนับจนศีรษะจรดพื้น ยิ่งทำให้อาคาเนะวางตัวไม่ถูก จนไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเทพมังกรได้มาอยู่ด้านหลังของตนแล้ว


“ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงของโทชิฮิโระทรงอำนาจและก้องกังวานเมื่อเขาอยู่ในร่างมังกร อาคาเนะลอบถอนหายใจเมื่อได้รู้ว่าที่ชาวเมืองน้อมคำนับ คือโทชิฮิโระไม่ใช่เขา


เหล่าผู้คนต่างค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และได้เห็นเทพมังกรจำแลงร่างเป็นมนุษย์ต่อหน้า นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเทพมังกรในร่างนี้ โทชิฮิโระเดินเลยผ่านอาคาเนะไปพร้อมกับยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนของหญิงชราแล้วช่วยพยุงให้ลุกขึ้น


“ข้ากลับมาตามสัญญาแล้วท่านยาย”


แม้จะไม่รู้ว่าสัญญาที่โทชิฮิโระพูดถึงคือสัญญาเรื่องอะไร แต่พอได้เห็นหญิงชราหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปิติ อาคาเนะก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้


นามของเทพมังกรถูกเรียกขานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทพมังกรในใจของชาวเมือง สิ่งที่โทชิฮิโระทำตลอดมา ไม่ใช่เพียงการขับไล่ศัตรูออกจากเมืองนี้ แต่ยังทำให้ตัวตนของเขากลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนไปด้วย แค่เพียงได้เห็นเทพมังกรกลับมา ชาวเมืองต่างก็เริ่มเชื่อว่าเมืองนี้จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง


“ท่านเทพมังกรได้โปรด อย่าจากพวกเราไปอีก” คำร้องขอดังอื้ออึงจากรอบด้านแล้วจึงเงียบลงเมื่อโทชิฮิโระยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม


“ก่อนนี้เราเพียงต่างคนต่างอยู่ พึ่งพากันเพียงเพราะความบังเอิญเท่านั้น เมื่อผู้นำของพวกเจ้าเห็นข้าเป็นภัย ข้าจึงไปจากที่นี่” โทชิฮิโระไม่คิดจะรื้อฟื้นความบาดหมางครั้งเก่าจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงสาเหตุแท้จริงที่เขาต้องละทิ้งเมืองนี้ไป


“แต่ตอนนี้เราต่างเห็นแล้วว่าทุกอย่างแย่ลงเพียงใด จากนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำดินแดนของข้า หากพวกเจ้ายังศรัทธาในเมืองนี้ก็จงช่วยกันฟื้นฟูมันขึ้นมา” แม้มีพลังมหาศาล แต่ใช่ว่าลำพังโทชิฮิโระจะเสกสร้างทุกสิ่งขึ้นมาได้ ยังคงต้องพึ่งพาเรี่ยวแรงของมนุษย์ธรรมดาที่จะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเมือง


“พวกเราจะทำ”


“พวกเราทำได้”


“มาทำด้วยกันเถอะ!” น้ำเสียงของทุกคนฟังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แว่วเสียงสูดจมูกเพื่อกลั้นสะอื้นจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน พอเห็นอาคาเนะหันมามองสึซึรันก็รีบเบือนหน้าหนี


ที่นี่คือบ้านเกิดของสึซึรัน แต่นางเกือบทำให้มันกลายเป็นเพียงเมืองร้างเพียงเพราะความแค้นส่วนตัว การได้เห็นโทชิฮิโระกลับมาอยู่ท่ามกลางชาวเมืองอีกครั้ง ได้เห็นพวกเขาพยายามต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง ทำให้นางอดที่จะตื้นตันไม่ได้


“อาคาเนะ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกอย่างนุ่มนวล ทุกคนที่ยืนโดยรอบต่างพร้อมใจกันขยับเพื่อเปิดทางให้ โทชิฮิโระยื่นมือออกมาหาเป็นสัญญาณเรียกให้เข้าไปใกล้ แต่เพราะถูกสายตาหลายสิบคู่จับจ้อง ทำเอาอาคาเนะแทบจะก้าวขาไม่ออก


"อย่าสนใจสายตาคนอื่นอาคาเนะ มองแค่ข้า” ประโยคเดียวกันกับที่ได้เคยฟังเมื่อครั้งเจอกันวันแรก ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในอก รู้สึกคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังบอกว่า ไม่ว่าในสายตาคนอื่นโทชิฮิโระจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับเขาโทชิฮิโระจะยังเป็นคนเดิมเสมอ


สองขาพาอาคาเนะเดินตรงไปยังคนที่เรียกหา พร้อมทั้งวางมือลงบนฝ่ามืออุ่นให้ได้กอบกุมมือเขาก่อนกระตุกให้ก้าวไปยืนเคียงข้าง


“จากนี้หากพวกเราจะอยู่ร่วมกัน มีคนที่ข้าต้องแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก ทางนั้นคือสึซึรันสหายข้า” โทชิฮิโระผายมือไปทางสึซึรันทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงรีบปรับสีหน้าปาดน้ำตาแล้วยิ้มให้


“ส่วนนี่คืออาคาเนะ” แทนที่จะพูดกับทุกคน โทชิฮิโระกลับหันหน้าเข้าหาอาคาเนะโดยที่ยังกุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ ระยะห่างที่แสนจะใกล้ทำให้อาคาเนะเริ่มรู้สึกร้อนบนใบหน้าขึ้นมา ประกอบกับสายตาวิบวับที่มองมายิ่งทำให้อาคาเนะแทบอยากหายตัวได้เสียตอนนี้


“จิ้งจอก...สุดที่รักของข้า” ต่อจากนั้นอาคาเนะคิดว่าเขาไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดอีก หูทั้งสองข้างอื้อตันด้วยความดันเลือดที่พุ่งสูงจนร้อนผ่าวทั้งใบหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหลบสายตาไปจากโทชิฮิโระด้วยซ้ำ


เป็นอีกหนึ่งวันที่อาคาเนะจดจำได้ขึ้นใจ ว่ามังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หน้าด้านหน้าทนไม่แพ้ความแข็งของเกล็ดบนตัวเลยทีเดียว


•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

สวัสดีวันเด็ก เรามาแกล้งเด็กกันต่อ  :z1: ตอนหน้าจบแล้วค่าาาา

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 29

จากนี้ ตลอดไป






เส้นทางดินที่เคยเป็นหลุมเป็นบ่อ ถูกถมทับแล้วบดอัดลงไปใหม่จนกลายเป็นทางเรียบ บ้านเรือนที่ผุพังถูกซ่อมแซมและตกแต่งใหม่ขึ้นทีละหลัง ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน


สิ่งที่ขาดแคลน และสิ่งที่จำเป็นต้องซื้อหา ถูกจัดการโดยสึซึรันเกือบทั้งหมด ปราสาทของเจ้าเมืองคนก่อนเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าใกล้ เพราะเชื่อว่าอาจมีปีศาจหรือวิญญาณคนตายหลงเหลืออยู่ บวกกับโครงกระดูกที่ไม่เคยถูกกลบฝังทำให้


แม้แต่กลุ่มโจรยังไม่อยากเฉียดใกล้ แต่ด้วยเหตุนั้นทรัพย์สมบัติมากมายจึงยังคงอยู่ มากพอสำหรับที่จะแจกจ่ายทุกคนไว้เป็นทุนสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่


เมื่อหิมะละลายไปพร้อมกับฤดูหนาวที่จบลง ความมีชีวิตชีวาก็เริ่มหวนกลับมาสู่เมืองแห่งนี้อีกครั้ง ต้นไม้ต่างทยอยผลิใบสีเขียวสดใส ต้นหญ้างอกเงยขึ้นใหม่ เช่นเดียวกับปราสาทที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปีได้ถูกซ่อมแซมและมีผู้เข้าไปอาศัยอีกครั้ง


แม้ว่าสวนด้านหลังจะเรียงหลายด้วยหลุมศพของทุกคนที่ตายในปราสาทแห่งนี้ แต่เทพมังกรยังยืนยันว่าจะพำนักในปราสาทหลังนี้แทนปราสาทหลังเก่า เพราะอย่างน้อยมันก็เสียหายน้อยกว่าปราสาทเดิมของตนที่แทบไม่เหลือเค้าโครงให้เห็น


กลิ่นธูปล่องลอยไปตามสายลมในยามเช้าที่ท้องฟ้าใสกระจ่าง โดยมีหญิงสาวคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าป้ายศิลาแผ่นหนึ่ง ในมือถือดอกสึซึรันช่อเล็กๆ เอาไว้


“ถ้าหากเจ้าไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่...” เสียงของใครบางคนเรียกให้สึซึรันเหลียวกลับไปมอง นางแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับไปยังแผ่นศิลาที่ไร้อักษรใดๆ อีกครั้ง


“ไม่ว่าอยู่ที่นี่ หรือสุดขอบฟ้าไกล ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ข้าฆ่าคนเหล่านี้ได้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้สึกผิดถึงกล้าอยู่ที่นี่ แต่ข้าอยากจะให้พวกเขาได้เห็น อยากยืนตรงนี้แล้วบอกกับพวกเขาว่านี่คือเทพมังกรที่ข้าเชื่อมั่น ผู้ที่จะคืนชีวิตให้กับเมืองนี้อีกครั้ง ดังนั้นข้าคิดว่าดีแล้วที่เป็นที่นี่”


“ลืมไปว่าเจ้ามันรั้นมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว” โทชิฮิโระยิ้มจางๆ หากสึซึรันไม่ใช่คนดื้อรั้น คงไม่สามารถอดทนอยู่กับมังกรเย็นชาอย่างเขาได้นานขนาดนั้น เขาไม่เคยใส่ใจนาง ไม่เคยไถ่ถามความเป็นอยู่ ไม่ใยดีสิ่งต่างๆ ที่นางพยายามทำ แต่สึซึรันยังคงยิ้มให้กับเขาทุกวัน


“แต่ก็ยังไม่สามารถชนะใจท่านได้” ท้ายเสียงของสึซึรันมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ ราวกับรู้ว่าโทชิฮิโระคิดถึงสิ่งใด คงเพราะตลอดเวลาที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน สึซึรันมักเป็นฝ่ายเฝ้ามองเสมอ จึงลอบสังเกตได้โดยง่ายว่าโทชิฮิโระกำลังคิดถึงเรื่องใด


“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้า ข้ายังเคารพท่านเสมอ แต่หลายสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว” เมื่อก่อนสึซึรันทั้งรักและเทิดทูนเทพมังกรยิ่งกว่าสิ่งใด อาจรักมากจนถึงขั้นลุ่มหลง แต่เมื่อผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง และได้รับการอภัยแล้ว เวลานี้หัวใจนางเพียงรู้สึกสงบเมื่อได้อยู่ใกล้โทชิฮิโระเท่านั้น


“แล้วนี่อาคาเนะไปไหน ไม่ได้อยู่กับท่านหรือ” ข้างกายโทชิฮิโระตอนนี้ว่างเปล่า ไร้เงาจิ้งจอกน้อยที่มักจะตัวติดกันอยู่เสมอ พอสึซึรันพูดจบโทชิฮิโระก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง จนสึซึรันอดหัวเราะไม่ได้


“ถ้าเป็นห่วงทำไมไม่ตามไป” ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ อาคาเนะกลายเป็นขวัญใจของชาวบ้านอยู่ไม่น้อย ด้วยภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวมักยิ้มแย้มมากกว่าโทชิฮิโระ ทำให้หลายคนกล้าพูดคุยด้วย อาจจะบวกเข้ากับทักษะการต้อนรับแขกที่อาคาเนะถนัด ยิ่งทำให้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น


อาคาเนะไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกแล้วเมื่ออยู่ในเมืองนี้ เขาสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ในร่างแท้จริงของตัวเอง ยิ่งทำให้อาคาเนะเปิดใจมากขึ้น นอกจากนี้ในเมืองยังมีคนอีกคนหนึ่งที่อาคาเนะมักชอบออกไปหาบ่อยๆ นั่นคือหญิงชราที่กล่าวคำขอบคุณต่ออาคาเนะเป็นคนแรก


“อาคาเนะไม่เคยรู้จักแม่ ให้เขาสนิทสนมกับท่านยายจิเสะนั่นดีแล้ว” โทชิฮิโระบอกเสียงเรียบ อาคาเนะติดจิเสะเหมือนลูกติดแม่ไม่มีผิด ถ้ามีเวลาเป็นต้องแวะไปหา ไปนั่งฟังหญิงชราเล่าเรื่องเก่าๆ ไปช่วยปัดกวาดเช็ดถูบ้าน คงเป็นเพราะอาคาเนะไม่เคยรู้จักแม่ของตัวเองมาก่อน เลยติดจิเสะโดยไม่รู้ตัว


“อาคาเนะน่ารัก ใครได้รู้จักก็ต้องหลงรักทั้งนั้น” หญิงสาวเอ่ยเย้าด้วยรอยยิ้มกวนๆ ทั้งบุคลิกเด็กหนุ่มแสนซื่อ และรอยยิ้มสดใส ทำให้ใครต่อใครต่างมองข้ามความเป็นปีศาจของอาคาเนะไปโดยง่าย ขนาดสึซึรันยังอดเอ็นดูไม่ได้ มีหรือที่เจ้าของตัวจริงอย่างโทชิฮิโระจะไม่นึกหวง


หางคิ้วคนฟังกระตุกนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาใจกว้างพอจะปล่อยอาคาเนะไกลหูไกลตาได้โดยไม่คิดอะไร แต่เพราะคิดดูแล้ว ตัวเขาอายุมากกว่าอีกฝ่ายตั้งหลายเท่า จะเอาแต่ใจรั้งตัวอาคาเนะไว้ข้างกาย ไม่เปิดโอกาสให้ไปพบเจอโลกภายนอก ก็คงดูไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ถ้าจะทำอย่างนั้นสู้ขังอาคาเนะไว้ในคฤหาสน์ไม่ต้องดั้นด้นมาเมืองนี้ยังดีเสียกว่า ถึงได้ต้องทำเป็นหลับหูหลับตาเวลาอาคาเนะออกไปข้างนอกบ้าง


“ได้ยินว่าพวกหนุ่มสาวที่เพิ่งย้ายกลับมาต่างอยากเป็นเพื่อนอาคาเนะกันทั้งนั้น ป่านนี้ไม่รู้คนเต็มบ้านท่านยายหรือยัง” ยิ่งเห็นดวงตาของโทชิฮิโระหรี่ลง สึซึรันยิ่งป้องปากพูดไปเรื่อย สีหน้าหลากหลายของเทพมังกรใช่ว่าจะหาดูได้โดยง่าย ถือเป็นการเอาคืนที่โทชิฮิโระเอาแต่ตีหน้านิ่งใส่นางสมัยก่อน


“หรือท่านอยากให้ข้าไปตามดูให้...อ้าว” เพียงพริบตาที่สึซึรันเหลียวมองไปทางอื่น พอหันกลับมาโทชิฮิโระก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว ดูท่าวันนี้อาจจะมีฟ้าฝนตั้งเค้ามาเสียแล้ว







กรงเล็บคมกริบกางออกยามที่ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีเพลิงทอประกายกร้าวจับจ้องไปยังเหยื่อตัวอ้วนกลมที่อยู่ตรงหน้า อาคาเนะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก กลั้นหายใจเพื่อให้มั่นใจว่า ‘เหยื่อ’ จะไม่ทันรู้ตัวแล้วหนีไปได้ ใบหูพับลู่ไปด้านหลัง ขณะที่หางเหยียดตรงไม่ขยับ


 “เสร็จข้า!” เด็กหนุ่มกระโจนพรวดเข้าหาเป้าหมาย แล้วรีบตวัดมือคว้ามันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจับชูขึ้นเหนือหัว ปากก็ร้องเรียกใครอีกคนไปด้วย


“จับได้แล้วท่านยาย” อาคาเนะร้องบอกอย่างเริงร่าพลางแกว่งแม่ไก่ตัวอ้วนไปมา เจ้าไก่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสารแต่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากกรงเล็บของจิ้งจอกได้


“เอ้าเบาๆ เดี๋ยวมันตกใจตายกันพอดี” หญิงชราเดินมาหาพลางห้ามปรามอาคาเนะไม่ให้ฆ่าไก่ของนางทางอ้อม โดยมีเด็กสาวอีกคนช่วยประคองอยู่ข้างๆ นอกจากทั้งสามแล้วยังมีชาวบ้านที่ผ่านไปมาแวะหยุดยืนดูอีกราวหกเจ็ดคน เพราะ ‘ท่านจิ้งจอก’ ดูเหมือนจะออกมาช่วยยายจิเสะไล่จับแม่ไก่ที่หลุดออกจากเล้าแต่เช้าตรู่


“ขออภัย” อาคาเนะรีบอุ้มแม่ไก่ตัวแสบที่ทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นตลอดเช้ากลับไปใส่เล้าไว้ตามเดิม แล้วหันมายิ้มประจบใส่หญิงชราที่รออยู่


“ดูเจ้าสิมอมแมมไปทั้งตัว นึกว่าจิ้งจอกจะจับไก่เก่งเสียอีก” จิเสะแกล้งว่า เพราะสภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าเล่นเปื้อนฝุ่นดินไปทั้งตัว ทั้งผมเผ้ายังยุ่งเหยิงไปหมด


“โธ่ ข้าไม่ได้จับไก่กินนะท่านยาย” อาคาเนะค้านเสียงอ่อนพลางปัดเศษผงออกจากเสื้อผ้าไปด้วย จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำที่เขาได้วิ่งไล่จับไก่แบบนี้


“ถ้าท่านจะเอาไก่ย่างแทนแม่ไก่ รับรองครู่เดียวก็ได้แล้ว ไม่ต้องเหนื่อยเลยด้วย” เพราะต้องระวังไม่ทำให้ไก่ช้ำในตายไปเสียก่อน อาคาเนะถึงพยายามมออมแรงไว้ เลยกลายเป็นเสียเวลามากขึ้นหลายเท่า


“ไก่ย่างของเจ้ากินมื้อเดียวแล้วก็หมด แต่แม่ไก่ของข้า มอบอาหารให้ได้เป็นปีเลยนะ อย่าไปยุ่งกับมันเชียว” พอเห็นหญิงชรายกมือขึ้นหมายจะตี อาคาเนะก็รีบเอี้ยวตัวหนีอย่างแคล่วคล่อง


“เอ่อ...คือว่า...” เด็กสาวที่อยู่ข้างจิเสะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอึกอัก จะว่าไปอาคาเนะยังจำไม่ได้ว่านางชื่ออะไร รู้แค่ว่าเป็นลูกสาวของบ้านใกล้เคียงแถวนี้เท่านั้น ใบหน้าของนางยังมีเค้าของความเป็นเด็ก น่าจะอายุราวสิบสองสิบสามปี


ผ้าผืนน้อยจากเด็กสาวถูกยื่นให้อาคาเนะอย่างกลัวๆ กล้าๆ จนอาคาเนะไม่แน่ใจว่าควรจะยื่นมือไปรับมาไหม เขารู้ว่าการยอมรับปีศาจเป็นเรื่องยาก บางคนอาจต้องการเวลาอีกมากเพื่อจะปรับตัว


“หน้า...หน้าท่าน มันเลอะ” เด็กสาวเอ่ยเสียงสั่น อาคาเนะจึงยกหลังมือขึ้นเช็ดตรงข้างแก้ม รู้สึกได้ถึงเม็ดหยาบๆ ของเศษดินที่ติดใบหน้าอยู่


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้ากลับไปล้างตัวก็ได้” เห็นอาการประหม่าของเด็กสาวแล้วอาคาเนะคิดว่าอย่าเข้าใกล้นางมากน่าจะดีกว่า แต่พอเขาถอยเท้าหนี นางกลับก้าวเข้ามาใกล้


“ข้าเช็ดให้! เอ่อ... ข้า...” สองแก้มของเด็กสาวกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ หลุบตาลงเหมือนคนทำอะไรผิด


“นี่เจ้าไม่สบายตรงไหนไหม” มือของอาคาเนะยื่นไปหาเด็กสาวโดยไม่ทันคิด เขาแค่รู้สึกว่านางดูตัวสั่นๆ ใบหน้าก็แดง เหงื่อไหลคล้ายคนจะเป็นไข้ แต่ยังไม่ทันได้แตะตัวดูว่าร้อนหรือไม่ก็ถูกใครบางคนเรียกเอาไว้เสียก่อน


“อาคาเนะ!”


“โทชิ?” เสียงฮือฮาดังขึ้นจากรอบด้านเมื่ออยู่ๆ เทพมังกรก็มาปรากฏตัว อาคาเนะละความสนใจจากเด็กสาวตรงหน้าแล้วเดินไปหาโทชิฮิโระทันที


“มาหาท่านยายหรือ น่าจะมาเร็วกว่านี้หน่อยจะได้มาช่วยข้าจับไก่ด้วย” จิ้งจอกน้อยยิ้มร่าโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าแววตาของโทชิฮิโระเยียบเย็นสักแค่ไหน


รู้อยู่แล้วว่าอาคาเนะของเขาช่างแสนซื่อ แต่ไม่นึกเลยว่าความสามารถในการอ่านใจผู้หญิงจะอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ จะดุอาคาเนะก็ไม่ได้ จะโทษเด็กสาวคนนั้นก็ไม่ถูก เพราะนางเพียงชื่นชมอาคาเนะมากกว่าที่โทชิฮิโระจะรับได้ไปสักหน่อย


“นี่เจ้า เป็นลูกหมาที่เพิ่งได้ออกวิ่งเล่นหรือ ตัวถึงได้มอมแมมขนาดนี้” มือใหญ่ลูบไล้ตั้งแต่เส้นผมของอาคาเนะ ผ่านแก้ม ละเรื่อยลงมาจนถึงลาดไหล่ แล้วอ้อมหลังไปกดแถวฐานคอของอาคาเนะเบาๆ เป็นการบังคับให้อีกฝ่ายต้องขยับเข้ามาใกล้


“มันจั๊กจี้ นี่ข้าไม่ใช่หมาสักหน่อย” อาคาเนะหัวเราะเบาๆ พลางย่นคอหนี


“ใช่ไม่ใช่ข้าก็จะพาเจ้าไปอาบน้ำ”


“หือ?”


“ขอตัวก่อน” โทชิฮิโระไม่สนใจจะอธิบายอะไรกับอาคาเนะ แต่หันไปบอกลากับหญิงชราแล้วคืนร่างมังกรพร้อมกับคว้าตัวอาคาเนะทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว







สิ่งหนึ่งที่มักอยู่เคียงคู่กับขุนเขาก็คือสายธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากยอดเขาสูง เมืองนี้จึงมีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่ละที่ล้วนสวยงามจับตา ด้วยน้ำที่ใสสะอาดและเย็นสดชื่น ยิ่งต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้น้ำจะยิ่งเย็นเป็นพิเศษ เหมาะแก่การชำระล้างร่างกายในช่วงเช้าเป็นอย่างยิ่ง เสียแต่อาคาเนะดูจะไม่ชอบน้ำเย็นนัก


ร่างของเด็กหนุ่มถูกจับโยนลงน้ำเสียงดังตูมใหญ่ ต้องใช้เวลาชั่วอึดใจกว่าอาคาเนะจะสามารถพาตัวเองกลับขึ้นมาเหนือน้ำได้


“ทำบ้าอะไรเนี่ย!” คนที่อยู่ๆ ก็ถูกเหวี่ยงลงน้ำโวยลั่นดังยิ่งกว่าเสียงของน้ำตก ส่วนตัวการยังคงกระตุกยิ้มมุมปากมองดูจากบนโขดหินใหญ่ริมน้ำในสภาพแห้งสนิท


“เหนื่อยไม่ใช่หรือ โดนน้ำเย็นจะได้หายเป็นปลิดทิ้ง”


“แล้วมันจำเป็นต้องโยนลงมาที่ไหน ไอ้มังกรบ้า!” อาคาเนะใช้สองมือวักหน้าสาดใส่โทชิฮิโระด้วยความหงุดหงิด เพราะฝีมือมังกรตัวร้ายทำเอาเขาน้ำเข้าจมูกจนแสบไปหมด ยังดีที่น้ำลึกแค่ระดับอกเลยถีบตัวขึ้นมาเหนือน้ำได้ง่าย


“จะขึ้นแล้ว” อาคาเนะบอกเสียงขุ่นแล้วเดินหนีไปอีกทาง ไม่นานก็มีเสียงที่บอกว่าอีกฝ่ายเดินลงน้ำตามมา แต่อาคาเนะไม่สนใจ ยังคงเดินฝ่ากระแสน้ำต่อไปเรื่อยๆ พอถูกโทชิฮิโระคว้าแขนก็รีบสะบัดออกด้วยความโมโห


“ขอโทษๆ ไม่แกล้งแล้ว อย่าหนีสิ” คนที่เป็นฝ่ายพาลก่อนยอมสำนึกผิดแล้วเป็นฝ่ายขอโทษ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร มีหรือจะยอมหายโกรธง่ายๆ


“ไม่ต้องเลย เอะอะก็แกล้งข้าอยู่เรื่อย คิดว่าข้าโกรธท่านไม่เป็นหรือ” บ่นได้ไม่ทันขาดคำ อาคาเนะก็ถูกคนที่ไล่ตามมาข้างหลังโถมตัวเข้าใส่จนหน้าคะมำลงน้ำไปด้วยกัน ทำเอาต้องสำลักน้ำอีกรอบ


“นี่!” พอโผล่หัวพ้นน้ำได้อาคาเนะก็เตรียมตวาดอีกรอบ แต่คราวนี้โทชิฮิโระไม่ยอมเปิดโอกาส ชิงปิดปากที่เตรียมพ่นคำหยาบด้วยปากของตัวเองอย่างรวดเร็ว


อุณหภูมิของน้ำที่เย็นฉ่ำ สวนทางกับผิวกายที่สัมผัสกันชวนให้รู้สึกประหลาด อาคาเนะนึกโทษแม่ไก่ตัวอ้วนที่ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านโทชิฮิโระขนาดนี้ ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิงลมหายใจของเขาอย่างเอาแต่ใจ ยังดีว่าโทชิฮิโระยังใช้มือช่วยประคองเขาเอาไว้ ไม่ให้จมน้ำไปเสียก่อน


“ขี้โกง” คำพูดแรกของอาคาเนะหลังจากได้อิสระกลับมาช่างแสนแผ่วเบาจนโทชิฮิโระต้องเอียงหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะได้ฟังให้ชัด


“โกงอะไร นี่ข้ากำลังง้อเจ้าอยู่”


“นั่นแหละ วิธีง้อของท่านมันขี้โกงเกินไป” เพราะพอถูกจูบเมื่อใด ความขุ่นเคืองภายในใจเป็นอันหายไปหมดเสียทุกที คิดอย่างไรอาคาเนะก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกครั้ง


“มันได้ผล เพราะเจ้ารักข้ามาก” โทชิฮิโระยิ้มกว้าง มืออุ่นช่วยเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้า พลางก้มลงมองด้วยตาที่กำลังช้อนมองเขาอยู่


“และข้าก็รักเจ้ามากเช่นกัน” เพราะไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกบอกรัก อาคาเนะถึงหน้าแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ หัวใจเต้นแรงจนไม่กล้ามองหน้าโทชิฮิโระ แต่เรื่องหนีลืมไปได้ เพราะสองแขนของโทชิฮิโระได้คว้าเอวเขาเอาไว้แน่น


“รู้หรือยังว่าทำไมเด็กสาวคนนั้นพออยู่ต่อหน้าเจ้าแล้วถึงเหมือนคนไม่สบาย”


“หา?”


“เจ้าเคยรับมือแต่กับผู้ชาย เลยซื่อบื้อเรื่องผู้หญิงหรือ ถ้าข้าไม่ไปถึงตอนนั้น เจ้าคงแตะเนื้อต้องตัวนาง ทำให้นางชอบเจ้ามากขึ้นอีกใช่ไหม” คนในอ้อมกอดเงียบไปพักใหญ่ เดาว่าคงกำลังนึกทบทวนเรื่องราวก่อนหน้าอยู่


“เพราะอย่างนั้นเลยโกรธหรือ” ดวงตาสีเพลิงจ้องมองโทชิฮิโระตาใส พอลองคิดตามสิ่งที่โทชิฮิโระพูด ถ้าอย่างนั้นการที่เขาถูกพาตัวออกมา แล้วมาถูกจับถ่วงน้ำก็เป็นเพราะ...


“ท่านหึงหวงข้า?” คำถามแทงตรงจุดทำเอาโทชิฮิโระพูดไม่ออก จะว่าไปเขาก็ทำตัวเหมือนเด็กที่มาหาเรื่องแกล้งอาคาเนะทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดอะไรกับเด็กสาวคนนั้นสักนิด


“ที่แท้ท่านเทพมังกรก็อารมณ์เสียเพราะข้า” อาคาเนะยักคิ้วพลางเอานิ้วจิ้มอกโทชิฮิโระไปด้วย ที่ผ่านมามีแต่เขาที่ฝ่ายกลัวว่าโทชิฮิโระจะเผลอใจไปกับคนอื่น หรือกลัวว่าจะหนีหายไปเหมือนอย่างคราวมาซาโนริ ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาเป็นฝ่ายทำให้โทชิฮิโระกังวลได้บ้าง


แว่วเสียงถอนหายใจจากโทชิฮิโระก่อนที่เขาจะอุ้มอาคาเนะขึ้น สอดมือไปรองรับสะโพกของเด็กหนุ่มเอาไว้ให้อีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักลงมาบนตัวเขา อยู่ในน้ำอย่างนี้ตัวอาคาเนะเบาขึ้นกว่าปกติ การอุ้มเด็กหนุ่มเอาไว้จึงไม่ใช่เรื่องยากสักนิด มือขาวจับแน่นบนบ่าของคนอุ้ม ปากที่เจื้อยแจ้วอยู่เมื่อครู่ยามนี้ปิดสนิท เพราะหวั่นใจว่าอาจจะถูกโยนลงน้ำซ้ำอีก


“ผิดด้วยหรือที่จะหวงคนของข้า” โทชิฮิโระถามเสียงนุ่มพลางซบหน้าลงกับอกของอาคาเนะ


“ไม่รู้หรือว่าข้าลุ่มหลงเจ้าเพียงใด อยากจะขังเอาไว้แต่ในปราสาทด้วยซ้ำ” พอถูกพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนใส่กลับเป็นอาคาเนะเสียเองที่ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่โอบรอบคอโทชิฮิโระเอาไว้แล้วถามกลับเสียงค่อย


“ท่านเนี่ย ไม่รู้จักอายบ้างหรือ”


“ไม่ชอบ?”


“ก็...ไม่เชิง” ใบหน้าอาคาเนะแดงก่ำ ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ยังไม่ชินกับคำพูดหวานๆ ของโทชิฮิโระเสียที ได้ยินเมื่อใดเป็นต้องใจเต้นแรงทุกครั้ง ครั้นจะให้เป็นฝ่ายพูดบ้างกลับพูดไม่ออก


“ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆ ทำตัวให้ชิน”  ครั้งหนึ่งโทชิฮิโระเคยคิดว่า อายุขัยที่ยาวนานช่างราวกับเป็นคำสาป ตลอดชีวิตเขาต้องเจอกับการพรากจากครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกเหมือนรอบกายมีเพียงความโดดเดี่ยว


แต่วันนี้เมื่อมีอาคาเนะอยู่เคียงข้าง ชีวิตที่ยืนยาวก็เริ่มจะมีสีสัน เด็กหนุ่มผู้นี้จะเติบโตขึ้นอย่างไร นั่นเป็นอนาคตที่โทชิฮิโระนึกอยากจะรู้เป็นครั้งแรก


“อยู่กับข้านะอาคาเนะ อย่าจากข้าไปไหน ห้ามหายไปจากสายตาข้า” จะไม่ยอมปล่อยมือนี้อีกเด็ดขาด แค่อาคาเนะเท่านั้นที่โทชิฮิโระพร้อมจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแตะต้องจิ้งจอกของเขาได้อีก


“ไม่ไปหรอก ให้ตายสิ ท่านนั่นแหละอันตรายที่สุด” คนเจ้าเล่ห์ที่ใช้คำหวานและอ้อมกอดแสนอบอุ่นล่อลวงจนเขาไม่อาจหนีไปไหนต่างหากที่น่ากลัวกว่าใครในโลก อาคาเนะยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วใช้สองมือประคองใบหน้าของโทชิฮิโระให้ออกห่างจากอกเขา ก่อนก้มลงแนบริมฝีปากตัวเองกับคนที่มองอยู่


เมื่อก่อนอาคาเนะไม่เคยเข้าใจบิดาว่าเหตุใดถึงได้เฝ้ารอมารดาของเขาตราบจนสิ้นลมหายใจ ทำไมถึงรักใครสักคนได้มากมายถึงเพียงนั้น แต่ตอนนี้เขาเองกลับมีสภาพไม่ต่างกัน ไม่อาจนึกถึงคืนวันที่ไม่มีโทชิฮิโระได้ด้วยซ้ำ


 ช่างเถอะ


มันคงไม่มีวันนั้นอยู่แล้ว




--- จบ ---



 :L2: :L2: :L2: และแล้วก็มาถึงตอนจบ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตรงนี้ค่ะ เรื่องนี้ถูกรีไรท์เพื่อนำมาลงในเล้าแห่งนี้ โอกาสหน้า เรื่องต่อไปเรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะคะ แต่สปีดการลงจะตกลงมากเลยล่ะ  :o8:


แวะไปหากันได้ที่เพจ Magdaren/Nanami นะคะ

**นิยายเรื่องนี้จะมีการตีพิมพ์ค่ะ แต่จะไม่ลบเนื้อหาใดๆ ในนี้  :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2017 23:49:29 โดย Magdaren »

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
จบแล้วววว สนุกมาก

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ่านจบแล้วจ้าาาาา ขอบคุณที่เขียนนิยายดีดีให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ NaEZ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
จิ้งจอกน้อยน่ารักกกกกกก

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น่ารักกกกก

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ไรต์เองนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า ส่วนท่านที่เม้นต์ให้ด้วยมามะมากอดที  :กอด1:

ถ้าใครติดตามเพจเราคงจะเห็นเรื่องรวมเล่มแล้วเนาะ ตอนนี้กำลังปั่นงานส่วนนั้นสลับกับเตรียมเรื่องใหม่ให้อ่านอยู่ค่ะ  :katai4:

เผื่อใครยังไม่ได้เห็นหน้าจิ้งจอกน้อย เลยขอเอามาให้ดูกันค่ะ




แวะไปหากันได้ที่เพจค่า Magdaren/Nanami  :L2:

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นของมาซาโนริกับคาสึกิจังค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด