เข้ามาวันนี้ อยากจะกรี๊ด... ยอดวิวทะลุหกพันไปแล้วเรียบร้อย ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกคนอีกครั้งนะคะที่แวะเข้ามากัน คนเขียนดีใจมากจริงๆค่ะ
แล้วก็... มาคราวนี้ ไม่ได้มามือเปล่าแล้วค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จู่ๆจะเขียนตอนพิเศษจบไปแล้วตอนนึงภายในระยะเวลาอันรวดเร็วมาก จบเฉยเลย... แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาฝากเสียที หลังจากห่างหายไปพักนึงนะคะ
สำหรับตอนพิเศษเรื่องแรกที่นิ้วไขว้เลือกเขียนก็คือ ตอนพิเศษของ Courage ซึ่งก็คือคู่ของฮานกับบลูนั่นเองค่ะ ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่า มันหวานเหลือเกิน ตอนเขียนน่ะไม่รู้ตัวหรอก มือมันพาไป แต่พอกลับมาย้อนอ่านอีกรอบ... พี่เอ๊ย... ถ้าจะหวานใส่กันขนาดนั้น และถ้าจะอ้อนกันขนาดนั้น
ดังนั้นคำเตือนของตอนพิเศษตอนนี้ก็คือ... ระวังจะเลี่ยนค่ะ อ่านไปเขินไปกันเลยทีเดียว
ยังไงขอเชิญไปทัศนากันก่อน แล้วจะทิ้งท้ายตอนจบอีกทีค่ะ
-----------------------------------
เรื่องสั้นตอนพิเศษ : Courage – Weakness
หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในอ้อมแขน ก่อนจะปิดประตูเบื้องหลังลงด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ “คุณ” ของเธอ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือนายใหญ่ของที่นี่คลายความเคร่งเครียดลง มีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น และมีรอยยิ้มให้เห็นบ่อยขึ้นกว่าที่เคย แน่ล่ะ แม้ว่าก่อนหน้านี้ คุณฮาน จะไม่ใช่เจ้านายแบบที่เจ้าอารมณ์ หรือเข้มงวดจนน่ากลัวประสาคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็มีความน่าเกรงขามระคนกับใบหน้าและบุคลิกเคร่งขรึม ที่ทำเอาใครต่อใครครั่นคร้ามไปตามๆกัน เพียงแค่ใช้สายตามอง เรียกว่ายังไม่ทันออกปาก พนักงานก็กลัวกันหัวหด ด้วยไม่รู้ว่านายใหญ่คิดอะไรในใจ
แต่ระยะหลังมานี้ รอบตัวคุณฮานนั้น ดูมีบรรยากาศที่อ่อนโยนขึ้นจนรู้สึกได้ ขนาดพนักงานทั่วไปยังสังเกตเห็น แล้วคนที่ทำหน้าที่เป็นเลขามานานกว่าสิบปีอย่างเธอ มีหรือจะมองไม่ออก
“คุณเอมคะ” เสมียนสาวรายหนึ่งถึงกับอดรนทนไม่ได้ จนต้องออกปากถามเธอตรงๆทันทีที่เอมอรวางเอกสารลงบนโต๊ะและทรุดตัวลงนั่ง “คุณเอมว่า เดี๋ยวนี้คุณฮานดูอารมณ์ดีขึ้นไหมคะ แพรบอกไม่ถูก แต่แบบว่า...”
ความอยากรู้อยากเห็นนี่หนอ เอมอรยิ้มน้อยๆออกมาอย่างเข้าใจสถานการณ์ แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดอะไรมากเกินไป อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเรื่องของเจ้านายที่เธอทำงานด้วยโดยตรง อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมา เอมอรก็ไม่ใช่คนปากมากอยู่แล้ว ออกจะพูดน้อยเสียด้วยซ้ำ ประสาคนที่ทำงานมานาน และเป็นผู้ใหญ่กว่าใครเพื่อน
“คุณฮานเธอก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเท่าไหร่นี่คะแพร เคยใจดียังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้นแหละ”
“ฮื้อ ไม่นะคะ แพรว่า สีหน้าท่าทางเธอดูอ่อนโยนขึ้น ไม่ได้ดูเคร่งเครียด หรือขรึมจนติดจะมืดมนอย่างแต่ก่อน เดี๋ยวนี้แพรเห็นเธอยิ้มทักทายกับพนักงานทุกคนอย่างเป็นกันเองขึ้นเยอะเลย”
“แล้วไม่ดีหรือคะ” เอมอรว่ายิ้มๆ พลางจัดเรียงเอกสารไปด้วย
“ดีสิคะ แต่แหม... เป็นใครจะไม่สงสัยบ้างล่ะคะว่า ทำไมนายใหญ่เราถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่เรื่องของเจ้านาย อย่าไปยุ่งเลยค่ะ พี่ว่า ถ้าเธอเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วเป็นไปในทางที่ดีแบบนี้ ก็น่าจะดีแล้ว” เมื่อผู้อาวุโสกว่า พูดตัดบทเหมือนไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เด็กสาวจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อไป
ในฐานะเลขาที่ทำงานด้วยกันมานานขนาดนี้ มีหรือเอมอรจะไม่รู้ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่ใครก็พูดกัน ก็เธอเองนี่ล่ะ ที่คอยทำหน้าที่เป็นธุระจัดการแบบกลายๆให้ตั้งแต่แรก แถมยังเจอกับตัวต้นเหตุที่ว่ามาแล้วก็หลายหน ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากนักหรอกว่า ทำไมคุณฮานจึงเปลี่ยนไปจากเดิมจนใครๆก็รู้สึกได้
ถ้าไม่ใช่คนที่มีความรู้สึกด้านชาจนเกินไป ก็น่าจะพอมองออกว่า คุณฮานดูมีความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อน
ใครจะไปเชื่อว่า คนธรรมดาคนหนึ่งจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของอีกคนได้มากถึงเพียงนี้ อาจจะเป็นเพราะวัยเด็กของคุณฮาน อาจจะเป็นเพราะความสว่างไสวของเด็กคนนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะโชคชะตา อะไรไม่รู้ล่ะ ที่ประกอบกัน จนทำให้คนสองคนได้พบกัน
เอมอรเป็นหญิงวัยกว่าสี่สิบที่มีครอบครัวแล้ว เธอแต่งงานมาสิบกว่าปี มีลูกสาวและลูกชายวัยไล่เลี่ยกันอยู่สองคนเหมือนครอบครัวตามปกติทั่วไปก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เธอเป็นคนจิตใจคับแคบในการยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนเมื่อไหร่กัน เอมอรไม่เคยเชื่อว่าเพศสภาพจะกลายมาเป็นตัวตัดสินว่าใครไม่สมควรจะรักใครมานานแล้ว และเชื่อด้วยว่าหากคนสักคนจะรักคนอีกคนเพราะความเป็นตัวตนของคนคนนั้นเสียอย่าง จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือน่ารังเกียจอันใดสักนิด เมื่อคนสำคัญของคุณฮาน จะเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ไม่ใช่หญิงสาวจากตระกูลมั่งคั่งแบบที่คนส่วนใหญ่มองว่า น่าจะเหมาะกับคนระดับคุณฮานมากกว่า
เอมอรเคยพบเด็กคนนั้นอยู่หลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะนายใหญ่เป็นผู้ไหว้วานให้ช่วยโทรนัดหมายจิปาถะให้ คุณฮานก็จะเป็นคนโทรให้เด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมาหาเองบ้างเป็นครั้งคราว
เธอยังเคยคิดกับตัวเองด้วยซ้ำว่า คุณฮานของเธอตาแหลมไม่เบาที่เลือกเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่แค่หน้าตาที่ชวนมองเท่านั้น แต่ยังเป็นกริยามารยาทและนิสัยใจคอที่แม้แต่คนละเอียดละอออย่างเธอ ยังอดชื่นชมไม่ได้ เด็กอะไรกัน อายุยังน้อยแท้ๆ กลับดูฉลาดเฉลียว แต่ก็ใสซื่อจริงใจ ทั้งที่ดูเป็นคนคล่องแคล่ว แต่กลับมารยาทดี สุภาพ แล้วยังจะรอยยิ้มที่ช่างเหมาะกับใบหน้าที่ดูจะสดใสตลอดเวลานั่นด้วย
ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม คุณของเธอถึงได้หลงรักเด็กผู้ชายคนนี้ได้ถึงเพียงนั้น ทั้งที่ราวกับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เธออาจจะรักใครไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยเห็นเธอจะทำท่ายินดียินร้ายอะไรกับใครเลยแท้ๆ
“คุณเอมครับ...” เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้นทางโทรศัพท์ หลังจากเสียงของมันทำเอาเธอตื่นจากภวังค์แทบจะทันที “เดี๋ยวเย็นนี้บลูจะเอาพิซซ่าขึ้นมาส่ง รบกวนคุณเอมกระจายให้กับพนักงานที่ต้องอยู่ดึกเพราะปิดงบฯ คืนนี้ด้วยนะครับ แล้วก็ให้บลูเข้ามาหาผมที่ห้องได้เลยนะ”
“ได้ค่ะคุณฮาน” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง คุณฮานที่เคยเย็นชา กลับนึกถึงพนักงานที่ต้องทำงานจนดึกแบบนี้ ไม่เหมือนคุณฮานคนเดิมเลยจริงๆ
“ขอบคุณครับ” เอมอรวางหูและง่วนกับงานบนโต๊ะต่อ
**************************
เขาเปลี่ยนไปมาก ขนาดที่คนรอบข้างยังดูออก แล้วมีหรือที่เขาจะไม่รู้ตัวเอง
ตลอดระยะเวลาห้าหรือหกเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่เขาได้รู้จักกับบลู เขาก็รู้แล้วว่า ชีวิตของเขาจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่เขาเองก็คาดเดาอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ทีแรกฮานไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกอบอุ่นที่ซ่านขึ้นในหัวใจทุกครั้งที่มีบลูอยู่ใกล้ๆมันคืออะไร ไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกโหยหาและคิดถึงเวลาที่ไม่ได้เจอหน้า มันเรียกว่าอะไร ไม่แน่ใจว่าการอยากทำอะไรเพื่อใครสักคนที่เขารู้สึกว่าพิเศษสุดนั้น มันมีคำจัดความไหม
จนกระทั่งบลูเอ่ยแก่เขาในวันหนึ่งว่า “ผมว่าคุณดูมีความสุขขึ้นนะครับ” นั่นแหละ เขาจึงได้แต่เลิกคิ้วประหลาดใจขึ้นมา และหันกลับมามองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างตั้งใจดูสักครั้ง
เขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับบลูทำให้เขามีความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เขายอมรับก็ได้ว่าเขาคงมีความสุขขึ้นมากจริงๆ ลึกๆเขายังรู้สึกดีใจด้วยที่ความสุขในแบบของเขามันไม่ได้หวือหวา ไม่ได้โลดโผนโจนทะยาน ไม่ได้ทำให้เขากลัวว่ามันจะไม่ยั่งยืน แต่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่รู้สึกไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาเป็นส่วนใหญ่อย่างเขา จะรู้สึกแบบนี้ก็ได้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าจะให้เปรียบ บลูก็เหมือนแสงสว่างที่อบอุ่นในฤดูหนาว ไม่ใช่แสงเจิดจ้าร้อนแรงแผดเผา แต่มันทำให้จิตใจที่หนาวเหน็บเยือกเย็น อบอุ่นขึ้นได้อย่างอ่อนโยน
นี่เขาจะเพ้อเกินไปหรือเปล่านะ
แต่ใครจะไปเชื่อล่ะว่า เด็กบ้านแตกคนหนึ่ง จะสร้างความสุขให้เกิดกับ คนที่มาจากครอบครัวที่มีพร้อมคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ โชคชะตานี่หนอช่างเล่นตลกเสียจริง
ฮานไม่เคยรุกหนัก ไม่เคยทำให้บลูรู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจสักครั้ง อะไรที่จะทำให้บลูสบายใจ สะดวกใจ เขาก็ยินดีจะปล่อยให้บลูได้ทำอย่างที่ต้องการ บลูยังอยากทำงานพิเศษของเขาต่อไป ฮานก็ไม่เคยห้าม แค่เป็นห่วงนิดหน่อยเวลาที่เด็กหนุ่มจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าการจราจรที่ติดขัดในเมืองใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเท่านั้น นานๆเขาก็แวะไปหา ไม่ก็ไปรับไปส่งบลูที่บ้านเสียที บางทีก็มีพาไปหาอะไรง่ายๆทานบ้าง ไม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เป็นเรื่องง่ายๆที่ห่างไกลคำว่าโลดโผนไปลิบ
เขายังมั่นใจด้วยว่า บลูเองก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องมารู้จักคบหากับคนในระดับผู้บริหารใหญ่แบบเขา ไม่เคยกังวลเรื่องฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน ไม่เคยมองว่าอายุที่แตกต่างกันจะเป็นปัญหาอันใด บลูก็ยังเป็นบลูที่ซื่อตรง จริงใจ ตรงไปตรงมา และที่สำคัญเข้มแข็งไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เด็กอะไรน่าแปลก และน่าทึ่งผิดกับเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันเหลือเกิน
ฮานทึ่งในความเข้มแข็งอันนั้น เขาเคยสงสัยว่า บลูจะมีความอ่อนแออยู่บ้างไหม เพราะเจอกันคราวใด บลูไม่เคยแสดงถึงความทุกข์ใจใดๆให้เห็นเลย ทั้งๆที่พ่อกับแม่แยกทางกัน ทั้งที่ต้องทำงานพิเศษหาเลี้ยงตัวเองเพื่อช่วยแม่ ทั้งที่ยังต้องเรียนหนังสือไปด้วย แต่ทำไมบลูยังยิ้มอยู่ได้ แถมยังเป็นยิ้มที่สว่างไสวเสียขนาดนั้น
เขารู้ดีว่ายังต้องเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับบลูอีกมากมาย และอยากจะให้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะเร่งรัดอันใด ฮานรู้ว่าบลูไม่ใช่คนที่จู่ๆจะมานั่งเปิดใจเล่าปัญหาอะไรของตัวเองให้ใครฟังได้ง่ายๆ เพราะบลูเป็นคนที่เข้มแข็งขนาดนั้นนั่นแหละ
************************
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ฮานเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มกว้างขวางในแบบที่บลูเคยบอกว่า น่ามองกว่าใบหน้าเคร่งเครียดที่เขามักจะทำอยู่เป็นประจำตั้งเยอะ
ร่างที่เดินผ่านเข้ามาในประตูเป็นร่างที่คุ้นตา โดยเฉพาะตลอดช่วงระยะเวลาห้าหกเดือนที่ผ่านมา รูปร่างผอมเพรียวแต่สมส่วนด้วยความสูง 175 แขนขายาว ผิวขาวสะอาด นิ้วมือเรียวสวยชนิดที่ฮานต้องมองตามอยู่บ่อยๆ เด็กหนุ่มถอดหมวกที่ติดยี่ห้อร้านพิซซ่าที่เจ้าตัวทำงานอยู่ออก แล้วจึงใช้มือขาวๆนั้นขยี้ไปที่ผมหมาดชื้นดำขลับของตัวเองพลางย่นจมูก
“คุณฮาน ผมไม่ได้มาช้าเกินไปใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบจากประธานบริษัทที่แสนจะเคร่งขรึมในสายตาของพนักงานใต้บังคับบัญชา แต่ร่างที่ใหญ่กว่านั้น ลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่ยังคงปัดผมของตัวเองไปมาไม่เลิก
สัมผัสอันอบอุ่นจากมือใหญ่ข้างหนึ่งบนศรีษะกลมๆของบลูทำให้เด็กหนุ่มต้องหยุดมือด้วยความฉงน ก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อเห็นใบหน้านิ่วของคนตัวสูงที่อ่านได้ชัดเจนว่า กำลังไม่ชอบใจอะไรบางอย่างอีกแล้ว
“ทำไมถึงเปียกมาอย่างนี้” เสียงทุ้มนั้นเจือแววดุ แต่บลูกลับรู้สึกว่า มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยสักนิด
“วันนี้ฝนตกทั้งวันครับ ลูกค้าก็เลยโทรสั่งกันเยอะกว่าปกติ ก็เลย...”
“ตากฝนส่งพิซซ่ามาตั้งแต่กี่โมงแล้วเรา” ฮานถามทันทีชนิดไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันจบประโยค
“ประมาณเที่ยงจนถึง...” บลูนับนิ้วอย่างไม่แน่ใจ
“นี่สองทุ่มกว่าแล้ว”
“ก็นั่นแหละครับ แต่ก็ไม่ได้วิ่งตลอดซักหน่อย... ก็มีช่วงได้พักบ้างอยู่นะ”
“แล้วชุดที่ใส่นี่ล่ะ...” ฮานสัมผัสได้ถึงความชื้นบนเสื้อของเด็กหนุ่ม ไม่ต้องสืบเลยว่า กางเกงก็คงจะชื้นพอๆกัน
“ก็ชุดนี้ชุดเดียวทั้งวัน” บลูตอบยิ้มๆ “ผมเป็นพนักงานส่งพิซซ่านะครับคุณฮาน จะมีชุดเปลี่ยนเยอะแยะได้ที่ไหน” น้ำเสียงนั้นเจือแววล้อ
อีกฝ่ายที่เถียงไม่ออกจึงทำได้แค่ถอนหายใจแรงๆออกมา มือที่วางอยู่บนศรีษะขยี้ผมดำขลับที่ยังชื้นฝนอยู่นั้นเบาๆ ฮานเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กและเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้ร่างเล็กกว่าพร้อมสำทับทันทีชนิดไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ต่อปากต่อคำด้วย
“เช็ดผมให้แห้ง แล้วก็เปลี่ยนเสื้อซะ นี่เสื้อฉันเอง ตัวใหญ่หน่อย แต่ก็น่าจะดีกว่าให้เธอใส่เสื้อเปียกๆอย่างนี้ ฉันจะออกไปสั่งงานข้างนอก เธอรอฉันอยู่ในห้องนี้แหละ เสร็จแล้วฉันจะพาไปส่งที่บ้าน ฝนยังตกอยู่ฉันไม่ยอมให้เธอขี่มอเตอร์ไซค์ตากฝนแล้ววันนี้ เข้าใจไหม”
บลูทำตาโตก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาเบาๆ ไม่บ่อยหรอกที่ฮานจะพูดบ่นอะไรยาวๆ แถมยังทำท่าฮึดฮัดหงุดหงิดแบบนี้อีก แล้วจะให้เขาดื้อแพ่งอยู่ได้ยังไงกัน เพราะก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่า ฮานเป็นห่วงเขาอย่างกับอะไรดี
“คร้าบ... รับทราบคร้าบ” บลูรับของจากมือฮานก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นแต่ก็อดยิ้มให้กับร่างเล็กกว่าที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัวที่ค่อนข้างกว้างขวางนั้นไม่ได้
**************************
(มีต่อ)