ตอนที่สี่สิบหก
“ด็อกเตอร์ครับ สัญญาณโทรศัพท์ของคุณชวิศาถูกตรวจจับด้วยแอปพลิเคชันติดตามครับ” เสียงรายงานของสเตบาสเตียนทำให้สุดฟ้าหันไปมอง ก่อนเอี้ยวคอไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงในประโยคนั้น
ชวิศาออกอาการตื่นเต้นรีบหยิบโทรศัพท์มือในความครอบครองออกมา นั่นทำให้สุดฟ้าเห็นว่า
“เครื่องที่ฉันเคยให้นาย”
โทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นเครื่องที่สุดฟ้าเคยให้ชวิศาสมัยที่เจ้าตัวโมเมแกล้งเป็นหุ่นยนต์คนรักและเข้ามาอยู่ในบ้าน
“ก็คุณสุดฟ้าไม่ได้ขอคืน แล้วมันก็ใช้ดีด้วย” ชวิศาพูดบอกคล้ายจะแก้ตัว
“อือ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะนายเก็บไว้นั่นแหละ เราถึงรู้ว่าสัญญาณโทรศัพท์ของนายโดนติดตาม” เนื่องจากสุดฟ้าได้ทำการดัดแปลงมันเพื่อให้ตัวเองสามารถดักฟังข้อความที่ชวิศาพูดคุยผ่านโทรศัพท์ได้ โทรศัพท์เครื่องที่ว่าจึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับระบบเซิร์ฟเวอร์หลักที่มีสเตบาสเตียนคอยดูแลอยู่
สุดฟ้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็เปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณสิครับ แบบนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ จะหลอกให้ใครที่พยายามติดตามด็อกเตอร์ผ่านคุณชวิศาไปซ้ายหรือขวาก็ได้ทั้งนั้น”
“ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
สุดฟ้ากดปุ่มที่อยู่แถวคอนโซลด้านหน้าฉับพลันพื้นที่ตรงหน้าก็มีแป้นคีย์บอร์ดยื่นออกมาพร้อมแสงไฟที่ถูกยิงขึ้นไปเป็นหน้าจอแสดงภาพหน้าต่างการทำงาน
ชายหนุ่มเรียกโปรแกรมเขียนคำสั่งเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นจึงรัวนิ้วเพื่อเขียนโค้ดคำสั่ง มาริเอะจึงขยับมาเกาะที่ด้านหลังของเบาะที่นั่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่เจ้าตัวก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบกลางเพื่อตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน และพอเห็นมาริเอะทำแบบนั้น ชวิศาจึงทำตามบ้างราวกับจะน้อยหน้าไม่ได้
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีคำสั่งลวงตำแหน่งสัญญาณก็เสร็จเรียบร้อย
“หาพื้นที่ปลอดคนแล้วขึ้นบินได้เลย” สุดฟ้าหันไปสั่งสเตบาสเตียนให้มุ่งหน้าไปยังจุดหมายใหม่หลังจากที่กดเอนเทอร์ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมติดตามสัญญาณโทรศัพท์ กรอกหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ของชวิศาลงไป
เขายกยิ้มเมื่อตำแหน่งของสัญญาณโทรศัพท์เป็นไปตามที่เขากำหนดไว้
“เรียบร้อยแล้ว หัวใสดีมาก” เขาหันไปเอ่ยชมมาริเอะ
“ถ้าอย่างนั้น ด็อกเตอร์ต้องให้รางวัลผมด้วย” หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะไม่ปล่อยให้เสียโอกาส
“ได้ อยากได้อะไรล่ะ”
“หอมแก้มทีนึง”
คนที่ต้องให้รางวัลถึงกับส่งเสียงหัวเราะเพราะเป็นของรางวัลที่หาง่ายอย่างเหลือเชื่อ “มา ๆ เดี๋ยวแถมให้อีกสองทีเลย”
สุดฟ้าจึงขยับเอี้ยวตัวมากดจมูกบนแก้มของมาริเอะทั้งซ้ายขวาและแถมที่หน้าผากให้อีกที ก่อนจะหันไปหาชวิศา “ด้วยไหม”
“ไม่ครับ เพราะครั้งนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังสร้างปัญหาให้คุณสุดฟ้าตั้งหลายอย่าง”
“อย่าคิดมากไปเลยน่า” สุดฟ้าพูดปลอบ ชวิศาจึงตอบรับว่าจะไม่คิดมาก
มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนออกจากตัวเมืองเข้าสู่เขตปริมณฑล แล้วเลี้ยวอีกทีเข้าสู่ถนนเทปูนที่ดูเหมือนว่าเจ้าของที่ตั้งใจจะสร้างบ้านจัดสรร แต่อาจจะเจอพิษเศรษฐกิจหรือขาดเงินทุนเสียก่อน จึงต้องปล่อยทิ้งโครงการ ทำให้ที่ดินสองข้างทางกลายเป็นที่รกร้าง
สุดฟ้าเห็นว่าน่าจะปลอดคนแน่แล้วจึงเอ่ยว่า “เปลี่ยนโหมดได้”
สองมือของสเตบาสเตียนยังจับอยู่ที่พวงมาลัย ทว่าเมื่อระบบสมองกลรับคำสั่งเสียงมาแล้ว มันได้ควบคุมสั่งการต่อเนื่องให้ยานพาหนะที่ยังวิ่งอยู่บนพื้นเริ่มลอยตัวขึ้น
“โหมดอากาศยานเริ่มต้นทำงาน” เสียงประดิษฐ์ของระบบขับเคลื่อนดังออกมาจากลำโพงแจ้งเตือนขั้นตอนการทำงาน ก่อนมีเสียงเตือนอีกครั้งให้พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัย
ชายหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนกันสองคนซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังจึงดึงเข็มขัดออกมาพาดข้ามตัวแล้วกดลงในช่องตัวจับล็อก
ครั้งนี้มอเตอร์สเปซไม่ได้ลอยขึ้นในแนวดิ่งแต่มันบินขึ้นด้วยวิธีการเดียวกับเครื่องบินลำใหญ่ เพราะระบบขับเคลื่อนทำงานอยู่แล้วทั้งยังมีพื้นที่พอ ความเร็วในการเคลื่อนที่บินขึ้นจึงพุ่งพรวด
สุดฟ้ายกมือโบกให้สัญญาณกับสเตบาสเตียน ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกมวนท้องพะอืดพะอมอยากจะขย้อนอาหารมื้อเช้าออกมาทางปาก หรืออีกความหมายหนึ่งคือ เขากำลังเมาเครื่อง!!!
หุ่นยนต์คุณพ่อบ้านก็ช่างรู้ใจดึงถุงกระดาษมาส่งให้อย่างรวดเร็ว สุดฟ้าจึงจัดการถ่ายเทของเหลวจนกระทั่งหมดกระเพาะ ก่อนจะพิงศีรษะกับเบาะด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรง ขณะที่สเตบาสเตียนจัดการรับถุงอาเจียนมามัดปากถุงเสียแน่น พร้อมกันนั้นช่องวางของระหว่างที่นั่งตอนหน้าได้เปิดออกให้เห็นว่าข้างในกลวงเปล่า สเตบาสเตียนทิ้งของในมือลงไปในนั้น
“ไหวไหมครับ” ชวิศาเอ่ยถาม พนักพิงของสุดฟ้าค่อย ๆ เอนลงเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถให้ชายหนุ่มได้นอนอย่างสบายตัวมากขึ้น เห็นใบหน้าซีดเซียวของสุดฟ้าแล้วชวิศานึกสงสารขึ้นมาทันที
อีกพักใหญ่ ๆ ต่อมา มอเตอร์สเปซก็ถึงระดับเพดานบิน การเคลื่อนที่จึงนิ่งเงียบราวกับวิ่งอยู่บนพื้นและแม้ระดับเพดานบินที่ว่าจะอยู่สูงเหนือเมฆแต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงกดอากาศจากภายนอก
“ยังพอทนได้ไหว” สุดฟ้าตอบทั้งที่ยังนอนหลับตา
“ผมต้องขอโทษด้วยครับ” สเตบาสเตียนเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะทุกครั้งที่ใช้โหมดอากาศยาน มอเตอร์สเปซจะถูกสั่งให้ลอยขึ้นในแนวดิ่ง ระบบของสเตบาสเตียนจึงไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ แม้แต่สุดฟ้าเองก็ตาม เขาเข้าใจเพียงแค่ว่าตนเองเมาเครื่องบิน จึงได้สร้างยานพาหนะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้มาแทนที่ โดยไม่รู้ว่าวิธีการนำเครื่องขึ้นนั่นต่างหากที่ทำให้เขามึนศีรษะ
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย”
“มีน้ำเย็นกับผ้าขนหนูบ้างไหม” ชวิศาเอ่ยถามอีกครั้ง ซึ่งคุณพ่อบ้านก็จัดสรรมาให้โดยมันถูกเลื่อนขึ้นมาจากช่องเก็บของระหว่างที่นั่งตอนหน้า จนชวิศาเริ่มแปลกใจว่า มันมีอะไรถูกเก็บไว้ภายในบ้าง
อย่างไรก็ดี ชวิศาได้ลงมือจัดการเทน้ำเย็นลงบนผ้า ขยำดูว่ามันพอหมาดแล้วซับลงบนใบหน้าของสุดฟ้า
“ขอบใจน้า”
“ทานยาดีไหมครับ มียาหรือเปล่าคุณสเตบาสเตียน” ชวิศาถามสุดฟ้าก่อนหันไปคุยกับคุณพ่อบ้าน เมื่อได้ยินคำถามที่ว่านั้น สเตบาสเตียนก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าทันทีซึ่งยาที่ว่าคือยานอนหลับที่สุดฟ้าต้องทานทุกครั้งก่อนขึ้นเครื่องบิน
“ด็อกเตอร์ อ้าปากครับ”
สุดฟ้าอ้าปากให้สเตบาสเตียนหย่อนเม็ดยาลงไป ชวิศาจึงพูดต่อ
“ทานน้ำหน่อยไหมครับ”
สุดฟ้าโบกมือปฏิเสธ “ไม่ล่ะ” แล้ววางมือประสานบนอก เงียบเสียงไม่พูดอะไรอีกเพียงครู่เดียวลมหายใจของชายหนุ่มก็ทอดยาวสม่ำเสมอ
“คุณสุดฟ้าหลับแล้วเหรอ” ชวิศากระซิบถามเสียงเบา ซึ่งมีสเตบาสเตียนเป็นคนตอบคำถามนั้น “ครับ ยานอนหลับตัวนี้ออกฤทธิ์เร็วมาก”
“คุณชวิศาไม่ต้องเป็นห่วงหรอก สเตบาสเตียนอยู่กับด็อกเตอร์มานานแล้ว เป็นคุณพ่อบ้านที่รู้ใจเจ้านายสุด ๆ” มาริเอะพูดแบบนั้นได้เพราะสามารถเข้าถึงล็อกไฟล์การทำงานของสเตบาสเตียนที่ถูกบันทึกอยู่ในระบบกลาง
“แต่คุณสเตบาสเตียนเพิ่งถูกเปลี่ยนมาอยู่ในรูปลักษณ์นี้เมื่อไม่นานเองนะ” ชวิศาเอ่ยแย้งแต่เสียงที่ใช้พูดเบาลงกว่าปกติเพราะไม่อยากรบกวนคนที่กำลังนอนหลับ
“เมื่อก่อนผมอยู่บนโทรศัพท์มือถือของด็อกเตอร์ด้วยครับ เป็นโปรแกรมที่มีหน้าตาประมาณเกมจีบหนุ่ม”
“เอ๋ งั้นคุณสเตบาสเตียนก็มีรูปลักษณ์หน้าตามาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเหรอ”
“หน้าตาเหมือนคิขุแมนนะครับ” เสียงพูดของมาริเอะเหมือนทั้งเบื่อทั้งระอา
มนุษย์ที่เป็นคนฟังถึงกับหัวเราะ “คิขุแมนก็น่ารักดีออก” มาริเอะจึงย่นจมูก
“คุณชวิศาเนี่ยหลงด็อกเตอร์สุด ๆ เลย ด็อกเตอร์ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้แล้วเนี่ย”
“ถ้าสุภาษิตที่ถูกต้องมันคือ ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกครับ” คุณพ่อบ้านพูดแก้ ขณะที่ชวิศายังยกยิ้มขำขันฟังมาริเอะเถียงกลับไปว่า
“ก็ด็อกเตอร์ไม่มีทางเห็นนกเป็นไม้และเห็นไม้เป็นนกนี่ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องพาไปตรวจแล้ว ต้องเกิดอะไรผิดปกติขึ้นสักอย่างแน่”
“มันแค่เปรียบเทียบไงครับ” ชวิศาพูด “แต่ผมหลงคุณสุดฟ้าจริง ๆ แหละ หลงรักหมดใจเลย” พลางยกมือขึ้นมาประกบเป็นรู้หัวใจไว้กลางอก เอียงคอยิ้มหวานซ้ำยังขยิบตาให้ มาริเอะที่นิ่งมองกะพริบตาปริบ ๆ แต่การกะพริบตานั้นเป็นการจับภาพเพื่อลอกเลียนแบบ จากนั้นมาริเอะจึงทำท่าแบบนั้นออกมาบ้าง
“หลงรักหมดใจเลย”
“งุ้ย!!! ดีง่ะ คุณสเตบาสเตียนถ่ายรูปให้หน่อย” ชวิศารีบยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้คุณพ่อบ้าน ทว่าโดนคนที่หน้าเหมือนกันห้ามไว้ก่อน
“ไม่ต้องใช้กล้องโทรศัพท์หรอกครับ” แล้วมาริเอะก็พยักพเยิดให้ออกท่าออกทาง แม้จะประกบมือเป็นรูปหัวใจแต่ชวิศายังมีทีท่างุนงง อย่างไรก็ดีครู่ต่อมา มาริเอะได้บอกให้ชวิศาเปิดดูภาพในโทรศัพท์
“เฮ้ย! ทำได้ไงอะ”
“อย่าลืมสิครับ พวกผมเป็นซูเปอร์หุ่นยนต์มากความสามารถนะครับ” มาริเอะพูดตอบพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง
“งั้น ถ่ายอีก ถ่ายอีก ภาพเมื่อกี้ยังไม่ดีเลย”
หลังจากนั้น ชวิศาจึงเอ่ยปากบอกท่าทางแอ็กต์ท่าถ่ายรูปคู่กับมาริเอะอีกหลายภาพ พอได้ภาพมาอยู่ในโทรศัพท์มือถือก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ทำให้มาริเอะเอ่ยปากถาม
“คุณชวิศาดูมีความสุข ทั้งที่แค่ดูรูปตัวเองเท่านั้นเอง อย่างในซีรี่ส์ถ้านางเอกหรือพระเอก เปิดโทรศัพท์เพื่อดูรูปคนที่ชอบแล้วยกยิ้มมีความสุข ผมยังพอเข้าใจได้”
“ก็รูปมันน่ารัก”
“รูปตัวเองนะหรือ”
“อืม เพราะเราถ่ายรูปคู่กันด้วย ดูดิหน้าตาดีคูณสอง”
“อย่างนี้เขาเรียกว่าหลงตัวเองหรือเปล่า”
“ใช่เลย แต่หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” ชวิศาหัวเราะก่อนพูดตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “พี่โยยังชอบให้ผมไปออกงานบ่อย ๆ ทั้งที่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่พี่ชายผมเขาบอกว่า ‘เอาไว้โชว์’ ดูดิโคตรใจร้ายทำอย่างกับเราเป็นของประดับ” กระนั้นเจ้าตัวกลับไม่มีทางทางเศร้าใจตามคำที่พูด
“ตอนที่คุณมาริอยู่กับพี่โยเป็นยังไงบ้างล่ะ”
มาริเอะเบะปากยักไหล่ “ไม่รู้สิครับ ชอบจ้องไม่วางตาเลย”
“ก็คงแปลกใจแหละว่าทำไมคุณถึงหน้าตาเหมือนผมนัก เออ... ว่าแต่พี่โยรู้หรือเปล่าว่าคุณมาริเป็นหุ่นยนต์”
“รู้ครับ ตั้งแต่แรกเลย เพราะด็อกเตอร์ต้องการให้ผมอยู่ที่บ้านนั้น ตอนช่วงที่แม่ของคุณชวิศากลับมา”
“หวา... เท่ากับว่าคุณสุดฟ้าจับโกหกผมได้ตั้งนานแล้วสิเนี่ย”
“จับได้ตั้งแต่วันแรกที่คุณชวิศาเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วครับ” สเตบาสเตียนพูดขึ้นมาบ้างเพราะไม่เคยได้รับคำสั่งว่าต้องปิดเป็นความลับ ซึ่งถ้าชวิศามีการถามถึงประเด็นนี้ก่อนหน้า หุ่นยนต์พ่อบ้านก็ยังจะตอบความจริงไปตามตรงอยู่ดี
“อะไรเนี่ย เพราะอะไรล่ะ”
“เพราะคุณชวิศาทานข้าวครับ”
“ฮะ?”
หุ่นยนต์ทั้งสองตนปล่อยให้ชวิศานิ่งคิดประมวลผล เป็นครู่ใหญ่ถึงจะเข้าใจคำพูดของสเตบาสเตียน “โธ่ ผมเป็นคน ไม่กินข้าวก็ตายสิครับ แล้วตอนนั้นใครจะไปคิดว่าคุณมาริเป็นหุ่นยนต์” จากนั้นพูดต่ออีกว่า ยังกังวลแทบตายที่คุณมาริหลับไม่ตื่นเป็นสัปดาห์ทั้งที่ดูเหมือนว่าหายใจปกติ
ชวิศายังซักถามสองหุ่นยนต์อีกหลายเรื่องและชวนพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะถึงจุดหมาย ระหว่างทางสเตบาสเตียนได้นำอาหารกล่องอุ่นร้อนมาเสิร์ฟให้มนุษย์คนเดียวที่ยังตื่นอยู่
เมื่อท้องร้องชวิศาก็เกิดกังวลว่าสุดฟ้าจะหิวด้วยหรือไม่
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ปกติด็อกเตอร์ก็นอนเป็นวัน ๆ อยู่แล้ว” สเตบาสเตียนพูดอธิบาย ชายหนุ่มร่างเล็กจึงละความสนใจกลับมาอยู่กับการนำอาหารใส่กระเพาะตัวเอง
หลังทานอาหารเสร็จ ชวิศาก็เริ่มง่วงแต่เพราะพื้นที่ในมอเตอร์สเปซค่อนข้างคับแคบ ชายหนุ่มจึงได้เอนหลังพิงเบาะหลับตา ก่อนจะถูกดึงให้ไปวางศีรษะบนตักของมาริเอะ จากนั้นชวิศาก็หลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะหิวข้าวและคุณพ่อบ้านก็ช่างแสนรู้ใจ เตรียมข้าวกล่องอุ่น ๆ ไว้ให้พร้อม
“มีแต่ข้าวกล่องนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกินได้”
ก่อนหน้าเดินทางพวกเขาจัดการกำจัดของสดในตู้เย็นลงกระเพาะให้หมดเหมือนเมื่อครั้งที่เดินทางไปฮัชดาลลาร์ แต่เขากับสุดฟ้าไม่มีใครนึกถึงอาหารระหว่างการเดินทาง เพราะถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารก็ไม่จำเป็นต้องห่วงในเรื่องนี้ อย่างสุดฟ้าคงไม่ต้องเป็นห่วงนักเนื่องจากชายหนุ่มชอบหลับยาวตลอดการเดินทาง แต่ชวิศาดันลืมนึกถึงตัวเอง โชคดีที่คุณพ่อบ้านช่างละเอียดรอบคอบ เขาถึงไม่ต้องอดตาย
“ผมน่าจะเอาอาหารเก็บไว้ในอัญมณีช่องว่างมิติบ้างเนอะ” ชวิศาพูดออกมาลอย ๆ
“อัญมณีใช้เก็บพวกอาหารได้ด้วยหรือครับ” มาริเอะจึงเอ่ยถามเพื่อต่อบทสนทนา
“อืม... ไม่รู้อะ ผมไม่เคยลอง” เขาแค่รู้สึกว่ามันน่าจะเก็บได้ซึ่งถ้าทำได้จริงก็นับว่าสะดวกมาก เขาจะได้ไม่ต้องลำบากเวลาเดินทางไปไหนอีก ส่วนในตอนแรกที่เขาพูดออกมา นั่นหมายถึงอาหารสำเร็จรูปหรือพวกขนม
เมื่อได้ยินคำตอบแบบลังเลไม่แน่ใจ มาริเอะจึงเสนอว่า “อย่างนั้นทดลองง่าย ๆ ดูก่อนไหมครับ ว่ามันเก็บของพวกอาหารได้หรือเปล่า”
ชวิศาพยักหน้า มาริเอะจึงหันไปขอน้ำแข็งจากสเตบาสเตียนและมันก็ปรากฏออกมาจากช่องใส่ของนั่นอีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่องใส่ของระหว่างที่นั่งตอนหน้ามันช่างเทพจริง ๆ จนสเตบาสเตียนอธิบายว่า
“มันไม่ได้พิเศษขนาดนั้นหรอกครับ แค่มีระบบทำน้ำร้อนน้ำเย็น และช่องว่างสำหรับสิ่งของอีกเล็กน้อย ที่ผมเตรียมไว้ก็พวกเครื่องดื่มกับอาหารเพราะเห็นว่าต้องใช้เวลาเดินทางนาน เผื่อด็อกเตอร์กับคุณชวิศาจะหิว”
ชวิศายิ่งทึ่ง
“แปลกอะไรละครับ สเตบาสเตียนเป็นพ่อบ้าน ด็อกเตอร์ลงโปรแกรมให้ดูแลเรื่องอาหารการกิน การทำความสะอาดดูแลความเรียบร้อยของบ้านเป็นหลัก ในระบบประมวลผลหลักก็มีแต่เรื่องพวกนี้” มาริเอะรีบพูดบอกเมื่อเห็นว่า ชวิศาส่งสายตาชื่นชมสเตบาสเตียนออกนอกหน้า
คุณพ่อบ้านจึงยิ้มรับ “ใช่ครับ ลำดับความสำคัญในการทำงานของผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นเป็นหลัก”
“คุณชวิศาเอาแก้วน้ำแข็งนี่ใส่ไว้ในอัญมณีนะครับ แล้วทิ้งไว้สักสองชั่วโมงค่อยนำออกมาดูว่าน้ำแข็งละลายหรือไม่”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้ารับ วางมือไว้บนอัญมณีสีนิล สายตาจ้องมองแก้วน้ำแข็งพลางกำหนดในใจว่า ‘เก็บ’ ฉับพลันนั้นมันก็หายไปจากมือของมาริเอะ
“ทานข้าวต่อเถอะครับ” มาริเอะเอ่ยอีกครั้ง กลิ่นหอมฉุยยั่วยวนทำให้ชวิศาลงมือทานอาหารอย่างไม่รอช้า จนอาหารหมดแล้วคนทานถึงเพิ่งรู้สึกว่า “กลิ่นกับข้าวหึ่งเลย”
“ไม่รู้สิครับ พวกผมรับกลิ่นไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเปิดระบบดูดอากาศให้นะครับ” สเตบาสเตียนพูด เพียงสองสามนาทีต่อจากนั้น อากาศภายในก็กลับมาสดชื่นดุจเดิม
อิ่มหนำสำราญทั้งยังเพิ่งตื่น ชวิศาจึงสดชื่นเต็มที่ เขากวาดสายตาหันมองรอบตัวถึงได้เห็นบรรยากาศภายนอกยานพาหนะ
ยานยนต์คันนั้นลอยอยู่เหนือเมฆจึงเห็นกลุ่มก้อนไอน้ำจับตัวกันมองคล้ายพื้นราบกว้างสุดสายตา ที่สุดขอบท้องฟ้ามีสีแดงอมส้มซึ่งแม้จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงโตที่ใกล้ลาลับ ทว่าผืนฟ้าที่เห็นก็ดูสวยจับตา
ชวิศาจึงขยับตัวไปเกาะกระจก มองดูปุยเมฆสีขาวที่น่าล้มตัวลงนอนด้วยรอยยิ้ม นั่งนิ่งมองกระทั่งแสงสีส้มหายไปกลายเป็นสีน้ำเงิน
พวกเขายังต้องเดินทางกันอีกหลายชั่วโมง แต่ในระหว่างนั้นเมื่อครบสองชั่วโมงของการทดลองที่ชวิศาลืมไปแล้ว มาริเอะได้เตือนให้เขานำแก้วน้ำแข็งออกมาดู ปรากฏว่าน้ำแข็งนั้นยังไม่ละลาย
“โห เจ๋งสุด ๆ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวอดแล้ว” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของอัญมณีร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“น่าแปลกนะครับ ตอนนั้นที่เราสองคนถูกจับ พื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์กลับสามารถให้มนุษย์อยู่อาศัยและมีอากาศหายใจได้”
ชวิศายิ้มแหยไม่มีความคิดเห็น
“อ้อ ไม่ต้องคิดมากครับ ผมแค่ลองตั้งข้อสังเกตเท่านั้น”
มอเตอร์สเปซยังเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางในความมืดมิด ด้วยระบบนำทางและการควบคุมการขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์สมองกลทำให้ไฟส่องสว่างไร้ความจำเป็น นอกเหนือไปกว่านั้นเพราะมันบินอยู่สูงกว่าระดับการบินของเครื่องบินทั่วไป
และในที่สุด พวกเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง เสียงเตือนให้ตรวจสอบเข็มขัดนิรภัยดังขึ้นก่อนที่มอเตอร์สเปซจะเริ่มลดระดับลงเรื่อย ๆ
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของยานพาหนะยังคงหลับสนิทไม่หือไม่อืออยู่เช่นเดิม
และถึงชวิศาจะรู้ว่า ยานพาหนะกำลังลดระดับแต่ก็ใช้เวลาอีกร่วมชั่วโมงกว่าล้อทั้งสี่จะแตะพื้นดิน รอบด้านมืดสนิทไร้แสงใด ๆ กระนั้นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าสวยก็ยังเหลียวซ้ายแลขวาด้วยอาการอยากรู้อยากเห็น และในตอนนั้น สุดฟ้าได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
“เอายังไงดี” สุดฟ้าพูดก่อนหันไปถามชวิศา “คืนนี้ต้องนอนในรถนะ ได้ไหม”
“ผมไม่มีปัญหาครับ” เพราะนอนหลับมาตื่นแล้วเลยไม่มีปัญหาอะไรอีก
“เอาเป็นหาจุดที่มีสันเขาหน่อยแล้วกันจะได้บังลม เผื่อมีพายุหิมะจะได้ไม่ต้องผวา” สุดฟ้าออกคำสั่งกับสเตบาสเตียน ได้ยินอย่างนั้นชวิศาถึงเอะใจ
“จะมีพายุหิมะด้วยหรือครับ นี่เราอยู่ที่ไหนกันเหรอ” แต่ละครั้งที่เขาใช้มนตราเพื่อตรวจสอบสถานะความเป็นอยู่บุพการีทั้งสองของสุดฟ้า เขาก็พอเห็นว่าท่านทั้งสองอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด แต่ยอมรับเลยว่าเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านทั้งสองอยู่ที่ไหนและไม่เคยเอ่ยถามด้วย พอเขาไม่เคยถาม สุดฟ้าก็ไม่เคยบอกเขาเช่นเดียวกัน
“ทวีปแอนตาร์กติกา”
“ทวีปแอนตาร์กติกา!!!” ชวิศาทวนคำตอบนั้นซ้ำด้วยความตื่นเต้น นี่เขามาถึงทวีปแอนตาร์กติกาเลยเหรอเนี่ยก่อนเอ่ยอีกคำถาม
“แล้ว ‘ทวีปแอนตาร์กติกา’ มันคือที่ไหนหรือครับ”
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++