ตอนที่ 3 สิ่งที่กิ๊งไม่รู้
หลังจากส่งกิ๊งที่หอพัก ผมก็ขับรถกลับบ้านด้วยรอยยิ้มตลอดทาง พอถึงบ้าน ผมกดเมมชื่อลงในโทรศัพท์
!!กุ๊งกิ๊ง!!
เผลอยิ้มให้หน้าจออีกครึ่งนาทีก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า กูบ้าไปแล้วใช่ไหม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้โทรศัพท์อยู่คนเดียว โดยที่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า
กูยิ้มทำไมวะเนี่ย! กะอีแค่ตัวเลขสิบตัวนี่มันมีอิทธิพลขนาดนั้นเลยหรือไง คำตอบคือ ใช่
แม้ไม่รู้ว่าได้มาแล้ว จะกล้าโทรหรือไม่ก็ตาม
ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวันย้ายหอวันแรก ผมกะว่าจะไปทักทายเพื่อนร่วมห้องสักหน่อย ถ้าคุยกันถูกคอก็อาจจะย้ายมาอยู่หอในด้วยซ้ำ ดูท่าจะสนุกดี เพราะทำให้รู้จักเพื่อนเยอะขึ้น มารอบนึงแล้วตอนเย็นแต่ไม่มีคนอยู่ แล้วก็เลยกลับมาอีกรอบตอนทุ่มเศษ ห้องไม่ได้ล็อก แต่ด้านในกลับมืดสนิท ทันทีที่ผมเปิดไฟแล้วหันมาพบกับร่างบางๆ ของใครบางคนนอนหลับสนิทบนเตียงเล็กๆ นั่น
ผู้หญิงที่ไหนวะ สวยชิบหาย .... ความคิดแรกเด้งดึ๋งขึ้นมา
แต่ตอนนี้ไม่ได้เมาครับ ยังพอมีสติอยู่ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไป “รับขวัญ” กันถึงเนื้อถึงตัวความคิดที่สองก็ตามมา
แล้วผู้หญิงที่ไหนจะเข้ามาอยู่ในหอชายวะ ไอ้โง่!!
โอ้...ไอ้กันย์ ฝันสลายเลยกู...
และแล้วไอ้ตัวดีตัวการที่หลับตาพริ้มให้ผมใช้สายตาแทะโลมอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยกระพริบตาอย่างงัวเงียพอเห็นหน้าผม ก็เด้งตัวขึ้นนั่งด้วยสีหน้าตกใจราวเห็นผี ผมนึกขำสีหน้าของมันนิดหน่อย จนได้แต่ยิ้ม เมื่อรู้ว่าเป็นผู้ชายความตื่นเต้นแต่แรกก็หายไปแล้วครับ เราแนะนำตัวและคุยกันนิดหน่อย หลายอย่างในตัวมันที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว การแต่งตัวสบายๆ อันได้แก่กางเกงขาสั้น ขายาวๆ ขาวเนียน ผ่านไปขึ้นแบบเร็วๆ เลยไม่อยากโรคจิตกว่านี้ เสื้อยืดพอดีตัวที่ทำให้พบว่า มันผอมบางมากๆ หน้าอกแบนราบ ยังไงก็ผู้ชาย ความคิดตอนนั้นชั่วมากครับ
มึงเป็นผู้ชายแต่มานอนให้ท่ากู!! พอตื่นขึ้นมายังมาทำท่าตกใจอีก กูนี่สิที่ต้องตกใจมึง!!
“เราสิต้องตกใจ นึกว่าสาวน้อยที่ไหนมานอนให้ท่า ดีนะที่เรายังยั้งใจไว้ทัน นี่ถ้าเมาล่ะก็ไม่แน่อาจจะลงมือปล้ำไปแล้ว ” บอกไปแบบกวนๆ ทั้งๆ ที่ตรงกับความเป็นจริง ก็ตอนเมา ไม่อยากจะเอ่ย... ถ้าเมาแล้วมาเจอสภาพนี้คงลืมนึกแน่ว่ามันเป็นผู้ชาย ถ้าปล้ำมันลงไป โอ.. สยองแน่มึง ไอ้กันย์
“เราง่วงก็เลยนอน ไม่ได้ให้ท่าสักหน่อย แล้วหน้าเราก็ไม่เหมือนผู้หญิงสักนิด” มันยังมีหน้าเถียงขึ้นมาอีก ไอ้ท่าทางน่ารักๆ แบบนั้นมันเอาไว้ให้ผู้หญิงทำต่างหากล่ะมึง
“เหรอ...” ผมทำเสียงสูงอย่างหมั่นไส้ พิจารณาหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิงของมัน หน้าขาว ตาโต ขนตางอน ปากนิดจมูกหน่อย หรือมันจะเป็น...
“เราผู้ชายนะ ไม่ใช่กระเทย” ทำยังกับมึงอ่านความคิดกูออก
“อือ..รู้แล้วน่า” ผมบอกไปอย่างรำคาญนิดๆ
“นายชอบผู้ชายหรือไง” ค้างเลยกู เจอคำถามนี้
“ไมถามงั้น”
“เห็นถอนใจเสียดาย ที่เราเป็นผู้ชาย” มันว่า ในสมองผมตอนนั้นตอบตัวเองว่า ในชีวิตไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะชอบผู้ชาย แต่กับคนตรงหน้านี่สิ มันไม่มีตรงไหนที่ทำให้ไม่ชอบเลยให้ตาย...
“เปล่า แค่นึกเสียดายหน้าสวยๆ น่าจะเป็นผู้หญิงซะให้รู้แล้วรู้รอด” กับประโยคในใจที่ไม่ได้ต่อให้จบ ว่า...เป็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้... มึงเสร็จกูแน่
ระหว่างที่คิดอยู่นั้นเอง มันก็ยืนขึ้นแล้วก็เข้ามาประชิดตัว มือบางแตะตรงหน้าอก ท่อนขาเบียดชิด ใบหน้าหวานแหงนเงยขึ้นมา ใกล้มากซะจนแทบลืมหายใจ แม่ง... สวยว่ะ
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ที่เกิดมาเป็นผู้ชาย แต่ถ้ารู้ว่าสักวันจะได้เจอนาย เลือกเกิดเป็นผู้หญิงก็ดี”
แล้วโลกก็เกือบหยุดหมุน!!
ผมตัวสั่นไปทั้งตัว ไม่ได้กลัว แต่มันสั่นสู้ ขนลุก ไม่แค่ขน แม้แต่ส่วนอ่อนไหว ที่หลับสนิทยังตื่นขึ้นมาเฉยเลย
ผมถอยหลังกรูด มองมันอย่างตกใจ
เวรล่ะ! นี่กูไปมีอารมณ์อย่างว่า กะผู้ชายอย่างมันไปได้ไง!!
จากวันนั้นผมไม่มีความคิดเรื่องจะย้ายเข้ามาอยู่หอในอีกเลย บอกตามตรงไม่ได้นึกกลัวมันหรอกครับ เพราะร่างบางๆ อย่างมันคงกดผมไม่ลง แต่กลัวใจตัวเองมากกว่า เพราะผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ คนนั้นคนเดียว ผมให้ผมกลับไปนอนกระสับกระส่ายอยู่ตั้งสองวัน
ไอ้กันย์ มึงไม่ได้เป็นเกย์นะโว้ย เลิกคิดถึงมันได้แล้ววววว ตะโกนบอกตัวเอง แต่ก็ยังทำไม่ได้สักที เอาแต่ปลอบใจตัวเองว่าไม่ได้กำลังนึกชอบผู้ชายอยู่ กูก็แค่สับสนเท่านั้น เพราะหน้ามันเหมือนผู้หญิงไง
ได้เหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดแล้ว ก็พยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำใจกล้าเข้าไปทักไอ้หน้าหวาน ในคาบภาษาไทย มันทำท่าแปลกใจเล็กน้อย
“ไง กิ๊ง” ยิ้มไว้ๆ
“อ้าว ดีกันย์” มันอมยิ้มตอนที่ตอบรับ “นึกว่าจะไม่คุยกับเราซะแล้ว”
“คุยสิ อะไรทำให้คิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็... วันนั้น เราแกล้งนายแรงไปหน่อยน่ะสิ ขอโทษนะ เราแค่ล้อเล่น คงไม่คิดจริงจังใช่ป่ะ”
“อ๋อ ไม่หรอก ฮ่าๆ” ผมตอบอย่างรักษาฟอร์มแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน
ไม่อ่ะ ไม่เลย กูไม่ได้คิดอะไรเลย...นอกจากเรื่องของมึงมาสองวันแล้ว!!
“เออ ถ้าไม่คิดอะไร แล้วทำไมถึงไม่กลับไปอยู่หอในล่ะ”
“อ๋อ เราอยู่กับพี่ชายน่ะ วิศวะปีสาม เขาเช่าบ้านอยู่คนเดียว”
“อือ แล้วไป นึกว่าไปอยู่คนเดียว”
“แต่ถ้าวันไหนจำเป็นขึ้นมาก็แวะไปรบกวนบ้างได้ไหมล่ะ”
“ก็มาสิ ไงๆ ก็ห้องนายอยู่ดี ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ” ประโยคท้ายฟังดูลึกซึ้งยังไงก็ไม่รู้ รอยยิ้มของมันทำให้ผมต้องหลบตา แค่เห็นหน้า กูก็หวั่นไหว ได้มองตา กูก็ใจสั่น ถ้าเราได้อยู่ใกล้กันทุกวัน กูจะหัวใจวายไหม
วันต่อมาเรียนวิชาชีวะ ผมเดินเข้ามาทางหน้าห้องพบว่ามันนั่งอยู่บริเวณแถวสองฝั่งประตู ผมเดินเข้าไปยืนหน้าเก้าอี้มัน ไม่ได้นั่งข้างๆ มันเงยหน้าขึ้นจากสมุดที่มีข้อความเป็นระเบียบเรียบร้อยเต็มแผ่นขึ้นมายิ้มให้ เป็นยิ้มที่ยกเพียงมุมปากเล็ก แต่ดวงตากลับแหววหวาน
“อ้าว ว่าไง นั่งดิ” มันทักทายและชวนให้นั่ง แต่ผมกะจะลอกการบ้าน ไอ้เพื่อนหลังห้องพอดี เลยต้องปฏิเสธ
“ไม่ไหวว่ะ ทำเลใกล้สมรภูมิจัด กิ๊งนี่ตั้งใจเรียนดีเนอะ”
“โห...กันย์ไม่รู้อะไร อาจารย์สอนชีวะหล่อขั้นเทพนะ ได้มีโอกาสเห็นหน้าแกชัดๆ ดีจะตาย” เฮ่ย.. ไม่ใช่แล้วมั้ง ผมทำหน้าเหวอเล็กน้อยกับสิ่งที่มันพูด ทบทวนความหมาย นี่อย่าบอกว่ามึงชอบ...ผู้ชาย มันมองหน้าจริงจังของผมแล้วหัวเราะร่า
“ฮ่าๆ เฮ้ยๆ เราพูดเล่น เราแค่สายตาไม่ดี ก็เลยนั่งหน้า ไม่ได้ชอบเค้าโว้ย กันย์นี่ตลกเนอะ อำอะไรก็เชื่อไปหมด” มันยิ้มขำ เหอะ! ทำเป็นขำ กูตกใจแทบแย่
“โทษทีว่ะ ที่กูมันเชื่อคนง่าย” เสียงผมออกไปทางงอนเล็กน้อย แล้วพอโมโหเลยเผลอพ่อขุนไปซะแล้ว แต่ช่างเถอะ ขี้เกียจแอ๊บแล้ว “เดี๋ยวกูไปนั่งข้างหลังก่อนนะ”
บอกโดยไม่รอคำตอบรีบเดินไปข้างหลังด้วยความขุ่นมัวใจจิตใจ
ไอ้ตัวแสบ มึงมีความสุขมากนักใช่ไหมที่ได้แกล้งกู!!
.........................
ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันนะ กาลังจะออกไปข้างนอกค่ะ
ไม่ค่อยมีเวลาแต่งเลยช่วงนี้ ทั้งๆ ที่พลอตเต็มหัวเลย
ครึ่งแรก เอาความคิดของกันย์แบบย้อนหลังไปก่อน คราวหน้าจะมาต่อให้ถึงล่าสุด พร้อมที่มาที่ไปของแพร
ซึ่งอยากให้เพื่อนๆ เข้าใจไม่โกรธกันย์นะ
THX// NaaribuS - นิ