มาอีกตอนแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำติชมนะคะ แหะๆ
เพิ่งสังเกตว่าตัวหนังสือมันติดกันเป็นพรืดเลย ดูแล้วอ่านยาก มีอะไรไม่ดีหรือต้องปรับแก้ตรงไหนบอกได้นะคะ
เรื่องนี้ลงที่เล้าเป็ดที่เดียวนะคะ ไม่มีที่อื่น ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ
ตอนที่ 4ปึงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เจ้าของห้องแม่งทำเหี้ยไรอยู่วะ ทำไมไม่รีบมาเปิดประตู กูเคาะจนมือจะหักอยู่แล้วไอ้สัด ผมทุบประตูต่อไปอีกสักพักประตูก็เปิด
“เอาไก่มาส่ง ทำไรอยู่ครับคุณ” ผมยื่นของที่ลูกค้าโทรสั่งให้ อ๋อ ไม่ต้องงงครับ ผมว่างเลยมาทำงานพาร์ทไทม์ส่งไก่ตามออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่ง
“อ้าว เฮ้ยยยยย!” ไอ้เมลที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้ผืนเดียวร้องเสียงดัง ดูหน้าก็รู้ว่าแม่งคงตกใจมากกว่าผม
ผมขมวดคิ้วมองหน้ามัน ก่อนจะพยายามมองเข้าไปในห้องที่มันเอาตัวล่ำๆ ขาวๆ ของมันบังไว้
“หึ ได้ของครบนะครับ ทั้งหมด สามร้อยแปดสิบเก้าบาท”
“เท็น มึงมาทำไรที่นี่”
“ส่งไก่ไงครับไอ้ควาย คุณเห็นว่าผมถือเหี้ยมาให้รึไงครับ”
ไอ้เมลมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูมันยังคงตกใจและไม่เชื่อว่านี่เป็นผม หึ ไอ้เหี้ยนี่คอนโดตัวเองมีไม่อยู่
“เอาเงินมาครับ กูจะได้รีบไป”
“เดี๋ยว มึง กูไม่ได้...”
“เรื่องของมึง ไม่เกี่ยวอะไรกับกู เอาเงินมา”
“เท็น อย่าพูดงี้สิวะ”
“เมลคะ มีอะไรกันเหรอ”
มาได้จังหวะเหมือนมีคนวางวอล์คกิ้งให้ เถอะ ค่าไก่แค่นี้กูจ่ายให้ถือว่าทำบุญให้เหี้ยละกัน ไอ้เมลทำตัวได้กวนส้นตีนผมมากไปแล้ว ตังค์ไม่จ่ายแถมยังจะหน้าด้านแก้ตัวทั้งๆ ที่หลักฐานมัดตัวแน่น
“พนักงานร้านนี้มารยาทแย่จังเลยนะคะ”
ขนาดผมเดินมาไกลแล้วยังได้ยิน ตบปากผู้หญิงนี่ติดคุกมั้ยวะ เอาเถอะ ผมว่าจะลาออกพอดี อยากทำอะไรใหม่ๆ บ้าง งานต่อไปผมเล็งไว้แล้วล่ะว่าจะทำอะไร
.
.
.
“คราวนี้คิดจะทำอะไรอีกล่ะ” ไอ้ฟิวถาม
ผมกำลังใส่รองเท้ากีฬาเตรียมไปเต้นแอโรบิกที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน เช้านี้อากาศกำลังดี เหมาะแก่การออกกำลังกายเป็นอย่างมาก เอาเหงื่อออกบ้างจะได้หายหงุดหงิด แค่พังไอโฟนทิ้งยังไม่พอหรอก ต้องโทษไอ้เหี้ยเมลที่หน้าด้านไม่มีใครเกิน กระหน่ำโทรมาไม่หยุด รู้ว่ากูไม่อยากคุยก็โทรมาอยู่ได้
“กูจะไปเรียนทำเค้ก กูอยากเปิดร้านเค้ก”
“คือ กูพูดจริงๆ นะเท็น มึงหยุดคิดทำอะไรสักทีเถอะ ไปเรียนบ้างมันจะตายไงวะ”
“ก็กูไม่ว่าง”
“ไอ้เหี้ยนี่ ที่ไม่ว่างเพราะมึงมัวแต่ไปทำงานห่าอะไรก็ไม่รู้ มึงคิดแบบปกติอย่างที่ชาวบ้านเขาคิดบ้างได้มั้ยวะ หยุดทำตัวให้แม่มึงปวดหัวซะทีเถอะ”
“ตอนนี้แม่กูอยู่ลอนดอน หายห่วง”
“เฮ้อ เรื่องของมึงละกัน ขากลับซื้อน้ำเต้าหู้มาให้กูด้วย กูขึ้นไปนอนต่อละ”
วันไหนที่ไม่ได้ยินไอ้ฟิวบ่นเรื่องผมวันนั้นหิมะคงตกที่เมืองไทย ไอ้กัสเดี๋ยวนี้ก็ไม่อยู่ติดบ้าน เลยมีแต่ผมที่ต้องฟังมันบ่น
ผมกำลังขึ้นขี่จักรยานก็พอดีกับที่เบนซ์สปอร์ตคันหนึ่งมาจอดขวางประตูรั้ว แค่เห็นหน้าคนขับตอนมันลดกระจกลงกูก็แทบอยากจะเดินกลับเข้าบ้าน
“มึงจะไปไหนแต่เช้า” ไอ้เมลถามผม มันดูหล่อในชุดนักศึกษาที่ไม่ผูกไท เปิดประตูลงจากรถมายืนขวางหน้าจักรยานของผม
“เรื่องของกู”
“คุยกันหน่อย ไม่นาน”
“กูไม่ว่าง ถอยไป ไม่หลีกกูชน”
“เท็น ฟังกูหน่อยได้มั้ยวะ”
“มึงจะมาเห่าอะไรล่ะ กูฟังภาษาหมาไม่รู้เรื่อง”
ไอ้เมลทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ยอมถอย
“ไอ้เหี้ย เสียเวลากู มึงจะพูดไรก็พูดมา”
“ไปนั่งคุยกันดีๆ”
“ตรงนี้ก็ได้นี่ มึงบอกว่าไม่นาน”
“มึงอยากให้ไอ้ฟิวรู้”
ผมจ้องตาวัดใจกับไอ้เมลอยู่สักพักก็ตกลงยอมพามันขึ้นมาคุยบนห้อง พอประตูปิดลงไอ้เมลก็เข้ามาชาร์ตตัวผมทันที
“มึงโกรธกูเหรอ กูขอโทษนะ”
“กูไม่ได้โกรธ จะโกรธมึงเรื่องไร”
“ถ้าไม่โกรธแล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์กู”
“กูไม่ว่าง”
“กูไม่เชื่อ ที่มึงเห็นนั่นไม่ใช่อย่างที่คิดนะ”
“กูคิดอะไร ไหนมึงพูดมาซิ”
“มึงคิดว่ากูกับน้ำมีอะไรกันใช่มั้ย มันไม่จริงเลยนะ น้ำเขาเอารายงานมาให้กู ตอนนั้นกูกำลังจะอาบน้ำ เขามาก่อนมึงแป๊บเดียวเอง แล้วมึงก็ทุบอย่างกะจะพังประตูเข้ามา กูเลยต้องรีบไปเปิดให้”
“นั่นคอนโดมึงเหรอ”
“อืม”
“บังเอิญจนเหมือนไม่จริงเลยไอ้เหี้ย แล้วคอนโดมึงที่พากูไปก็ไม่ใช่ที่นั่นด้วย”
“เตี่ยกูซื้อทิ้งไว้หลายที่ เท็น เชื่อกูสิว่ามันไม่มีอะไร”
ไอ้เมลมันเฟคเก่ง ต่อให้มันทำหน้าซื่อ ยืนยันหนักแน่นว่าที่มันพูดเป็นเรื่องจริงผมก็ทำใจเชื่อไม่ลง แต่เอาเถอะ ในเมื่อมันกล้าพูดขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้จะเล่นตัวไปทำไม
“มึงไม่ต้องมาขอโทษจริงจังอะไรขนาดนี้ก็ได้ เราก็แค่คบกันเล่นๆ ไม่ต้องเกรงใจอะไรกูมากหรอก”
ไอ้เมลหน้าบึ้งขึ้นมาทันที ผมพูดอะไรผิดอีกล่ะ ก็ตกลงกันไว้แบบนี้ไม่ใช่ไงวะ วันที่มันซื้อขนมจีบมาให้ผมน่ะ ผ่านมาแค่ไม่กี่สัปดาห์แม่งทำลืมแล้วเหรอ
“มึงใจร้ายมากนะ”
“เหี้ยนี่ชอบดราม่าใส่กู แล้วนี่มึงแดกไรมารึยัง”
“แดกไม่ลง มึงไม่ต้องห่วง กูไม่ตายหรอก อยู่แก้เบื่อให้มึงได้อีกนาน”
“เออ แม่งงงงง พูดแค่นี้ต้องประชด”
ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด
โนเกียอาช่าข้างซากไอโฟนของผมสั่นกราวแบบไม่เกรงใจใคร เครื่องนี้ไว้สำหรับสาวๆ ที่ต้องการติดต่อกับผม ส่วนไอโฟนที่ผมพังไปน่ะไว้สำหรับคนในครอบครัว ไอ้กัส ไอ้ฟิว และไอ้เมลเท่านั้น ผมยังมีอีกเครื่องไว้สำหรับเพื่อนในคณะ ต่างคณะก็ว่ากันไป
“ว่าไงครับเดียร์ โทรหาพี่แต่เช้ามีอะไร เฮ้ยยยยยย”
ไอ้เมลเล่นอะไรของมัน ผมเกือบหัวฟาดพื้น ดีที่มันจับผมเหวี่ยงลงบนเตียง ผมเลยนอนแผ่หรามีไอ้บ้าหน้าหล่อคร่อมอยู่ข้างบน ขาสองข้างโดนกดไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
(เดียร์อยากชวนพี่เท็นไปดูหนังเย็นนี้ค่ะ เดียร์จองตั๋วไว้แล้ว พี่เท็นไปกับเดียร์นะคะ)
น้องเดียร์นี่เป็นพวกชอบมัดมือชกแล้วพูดเองเออเองซะส่วนใหญ่ ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลี่ยงทุกครั้ง แต่น้อยครั้งที่จะเลี่ยงได้ เพราะถึงยังไงน้องก็ยังมีประโยชน์กับผมอยู่ ตอนนี้ผมกำลังใช้เส้นน้องเดียร์ขอเข้าไปเรียนทำเค้กกับร้านที่ทางบ้านน้องเป็นเจ้าของ
“อา...ครับ ได้สิครับ ไม่มีปัญหา งะ...งั้นพี่ไปรับนะครับ”
(ดีใจจังเลยค่ะ งั้นเดียร์จะรอนะคะ พี่เท็นต้องพาเดียร์ไปทานข้าวด้วยนะ)
“คะ...ครับ แล้วเจอกันครับ”
ผมวางสายจากน้องเดียร์แล้วก็รีบทึ้งหัวไอ้เมลที่ทำอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ แล้วกางเกงผมนี่ถอดง่ายขนาดนั้นเลยไงวะ ผมว่าผมมัดแน่นแล้วนะเชือกกางเกงเนี่ย
“ไม่คุยต่อล่ะ น้องเดียร์อะไรนั่นคงอยากได้ยินเสียงมึงคราง”
“เหี้ย พูดมาก รีบๆ ทำ กูจะไปเต้นแอโรบิก”
“หึ ให้ทำจริง”
“กูหมายถึงให้ทำเหมือนทุกครั้ง ยังไม่ถึงเวลาที่มึงจะข้ามขั้น”
ไอ้เมลทำหน้าขัดใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าที่ผมอนุญาต ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากลอง แต่มันคงเจ็บไม่คุ้มกัน ของไอ้เมลก็ไม่ใช่ขนาดของเด็กอนุบาล ขืนให้มันทำจริงๆ ผมได้เดี้ยงคาเตียงแน่
.
.
.
“มึงนวดเลยไอ้เหี้ย โคตรเมื่อยอ่ะ” ผมยื่นแขนไปให้ไอ้เมลนวด มันอมยิ้มทำหน้าระรื่นแล้วก็ยอมนวดให้
“เมื่อยขนาดนี้มึงจะขับรถไหวเหรอ เย็นนี้ให้กูขับไปให้มั้ย”
“เออ ยังดีที่รู้จักรับผิดชอบ”
“ถ้ายอมให้กูทำมึงก็ไม่ต้องเมื่อยแล้ว”
“กูคงได้เดี้ยงแล้วลุกไม่ขึ้นเลยดิ ผิดที่มึงนั่นแหละ แตกกี่รอบก็ไม่รู้จักสงบ”
“ไม่เกี่ยว มึงใช้ปากไม่เก่งเอง”
“เออ ไม่เก่งเลย แตกคาปากกูไปสองรอบ ห่า ดูถูก”
“อ้าวเหรอ”
ทำหน้าได้ตอแหลมากไอ้เมล ผมทุบอกมันไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ มันทำหน้าสำออยใส่แล้วก็เข้ามาจูบปากผม สรุปแล้วเต้นแอโรบิกผมก็ไม่ได้ไป แถมไอ้ฟิวคงนอนฝันว่าได้ดื่มน้ำเต้าหู้ตอนตื่นนอนอยู่แน่ๆ
“มึงมีเรียนกี่โมง” ผมถาม มองดูเสื้อนักศึกษาที่ยับยู่ยี่ของมัน เหลือบมองนาฬิกาก็เกือบเที่ยงแล้ว
“บ่ายสอง”
“งั้นกลับไปเปลี่ยนเสื้อได้แล้วไป อุ๊บ!”
ให้กูพูดให้จบประโยคหน่อยเถอะ มึงติดใจอะไรลิ้นกูนักหนา เดี๋ยวตัดให้ไปดูดเล่นที่บ้านเลยมั้ยล่ะ -*-
“เมล พอแล้ว ไอ้บ้านี่ รีบไปก่อนไอ้ฟิวมันจะตื่น”
“มึงก็อย่างนี้ตลอด มึงจะให้กูหลบๆ ซ่อนๆ ไปถึงไหนวะ กูมีอะไรให้มึงอาย”
“ไอ้ควาย ดราม่า”
ไอ้เมลหน้าบึ้ง กระฟัดกระเฟียดลงจากเตียง คว้ากางเกงมาใส่แบบกระแทกกระทั้น เหมือนกำลังบอกให้ผมรู้ ว่ากูไม่พอใจมาก อะไรประมาณนั้น
“กูไม่ได้อาย แต่แบบนี้มันตื่นเต้นดีนี่หว่า น้อยใจไปได้ไอ้บ้า”
“ขอให้คิดอย่างที่มึงพูดเถอะ”
“ทำโกรธๆ กลับไปเปลี่ยนเสื้อแล้วมารับกูด้วย”
“ทำไมกูต้องวนรถไปๆ มาๆ วะ มึงก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปกับกูเลยดิ”
“เออ มึงฉลาดว่ะ”
ด้วยเหตุฉะนั้นผมจึงรีบอาบน้ำแต่งตัว ไอ้เมลหยิบชีทลงกระเป๋าสะพายให้ มันคงคิดว่าผมจะไปเรียน ผมเลยปล่อยให้มันคิดอย่างนั้นไปก่อน เพราะถ้ามันรู้ว่าผมจะโดดเรียนมันคงใช้กำลังลากผมไปเรียนแน่ ไอ้เมลมันไม่พูดมากเหมือนไอ้ฟิว แต่มันจะใช้กำลังบังคับเลยทีเดียว
“เมล ซื้อเครื่องใหม่ให้กูด้วย เมื่อเช้ากูละเมอขว้างมันใส่ผนัง” ผมชี้ไปที่ซากไอโฟนของตัวเอง ไอ้เมลเหลือบตามองผม หยิบลูกรักอาช่าที่ใช้รับสายเฉพาะสาวๆ ของผมขึ้นมา
“จะซื้ออีกทำไม มึงทำพังเอง หึ ละเมอ ไม่อยากรับสายกูล่ะสิไม่ว่า แล้วนี่ก็ยังมีอีกเครื่อง”
ผมล่ะเกลียดคนรู้ทัน
“ชีวิตกูใช้มือถือเครื่องเดียวไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
“ชีวิตสิ้นเปลืองล่ะสิมึง เดี๋ยวแวะห้างก่อนเข้ามอละกัน”
“มึงซื้อให้กูนะ”
“เออ ไปกันได้ยัง”
“ก็เดินออกไปดิ กูจะล็อคห้อง”
ไอ้เมลผลักหัวผมก่อนจะเดินออกไป ผมเดินตามหลังมัน จัดการล็อคประตูก็พอดีกับที่ประตูห้องที่อยู่เยื้องกันเปิดออกมา ไอ้ฟิวในชุดนักศึกษาถูกระเบียบมองมาทางผมเรื่อยไปถึงไอ้เมลแล้วกลับมามองผมอีกที
“เมลมาเมื่อไหร่” ไม่รู้มันถามใครเพราะมันมองหน้าผมแต่เอ่ยชื่อไอ้เมล ผมเลยไม่ตอบ ไอ้เมลก็เงียบ เมื่อไม่ได้คำตอบไอ้ฟิวเลยถามต่อ
“พวกมึงนี่ แปลกๆ นะ มีอะไรปิดกูรึเปล่าวะ สนิทกันผิดปกติ บางทีก็ขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวันในห้องแถมยังล็อคประตู”
สงสัยอะไรก็เก็บไว้บ้างก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดออกมาเลยนี่หว่า
“กูติวแคลสามให้ไอ้เมล ไม่อยากให้ใครกวนเลยล็อคประตู แปลกตรงไหนวะ”
“จริงเหรอเมล” ไอ้ฟิวทำหน้าไม่เชื่อผม มันหันไปถามไอ้เมลที่ไม่รู้อมยิ้มเหี้ยไร
“คงงั้น”
“แล้วนี่พวกมึงจะไปมอใช่ป่ะ กูไปด้วยดิ”
“รถมึงล่ะ” ไอ้ฟิวแม่งก้างชีวิตผมจริงๆ
“กูขี้เกียจขับ มึงยังไปกับเมลได้ กูไปไม่ได้ไงวะ”
“หึ ขี้อิจฉาไอ้สัด”
ผมตบหัวไอ้ฟิวด้วยความหงุดหงิด ไอ้ห่าเมลก็ไม่คิดจะห้ามไอ้ฟิวหรอก ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีจนเกินจำเป็นเลยมันน่ะ ฟิวกินข้าวรึยัง เพิ่งตื่นเหรอ พอไอ้ฟิวตอบว่านอนดึก แม่งก็รีบถามหน้าตาเป็นห่วงเป็นใยว่าเป็นไรถึงนอนดึก ดูแลสุขภาพบ้างนะ บลาๆๆๆๆๆ แล้วไอ้ฟิวนี่ก็พูดจาภาษาดอกไม้เลยนะคุณ กับผมนี่มึงๆ กูๆ กับไอ้เมลนี่ เมลอย่างนั้น ฟิวอย่างนี้ ไอ้เหี้ยเมลก็ไม่ต่างกัน เจริญพรเถอะพวกมึง
“พวกมึงไปเรียนกันเลย กูมีธุระต้องไปทำ” ผมบอกเมื่อมาถึงมอ เรื่องที่จะแวะห้างเป็นอันต้องยกเลิกไปเพราะไอ้ฟิวมันนั่งตาแป๋วอยู่เบาะหลัง หาข้ออ้างจะแวะไม่ได้
“ธุระอะไร ตั้งแต่เปิดเทอมมึงยังไม่เข้าวิชานี้เลยนะเท็น” ไอ้ฟิวแว๊ดๆ ขึ้นมา แต่วันนี้เสียงมันรำคาญหูผมเป็นพิเศษ
“เรื่องของกู” ผมตอบ จ้องหน้ามันนิ่ง ไอ้ฟิวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะไม่บ่อยที่ผมจะมองมันแล้วใช้น้ำเสียงแบบนี้
“เท็น ฟิวก็แค่เป็นห่วงมึงนะ พูดอย่างนี้ได้ไงวะ”
“มึงก็หุบปากได้แล้วไอ้สัด น่ารำคาญ”
“เท็น!”
ผมหงุดหงิดแบบไม่ทราบสาเหตุ เลยรีบเดินออกมาเพราะกลัวจะพาลคนอื่นมากกว่านี้ ธุระเหี้ยอะไรนั่นก็ไม่มีหรอก ขอให้ผมเดินออกมาให้พ้นหน้าสองคนนั้นผมก็คงคิดออกเองแหละว่าจะต้องมีธุระอะไร
ผมเดินเตร่ออกจากลานจอดรถของตึกคณะมาจนถึงบึงขนาดใหญ่หลังตึกคณะเกษตรฯ ในที่สุดผมก็มาจบอยู่ที่นี่อีกจนได้ ผมไม่อยากหาสาเหตุของอาการหงุดหงิดที่เกิดขึ้นเฉียบพลันนั่นหรอก มันน่าอายแถมยังเป็นเรื่องที่ไม่อยากยอมรับ
“ไงมึง คิดแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่ หงุดหงิดใส่ไอ้ฟิวเหรอวะ มันโทรหากูเสียงเครือซะ” ไอ้กัสที่ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสเห็นหน้ามันในรอบห้าวันโผล่มายืนอยู่ข้างหลัง
“ไม่มีไร แล้วมึงไม่เข้าเรียน”
“กูโดดเป็นเพื่อนมึงไง หึหึ”
ผมมองหน้าตอแหลของไอ้กัสก่อนจะจุดไฟสูบบุหรี่ ตอนนี้อารมณ์ผมติดลบมาก มองอะไรก็น่าเบื่อ ไม่อยากทำห่าไรซักอย่าง แค่เสียงใบไม้โดนลมพัดผมยังนึกรำคาญ
“ไอ้ฟิวชอบไอ้เมล” จู่ๆ ไอ้กัสมันก็พูดขึ้นมา เรื่องที่ไอ้ฟิวชอบไอ้เมลนั้นเป็นข่าวใหม่สำหรับผม
“บอกกูทำไม”
“กูพูดลอยๆ แค่คิดว่ามึงน่าจะอยากรู้ มันชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง มึงมันพวกไม่สนใจโลก มันเลยมาปรึกษาแค่กับกู ไอ้ฟิวบอกชอบไอ้เมลเมื่อเทอมก่อนแต่ไอ้เมลบอกว่าคิดกับมันแค่เพื่อน ช่วงนั้นมึงไปคาสิโนเกือบสองเดือนเลยไม่รู้เหี้ยไร”
“กูไม่อยากรู้เรื่องชีวิตรักของใคร”
“กูก็แค่พูดให้ฟัง แล้วมึงมีไรก็น่าจะบอกมันหน่อย ไอ้ฟิวมันอ่อนไหวง่ายมึงก็รู้”
ผมรู้สิ ก็รู้จักมันมาตั้งแต่จำความได้ ไอ้กัสด้วยนั่นแหละ พวกเราเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยมีอะไรเหมือนกัน ความคิดเห็นต่างกันเกือบทุกครั้งที่มีเรื่องต้องตัดสินใจร่วมกัน ความชอบก็ไม่เหมือนกันเลย ขัดแย้งกันทะเลาะกันรุนแรงก็บ่อย แต่พวกเราก็ไม่เคยเลิกคบกัน
น้อยครั้งที่ผมจะทะเลาะกับไอ้ฟิวเพราะมันขี้แย แค่เห็นผมกับไอ้กัสทึ้งหัวกันมันก็ร้องนำเป็นคนแรกแล้ว มีแต่มันที่คอยดูแลผมกับไอ้กัสเหมือนแม่ที่ดูแลลูกชายอะไรอย่างนั้น ให้มันเป็นพี่ชายผมก็นึกภาพไม่ออกหรอก
ผมยอมรับว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องอะไรของไอ้ฟิวกับไอ้กัสมากนัก ผมถือว่าเป็นการใช้ชีวิตของแต่ละคน ผมก็มีชีวิตของผม จะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับชีวิตของพวกมันก็เมื่อได้ยินพวกมันเอ่ยปากให้ช่วยเท่านั้น
“ไอ้ฟิวบอกว่ามึงอยากเปิดร้านเค้ก” ไอ้กัสเมื่อไม่ได้คำตอบจากผมมันก็เปลี่ยนเรื่องคุย มันรู้ดีว่าผมไม่ชอบให้พูดอะไรซ้ำซาก
“กูแค่คิดไว้ ว่าจะเริ่มไปเรียนทำเค้กวันเสาร์นี้ น่าจะหายเบื่อบ้าง”
“เดี๋ยวมึงก็เลิกทำ หาอะไรที่มันเวิร์คกว่านี้ไม่ดีเหรอวะ ถ้าไปเรียนนั่นกูเห็นด้วยนะ แต่ถึงขนาดเปิดร้านนี่กูไม่เห็นด้วย ไม่ใช่แค่มึงเปิดแล้วจะขายได้ มึงต้องศึกษาตลาด เงินลงทุน ทำเลที่ตั้ง ความต้องการของลูกค้า จะจ้างพนักงานก็ต้องหาคนที่เป็นงาน ไหนจะหาซื้ออุปกรณ์ แล้วห่าอะไรอีกตั้งเยอะ วุ่นวายขนาดนี้มึงยังอยากทำ?”
พูดซะผมเห็นภาพเลย นี่ผมลองโทรไปถามไอ้เต๋อดีมั้ยว่าไอ้ฟิวยังหายใจอยู่ในห้องเรียนโดยปกติ ไม่ได้ถอดร่างมาสิงไอ้กัส
ผมยืนมองเป็ดว่ายน้ำพลางคิดตามที่ไอ้กัสมันพูด ที่มันพูดก็ดูจะถูกทุกอย่าง แต่ผมก็อยากไปเรียนทำเค้กอยู่ดี มันน่าสนุกใช่เล่น
“เท็น ตั้งแต่เด็กมึงก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ พวกกูชอบอยู่กับมึงเพราะมึงชอบหาอะไรมาทำได้เรื่อยๆ มึงเป็นคนเบื่อง่าย ทำอะไรได้ไม่นานมึงก็เบื่อ แล้วที่มึงทำเล่นๆ มันก็ออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ มึงใช้ชีวิตได้เต็มที่มากในสายตากู แต่ไม่ใช่กับความรัก มึงเล่นไม่ได้หรอกนะเรื่องนี้ กูขอเตือน”
“ไอ้ฟิวเข้าสิงมึงแน่ๆ”
“กูก็พูดมีสาระเป็นเว้ย แค่ไม่อยากพูด”
“คนที่มีเมียเด็กชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เหรอวะ หึหึ”
“ต้องลองเองแล้วมึงจะติดใจ”
“ติดใจหรือติดสัด ปล่อยให้กูฟังไอ้ฟิวบ่นอยู่คนเดียว”
“เออน่า มันห่วงนั่นแหละถึงได้บ่น”
ผมยืนเงียบมองไปตามผิวน้ำอยู่นาน ครอบครัวชาวเป็ดก็ว่ายน้ำกันอย่างสำราญใจ ผมสงสัยว่าเป็ดมันจะต้องมาคิดโน่นคิดนี่อย่างคนมั้ย ที่มันว่ายน้ำอยู่ทุกวันมันมีเหตุผลอะไรรึเปล่า หรือแค่ทำไปเหมือนกับที่นกต้องบิน
“คืนนี้มึงนอนหอในใช่มั้ย” ผมถามไอ้กัสที่ยืนอยู่ข้างๆ มันเหมือนคนหลับในมากกว่าดื่มด่ำกับธรรมชาติ
“คงงั้น โปรโมชั่นจัดเต็มหน่อย”
“ก็ดี งั้นมึงเอากุญแจรถมา”
“ทำไมวะ มึงจะไปไหน”
“กูอยากเห็นพระอาทิตย์ตกน้ำ”
ไอ้กัสทำหน้าเอือมระอาใส่ผม ก่อนจะยอมส่งกุญแจรถให้
“ขับรถดีๆ ละกัน มึงนี่มันเหลือเกิน นึกจะไปก็ไปซะเดี๋ยวนั้น เพราะไอ้นิสัยบ้าๆ นี่แหละ คุณหญิงแม่ของมึงถึงได้ห่วงนักห่วงหนา”
“กูรู้ขอบเขตตัวเองน่า”
“มึงไม่รู้หรอกเท็น มึงขยายขอบเขตตามความต้องการของมึง ไม่งั้นมึงไม่หายไปคาสิโนเกือบสองเดือนหรอกไอ้สัด จะไปก็ไม่มีบอกใครไว้ ทั้งป๋าทั้งแม่มึงเครียดจนไม่เป็นอันทำอะไร”
“เรื่องมันแล้วไปแล้ว มึงอย่าคิดมาก”
“พูดซะเหมือนว่ากูเป็นคนก่อเรื่องนะ แล้วมึงไปคราวนี้ก็กลับด้วย อย่าให้ต้องไปแจ้งตำรวจกันอีก”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไป ไอ้กัสมองผมอย่างไม่แน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมันจะถอนหายใจออกมา
“ถ้ากูไปถึงแล้วจะไลน์มาบอก ถึงตอนนั้นมึงค่อยบอกไอ้ฟิวละกันว่ากูไปไหน ขี้เกียจวุ่นวาย”
“เออ ขากลับซื้อปลาหวานมาให้กูด้วย”
“ถ้ากูไม่ลืม”
ไอ้กัสเดินเป็นเพื่อนผมมาถึงรถของมันที่ลานจอดรถ มันบอกผมให้ไปเช็คลมยาง ตรวจสภาพรถอะไรให้เรียบร้อยก่อนไป ถึงผมจะไม่ได้บอกมันว่าผมจะไปที่ไหน แต่มันคงรู้ว่าผมต้องไปไกลแน่ ความจริงมันก็เดาถูกเพราะผมคิดจะไปทะเลทางภาคใต้แต่ยังไม่แน่ว่าจังหวัดไหน ผมชอบขับไปเรื่อยๆ ถูกใจที่ไหนก็แวะที่นั่น เอาแน่เอานอนไม่ได้
หลังจากที่ขับรถมาหลายชั่วโมงผมก็ตัดสินใจแวะพักโรงแรมเพราะขืนขับต่อไปได้ตายก่อนเกณฑ์ทหารแน่ ทั้งเมื่อยทั้งเพลีย ก่อนนอนก็ไลน์ไปบอกไอ้กัสว่าไม่ต้องห่วง มันส่งสติ๊กเกอร์หมีทำหน้าเซ็งกลับมาให้ จากนั้นผมก็จัดการปิดมือถือป้องกันการรบกวน เพราะไอ้เมลกับไอ้ฟิวแม่งกระหน่ำโทรเข้ามารวมๆ ก็เกือบร้อยสายแล้ว ไอ้เมลนี่ยิ่งหนักกว่าไอ้ฟิวเพราะมันทั้งไลน์ ทั้งข้อความ ทั้งวอทแอป แทงโก้ คาคาโอ คือทุกอย่างที่มันจะติดต่อผมได้ มันส่งมาหมด ผมนับถือในความพยายามของมัน แต่ไม่ได้เห็นใจ
..............................To be continue...............