┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 9
ตอนที่ยอมให้มานอนด้วยครั้งแรก ภูเมศก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีครั้งอื่นตามมา...
กระทั่งกลางดึกในอีกไม่กี่คืนถัดไป
คืนนั้นฝนตก อากาศจึงหนาวกว่าปกติ ฟ้าแลบเป็นประกายแวบวาบจากด้านนอกส่องผ่านเข้ามาในห้อง ก่อนเสียงฟ้าลั่นดังสนั่นจะตามมา เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จึงพอแยกได้ว่ามีอีกเสียงกุกกักปนมาด้วย แต่เสียงนั้นดังมาจากหน้าห้องนอน
คราวแรกนั้นเขานึกว่าเป็นขโมย จึงระวังตัวเป็นอย่างดี เงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งเพื่อประเมินสถานการณ์
เสียงนั้นเงียบไป ตอนที่คว้ามีดพกติดมือแล้วค่อยแง้มประตูห้องนอนออกช้า ๆ
เพื่อพบธัญญ์นั่งห่อไหล่อยู่หน้าห้อง
“เฮ้ย!”
หลังอุทานออกมาได้หนึ่งพยางค์ เอามีดพกไปเก็บไว้ที่เดิมแล้วกลับมาดูอีกครั้ง ยังถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปอีกครู่ใหญ่
ธัญญ์เงยขึ้นมองเขา พลางเอ่ยเสียงแผ่ว
“คืนนี้นอนด้วยได้ไหมครับ”
บททดสอบความอดทนรอบดึกเริ่มแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก รู้สึกมือไม้เกะกะจนต้องยกขึ้นลูบท้ายทอย
“ทำไมล่ะ ห้องตัวเองก็มีไม่ใช่หรือไง”
เสียงฟ้าคำรามลั่นดังแทรก คล้ายว่าสายฟ้าเพิ่งฟาดเปรี้ยงลงตรงไหนสักแห่ง
ธัญญ์สะดุ้งน้อย ๆ แต่ยังมองเขานิ่ง น่าแปลกที่โดยไม่จำเป็นต้องออกท่าทางบีบบังคับสักนิด กลับทำภูเมศรู้สึกเหมือนถูกผลักไปยืนอยู่ตรงหน้าเส้นเขตแดนของความอดทนที่บรรจงขีดไว้อีกครั้ง..
“ได้ไหมครับ..”
...และอีกครั้ง
เสียงครืน ๆ จากด้านนอกยังดังอยู่ไม่ขาด ฝนกระหน่ำซัดจนน่ากลัวว่าพรุ่งนี้น้ำอาจนองถนนได้ ภูเมศนึกสงสัยว่านี่เป็นเหตุผลที่เจ้าคนประหลาดมาขอนอนด้วยหรือเปล่า
“กลัวฟ้าร้องหรือ”
ธัญญ์มองเขานิ่งเช่นเดิม สีหน้าคล้ายว่ากำลังชั่งใจ
“หืม?”
จนเมื่อถามย้ำ เจ้าตัวจึงอ้อมแอ้มออกมา “..ไม่เชิงกลัว..”
“งั้นก็กลับไปนอนห้อง”
“...แต่ไม่ค่อยชอบ”
เขาถอนใจเฮือกอีกรอบ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตาแก่เข้าไปทุกทีทั้งที่อายุเพิ่งสามสิบกว่าเท่านั้นเอง “นั่นแหละ กลับห้อง”
ธัญญ์เม้มปาก หลุบตาลงต่ำ ดูลังเล แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวไปยังทิศทางตรงกันข้าม จังหวะที่คิดว่าชัยชนะตกแก่เขาแล้ว กลับได้ยินเสียงอีกฝ่ายงึมงำให้หลัง
“งั้นผมไปนอนกับภูมิ”
ตัวก่อเรื่องไม่ขยายความเพิ่มด้วยวาจา แต่เดินลากขาไปทางห้องลูกชายเขาจริง ๆ
“หา!”
ชัยชนะเป็นเรื่องหลอกลวงโดยแท้ นี่มันแกล้งแพ้ก่อนปล่อยไม้ตายไม่ใช่หรืออย่างไร!
“นี่เดี๋ยวสิ” สุดท้ายกลับกลายเป็นฝ่ายเดินตามเสียเอง คว้าแขนไว้ได้แล้วรีบอ้อมไปดักหน้า “แล้วจะไปนอนกับลูกชายฉันทำไมเล่า!”
“ผมไม่ชอบกลางคืนที่ฝนตกฟ้าร้อง”
“เป็นเด็กประถมหรือไง อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ยเรา”
“ยี่สิบหก”
“ไม่ได้ให้ตอบ โธ่!”
“ก็คุณถามนี่”
กวนประสาทกันอีก
“จ่ายผมด้วยสามร้อย”
“ยังไม่เลิกไอ้เกมหนึ่งคำถามสามร้อยนั่นอีกเรอะ!”
ธัญญ์พยักหน้าขรึม ๆ “ใครว่าเกมล่ะ ผมเอาจริงมาตลอด”
เขาอ้าปากค้าง มองอีกฝ่ายซึ่งเฉยสนิทประหนึ่งเป็นรูปปั้นหิน ทว่านิ่งได้เพียงครู่หนึ่ง ธัญญ์กลับหัวเราะออกมาเสียงแผ่ว จึงได้รู้ตัวตอนนั้นว่าโดนเด็กอำเข้าแล้ว
“นี่เห็นฉันเป็นอะไรเนี่ย”
“อยากรู้จริง ๆ หรือครับ”
ภูเมศมองเข้าไปในนัยน์ตาดำขลับของอีกฝ่าย จ้องนานเข้าพลันรู้สึกตัวว่าควรหยุดทำแบบนี้เสียที เผลอเมื่อไรเป็นได้เสียท่าเด็กตลอด ลองได้เริ่มแล้วจะหยุดกลางคันเป็นเรื่องยากลำบาก ดังนั้นสู้อย่าเริ่มมันเลยดีกว่า
“ช่างเถอะ” เขาตัดบทดื้อ ๆ โบกมือไปมาตรงหน้า ทำเป็นไม่ใส่ใจนัก “เห็นเป็นคุณลุงตู้เอทีเอ็มละมั้ง”
เสียงฟ้าลั่นเปรี้ยงอีกครั้ง คราวนี้ยิ่งดังสนั่นกว่าครั้งก่อน ๆ หน้าต่างกระจกถึงกับสั่นเบา ๆ ตามหลัง เขาเองยังเกือบสะดุ้งออกมาแล้ว
ธัญญ์ไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวอย่างที่ภูเมศคิดว่าอาจได้เห็น
อีกฝ่ายเพียงแต่สูดลมหายใจเข้าลึก ห่อไหล่เล็กน้อยแล้วเอนตัวไปพิงกำแพง จากนั้นหลับตาลงดื้อ ๆ
“จะยืนหลับหรือไง”
“คุณไปนอนเถอะครับ”
ภูเมศเลิกคิ้ว มองคนเดาอารมณ์ยากตรงหน้า “แล้วเธอล่ะ?”
“อีกสักพัก เดี๋ยวผมก็จะนอนบ้าง ไม่ไปกวนลูกชายคุณหรอก ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจรบกวนคุณด้วยเลย แต่บังเอิญคุณออกมาเจอเข้าพอดี”
ภูเมศยิ่งงงหนัก จะว่าเขาบังเอิญเดินออกมาเจออีกฝ่ายนั่งจ๋องอยู่หน้าห้องนอน ก็ชวนคิดต่อว่าแล้วต้องนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร กว่าเขาจะเปิดประตูห้องมาเห็น หรือกระทั่งว่าคืนก่อน ๆ ที่เขาไม่รู้ตัว จะมีคนมานั่งเหม่อหน้าห้องอย่างนี้หรือเปล่า
“แล้วมาอยู่ตรงนั้นทำไมกัน”
“ตรงนั้น?” คราวนี้ธัญญ์ลืมตาขึ้นมองกลับมา
“หน้าห้องฉันไง”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“...แค่อยากอยู่ใกล้...” คนตรงหน้าพึมพำ เบนสายตาลงมองพื้น “...แบบไม่ทำให้คุณรำคาญ”
เกือบหลุดปากออกไปแล้ว ว่าก็ไม่ได้รำคาญเสียหน่อย
อีกฝ่ายเห็นเขาไม่ตอบอะไร ทั้งยังไม่ขยับไปไหน ยืนฟังเสียงครืนครางของฝนฟ้าอยู่อึดใจใหญ่ ก็เปรยขึ้นเสียงเรียบ แต่ข้อความในประโยคนั้นกลับฟังดูน่าสงสารบอกไม่ถูก
“แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบบไหนคุณถึงไม่รำคาญ คิดดูแล้วผมเหมือนจะพลาดมาแต่แรก”
ภูเมศเถียงในใจว่าเขาต่างหากที่พลาดมาแต่แรก
“ไปนอนด้วยกันไหมล่ะ”
แล้วครั้งนี้ก็ท่าทางจะพลาดอีก
“ว่าไง?”
อะไรกันนะที่ดลจิตดลใจให้เขาพูดออกไปแบบนั้น ขนาดตัวเองยังไม่เชื่อหู ประสาอะไรกับคนฟังที่จ้องเขาตาค้างเหมือนเด็กน้อยเห็นลุงซานตาคลอสแอบย่องมาวางของขวัญคริสต์มาส พอกลายเป็นเป้านิ่งอย่างนี้ให้รู้สึกเขินขึ้นมาแปลก ๆ
“มองอะไรนักหนาไอ้หนู ให้นอนเฉย ๆ ไม่ได้ชวนไปทำมิดีมิร้าย”
“อื้อ” ธัญญ์พยักหน้าหงึกหงัก ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย “นอนอย่างเดียว ไม่คิดเงิน”
ชายหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “ถ้ากล้าคิด จะเบิ๊ดให้กะโหลกร้าว”
“เอาเลย” ว่าพลางแตะมือข้างหนึ่งบนศีรษะตัวเองเป็นเชิงว่าชี้เป้า หดคอนิดหน่อย ลักยิ้มผุดขึ้นน้อย ๆ บนแก้มซ้าย
ภูเมศไม่รู้เขาเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า ถึงอีกฝ่ายจะหน้าตาหมดจดอย่างไร ก็ไม่ควรหลงคิดไปได้ว่าผู้ชายอายุยี่สิบหกปีน่าเอ็นดูขนาดนี้ ทว่าเอาเข้าจริงกลับคิดไปแล้ว
เขาเชื่อสุดใจว่าหากอีกฝ่ายจะทำตัวให้น่ารักเสียอย่าง ใครจะไม่หลงได้ ไม่น่ามาทำท่าทางลึกลับเหมือนแมวจร โผล่มาใช้เรื่องอย่างว่าแลกเงินอย่างกับที่บ้านมีปัญหาได้เลย
มือเขาเอื้อมไปวางบนศีรษะอีกฝ่ายตามคำเชื้อเชิญเชิงยียวนนิดหน่อยเมื่อครู่ ตอนแรกตั้งใจแค่เคาะเบา ๆ เป็นการสนอง แต่พอวางลงไปเต็มมือ ก็รู้สึกว่าผมนิ่มดีจนอยากลูบต่อสักหน่อย ครั้นสางปลายนิ้วลงไป คนถูกลูบกลับหลับตาพริ้มอย่างกับแมวเหมียวถุงทองของไอ้ลูกชายตอนมีคนเกาหัวเกาหูให้
เห็นแล้วอดถามไม่ได้ “ชอบหรือ?”
ธัญญ์เหลือบขึ้นมอง สบตาเขานิ่ง กระซิบแผ่วเบา
“ชอบ..”
พูดแค่นั้นด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ชวนให้คิดว่านี่มันขี้โกงสุด ๆ ไปเลย สมกับเป็นจอมขูดรีดหัวหมอ
อาจเพราะแสงน้อยเกินไป จึงไม่ทันเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ
เพราะเสียงฟ้าร้องดังเกินไป และเสียงธัญญ์หลังจากนั้นก็เบาเกินไป ภูเมศจึงไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่อใต้ปลายจมูก..
“....คุณ...”
ครั้งที่สองเป็นแบบนั้น ตามมาด้วยอีกหลายครั้งหลายหนในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันนัก มักเป็นเขาเดินไปเจอธัญญ์นั่งนิ่งอย่างกับกำลังรออยู่ตามที่แปลก ๆ โดยเฉพาะหน้าประตูห้อง
จากตอนแรกที่อิดออด กว่าจะยอมให้ธัญญ์ปีนขึ้นเตียงมานอนข้าง ๆ ตอนนี้กลับชินจนกลายเป็นว่าพอถึงเวลาสักห้าทุ่มเที่ยงคืน เห็นว่าบนเตียงยังมีที่ว่าง หน้าห้องยังไม่มีใครนั่งเฝ้า ก็ให้รู้สึกโล่งแปลก ๆ
ระยะหลังเมื่อกลายเป็นความเคยชิน ดึกดื่นคืนไหนไม่เห็นเข้า ถึงกับเป็นฝ่ายเขาเองที่เดินไปชะเง้อมองหน้าห้องนอนคุณพี่เลี้ยง เคยโดนเจ้าของห้องเปิดประตูมาเจอเข้าพอดีครั้งหนึ่ง เล่นเอาแก้ตัวไม่ออกว่าจะมาชมนกชมไม้อะไรแถวนี้ ได้แต่ถามเสียงแห้งว่าคืนนี้ไม่กวนขอนอนด้วยหรือ? แล้วได้ลักยิ้มบุ๋ม ๆ บนแก้มซ้ายกลับมา เห็นเข้าก็รู้สึกผิดที่คิดว่าน่ารักจนจะบ้าตาย โชคดีเท่าไรแล้วที่ลูกชายเขาเป็นเด็กที่หลับแล้วหลับยาว ไม่มีตื่นมาเข้าห้องน้ำหรือหิวเอาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ ให้เห็นพฤติกรรมประหลาดของพวกผู้ใหญ่
กว่าจะรู้ตัว ก็คล้ายว่าจะนอนคนเดียวไม่ได้ไปเสียแล้ว
ทุกครั้งธัญญ์จะแค่มานอนด้วยเฉย ๆ อย่างอ้างไว้จริง อย่างมากก็แค่หันมาซุกตอนเคลิ้ม ๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น มีทำตัวแปลกอยู่บ้างบางคราว ก็ตอนฝนตกฟ้าร้องยามค่ำคืน
เหมือนจะกลัว แต่ก็ไม่กลัว อาจเป็นดังเจ้าตัวเคยบอก ว่าเพียงแค่ไม่ชอบเท่านั้น
ส่วนที่ว่าแปลก ๆ บางครั้ง คือสักหนสองหนตอนเขาเห็นท่าทางไม่ค่อยสบายนักของอีกฝ่ายในคืนฟ้าคะนอง จึงเอื้อมมือไปหาหมายจะปลอบ แต่คงเพราะทำอย่างนั้นโดยเงียบเชียบไปหน่อย ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้เจ้าคนชอบเหม่อรู้ พอสัมผัสถูกเนื้อตัวเข้า ธัญญ์ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นเขาจึงค่อยผ่อนลมหายใจยาวแล้วกลับไปนอนต่อตามปกติ
ไม่ยักรู้ว่าขวัญอ่อนกับเขาเหมือนกัน
เช้าวันอาทิตย์ ภูเมศลุกขึ้นนั่งเหยียดแขนบนเตียง ยังงัวเงียอยู่อีกครู่หนึ่ง
ผ้าปูที่นอนด้านข้างเย็นเฉียบ ธัญญ์คงลุกไปก่อนนานพอดู ประมาณเวลาจากการสังเกตเท่าที่ผ่าน มักอยู่ช่วงตีสี่ถึงตีห้า ให้สายสุดอย่างไรก็ไม่เคยเกินหกโมงเช้าในวันที่เขาเผลอกอดไว้แน่นไปหน่อย
แม้จะชอบทำหน้าง่วงตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริงกลับตื่นเข้ากว่าเขาตลอด ตกลงได้นอนหลับสนิทหรือเปล่าละนั่น
ขณะวางมือลูบบนเนื้อผ้าปูที่นอน ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของพร้อมภูมิดังแว่ว ๆ มาจากชั้นล่าง ไม่รู้พี่ธัญญ์ชวนเล่นอะไรอีกระหว่างรอแม่กับน้องสาวมารับไปเที่ยววันหยุด
ช่วงนี้ดูเหมือนทางฝั่งอดีตภรรยาก็ไม่ค่อยมีเวลามารับลูกชายไปเที่ยวเท่าไรนัก เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคงมีเรื่องยุ่ง ๆ ของตัวเองอยู่มากเอาการ ไม่แปลกใจนักที่เขาลงไปดูชั้นล่างหลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ จะเห็นลูกชายออกอาการตื่นเต้นดีใจอยู่ไม่น้อย เพราะครั้งนี้เว้นช่วงจากครั้งล่าสุดไปนานทีเดียว
“คิดถึงน้องเพลง” ไอ้ตัวเล็กเจื้อยแจ้วกับพี่เลี้ยง “พี่ธัญญ์คิดถึงไหม...อ้าว พ่อครับ”
สายตาใสแจ๋วเบนมายังคุณพ่อซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
“เอะอะแต่เช้าเชียวนะไอ้แสบ” เขาเดินไปยีผมลูกชาย “น้องมาสาย ๆ ไม่ใช่หรือ”
“ต้องเตรียมตัวไงครับ”
“แล้วนี้กินข้าวเช้าหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ!” ไอ้ตัวเล็กยกมือตบอกอย่างภาคภูมิ “วันนี้ชนะพี่ธัญญ์”
ภูเมศเหลือบมองเจ้าของชื่อที่ทำหน้าเนือย ๆ แล้วหันกลับมาถามลูกชาย “ชนะยังไงหืม?”
“กินผักเยอะกว่า”
ชายหนุ่มหัวเราะ “แค่นี้น่ะหรือ?”
“ใครแพ้ต้องล้างจานนี่ครับ มันเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี!”
เขาพยักหน้าเออออไปตามเรื่องตามราว จะว่าขำก็ขำ แต่เห็นแล้วนึกเอ็นดูเสียมากกว่า ไอ้ลูกชายทำพูดดีไป เห็นทุกทีพี่เลี้ยงหน้านิ่งข้างหลังก็คอยตามเก็บให้เกือบตลอดอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าจงใจยอมให้เด็กหรอกหรือ ไหนจะข้าวปลาอาหารที่เดี๋ยวนี้คล่องขึ้นกว่าตอนมาใหม่เป็นไหน ๆ จำได้ว่าช่วงนั้นก้นกระทะเขาดำปี๋ไปไม่รู้กี่หนแล้ว ธัญญ์พยายามทำอาหารแต่ละทีเหมือนมีพายุถล่มครัว แต่พอเจ้าตัวตามมาด้อม ๆ มอง ๆ วันที่เขาว่างเข้าครัวเองบางครั้ง ก็ดูเหมือนเมนูจะค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าชื่นใจ
“หิวไหมครับ”
ภูเมศชะงัก ได้ยินคำถามนั้นของธัญญ์จึงรู้ตัวว่ากำลังยิ้มค้างอยู่ และหน้าตาเขาคงดูเป็นไอ้บื้ออย่างถึงที่สุด เพราะเห็นคนพูดกำลังมองเขาด้วยสายตาเหมือนจะหลุดขำออกมาเต็มแก่
“ไม่ต้องมายิ้มเลยเรา” เขาทำพาลใส่นิดหน่อยประสาคนมีอายุรังแกเด็ก โบกมือไปมาคล้ายรำคาญใจ แต่กลับหุบยิ้มไม่ลงสักที
ธัญญ์ถามต่อเหมือนไม่ได้ยินที่เขาบ่น “ผมทำซุปเยื่อไผ่ซี่โครงหมูตุ๋นยาจีน คุณอยากลองชิมไหม”
ดูเอาเถอะ ชื่อเมนูพัฒนาขึ้นขนาดนี้ แต่ก่อนให้หาข้าวปลาอาหารเองทีไร มีแต่เมนูไข่ไม่ก็อาหารอุ่นไมโครเวฟขึ้นโต๊ะ วูบหนึ่งที่ดันเผลอคิดไปว่าอย่างกับได้ภรรยาคอยดูแลลูกชายพร้อมกับเรียนรู้งานบ้านงานเรือนไปด้วยอย่างนั้นละ
เขาต้องใกล้เพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ
“อะไรก็ตามใจเถอะ”
ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่ท่าทางไปคนละเรื่องจนลูกรักสังเกตได้
“ยิ้มแฉ่งเลย คุณพ่อก็คิดถึงน้องเพลงสินะครับ”
เมื่อข้ออ้างสำหรับทำหน้าบานได้เต็มที่ถูกหยิบยื่นมาอย่างนั้น ก็คงมีแต่จะต้องรับไว้
“ครับ” เขาพยักหน้ารับสมอ้างอย่างหน้าไม่อายสุด ๆ คิดถึงลูกสาวมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ได้เห็นจากพี่เลี้ยงลูกชายช่วงหลังมานี่สิที่ทำเอาใจคอไม่ค่อยดี ความคิดชักหลุดโลกถึงกับเผลอแสดงออกมาทางสีหน้า
“แต่รอบนี้ถึงคิวผมไปเที่ยวกับคุณแม่กับน้องเพลง พ่อต้องอยู่บ้านกับพี่ธัญญ์ดี ๆ นะครับ” พ่อลูกชายเปลี่ยนมาทำเสียงเป็นการเป็นงาน ดูไปดูมาเหมือนจะติดบุคลิกแบบธัญญ์มานิดหน่อย
แต่ประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นคือ จริงสิ...วันนี้เหลือแค่เขากับธัญญ์อยู่บ้านกันสองคน จนกว่าจะถึงเย็นวันจันทร์ที่ลูกชายกลับจากโรงเรียนไม่ใช่หรือ
ครั้นเหลือบมองผู้ร่วมชะตากรรม ธัญญ์ไม่ยักเปลี่ยนสีหน้า ไม่รู้ว่าเก็บอาการดี หรือไม่สนใจเรื่องที่สองพ่อลูกคุยกันจริง ๆ มือกวาดเอาของเล่นของพร้อมภูมิออกจากโต๊ะ จากนั้นหันหลังเดินเข้าครัวเงียบ ๆ
เมื่อพี่เลี้ยงเดินให้หลังจนลับตาไปแล้ว คุณลูกชายก็ขยับมานั่งเก้าอี้ตัวติดกับเขา เลื่อนแก้วที่ธัญญ์เทน้ำดื่มใส่ไว้ให้มาตรงหน้า พลางกระซิบกระซาบพร้อมรอยยิ้มแป้น
“พ่อครับ พี่ธัญญ์จะอยู่กับเราตลอดไปใช่ไหม”
ชายหนุ่มสำลักน้ำจนต้องทำเป็นกระแอมแก้เก้อ
“ไม่รู้สิ”
“พ่อจ้างตลอดไปไม่ได้เหรอ”
ภูเมศมองหน้าลูกชาย เอานิ้วคีบจมูกไอ้ตัวเล็กเบา ๆ ตอบคำถามแบ่งรับแบ่งสู้ “เรื่องนั้นก็ต้องแล้วแต่เขาด้วย”
เด็กชายทำจมูกย่นสู้นิ้วมือคุณพ่อ แย้งกลับเสียงอู้อี้ “เมื่อเช้าผมก็ถามพี่ธัญญ์อย่างนี้ บอกเหมือนกันเลย พี่ธัญญ์ก็บอก เรื่องนั้นต้องแล้วแต่พ่อนายด้วย” แถมประโยคสุดท้ายยังพูดโดยดัดเสียงให้เรียบ ๆ เนือย ๆ เหมือนเจ้าของถ้อยคำ เล่มเอาคนฟังถึงกับหัวเราะก๊าก
“พ่อไม่ต้องขำเลย”
“แล้วจะให้พ่อร้องไห้หรือ”
“พ่อเริ่มเล่นมุกกวน ๆ เหมือนพี่ธัญญ์แล้วอ้ะ!”
“เราต่างหากที่เริ่มพูดจาเหมือนพี่เขาเข้าไปทุกที” คราวนี้ภูเมศดัดเสียงราบเรียบด้วยหน้านิ่ง ๆ ตามบ้าง มีลูกชายตบมือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจ “เหมือนไหม? ฮะ ๆ ๆ”
พร้อมภูมิพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะออกความเห็น “แต่พ่อต้องทำตาปรือกว่านั้นหน่อย ใช่ ๆ นั่นละ! ฮ่า ๆ ๆ”
สองคนพ่อลูกแอบล้อเลียนพี่เลี้ยงลับหลังกันอีกครู่ใหญ่ ก่อนไอ้ตัวเล็กจะกลับมาทำสีหน้าจริงจังอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นความจริงจังในแบบของตัวเอง ไม่ได้แกล้งเลียนแบบคนที่ตอนนี้ยังอยู่ในครัว
“แต่ว่านะ..พ่อครับ ผมกะไว้ว่าวันไหนพ่อไม่จ้างพี่ธัญญ์แล้ว เดี๋ยวผมจะจ้างต่อเอง”
“หือ?”
เด็กชายผงกศีรษะขันแข็ง ยืนยันว่าก็อย่างที่พูดนั่นละ
“แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนจ้างเขาล่ะ”
“ยืมพ่อก่อนไง” พร้อมภูมิยิ้มเผล่
ภูเมศเท้าคาง พยักหน้าทำเป็นครุ่นคิดกับความเห็นลูกชาย “แล้วถ้าพ่อไม่มีให้ล่ะ?”
“ก็ยืมพี่ธัญญ์ก่อน”
“อ้าว?”
“ผมโตทำงานแล้วค่อยหาเงินใช้คืนไง”
“ยืมเงินเขาเพื่อจะจ้างเขาเนี่ยนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย” พร้อมภูมิยักคิ้ว “ก็พี่ธัญญ์รวยออก”
“หือ?” คราวนี้เขาเลิกคิ้วสูงยิ่งกว่าลูกชายเสียอีก แม้คิดอยู่หรอกว่าหน้าตาผิวพรรณอีกฝ่ายดูเหมือนพวกมีอันจะกิน แต่เท่าที่เห็นก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวยเสียหน่อย ไหนจะเอาแต่เรียกเงินค่าอะไรต่อมิอะไรกับเขานั่นอีก ฟังอย่างนั้นเข้าจึงให้นึกสงสัย “รวยยังไงหรือ”
เด็กชายทำทีมองซ้ายขวา ลดเสียงลงมาเป็นกระซิบกระซาบอีกครั้ง “ก็ผมเคยเข้าห้องพี่ธัญญ์ มีแมคบุ๊คอะไรสักอย่าง สวยอะ บอกใช้ทำงาน มีการ์ตูนอะไรออกใหม่พี่ธัญญ์ก็ซื้อให้ตลอด หุ่นรบตั้งหลายตัวในตู้ก็ด้วย..”
ภูเมศตั้งใจฟังลูกชายที่พอได้พูดเรื่องของที่ชอบแล้วก็จ้อไม่หยุด
“แล้วตอนนั้นไปซื้อขนมกัน พี่ธัญญ์มือเต็มเลยฝากหยิบ'ตังค์ในกระเป๋างี้ เจอ'ตังค์เยอะแยะเลย มีบัตรหน้าตาสวย ๆ อีกตั้งหลายใบ ยังเห็นไม่ทันหมดก็โดนยึดคืนไปก่อน มือไวอย่างกับอะไรดี! อ๊ะ พ่ออย่าไปฟ้องพี่ธัญญ์นะ เดี๋ยวงอนไม่ซื้อหุ่นให้อีก”
ภูเมศได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ ใคร่ครวญคำพูดของพร้อมภูมิ
บัตรสวย ๆ หลายใบงั้นหรือ? เขาไม่นึกติดใจนัก สมัยนี้จะฐานะอย่างไร แต่ก็จำเป็นต้องมีบัตรอะไรต่อมิอะไรพกอยู่เต็มกระเป๋าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไอ้เรื่องเอาเงินที่ไหนมาซื้อของให้ลูกชายเขา อันนี้ก็น่าข้องใจอยู่นิดหน่อยจริง ๆ
ครั้นเหลือบตามองตู้โชว์สมบัติของลูกชาย จึงตระหนักได้ว่ามีสารพัดหุ่นยนต์ของเล่น ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา แบบจำลองจากการ์ตูนหรือเกมอะไรสักอย่างที่พร้อมภูมิชอบนักหนาวางเรียงกันให้เต็มไปหมด เพิ่มมาจากเดิมเยอะจนน่าตกใจ
เขาจำได้ว่าเคยซื้อของแบบนั้นให้พร้อมภูมิเป็นครั้งคราว ถึงเป็นของเล่น ทว่าราคาแต่ละตัวนั้นโหดใช่ย่อยทีเดียว หลายชิ้นแพงหูฉี่ในระดับของสะสม ที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามันเพิ่มจำนวนขึ้นขนาดนี้ อาจเพราะตู้เก็บของเหล่านั้นหันหน้าเข้ามุมโปรดของลูกชาย ไม่ได้หันออกมาในส่วนที่จะเดินผ่านแล้วเห็นชัด ๆ
เรื่องเงินจากเขานั้นตัดไปได้เลย ต่อให้ชอบยกมาขู่อยู่เรื่อย แต่พักนี้ไม่เห็นได้ขูดรีดอะไรจากเขาสักนิด ว่าขโมยก็ไม่ใช่ ในเมื่อของมีค่าในบ้านไม่เคยหายไปไหน มีแต่จะขนซื้อของเข้ามาให้ลูกชายเขามากกว่า
เงินเดือนก็รับตามปกติ จะว่าทำงานอย่างอื่นก็ไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าตัวออกไปทำอะไรข้างนอก หรือจะมีงานพิเศษที่ใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าไอ้ของที่พร้อมภูมิเห็นเป็นแมคบุ๊คอย่างคำบอกจริงละก็นะ
ว่าแต่ไม่ได้ออกไปไหนจริงหรือเปล่า...กลางคืนช่วงนี้นอนด้วยกันเกือบตลอด คงไม่ใช่ว่าตอนกลางวันที่พร้อมภูมิไปเรียน ส่วนเขาไปทำงาน ธัญญ์จะออกไปหารายได้พิเศษแบบเดียวกับที่ใช้กับเขาช่วงแรก ๆ หรอกใช่ไหม..
คงเพราะคิดเรื่องแบบนั้นอยู่ให้หัว สายตาซึ่งมองไปยังคนที่ถือถาดอาหารเดินเข้ามาจึงดูประหลาดจนเจ้าตัวทำหน้าสงสัย
เขาปรับสีหน้าเป็นปกติในทันที ธัญญ์เห็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ซักไซ้ เพียงแต่วางถาดลงบนโต๊ะ หยิบถ้วยจานในนั้นออกมาจัดวางตรงหน้าเขา
“นานไปหน่อย ขอโทษครับ พอดีมันเย็นหมดแล้ว ผมเลยอุ่นให้อีกรอบ”
“อา..ขอบใจ”
“พี่ธัญญ์ตื่นมาทำแต่เช้าเลย” พร้อมภูมิเริ่มอวด “ผมก็ช่วยด้วยนะ”
“เราน่ะหรือ” ชายหนุ่มกระเซ้าลูกชาย “เข้าครัวกับเขาด้วย”
“แน่สิ!” ว่าแล้วก็ยืดอกขึ้นอีก “พ่อชิมว่าอร่อยไหม ถ้าอร่อยชมผม ถ้าไม่อร่อยโทษพี่ธัญญ์”
พูดจบอย่างนั้น นิ้วมือคุณพี่เลี้ยงก็จิ้มเข้าที่เอวเด็กชายทีหนึ่ง เล่นเอาเด็กน้อยสะดุ้ง หันมาทำหน้ามุ่ยใส่คนทำที่ปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จะคุยโวต่อเห็นทีจะโดนคนขี้แกล้งเล่นงานเอาอีกแหง ๆ จึงยอมถอยให้ครึ่งก้าว
“ก็ได้ ๆ ถ้าอร่อยก็ชมทั้งผมทั้งพี่ธัญญ์ก็ได้”
“แล้วถ้าไม่อร่อยล่ะ”
“ไม่มีทางไม่อร่อยหรอก” ไอ้ตัวเล็กโอ่แกมบังคับ จากนั้นหัวเราะร่วน หันไปพยักพเยิดกับอีกคน “เนอะพี่ธัญญ์”
“เนอะ” คราวนี้ไม่ใช่แค่เออออไปกับพร้อมภูมิ แต่ถึงกับนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม ยกมือขึ้นเท้าคาง แล้วเริ่มต้นจ้องเขาตาใสอย่างเปิดเผย อีกมือก็ตบเก้าอี้ข้างตัวเบา ๆ เรียกให้พร้อมภูมิย้ายที่ไปนั่งด้วยกัน “มานี่เร็วภูมิ มาดูว่าคุณพ่อนายกินแล้วจะว่าอร่อยไหม”
“เอาสิ!” คุณลูกชายก็เห็นเป็นเรื่องสนุก แปรพักตร์ทันทีทันใด ย้ายฝั่งจากด้านข้างเขาไปนั่งข้างคุณพี่สุดที่รักเรียบร้อย
พอถูกทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กจ้องรวมเป็นสี่ตา แต่ละคนมองเป๋งอย่างกับจะสิงร่างกันได้อยู่แล้ว คนเป็นพ่ออย่างเขาก็ชักรู้สึกตกที่นั่งลำบาก
“จ้องขนาดนี้ ใครจะไปกินลงกันเล่า”
“กินไม่ลงหรือครับ” ธัญญ์ถามเสียงเรียบ แต่สายตาดูนึกสนุกอยู่ในทีอย่างไรบอกไม่ถูก
“ก็ใช่สิ!”
“คุณพ่อกินไม่ลงแน่ะ ภูมิป้อนคุณพ่อหน่อยเร็ว”
“คร้าบ”
เกิดจะว่าง่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้นละ!
“พอ ๆ ไม่ต้องก็ได้ลูก”
“เอ๋” เด็กน้อยชะงัก แต่ธัญญ์ได้ทีเล่นงานต่อ
“หรือให้ผมป้อนดี”
ได้ยินคำถามชี้นำอย่างสุดแสนจะจงใจเช่นนั้นเข้า สมองเจ้ากรรมก็สร้างภาพตามไปเรียบร้อย นี่มันออกจะเข้าใกล้บรรยากาศครอบครัวสุขสันต์อย่างไรพิกล หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่ใช่ภรรยาสาว ความคิดพิลึกที่โผล่มาบ่อยเหลือเกินช่วงนี้ทำเขาไขว้เขวจนรู้สึกเหมือนกำลังจะประสาท
“ไม่ต้องมากวนเลยเรา!” สุดท้ายก็กัดฟันตัดบทจนได้ “อยากจ้องก็จ้องไป เอาให้ตลอดแล้วกัน”
แล้วหนุ่มเล็กหนุ่มโตฝั่งตรงข้ามก็พากันรับคำท้า ด้วยการมองตาใสตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ เสียด้วยสิ!
ที่สุดแล้วก็สู้สายตาผู้เยาว์กว่าทั้งสอง กินหมดเกลี้ยงเป็นเรียบร้อย เอ่ยปากชมไปครั้งหนึ่งว่าอร่อย
พร้อมภูมิถึงกับหน้าบานเป็นกระด้ง ต่อให้ตัวเองจะแค่ตักเครื่องปรุงใส่ตามที่ธัญญ์ตวงไว้แล้วก็เถอะ ส่วนคนทำตัวจริงไม่ได้พูดเอาความดีความชอบอะไร เพียงแต่ยกมุมปากขึ้นนิดหน่อยพอเห็นลักยิ้มประจำตัว ทว่าภูเมศอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวดูอิ่มอกอิ่มใจไม่น้อย และหากสายตาไม่ได้ผิดเพี้ยนจนเกินไปนัก ก็คล้ายจะเห็นสีชมพูจาง ๆ เรื่ออยู่บนพวงแก้มสองข้างของธัญญ์ ปรากฏขึ้นพร้อมกับที่ในอกเขามันรู้สึกแน่น ๆ สลับกับหวิว ๆ อย่างไรพิกล
บ้าฉิบ ห้ามคิดว่าน่ารักเชียว!
นั่นน่ะผู้ชาย...ต่อให้เคยมีอะไรกันมาแล้วก็ผู้ชายไม่ใช่หรือไง
ภูเมศบังคับตัวเองให้มองไปทางอื่น ตั้งสติไว้ ไม่อย่างนั้นเผลอทีไรคอยจะลอบมองหน้าตาเนื้อตัวอีกฝ่ายอยู่เรื่อย จำเป็นอย่างยิ่งต้องหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองจากความรู้สึกประหลาดที่จู่โจมบ่อยครั้งขึ้นทุกวัน
“ไปอาบน้ำก่อน”
“คุณครูบอกว่ากินข้าวเสร็จอย่าเพิ่งอาบน้ำนะครับ” ลูกชายทักอย่างเป็นห่วง
“พ่อร้อนน่ะ” เขาว่าไปเรื่อย “ว่าจะสระผมด้วย”
พูดเท่านั้นแล้วรีบแยกตัวออกไปทันที
พร้อมภูมิได้แต่พยักหน้าตามหลัง นั่งเลือกหุ่นยนต์และของเล่นอภินันทนาการจากพี่ธัญญ์ เตรียมใส่กระเป๋าไปเล่นกับน้องเพลงของพี่ภูมิ
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v