Shot story - เรื่องสั้นๆของนาคกะครุฑ ผมนั่งจ้องหน้ากระดาษที่ว่างเปล่ามาได้ร่วมครึ่งชั่วโมง โดยมีซาวน์ดเป็นเสียงติดบิ๊กไบค์แต่ไม่ขับออกไปสักทีมาได้ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วเช่นกันอยู่เป็นเพื่อน
เพื่อนบ้านฝั่งขวาคือพ่อหนุ่มเซอร์ขับบิ๊กไบค์ที่ไม่รู้ว่าทำอาชีพอะไร วันๆอยู่ติดบ้านไม่ต่างจากผม ว่างๆก็ติดเครื่องบิ๊กไบค์เล่นเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ที่แน่ๆตัดอาชีพรับราชการไปแล้วหนึ่งด้วยรอยสักพร้อยทั่วตัวบ่งเอกลักษณ์ความอินดี้เฉพาะบุคคล
ส่วนเพื่อนบ้านฝั่งซ้ายคือหมาพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ 3 ตัวที่เป็นมิตรกับทุกคนยกเว้นยามประจำหมู่บ้าน ได้ยินเสียงจักรยานปั่นผ่านไม่ได้เป็นต้องเห่ากรรโชกรับจนน่าปวดหัว มีข้อดีอยู่อย่างคือในวันนั้นถ้าอยากรู้ว่ายามอู้ไม่อู้ให้เงี่ยหูฟังเสียงเห่าดูก็แล้วกัน
ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์มีเจ้าของ แต่เจ้าของของพวกมันไม่ค่อยอยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่ นานทีจะมานอนค้างสักคืนสองคืนแล้วก็หายยาวไปเป็นสัปดาห์
ผมคิดว่าพวกมันคงจะต้องเหงาน่าดู ...แต่ผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดจะไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนหมาเพราะความสงสารหรอก
ผมเหม่อลอยมองนาฬิกาติดผนังเหนือโน้ตบุ๊คขึ้นไป ผ่อนลมหายใจแล้วลมหายใจเล่า....
...เดดไลน์จ๋า...
...ลาก่อนจ้า...
ผมมีอาชีพเป็นนักเขียนครับ นักเขียนที่เริ่มจะไส้แห้งตามคำสบประมาทของผู้ชายที่เป็นพ่อของพ่อ
ก็ปู่นั่นแหละครับ ไม่รู้ว่าตัวเองจะลำดับเยอะให้ยุ่งยากไปเพื่ออะไร
ผมเคาะปากกาขนาด .38m หมึกลื่นยี่ห้อโปรดบนหน้าปกหนังสือจดโน้ตสีน้ำตาลอ่อน เป็นสมุดโน้ตเล่มที่เท่าไหร่แล้วผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน แรกๆผมเคยเขียนลำดับเลขแปะไว้หน้าปกอยู่ แต่หลังๆเป็นเพราะเริ่มขี้เกียจจนเกินไปเลยทำให้แปะเลขบ้างไม่แปะเลขบ้าง ผลสุดท้ายเล่มหลังๆมานี้ไม่เคยแปะเลขเรียงลำดับความคิดเหมือนกับเล่มก่อนๆเลย เลยทำให้บางอย่างออกจะเรียงมั่วซั่วกันอยู่บ้าง
ครับ ผมหมายถึงสมองที่กำลังจะขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงของผมนี่ล่ะ ทั้งที่ควรจรดนิ้วบนแป้นพิมพ์เพื่อบรรยายฉากจบของนิยายให้เสร็จสมบูรณ์สักที กลับเอาแต่นั่งคิดมั่วซั่วปล่อยเวลาไว้แล้วออกนอกทะเลไปไกล....
...น้ำ...
ร่างกายมีปฏิกิริยาตามคำสั่งของสมองทันที ผมกดเซฟ... ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าจะเซฟไปทำไมในเมื่อมันยังคงเป็นหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าอยู่...ลุกขึ้นจากเก้าอี้เกมมิ่งที่ซื้อมาตอนลดราคาวันที่ 11 ของเดือน 11 ในเว็บไซต์ช้อปออนไลน์ลาซานญ่า ปกติแล้วถึงจะขี้เกียจแค่ไหนแต่ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ผมมักจะขับรถออกไปเลือกและต้องลองด้วยตัวเองเท่านั้น
แต่เป็นเพราะตอนนั้นคำว่า Sale ตัวอักษรสีแดงมันล่อตาล่อใจเกินไปจริงๆ แถมเวลาซื้อกับจำนวนของที่เหลืออยู่ยังสุดจะจำกัด ด้วยความกลัวของหมดเร็ว...ไม่รู้ตอนไหนที่มือเผลอกดซื้อพร้อมโอนเงินออกไป...
แบบนี้จะเรียกว่าเป็นทาสการตลาดได้หรือเปล่า?
ผมเดินลงไปชั้นล่างตรงเข้าห้องครัว หยิบแก้วประจำที่อันนี้ไม่ใช่ของเซลแต่เป็นของขวัญจับฉลากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ทางสำนักพิมพ์จัดเลี้ยงให้เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เหมือนกับจะรู้ว่าผมต้องจับได้ของตัวเองแน่ๆ อีกฝ่ายเลยยัดแต่ของชอบของผมซึ่งล้วนแต่เป็นลายการ์ตูนแมวสีชมพูลิขสิทธิ์มาให้จนเต็มกล่อง
แก้วกระเบื้องในมือผมแล้วหนึ่ง
เสื้อยืดที่ผมใส่อยู่เป็นสอง
แผ่นรองเมาส์...ปลอกหมอนอิง...สมุดโน้ตสองเล่ม
........รวมทั้งกระดาษพับรูปหัวใจเล็กๆสีชมพูหวานแหววอีกเต็มกล่อง ที่ตอนนี้ผมย้ายนำไปใส่ไว้ในโถแก้วตั้งวางโชว์อยู่บนโต๊ะคอมแล้วนั่นล่ะ
โต๊ะคอมอยู่ในห้องนอน แล้วจะโชว์ใครได้ล่ะ?
ผมกดน้ำจากเครื่องทำน้ำเย็นแล้วดื่มน้ำเย็นๆลงคอจนเริ่มรู้สึกเย็นชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง
ในสมองของผมตอนนี้มีแต่คำว่า ‘เย็นๆ เย็นโว้ย’
เพราะรีบดื่มมากเกินไป ตอนนี้เลยจี๊ดไปเลยทั่วขั้วสมอง
ยืนพักหมองสักพักก่อนเอาแก้วไปล้างน้ำเปล่าแล้วคว่ำไว้ในที่คว่ำจานข้างๆซิ้งค์ แต่คิดไปคิดมากดน้ำเอาไว้ดื่มดับกระหายตอนสมองแล่นที่มักจะแล่นแบบขาดๆเกินๆทุกที ...ก็น่าจะดี
คิดปุ๊บก็ทำปั๊บ หยิบแก้วที่เพิ่งล้างขึ้นมาวางบนตะแกรงแล้วกดน้ำ จากนั้นก็แค่รอให้มันเต็ม
ผมยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวถอนหายใจตอนนี้ในสมองโล่งมากจริงๆ เหมือนไม่มีรอยหยัก ไม่มีเส้นเลือดคอยไหลเวียนหล่อเลี้ยง...ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย.........
‘อีกสามชั่วโมงครึ่ง’
...ก็เกือบเที่ยงคืนพอดี...
‘รีบเข้า ไม่งั้นข้าจะไปยืนเร่งเจ้าถึงที่บ้าน’
...มาไม่ได้หรอก หมาข้างบ้านไม่ถูกกับคนแปลกหน้า...
‘พวกมันเชื่องผ่านทีไรก็กระดิกหางให้ทุกที......ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนข้างบ้านของพวกมันจะเชื่องแล้วกระดิกหางให้ข้าเหมือนอย่างพวกมันสักที’
...ข้าไม่ใช่หมา...
เสียงในหัวเงียบไปแล้ว สงสัยจะลัดวงจร
...ครุฑโง่เง่า...-
เสียงเครื่องบิ๊กไบค์เงียบหายไปได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว ในที่สุดคงได้เวลาเขาเข้านอนเสียที แต่ผมยังคงนั่งอยู่กับที่ หน้าโต๊ะคอมพร้อมขนมจุกจิกที่เผลอหยิบติดมือมาเป็นเสบียงฉุกเฉิน
ไม่รู้ว่าเพราะความเงียบสงบที่ได้รับกลับคืนมา หรือว่าเป็นเพราะขนมพวกนี้กันแน่ แต่สุดท้ายผมก็เคาะต้นฉบับนิยายจนจบสมบูรณ์ได้สักที ก่อนเดดไลน์ตั้งหนึ่งชั่วโมงแน่ะ
ผมมองหน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่าเรียงรายอัดแน่นไปด้วยตัวอักษรด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเรื่องสั้นเรื่องยาว ไม่ว่าจะมีคนอ่านติดตามเยอะหรือแทบไม่มีเลย ผมก็รู้สึกภูมิใจเหมือนกันหมด
ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหลังจากกดส่งต้นฉบับไปให้บก.จอมจู้จี้ผ่านทางอีเมลล์เรียบร้อย เอนหลังพิงเก้าอี้เกมมิ่งทาสการตลาด
...ปู่ครับ ไส้ผมไม่เคยแห้งเลยครับ...
...เพราะว่าผมดื่มน้ำทุกวัน แล้วแบบนี้มันจะไปแห้งได้ยังไง...
จำได้ว่าผมเคยตอบ(หรือเถียง?)ปู่กลับไปอย่างนั้น หลังจากนั้นปู่ก็เงียบและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับอาชีพของผมอีก
ผมไม่ใช่หลานคนเดียวของปู่ ใน
คลอกที่ไม่เล็กขนาดนั้น ปู่ผิดหวังกับผมก็ยังมีหลานคนอื่นๆเหลือให้คาดหวังได้ต่อ
แต่พ่อนี่สิ ไม่เคยคุยกับผมอีกเลยหลังจากผมเลือกที่จะเดินออกมาเพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง
ในความคิดของพ่อ ผมคงไม่ใช่ลูกชายคนโตของเขาอีกต่อไปแล้ว
แต่ในความคิดของผม ผมยังเป็นลูกพ่อเสมอ
ลากเข้าดราม่าจนหน้าจอโน้ตบุ๊คดับ ผมก้มลงหยิบถังขยะขนาดเล็กข้างโต๊ะคอมมารองกวาดถุงรวมถึงเศษขนมทิ้ง ปัดไม้ปัดมือบิดขี้เกียจนิดหน่อยผมก็ลุกจากเก้าอี้แล้วโดดขึ้นเตียงที่อยู่ด้านหลังทันที
สำหรับจอมขี้เกียจโต๊ะทำงานอยู่ใกล้เตียงนอนเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้วจริงๆ
วางหมอนอิงสองใบเรียงไว้ข้างขวา บางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นหรืออาจมองเห็นจะได้ไม่สามารถมานอนได้เพราะที่เต็ม ส่วนข้างซ้ายมีตุ๊กตาแมวสีชมพูตัวใหญ่เกือบเท่าตัวผมนอนรอให้กอด ผมไม่รอช้าคว้ากอดหมับยกขาก่าย เผลอครางออกมาเพราะความรู้สึกสุขสบาย นั่งหลังขดหลังแข็งมาตั้งนาน อะไรจะดีไปกว่าการได้นอนกอดตุ๊กตาแมวสุดที่รักแล้วหลับไปอีกล่ะครับ
ความจริงผมคิดว่ายังไม่ทันได้หลับสนิทด้วยซ้ำ
แสงสีทองอ่อนจางทอระยิบระยับแยงวาบสาดเข้าตา เพียงช่วงเวลาสั้นๆมันก็สลายหายไปเหมือนไม่เคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดแบบนั้นขึ้นมาก่อน
ยามประจำหมู่บ้านคงไม่กล้าขนาดส่องไฟฉายขึ้นมาบนห้องผมหรอกครับ แถมวันนี้ยังไม่ได้ยินเสียงเพื่อนบ้านฝั่งซ้ายเห่ากรรโชกเลยด้วย คาดได้ว่ายามคงอู้งานไม่เข้ามาตรวจเช็คซอยบ้านผมอีกเช่นเคย
ละเลยต่อหน้าที่แบบนี้ต้องคอมเพลน
แสงสว่างสีทองเจิดจ้าแต่คราวนี้เหมือนจะมีสีแดงวาบแทรกอยู่ สาดสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ตำแหน่งเดิมแน่ๆหน้าระเบียงห้องนอนผมนี่ล่ะ
ผมถอนหายใจแล้วตัดสินใจว่าจะไม่สนใจดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงปิดตาไปซะ
แต่ผ้าห่มผืนหนาไม่สามารถกันแสงวาบนั้นได้.....ทรงพลังเกินไปแล้ว..........มันวาบๆแว้บๆประหนึ่งเป็นไฟเธคเลยทีเดียว
ประเดี๋ยวทอง ประเดี๋ยวแดง
ดูสับสนชวนวิงเวียนจริงๆ
“เจ้าบ้านั่น....”ผมพึมพำกัดฟันกรอดจนเผลอขบลิ้นตัวเองเข้า“โอ้ะ โอ้ย!”
แก๊กๆๆ
เสียงเคาะกระจกระเบียงรัวขึ้นมาทันที
“ภุชคินทร์! ภุชคินทร์! เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
แก๊กๆๆๆๆ
“คิน! อนุญาตให้เราเข้าไป เดี๋ยวนี้!”
“คิดว่าเจ้าเป็นใคร กงการอะไรมาออกคำสั่งกับข้า! อูย...”เผลอกระแทกเสียงหนักไปหน่อย ฟันกระทบแผลสดใหม่บนลิ้น ผมแสบเข้าทรวงเลยทีเดียว
อยากดุดันบ้างแต่ไม่เคยเป็นผลเลยสักครั้ง
“ภุชคินทร์ ข้านับหนึ่ง....”
“เออ! เข้ามาๆ ...โอ้ยๆ”
ผมว่าผมได้กลิ่นเลือด
อวลอยู่ในปากตัวเองเลยนี่ล่ะ
ให้มันได้อย่างนี้สิ
“ภุชคินทร์!”
เรือนร่างสูงใหญ่กำยำแทบบดบังตัวผมมิด ...ซึ่งอันที่จริงก็บังมิดไปเลยจริงๆนั่นแหละ... พรวดพราดเข้ามาไม่พอยังถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงแล้วโอบรวบตัวผมปะทะเข้ากับอกแข็งๆนั่นอีก
ซีกหน้าข้างขวาของผมกระแทกเข้ากับอกแข็งๆ เจ็บอย่างจังเลยไอ้บ้าเอ้ย
“เศวตโรหิต เจ้า...!”
“คินเป็นอะไร เราได้กลิ่นเลือด”
ถ้าบอกตรงๆว่ากัดปากตัวเองมันต้องหัวเราะเยาะผมแน่ๆ
แต่เดี๋ยวก่อน....
ผมเขม่นมองหน้าไอ้ตัวใหญ่ยักษ์แต่ไม่ใช่ยักษ์ จนมันสะดุ้งรีบพลิกลิ้นเปลี่ยนแปลงคำในประโยคคำพูดใหม่แทบทันที
“เจ้าเป็นอะไร ข้าได้กลิ่นเลือด”
อืม ...ต้องแบบนี้สิ
แคว้ก!
“เฮ้ย! ทำอะไรของเจ้า?!”
“เจ้าตอบช้า ไม่ทันใจ ข้าก็จะตรวจหาแผลให้น่ะสิ”
แค่จะหาแผลถึงขั้นต้องฉีกเสื้อกันเลยหรือ?
“เสื้อน้องแมวชมพูของข้า....”ผมคอตกก้มลงมองเสื้อยืดตัวโปรดที่ขาดวิ่นด้วยน้ำมือของครุฑโง่ตัวหนึ่งแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก จะว่าเสียใจที่เสียเสื้อตัวโปรดไปก็เสียใจไม่สุด
ความจริงแล้วอายมากกว่า จะยกมือขึ้นปิดนมก็ไม่ได้เมื่อทั้งสองมือถูกมือหนาแค่ข้างเดียวรวบจับไว้แน่น
ชักเริ่มทะแม่ง
“เดี๋ยวข้าหาซื้อมาให้เจ้าใหม่ก็ได้ เอาแบบลิมิเตดเลยดีหรือไม่? แต่ตอนนี้เจ้าต้องให้ข้าทำแผลให้เจ้าก่อนนะภุชคินทร์”
“เจ้าครุฑโง่เง่า...ข้าไม่ได้-”ผมอยากจะอธิบาย
แต่
“เฮ้ย! จับตรงไหนของเจ้าน่ะ!”
“ข้าให้เจ้าจับหน้าท้องของข้าคืนก็ได้นะ”
ผมมองตามมือของตัวเองที่ถูกจับลากไปวางลงบนกล้ามเนื้อเปลือยเปล่าสีทองแดงขึ้นลอนสวยงามตามคำพูด เพิ่งสังเกตว่ามันไม่ได้ใส่เสื้อ มีเพียงกางเกงยีนขายาวขาดเข่าตัวหนึ่งเท่านั้นที่บดบังช่วงล่างไว้
“กางเกงตัวนี้เจ้าเป็นคนให้ข้า”
ผมถลึงตาเมื่อแก้มของมันขึ้นสี
“ก็แค่ของขวัญจับฉลาก....”
“นั่นเพราะเจ้ารู้ว่าข้าจะต้อง
ได้จับของเจ้าแน่ๆ”
อย่าเรียงคำพูดผิดแล้วชวนให้รู้สึกสองแง่สองง่ามแบบนั้นจะได้ไหม
“ภุชคินทร์...”
“ข้าแค่เผลอกัดลิ้นตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงทีนี้เจ้าจะปล่อยข้าได้หรือยัง”
“ภุชคินทร์ ....ปล่อยไม่ได้หรอก”
บางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นและอาจจะกำลังจะได้เห็นดุนดันฝ่ามือของผมขึ้นมา
เอ๊ะ ทำไมมือผมเลื่อนไปวางอยู่บน‘นั้น’ได้กัน?
ดวงตาสองคู่ต่างสีมองสบประสาน
ผมเผลอเลียริมฝีปาก
และหลังจากนั้นก็โดนครุฑตัวยักษ์โถมเข้าใส่แบบฉับพลัน
ผมถอนหายใจ
เครียดกับต้นฉบับมาหลายเดือนแล้วได้ปลดปล่อยออกบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน
“อ๊า โรม... แรงอีก..แรงๆ อื้ออ”ช่วงขาสั่นสะท้านถูกจับกระชับพร้อมแรงโหมอัด ...ตอกยับเหมือนเครื่องยิงตะปูที่สวิตซ์ของมันเสียจนเจ้าของไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
...สมพรปากจริงๆ...
-
ชีวิตของผมออกจากชายคาบ้านแทบนับครั้งได้
“อ้าว สวัสดีครับพี่คิน”
ก็เหมือนกับเพื่อนบ้านฝั่งขวาที่ทั้งที่อยู่บ้านติดกันแต่กลับไม่ค่อยได้เจอหน้า เจอแต่เสียง ได้ยินแต่กับหู ....หมายถึงเสียงติดบิ๊กไบค์น่ะ อันนั้นสม่ำเสมอเสียยิ่งกว่าอะไร
มันคันปาก
อยากถามเหลือเกินว่าจะติดเครื่องไว้ทำไมถ้าไม่คิดจะขับมันออกไป?
“อ่า ไง”สุดท้ายก็ไม่ได้ถามแถมยังลืมชื่อไปแล้ว แห้งเลย....หมายถึงหน้าผมตอนนี้.......
ผมอุดสายยางให้น้ำลอดออกมาเป็นฝอยๆเพื่อฉีดรดพุ่มกุหลาบ บางทีผมควรคิดเรื่องติดสปิงเกอร์ได้แล้ว แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกมาจากบ้าน เลยได้แต่ปัดๆมันไว้ก่อน
“เมื่อไหร่จะดอกอ่ะพี่?”
...อันนี้ดอกอยู่แล้ว...
เอ๊ะ พ่อหนุ่มเซอร์มันหมายถึงผมหรือกุหลาบ?
“ดอกกุหลาบบ้านพี่อ่ะ เมื่อไหร่มันจะออกดอกสักที ผมเห็นพี่ออกมารดน้ำมันทีไร มันก็ยังมีแค่พุ่มเขียวๆอยู่แบบไหนแบบนั้น”
“เราออกจากบ้านด้วยเหรอ?”
“เปล่า... ผมมองพี่จากห้องอัดเพลงบนบ้าน โน่นน่ะพี่ หน้าต่างที่มีม่านปิดทึบอยู่บานเดียวนั่นอ่ะ”
ผมมองตามนิ้วชี้เรียวยาวที่ยกขึ้นชี้ไปยังบานหน้าต่างบนชั้นสองที่อยู่เยื้องซ้ายจากจุดที่ผมยืนอยู่ไปนิดหน่อย ก่อนจะเลื่อนลงมองหน้ายิ้มๆที่มีหนวดหร่อมแหร่มพร้อมกับผมหยิก หรือเขาเรียกว่าหยักศก? ยาวประบ่า ยุ่งเหยิงเล็กน้อย
....อันที่จริงแล้วยุ่งมากจนผมอยากจะยื่นหวีไปให้สางปมสักหน่อย
ติดที่ว่าหวีไม่ได้อยู่กับตัว
“อ้อ เป็นถ้ำมองเหรอ?”ผมถามเสียงใคร่รู้แต่ใจจริงไม่ได้อยากรู้สักเท่าไหร่ แล้วเบนทิศจากพุ่มกุหลาบไปรดต้นเชอร์รี่แทน
ผมขมวดคิ้ว
รู้สึกว่าพันธุ์ต้นไม้พวกนี้มันจะไม่ค่อยเข้ากับสภาวะอากาศของภูมิประเทศหรือเปล่านะ มันถึงไม่ออกดอกออกผลมาให้ได้ชื่นใจสักที
แต่คิดไปคิดมา... ช่างมันเถอะ มีพุ่มเขียวๆใบเขียวๆพอให้เจริญหูเจริญตาบ้างก็พอแล้ว
“เฮ้ย! ผมเปล่านะพี่”
“เหรอ”บอกตามตรงว่าผมไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ เกือบลืมไปแล้วด้วยว่าก่อนหน้านี้ทิ้งคำถามไว้ว่าอะไร
ผมเดินไปปิดก๊อกรอจนน้ำไหลออกมาน้อยจนแทบไม่ไหลแล้วจึงค่อยพันสายยางม้วนเก็บเข้าที่
“พี่คิน ผมไม่ได้ตั้งใจจะถ้ำมองพี่จริงๆนะ ก็แต่งๆเพลงอยู่แล้วมันแต่งไม่ออก สมองไม่โล่งผมเลยเปิดหน้าต่างรับลม รับสีเขียวเบิร์นสมอง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอพี่ยืนรดน้ำแทบทุกครั้งเลย แต่จริงๆแล้วผม-“
ผมเห็นว่าทุกอย่างเริ่มจะยืดยาว เลยเผลอจ้องตาเด็กเซอร์เขม็ง
สังเกตเห็นแสงสีทองอ่อนจางสะท้อนดวงตาฝ่ายนั้นเรียบร้อย ผมจึงค่อยกะพริบตาที่เริ่มแสบเพราะเบิกค้างนานไปหน่อย
เด็กบิ๊กไบค์ตัวแข็งทื่อ กระทั่งดวงตายังแข็งค้าง.... ปากด้วย ผมห่วงว่าเขาอาจจะน้ำลายย้อยหมดปากได้เลยใจดีจะยื่นมือไปดันคางขึ้นให้
“คิน”
แต่มือข้างนั้นกลับถูกรวบจับ พร้อมกันกับเอวที่ถูกรวบกอดหมุนให้หันไปหาอกแข็งๆ อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ
“บอกแล้วว่าอย่ากินเวย์”
“บอกแล้วเหมือนกันว่ามันเป็นกรรมพันธุ์”
ผมยกมือขึ้นลูบกล้ามเนื้อสีทองแดงเบาๆ ล่อตาล่อใจจนเกือบเผลอกัดเข้าให้ ...ยังดีที่ยั้งตัวทัน........
เลยตีไปหนึ่งเปี๊ยะแทน
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง เราเคยบอกคินแล้วว่าอย่าใช้พลัง”
ยังไม่พอขออีกหนึ่งเปี๊ยะ
“บอกว่าไม่
เราไม่
คินไง”
ดวงตาที่ยังคงแสบอยู่ถูกปลายนิ้วแตะลูบที่หางตาเบาๆ
หัวถูกจูบ
แก้มถูกหอม
“ก็นี่มันยุคไหนแล้ว”
“มันไม่วินเทจ....” เอ... หัวผมเอนไปซบอกครุฑตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
หน้าม้าปลิวเลยเพราะอีกฝ่ายถอนหายใจออกมา
“เจ้านี่...ช่างออดอ้อนนักนะ ภุชคินทร์”
“เศวตโรหิต...”
“เจ้านาคมากตัณหา”
ตัวของผมถูกโอบอุ้มขึ้น ความรู้สึกรุ่มร้อนร่านราคะแผดเผาไปทั่วสรรพางค์กาย ริมฝีปากปล่อยเสียงครางเครือไม่ยอมหยุด
บางคราเหมือนมนุษย์.....บางคราราวกับไม่ใช่
และเมื่อผิวหนังบางส่วนเปิดเปลือยเผยให้เห็นริ้วเกล็ดสีทองเจือจาง
เมื่อนั้นผมคล้ายสิ้นสตินึกรู้ไปในทันที
........
ครุฑในร่างมนุษย์หุ่นกำยำที่กำลังอุ้มประคอง‘คู่’ไว้ในอ้อมแขนผุดรอยยิ้มอ่อนหวานแสนรักใคร่ ก่อนเหลือบมองมนุษย์ที่หลงไปในมนต์ของนาคาจนแข็งค้างดวงตาแข็งทื่อคลายมีแววตะหนกทอประกายเบาบางออกมา
เขาทอดถอนใจ
“อ๊า ...อื้ออ ร้อน ครุฑ...อ้ะ สัมผัสข้า สัมผัสข้าเสียที!”ก้มลงมองร่างในอ้อมแขนอีกครั้ง ถอนหายใจอีกครา
“เอาเถอะ...”
........
เอาเถอะอะไร?! มนุษย์ที่ถูกแช่แข็งโดยไม่ทันรู้ตัวได้แต่กรีดร้องในใจ แต่ภายนอกคือความนิ่งค้างตึงแข็งอยู่กับที่ ขยับไม่ได้แม้แต่จะกระพือขนตา
ได้แต่มองสองร่างหายลับไปในบ้านข้างๆ อยู่ริมรั้วกำแพงเตี้ยบ้านตัวเองด้วยหัวใจที่เจ็บปวดเหลือแสน.....
จะไป‘สัมผัส’อะไรกันต่อก็ให้ช่วยปล่อยตูไปก่อนจะได้ไหม?!
โฮ่ง! โฮ่ง!
บรู๊ววววววว~- จบ -
เรื่องสั้นนี้เกิดขึ้นเพราะเราต้องการตัดฟามเครียดจากเรื่องยาวค่ะ....
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ