Chapter 1
ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีชาทอดมองคนคุ้นเคยที่อยู่ในชุดนักศึกษา สีหน้าเขานิ่งเรียบ แทบไม่แสดงความรู้สึกตอนที่เห็นเด็กหนุ่มยื่นของในมือไปให้ผู้หญิงอีกคน
“โง่จริงๆวิทย์..” กนธีหัวเราะหึ มองสัญลักษณ์ของแบรนด์เครื่องสำอางทั้งสองเด่นหราอยู่ข้างถุง คงจะกลัวคนอื่นไม่รู้ว่ามีปัญญาซื้อของราคาแพง
..ของ..ที่มาจากเงินที่เขาให้..
เมื่อเช้าเขาได้ของฝากมาจากญาติ..พสิษฐ์เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อวาน เขาอุตส่าห์ขับรถไปรับและส่งต่อให้ไววิทย์ กนธีลองหยั่งเชิงดูแล้วว่าจะให้เขาแพ็คส่งไปรษณีย์ไปให้น้องวิวเลยไหม แต่ไววิทย์ปฏิเสธ อ้างว่ากลัวเขาจะลำบาก
กลัวลำบาก..หรือกลัวจะไม่ได้เอามาให้คู่ชื่นคนใหม่กันแน่
กนธีถอนหายใจเนือยๆ เปิดประตูรถแล้วก้าวลงมาด้วยท่าทางเฉยเมย..แม้ในใจจะเจ็บแปลบอยู่บ้างยามที่เห็นสร้อยคอคริสตัลบนลำคอขาวผ่องของเด็กสาวคนนั้นสะท้อนกับประกายแดดเป็นแสงระยิบ
..ให้ตายเถอะวะ..ดวงเขานี่มันซวยบรม..เลี้ยงเด็กกี่คนก็ถูกหักหลังหมดทุกราย..
ไววิทย์กำลังคุยกับอีกฝ่ายอย่างออกรสตอนที่เขาก้าวเข้าไปหา เธอคนนั้นหันมาเจอเขาก่อน รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้ ตามด้วยการทักทายอย่างคนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร
“อ๊ะ! สวัสดีค่ะพี่กุนต์..”
ประโยคเดียว..ทำเอาไววิทย์ยืนแข็งทื่อไปในทันที
กนธียิ้มจาง สถานะของเขากับไววิทย์ไม่เป็นที่เปิดเผยมานานแล้ว ไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้ว่าเขากับเด็กนี่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และเจ้าวิทย์เองก็คงไม่กล้าแย้มปากกับสาวที่มันกำลังจีบว่าตัวเองเป็น ‘เด็กในอุปการะ’ ของผู้ชายด้วยกัน ดังนั้น..เมื่อวิทย์หันมาเจอเขา เด็กมันถึงหน้าซีดเผือด
“พี่..กุนต์” ปกติแล้วไววิทย์อาจจะหาข้อแก้ตัวได้ ถ้าในเวลานี้ ผู้หญิงข้างๆเขาจะไม่ถือถุง MAC กับ Chanel เด่นชัดเต็มสองตา พ่วงด้วยสร้อยคอของสวารอฟสกี้ที่เขาอ้างว่าอยากได้ จะเอาไปฝากน้องสาว
กนธีไม่โวยวาย ไม่ต่อว่า หรือชกไววิทย์สักหมัด เขานิ่งสงบ ยิ้มบางๆตามวิสัย แม้แต่พฤติกรรมแต่ละอย่างก็ดูราบเรียบได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะเขาเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร..ใจดีกับทุกคนแม้อีกฝ่ายจะใจร้ายกับเขามากแค่ไหนก็ตาม
..ใช่..ใครๆก็รู้ว่าเขาใจดี แม้ในเวลาที่จับได้คาหนังคาเขาว่าถูกทรยศ..
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คาดหวังความภักดีจากเด็กพวกนี้เท่าไรนัก..เขาถึงเจ็บไม่มาก
..ที่มาแสดงตัว ก็เพราะว่าไม่อยากเป็นควายให้ถูก ‘ไถ’ ต่อเท่านั้นเอง..
“น้อง..ชื่ออะไรนะครับ” เขาถามเธอเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ชวนเด็กคุย
เธอตอบเขามา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะจดจำนัก จากนั้นเธอก็พูดขอบคุณที่เขาช่วยเป็นธุระซื้อของให้ โดยระหว่างที่พวกเขายืนคุยกันด้วยสีหน้าสบายๆ ไววิทย์กลับอยู่ไม่สุข และแสดงท่าทางน่าสงสารจนเขารังแกไม่ลง
“ถ้ามีอะไรอยากฝากอีกก็บอกได้เลยนะ ญาติพี่ไปต่างประเทศบ่อย หรือบอกผ่านวิทย์มาก็ได้” กนธียิ้มให้ ยกมือรับไหว้ของเธอก่อนจะหันมาทางไววิทย์ “ขอคุยธุระหน่อย”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง มือชื้นเหงื่อตอนบอกสาวที่ตามจีบว่าให้เข้าห้องไปก่อน เธอเดินเข้าคณะไปอย่างไม่สงสัยอะไร ไม่เอะใจด้วยซ้ำเมื่อไววิทย์ก้าวเข้าไปนั่งในรถคู่กับญาติผู้ใหญ่ที่เขาเคยพูดให้ฟัง
“ผม..” ไววิทย์อึกอัก ถูกจับได้คราวนี้ เขาไม่ค่อยแน่ใจบทลงโทษนัก แต่บางที..เขาอาจจะหาทางอ้อนให้พี่กุนต์หายโกรธได้ “คือ..คือว่า..”
“นอนกับเธอหรือยัง” กนธีถาม
คนฟังชะงัก “อ..อะไรนะครับ”
“ถามว่านอนกับเธอไปหรือยัง” เขาปรายตามอง “ไม่ได้จะว่าอะไร รู้ว่าห้ามยาก แต่ก็แค่จะเตือนให้ระวัง ใช้ถุงยางด้วยทุกครั้ง ผู้หญิงกับผู้ชายน่ะไม่เหมือนกันนะ ถ้าพวกเธอพลาด ชีวิตวัยเรียนจะเกิดอะไรขึ้น รู้บ้างหรือเปล่า”
ไววิทย์นิ่งเงียบอย่างไม่เข้าใจอยู่ครู่ก่อนจะยิ้มออกมาได้ เขาถอนหายใจคล้ายโล่งอก
“เปล่าครับ..ผมสาบานว่ายังไม่ได้ทำอะไร แค่..แค่รู้สึกอยากคุยด้วย ก็เลย..” เขายกมือไหว้พี่กุนต์และกราบที่ไหล่ลาด “ขอโทษนะครับ..หลังจากนี้ไปผมจะไม่ทำอีกแล้ว จะพยายามห่างออกมา”
“ไม่เป็นไร..” กนธีบอกปัด “คนอย่างพี่ ไม่เคยลดตัวไปแย่งอะไรกับใคร”
ไววิทย์หน้าชา
“เย็นนี้กลับไป อย่าลืมเก็บข้าวของของเราด้วย”
“พี่กุนต์..” เด็กหนุ่มคราง สีหน้าคาดไม่ถึง
“ส่วนนี่..” กนธียื่นซองสีน้ำตาลให้ “เงิน ‘ค่าตัว’ เดือนสุดท้าย..พี่ให้สามหมื่น คงพอให้เราจ่ายค่าเช่าห้องได้นะ”
“พี่หมายถึง..” เขาลนลาน “ผม..ผมยังไม่ได้เตรียมใจ”
“นายน่าจะเตรียมใจมานานแล้ว..ตั้งแต่ตอนที่คิดละเมิดกฎของเรา” กนธีดึงภาพถ่ายในช่องเก็บของหน้ารถออกมา เป็นภาพเด็กของเขา เพิ่งลงมาจากคอนโดของฝ่ายหญิงตอนห้าทุ่มกว่า วันที่ที่กำกับ ตรงกับวันที่ไววิทย์บอกว่าจะกลับดึก เพราะมีทำรายงานกับเพื่อนๆที่หอสมุด
ไววิทย์พูดไม่ออก..กนธีให้คนตามสืบเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ลงไปจากรถเถอะ..พี่นัดลูกค้าไว้” กนธีออกปากไล่กลายๆ
“พี่กุนต์..ผมขอโทษ..ให้โอกาสผม..”
“อย่าเลย..วิทย์” เขามองนิ่ง “ถือเสียว่า เราหยุดตอนนี้ เพราะวิทย์กำลังจะจริงจังกับผู้หญิงคนนั้น จำข้อตกลงของเราข้อสุดท้ายไม่ได้หรือไง..” กนธีทวนถาม “ถ้าวิทย์อยากจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน วิทย์ก็ต้องจบกับพี่ จากนี้ไป วิทย์ต้องยืนด้วยตัวเอง ไม่มีพี่คอยช่วยเหลือเรื่องเรียน เรื่องเงิน เรื่องที่อยู่ หรือเรื่องความสุขสบายทั้งหลายนั่นอีกแล้ว..”
“แต่..” ไววิทย์สับสน
เขารั้งไว้..ไม่ใช่เพราะหลงรักกนธี แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายคือ ‘ความสะดวก’ ที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้วในชีวิต อยู่กับกนธี ได้ทั้งเงินทอง ความเป็นอยู่หรูหรา ข้าวของแบรนด์เนม อาหารการกินดีๆทุกมื้อ แล้วยังเรื่องเซ็กซ์..ที่แม้จะทำเพื่อเอาใจ แต่เขาก็ได้ของตอบแทนทุกครั้งที่ปลดปล่อยความใคร่ให้กันและกัน
“ไปเถอะ..” กนธีไม่ใจอ่อน เขา ‘เขี่ย’ เด็กที่เลี้ยงไม่เชื่องทิ้ง ง่ายพอๆกับการยื่นหมูปิ้งสักไม้ให้หมาข้างทางกินนั่นแหละ “ถ้าไปตอนนี้..วิทย์ยังพอจะเป็นน้องชายของพี่ได้”
ไววิทย์มีสีหน้าหม่นลง เขายกมือไหว้คนข้างกายอีกครั้งแล้วค่อยๆเปิดประตูรถลงมา เดินคอตกเข้าคณะไป
กนธีไม่ได้หันไปมอง ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในรถร่วมสิบนาที พอจะสตาร์ทเครื่องก็เหลือบเห็นพวงกุญแจรูปหมี สีประจำเดือนเกิดที่เขาเคยซื้อให้ไววิทย์ และฝ่ายนั้นก็เอาไปห้อยติดกระเป๋าเป้ไว้ตลอด วางสงบนิ่งอยู่ตรงเบาะด้านข้างคนขับ พอเห็นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็ยังเก็บเจ้าหมีที่ไววิทย์ซื้อให้เป็นการแลกกันเอาไว้ด้วย
..วางทิ้งไว้แบบนี้ หรือคิดจะเอาไว้ขอร้องให้เขายกโทษ?..
..ฝันกลางวันหรือไง..
กนธีดึงตุ๊กตาตัวจิ๋วออกมา นั่งมองหมีคู่เงียบเชียบ แต่แทนที่ดูแล้วจะคิดถึงคนให้ กลับยิ่งเพ่งยิ่งน่าสมเพชในความบ้าบอของตนที่ทำตัวเหมือนเด็กแรกรุ่น
“ปัญญาอ่อน..” เขาหัวเราะแผ่ว มองหาถังขยะ แล้วก็เจอว่ามันตั้งอยู่ข้างๆสนามกีฬากลางแจ้งที่มีพวกนักศึกษาชายกำลังเล่นบาสกันอยู่
ชายหนุ่มลงจากรถอีกครั้ง เดินตรงไปแล้วโยนหมีตัวจ้อยทั้งสองทิ้ง จังหวะที่หันหลังกลับ ลูกบาสที่ตกจากแป้นก็กลิ้งมากระทบ เขาก้มลงมอง ใช้ปลายเท้างัดมันขึ้นมาแล้วรับเอาไว้ด้วยมือเดียว พอดีกับที่ใครคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆมาหา
“ขอบคุณที่เก็บให้ครับ” เสียงทุ้มนุ่มนวลดังอยู่ใกล้แค่คืบ
กนธีมองผ่านแว่นกันแดด ภาพแรกที่เห็นคือช่วงบ่ากว้างและแผ่นอกกำยำภายใต้เสื้อกีฬาที่เปียกชุ่มไปด้วยหยดเหงื่อ เขาเงยมองส่วนสูงที่มากกว่าของอีกฝ่ายไปหยุดชะงักอยู่ที่ใบหน้านั้น
แสงแดดที่จัดจ้าของช่วงวันทำให้สายตาเขาพร่าเลือน
ดวงตาคมกล้าที่เขาจับจ้องมีสีน้ำตาลเข้ม ทั้งสวยและโดดเด่น แพขนตายาวที่ประดับอยู่ทำให้นัยน์ตาคู่นั้นดูอ่อนหวานและเว้าวอนอยู่ในที เมื่อรวมกับโครงหน้าได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากสีอ่อนของวัยหนุ่ม ยิ่งทำให้ใจคนมองกระหวัดนึกถึงใครบางคน
“ศรัณย์..” กนธีครางแผ่ว
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามเลิกคิ้วเล็กน้อย “ครับ?”
คนอายุมากกว่าถอดแว่นกันแดดออก และเมื่อถอยหลังหลบแสงที่ส่องกระทบโดยตรง เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาผิดเพี้ยนไปเอง..เพียงแค่ว่าเครื่องหน้าของอีกคนมีส่วนละม้าย หรืออย่างน้อยก็ทำให้คิดถึงคนๆนั้นที่อยู่ไกลแสนไกล
“ขอโทษครับ..ผมทักผิด” กนธียิ้มจาง ดวงตาเศร้าหมอง “คุณหน้าตาคล้ายคนรู้จักของผมคนหนึ่งน่ะ”
“อ้อ..” เขาพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เห็นรอยบุ๋มตรงข้างแก้มขณะมองไปที่ลูกบาสในมือผู้ชายตรงหน้า “ขอคืนด้วยครับ”
“อา..โทษที” เจ้าตัวยื่นให้ พอดีกับที่ได้ยินเสียงตะโกนจากเพื่อนของอีกฝ่าย
“ไอ้โอ๊ต! ไปกวนอะไรเขา รีบมาต่อเกมเร็ว!”
กนธีหัวเราะแผ่ว ผงกหัวให้เด็กหนุ่มที่หันมาขอบคุณอีกครั้งก่อนที่ร่างนั้นจะวิ่งเหยาะๆกลับเข้าสนามบาสไป เขามองตามอย่างเผลอตัว ความมีชีวิตชีวาของคนอายุน้อยที่เต็มไปด้วยพละกำลังขณะขับเคี่ยวกันในเกมกีฬาอย่างไม่ยอมแพ้ท่ามกลางแดดร้อนผ่าวแบบนี้ ซ้ำยังดูไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ทำให้เขานึกอิจฉาเล็กๆ
กนธียืนมองเพลิน เขาเห็นร่างสูงใหญ่ของฝ่ายนั้นชู้ตลูกบาสจากตำแหน่งสามแต้มลงห่วงอย่างแม่นยำก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะชอบใจด้วยดวงตาเป็นประกาย เพื่อนๆฝ่ายตรงข้ามร้องโอดครวญ บ้างก็ชูนิ้วกลางด่าจนคาดเดาได้ว่า เด็กนั่นคงจะเป็นคนจบเกมด้วยสามแต้มสุดท้าย
“ขี้แพ้อย่าชวนตีเว้ย” เสียงที่แหบพร่าไปตะโกนกลับ แยกย้ายกับเพื่อนด้วยการเดินมาที่กองกระเป๋าที่วางไว้ข้างสนาม เขาก้มลงหยิบขวดน้ำที่ร้อนระอุเพราะอยู่กลางแดดขึ้นมายกดื่ม
ในจังหวะนั้นเอง ที่กนธีเผลอสบตากับเด็กนั่นอีกครั้ง
‘โอ๊ต’ ยิ้มกลับมาให้เขาเพียงน้อย
..ใจกระตุกวูบไหว..
กนธีเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน เขารีบเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย สตาร์ทเครื่องและขับรถคันใหม่ของตนออกไปจากที่จอดพร้อมกับที่เผลอเหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันห้ามตน
ฝ่ายนั้นเดินลับหายเข้าไปในอาคารด้านหลัง ใจคนมองรู้สึกเบาโหวง
..เหมือนมากจริงๆ..เหมือนกับศรัณย์จนทำให้เขาไขว้เขว..
กนธีรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจเมื่อพาลกระหวัดคิดถึงอดีตคนรักที่เรียกได้ว่าเป็น ‘รักแรก’ และ ‘รักแท้’ เพียงหนึ่งเดียวของเขา ชายหนุ่มไม่อยากกลับคอนโดตอนนี้ เขาไม่ได้มีนัดกับลูกค้าอย่างที่อ้างกับไววิทย์ สุดท้ายจึงเปลี่ยนใจไม่ขับออกนอกมหาวิทยาลัย แต่หาที่จอดเอาตรงซองว่าง ล็อกรถแล้วเดินเอื่อยเฉื่อยไปหาอะไรกินในโรงอาหารของคณะแถวนั้นแทน
จะว่าไปแล้ว กนธีก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกัน แต่จะให้เรียกว่าเป็นรุ่นพี่ก็คงกระดากปาก เรียกว่ารุ่นอา รุ่นลุง ยังพอทำเนา อย่างกับเด็กหนุ่มเมื่อครู่ ถ้าเขาทำสาวท้องตั้งแต่เขาอายุ 18-19 ก็คงจะมีลูกรุ่นเดียวกับเจ้านั่นแล้ว
“รับอะไรดีคะคุณ” ป้าขายอาหารที่เขาไปยืนมองเมนูกับข้าวตามสั่งออกปากทัก
“ผัดคะน้า ไม่ใส่เนื้อสัตว์ครับ” กนธีเป็นพวกมังสวิรัติ แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดนัก บางทีก็เลือกแต่ปลากับไก่มากินแทนสัตว์ใหญ่ด้วยถือเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญ..ก็เขาอายุจะสี่สิบแล้ว จะให้ตามใจปากคงไม่ไหว
หลังจ่ายเงินและมองหาโต๊ะ เขาก็เจอที่นั่งตรงริมทางเดิน ถามเอากับเด็กๆที่กินข้าวใกล้เสร็จว่ามีใครจองไว้หรือไม่ก็พบว่ายังว่าง ชายหนุ่มเลยวางจานและผละไปซื้อน้ำดื่ม แต่เมื่อกลับมาอีกที โต๊ะที่เมื่อครู่ยังมีกลุ่มชายหญิงนั่งอยู่ ตอนนี้กลับมีชายคนหนึ่งเข้ามาแทน ฝ่ายนั้นลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเขา
“วิทย์..” กนธีมุ่นหัวคิ้ว เขาลืมไปว่านี่ติดพักเที่ยง คณะแถวนี้มีโรงอาหารที่เดียว และเขาก็มีสิทธิ์เจอไววิทย์ตอนไหน เมื่อไหร่ก็ได้..ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่ารำคาญที่สุดของวัน
“พี่กุนต์” ไววิทย์เดินมาหา แต่อีกฝ่ายยกจานข้าวและตั้งท่าจะหนี เขาเลยคว้าข้อมือไว้ “คุยกันหน่อยนะครับ เรื่องเมื่อเช้าผมอธิบายได้”
“ความจริงก็คือความจริง ตาพี่ไม่ได้บอด สมองประมวลผลได้ตามปกติ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องอธิบาย ขี้เกียจฟังเรื่องโกหกซ้ำๆ”
คนฟังส่ายหัว “ผมไม่ได้จริงจังกับเธอ ผมจริงจังกับพี่นะ”
“พูดให้ถูกคือจริงจังกับเงินของพี่มากกว่า” กนธีมองหาโต๊ะว่างที่อื่น แล้วก็เจอเก้าอี้ยาวที่อยู่ถัดไปสามแถว พอดีเลย..มีคนนั่งอยู่ด้วย ไววิทย์จะได้แทรกเข้ามาไม่ได้
ชายหนุ่มหันหลังกลับ ทั้งตัวเกือบชนเข้ากับคนที่เดินมาด้านหลัง ดีแต่เขายั้งขาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นไม่จานข้าวของใครสักคนต้องกระเด็นไปอยู่บนพื้นแน่ “ขอโทษครับ..”
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงคุ้นหูดังอยู่เหนือหัว
เขาสัมผัสได้ว่าใจเต้นแรงตอนที่หันไปมอง..เด็กคนนั้นนั่นเอง
“อ้าว..น้อง” เขามองเสื้อที่อีกคนใส่ เป็นเครื่องแบบเสื้อโปโลสีขาว ปกส้มของเด็กวิทยาศาสตร์การกีฬา
ร่างสูงของคนอายุน้อยกว่ายิ้มเล็กน้อย “บังเอิญจังนะครับ มาทานข้าวที่นี่หรือครับพี่”
ไววิทย์เข้ามาแทรก “พี่กุนต์..ผมยังพูดไม่จบ ยังไงเราไปคุยกันที่อื่นเถอะครับ”
“พี่จะกินข้าว” กนธีปรามเสียงต่ำ เดินเลี่ยงออกไปแต่ไววิทย์ยังตื๊อ
บุคคลที่สามมองตาม เห็นแววความอึดอัดนั้นออก เลยออกปากชวนอีกฝ่าย “ถ้าไม่มีโต๊ะ ไปนั่งกับผมไหมครับ”
คนถูกชวนชะงัก เหลือบมองไววิทย์ที่แสดงท่าทีฉุนเฉียวก่อนจะรู้สึกใจชื้นขึ้น ตอบตกลงทันที
ไววิทย์ยอมล่าถอยง่ายๆ เพราะกลุ่มที่พี่กุนต์เข้าไปนั่งด้วยเป็นเด็กอีกคณะ ถึงอย่างนั้น ความโมโหก็ทำให้เขาแกล้งเดินเฉียดคู่ขาของตนแล้วแสร้งว่ากระทบให้เจ็บใจ “เจอคนใหม่แล้วอยากเขี่ยผมทิ้งก็พูดมาตรงๆได้นะ”
กนธีมองตามแผ่นหลังของเด็กที่ตนเคยเกื้อหนุนแล้วนึกหงุดหงิด..มันโยนความผิดให้เขาเสียอย่างนั้น
ดี! เขาเชิญออกไปจากชีวิตแบบคนมีอารยธรรม แต่มันกลับไม่ชอบ..เดี๋ยวเย็นนี้จะจัดการเขี่ยไอ้คนเลี้ยงไม่ซื่อ ชนิดที่ว่าโยนเสื้อผ้ามันออกไปกองริมถนนให้สมกับปากที่พาจนเลย
กนธีเคี้ยวก้านผักคะน้ากรุบๆด้วยความโมโห ปกติเขาใจเย็น แต่เวลานี้มันโกรธจริงๆ
..โกรธแบบเงียบๆ ทำได้แค่เอาคิ้วผูกกัน..นั่นแหละ กนธี สิงหนาท..
“อร่อยหรือครับ” เสียงนุ่มๆของเด็กตรงหน้าดังขึ้น ดึงสติของคนที่ก้มหน้าก้มตากินผัก “ผมไม่ชอบคะน้า มันขม”
คนฟังเงยหน้ามอง ในจานอีกฝ่ายเป็นพะแนงเนื้อ..เขาไม่กินเนื้อมาสิบห้าปีแล้วมั้ง “คะน้ามีแคลเซียมนะ”
“ดื่มนมกับกินปลาเล็กๆเอาก็ได้ครับ” ทางนั้นคลี่ยิ้ม..เห็นลักยิ้มที่ชวนมอง “ผมว่าผมเคยเห็นพี่ขับรถมาแถวนี้บ่อยๆนะ..บีเอ็มสีดำคันนั้นของพี่ใช่ไหม”
“เอ่อ..พอดีเพื่อนรุ่นน้องพี่..คนเมื่อกี๊น่ะ” กนธีปกปิดความสัมพันธ์ “เขาเรียนสหเวช”
“อย่างนั้นหรือครับ” คนฟังไม่ได้ถามอะไรต่อ “ว่าแต่..พี่ชื่ออะไรครับ ผมชื่ออินทัช..แต่ชื่อเล่น คิดว่าพี่คงได้ยินที่เพื่อนผมเรียกแล้วล่ะมั้ง”
“กนธี เรียกพี่กุนต์ก็ได้”
“พิกุล?”
“พี่..กุนต์” กนธีหัวเราะออกมา “เรา..โอ๊ตใช่ไหม ถ้าจำไม่ผิด”
“แม่ผมเรียกว่าข้าวโอ๊ต แต่ถ้าจะให้ดี เรียกโอ๊ตดีกว่าครับ สองพยางค์แล้วน่ารักๆแบบนั้นมันน่าขนลุก” อินทัชหยิบขวดน้ำของกนธีมาแกะพลาสติกแล้วเปิดฝาออกให้
“ขอบคุณครับ” เขายิ้ม “อินทัชนี่แปลว่าอะไรหรือ”
“เกิดจากผู้ยิ่งใหญ่” เด็กหนุ่มส่ายหัว “พ่อผมตั้งให้น่ะ..แล้วชื่อพี่ล่ะครับ กุนต์..กนธี”
“กนธีแปลว่าทะเล มหาสมุทร” เขาถึงได้ทำตัวใจป้ำและกว้างขวางเหมือนน้ำในทะเลอย่างไรเล่า “ส่วนกุนต์ แปลว่าทวน หรือศร..คนละเรื่องเลยใช่ไหมล่ะ”
อินทัชหัวเราะ ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย “ตอนแรกที่เห็น นึกว่าพี่มาลงเรียนปริญญาโทที่นี่เสียอีก”
“อีกปีเดียวจะสี่สิบแล้วครับ แก่เกินเรียนแล้ว ขอลา..”
“แล้วพี่ทำงานอยู่ในมหา’ลัยนี้ด้วยหรือเปล่าครับ ผมเห็นพี่บ่อยมากจริงๆ หรือว่ามาส่งเพื่อนของพี่อย่างเดียวเลย”
กนธีรู้สึกว่าเขาทำตัวว่างงานเหลือเกิน “เปล่าหรอก..พี่เป็นฟรีแลนซ์น่ะ เอ้อระเหยได้”
“ดีจัง..ผมน่ะ นอกจากเรียนทุกวันแล้ว วันเสาร์อาทิตย์ยังต้องไปทำงานต่อ เหนื่อยเป็นบ้า”
คนฟังสนใจขึ้นมาทันที “ทำงานพิเศษหรือ ที่ไหนล่ะ”
อินทัชชั่งใจอยู่พักก็หยิบนามบัตรออกมาจากเป้ข้างตัว เป็นการ์ดสีน้ำเงินเข้ม ตัวอักษรเคลือบสีเงิน เขียนว่า ‘Vin Santo’ มีเวลาเปิด-ปิด ระบุสถานที่เป็นลานกว้าง ชั้นบนสุดของตึกระฟ้าใจกลางกรุง
“เราทำงานในเลานจ์?” กนธีผิดคาดนิดๆ
“ผมเป็นบาร์เทนเดอร์” อินทัชเล่า “เฉพาะคืนวันจันทร์ถึงพฤหัสน่ะครับ..ส่วนศุกร์ถึงอาทิตย์ ผมเล่นดนตรีให้แขกฟัง ถ้าพี่สนใจจะมาก็บอกผมได้นะ” เขาดึงเศษกระดาษขึ้นมาจดเบอร์โทรให้
“พี่ไม่ดื่มเหล้า” เขาพึมพำ
“มีอาหารด้วย ไม่ก็ไปนั่งฟังเพลง” อินทัชยิ้มจาง ดูมีเสน่ห์ล้นเหลือ “ค่าเมมเบอร์ห้าพัน..แต่ถ้าคนในอย่างผมแนะนำเข้าไปก็ลดสิบเปอร์เซ็นต์”
กนธีไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจ่ายเงินพันเพื่อไปนั่งในที่ที่เขาไม่เคยเข้าไปเหยียบทำไม
“นี่คืนวันศุกร์ซะด้วย” เด็กหนุ่มพูดลอยๆ “ไปนะครับ..ผมจะจองโต๊ะไว้ให้”
“อืม..ลองดูก็ได้” เขายอมง่ายๆ
..ถูกเด็กหลอกเสียแล้วกระมัง..
“แล้วเจอกันครับ มาตอนสี่ทุ่มนะ..ผมขึ้นเวทีช่วงนั้น”
“ครับ..” เขารับคำอย่างมึนงง
หลังจากแยกย้ายกับอินทัช กนธีก็เพิ่งได้สติว่าตกปากรับคำเด็กเอาไว้แล้ว เขาประหม่าเล็กน้อย นอกจากจะเป็นมังสวิรัติ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เขาก็ไม่ได้แตะ นานๆทีจะมีดื่มไวน์บ้าง แต่เหล้านี่ขอผ่าน
“บ้าเอ๊ย..” ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมากดไปยังเบอร์ที่โทรออกบ่อยที่สุด รอไม่นาน ปลายสายก็รับ
‘ไง..พี่กุนต์’
“ไอ้ไผ่..คืนนี้ไปนั่งเลานจ์เป็นเพื่อนพี่หน่อย”
‘หือ? เหล้าก็ไม่กิน จะไปนั่งเคี้ยวถั่วลิสงหรือไง’
“ไอ้เด็กเปรต” เขาหัวเราะ ต่อให้เจ้าไผ่อายุห้าสิบ เขาก็จะด่ามันไอ้เด็กเปรตยันวันตายนั่นแหละ “นะ..ไปด้วยกันหน่อย พี่ไม่เคยเข้า ไม่รู้ต้องทำยังไง”
‘ไม่ต้องอ้อน..จ่ายค่าเครื่องดื่มให้ผมด้วย เดี๋ยวขับไปให้’
“งกว่ะ”
‘ขอบคุณที่ชม’
.......................................................................
เรื่องนี้ ไม่ค่อยดราม่านะเออ 555+ เบาๆ สบายๆ // ว่าแต่ พี่หมูมายังงายยยย 5555555+