10
ไลท์ : โต๊ะอาหารสีชมพู
“ไอ้วิวมันเป็นเชี่ยไรของมันวะวี” พี่ธันบ่นขึ้นมาหลังจากแยกกับพี่วิวไปได้ไม่นาน ผมคิดว่าคงหมายถึงความซึมเศร้าของพี่วิว จากที่เห็น เขาดูเหมือนคนอกหักมาเลย
“กูก็สงสัยอยู่ ปากแม่งแตกด้วย” พี่วีเสริม อันนี้ผมว่าไม่แปลก ผมกับพี่ธันนี่ก็วอนปากแตกเหมือนกัน ซักวันคงต้องได้เลือดกันบ้าง
“มันมาถามหาไอ้ลิตเติ้ลทำไมวะ” พี่ธันถาม ผมได้ยินแล้วก็อยากจะพูดแทนพี่วีจริง
“กูจะรู้มั๊ย อยู่กับมึงเนี่ย” ด่าอีกพี่ ด่าอีก
“ยิ้มอะไรหมูน้อย”
“เปล๊า”
“เก็บของได้แล้ว หิวข้าว”
“เรื่องของพี่ดิ เกี่ยวไรกับผม” ที่จริงผมไม่ได้งอนนะ แค่อยากแกล้งพี่ธันเล่น หลังๆมานี่พี่แกก็ไม่ค่อยตอบโต้ ถือโอกาสเอาให้หนัก
“งอนไรพี่เนี่ย”
“งอนอะไร ผมมีสิทธิ์อะไรไปงอนพี่” ผมพูดความจริงนะ จะงอนได้ไง ก็เล่นตามมาหาทุกวันแบบนี้ เหมือนจะดูแลผมเป็นพิเศษรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม พอมีพี่ธันอยู่ข้างๆ ผมได้หมด
“งั้นก็ลุกได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”
“เอ๊ะยังไง...”
“ลุกสิ”
“เนี่ย พอไม่ได้ดั่งใจก็จะเอาแต่สั่งๆๆ พ่อเป็นตำรวจรึไง แจกอยู่ได้ใบสั่งเนี่ย”
“ก็...” พี่ธันอึกอักไม่มีคำพูด “พี่ขอโทษ”
แล้วผมก็หลุดขำ คนอะไรชอบทำฟึดฟัดยังกะเด็ก ผมดีใจมากแค่ไหนพี่ธันคงไม่รู้ เรื่องที่เขาเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน เขาชอบผม แต่มันเหมือนฟองสบู่ ยังมีความรู้สึกว่ามันเป็นภาพลวง เป็นแค่...ความฝัน และไม่รู้ว่ามันจะแตกออกเมื่อไหร่ ทุกครั้งที่มองหน้าพี่ธัน สิ่งเหล่านี้ก็จะคอยออกมาย้ำเตือนเสมอ ตัวพี่ธันเองก็ไม่ได้พูดอะไรให้มั่นใจเลยสักครั้ง
สักพักก็มีกลุ่มรุ่นพี่เดินมาหาพี่ธัน เอะอะโครมครามมาแต่ไกล
“เชี่ยธัน ไปกินข้าวที่วิทยากัน”
“ไปกันเหอะ วันนี้ไม่อยากไปว่ะ” พี่ธันปฏิเสธ?
“ไปเหอะน่า ไม่ได้ไปตั้งหลายวัน ดาววิทยาของมึงไม่บ่นตายห่าแล้วหรอ ชื่ออะไรนะ เปรี้ยวป่ะ...”
ดาววิทยา?? เห็นมั๊ยล่ะครับ หน้าหม้อเรี่ยราด นี่คือคนที่ผมชอบจริงๆหรอวะ
“เชี่ย ดาวเชี่ยไรของมึง กูไม่ได้อะไรกะเขาสักหน่อย”
“ไม่ได้อะไรหรอ ถุย แล้วที่กดเบอร์ให้ยิกๆนี่คืออะไร คิดจะเก็บไว้สอยคนเดียวหรอวะ” เพื่อนพี่ธันพูด “ไม่แบ่งเพื่อนตลอดนะมึงน่ะ”
พอแล้ว ผมไม่อยากฟัง
“อุ้ม ไปกินข้าว” โต๊ะเขียนแบบอุ้มอยู่ข้างๆ วันนี้มันขมวดผมเป็นสาวเหนือ และกำลังฟังทุกคำในวงสนทนานี้แบบเขินๆ มันเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง “เก็บของสิ”
แล้วผมก็กระชากตัวลุกออกจากเก้าอี้ ทิ้งข้าวของคาโต๊ะไว้อย่างนั้นแหละ
“เฮ้ย รอแป๊บดิ” อุ้มบอก
“ไลท์...” ผมไม่ยอมให้พี่ธันพูดจบ
“งั้นกูไปรอข้างนอกนะ”
“
ธันนน....”
เจ๊เกดมาอีกแล้ว อีกหนึ่งคู่บุญคู่กรรม ถึงตอนนี้ก็เคลียร์เอาเองเถอะ เป็นแบบนี้จะให้ผมชัดเจนด้วยก็คงจะยากหน่อย อย่าเข้าใจผิด ผมรักพี่ธัน เพียงแต่กำลังกลัว ตั้งแต่ได้รู้จักเขาแบบใกล้ชิดก็รู้ว่าพี่ธันมีหัวใจที่เย็นชาไม่ต่างจากก้อนน้ำแข็งพันปี เขาไม่เคยเห็นความรู้สึกคนอื่นเลย ถ้าต้องถึงขั้นละลายน้ำแข็งให้ ก็ขอให้เป็นที่อื่น สถานการณ์อื่น ตอนนี้ถ้าเข้าไปแทรกก็มีแต่จะถูกมองเป็นตัวตลก ผมเกลียดการเป็นตัวตลกมาก
ผมออกไปรออุ้มอยู่ที่ทางเดินหน้าสตูฯ ยืนพิงเสาก้มหน้างุด ได้ยินเสียงกลุ่มเพื่อนและเจ๊เกดเถียงกันแซ่ด ทั้งยังล้อพี่ธันไม่หยุด สุดท้ายเจ๊เกดก็คว้าแขนพี่ธันลากออกไป ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนสักนิด มองแล้วมันเจ็บกระดองใจจริงๆ จึงตัดสินใจหันหน้าหนี จะเดินออกไปรอด้านนอกตึกแทน แต่บังเอิญชนเข้ากับใครคนหนึ่ง...
บึ้ก!!
จากสัมผัสที่รับรู้ได้คือ คนๆนี้เป็นผู้ชายที่มีร่างกายโคตรเฟิร์ม เสื้อนักศึกษาเรียบแป้ไร้รอยยับ ต้นคอขาวๆที่มีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ เมื่อเงยหน้าผมก็ถึงกับล่องลอย เขาคนนี้หล่อมาก แต่หล่อคนละแบบกับพี่ธัน รายนั้นเขาหล่อเท่หล่อคม ส่วนคนนี้ หล่ออบอุ่น หล่ออ่อนโยน แค่ดึงมุมปากขึ้นนิดเดียว ดวงตาเขาก็ยิ้มให้ผมแล้ว
“เฮ้ยน้อง เป็นอะไรมากหรือเปล่า” นั่นไง แม้แต่คำพูดก็แตกต่าง ครั้งแรกที่ชนพี่ธัน รายนั้นแทบจะกินหัว แต่นี่กลับห่วงว่าผมจะเป็นอะไรมั๊ย
เอาล่ะไอ้ไลท์ เอาฟอร์มกลับมาก่อน
“ครับ อ้อ ผมไม่เป็นไร ขอโทษด้วยครับพี่ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“กูไม่เป็นไร มึงนี่ซุ่มซ่ามดีเนอะ อยู่สถ.หรอ” (สถ.หมายถึงสาขาวิชาสถาปัตยกรรมหลัก)
“ครับ แล้ว...พี่ชื่ออะไรครับ”
“พี่อยู่อินทีเรีย ปีห้า” ไม่น่าเชื่อ ปีห้าหน้าเด็กขนาดนี้เลยหรอ “เดี๋ยวก่อนนะ พี่จำเราได้แล้ว น้องไลท์ใช่มั๊ย”
“จำผมได้??? พี่เคยเจอผมหรอครับ”
“เรานี่เองที่อยู่ในคลิปปรับพื้น พี่เห็นสู้กับผู้หญิง”
สู้กับผู้หญิง เวร นี่ภาพลักษณ์ผมกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย
“เฮ้ย อย่าคิดมากดิวะ พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” พี่ทำท่าเหมือนรู้สึกผิดที่พูดถึงเรื่องนั้น แสนดีจริงๆ แต่...
“ตกลงพี่ชื่ออะไรครับเนี่ย ผมจะได้เรียกถูก”
“เอ้อ โทษที พี่ชื่อสิบโท”
หา “สิบโท ...หรอครับ” อะไรดลใจให้ตั้งชื่อเช่นนี้ สำหรับคนที่โตมาในค่ายทหารอย่างผม ยังไงมันก็ฟังแปลกๆ
“เราคิดว่าชื่อพี่แปลกใช่มั๊ยล่ะ”
“ใช่ครับ” ตอบตรงๆอย่างจริงใจโคตรเลยผม
“เป็นคนตรงดีนะ แล้วนี่จะไปไหนล่ะ”
“ผมรอเพื่อนอยู่ครับ จะไปกินข้าว”
“เออ ดีเลย พี่กำลังหาเพื่อนไปกินข้าวอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันนะ พี่เลี้ยงเอง” เย่ะ ช่วงนี้มีแต่คนเลี้ยงเว้ย ผมแม่งโคตรโชคดี
ผมตะโกนเรียกให้อิอุ้มมันรีบอีกครั้ง มันด่าหาว่าเป็นพวกชอบบงการเหมือนพี่ธันเด๊ะ(ดูพูดเข้า) พี่ธันที่มีสัพเวสีชีปะขาวเกาะอยู่ก็เดินมาทางผมด้วย ท่าทางวันนี้จะต้องกินข้าวที่โรงอาหารเดียวกัน
“ไอ้สิบโท มึงกลับมาแล้วหรอ” พี่ธันทัก คนในคณะนี้ดูเหมือนจะรู้จักกันหมด
“เออ เที่ยวจนตังค์หมดเลยเนี่ย”
“กลับมาช้ามึงจะทันส่งงานหรอ ไหนจะทีสิสมึงอีก เอาเวลาที่ไหนไปตรวจแบบ”
“ใครเขาจะบ้านนอกแบบมึงสาดดด เดี๋ยวนี้เขาไลฟ์สดตรวจแบบกันแล้วเว้ย ไฮเทคน่ะ” ทุกบทสนทนาผมสังเกตว่าพี่ธันจะออกแนวหยาบกร้าน ส่วนพี่สิบโทนี่มาแบบเนื้อซาลาเปากันเลยทีเดียว
“ป่ะ น้องไลท์”
“
เดี๋ยว” พี่ธันกราดเสียง ทำให้ทุกคนหยุดมอง “มึงรู้จักน้องรหัสกูได้ยังไง”
“น้องรหัสมึงหรอ...” พี่สิบโทหันมามองผมที่ยังอึ้งอยู่ ฉิบหายแล้ว ไอ้พี่ธันเป็นพี่รหัสผมจริงๆด้วย ผมต้องดีใจ...
หรือเปล่าวะ “ก็คุยกันไง ต้องนั่งทางในหรอถึงจะรู้จักได้”
“ไม่ต้องลุ้นมันแล้วรห่งรหัส เปิดให้หมดแม่งเลย” อิอุ้มแทรกขึ้นมาเบาๆ
“แล้วมึงจะพามันไปไหน...”
ผมเห็นท่าจะยาวแน่จึงลากพี่สิบโทออกมาก่อน “ไปพี่ ผมหิวแล้ว” สองกลุ่มจึงแยกกันด้วยประการฉะนี้...
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่จบครับคุณผู้อ่าน
ที่โรงอาหาร ผมนั่งข้างพี่สิบโท ส่วนใหญ่จะคุยกันมากกว่าตักข้าวเข้าปาก จึงได้รู้ว่าพี่สิบโทเป็นคนดีมาก โสด แถมยังเก่งมากอีกด้วย พี่สิบโทไม่ชอบกิจกรรม แต่ทำงานอาสาบ่อย พ่อพี่สิบโทเป็นนักธุรกิจนำเข้าเครื่องมือแพทย์ขาหลักของประเทศ พี่สิบโทซึ่งเป็นลูกคนที่สองกลับเดินทางแยกออกมาใช้ชีวิตต่างจากครอบครัว ตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ผมก็เล่าชีวิตผมให้ฟังบ้าง แม้ไม่หวือหวาแต่พี่สิบโทกลับชื่นชอบ
“เนี่ย พี่ไม่เคยมีเพื่อนเป็นทหารมาก่อน พี่ว่ามันเท่ดีออก”
“อย่าไปปลื้มมากล่ะพี่ แต่...มันก็ดีนะ” ผมหมายถึงไอ้ตะวัน
“มิน่า มึงถึงเป็นหมัดมวย”
“อ๋อ นั่นคนละเรื่องพี่ ป๊าผมเขาบังคับให้ฝึก นี่เพื่อนผมเก่งกว่าผมเป็นร้อยเท่าอีกนา รายนั้นฝึกตั้งแต่เด็ก”
“ไม่แปลกหรอก ถ้าพี่มีไลท์เป็นลูก ก็คงหวงน่าดูทีเดียว”
ผมจ้องหน้าพี่สิบโท พยายามคิดว่าเขาหมายความว่ายังไง ขณะนั้นก็มีคนทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม ไอ้พี่ธัน...ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าได้สมกับเป็นหัวหน้าสามนรก ฉายาราชานรกน้ำแข็งให้ได้ดูเป็นครั้งแรก(รู้ฉายาจากรุ่นพี่) พี่ธันนั่งจ้องผมนิ่ง คิดว่าจะกลัวหรอ ไม่หรอก ผมกำลังเริ่มหูแดงแล้ว
“ไม่กินข้าวหรอวะธัน” พี่สิบโทถาม แต่พี่ธันยังคงนั่งกอดอกเป็นรูปปั้นหน้าตาดุดัน “สัด กูคิดว่ามึงจะเลิกทำหน้าแบบนี้แล้วนะเนี่ย อุตส่าห์หลงดีใจ”
“ไม่แปลกหรอกครับพี่สิบโท คนเรามันไม่เปลี่ยนนิสัยง่ายๆหรอก เคยเป็นไงมันก็เป็นงั้นแหละ” อันนี้แขวะพี่ธันโดยเฉพาะ เพราะเจ๊เกดเดินมานั่งข้างพี่ธันแล้ว กำลังปรนนิบัติพัดวี น่าหมั่นไส้
ถึงตอนนี้ พี่ธันก็พูดออกมา “ใช่ คนเราไม่เปลี่ยนกันง่ายๆหรอก เคยรักเคยชอบอะไรก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจ”
อันนี้ได้แต่จ้องหน้าพี่ธันกลับ ตอนพูดเขาไม่ได้ละสายตาจากผมเลยสักนิด พี่ธันกำลังจะบอกว่าอะไร...ถ้าคิดตามความหมายคือ เคยรักเคยชอบ หมายถึงคนที่เขาเคยชอบหรอ ที่จ้องหน้าอยู่นี่เขาหมายถึงผมหรือเปล่า บางทีผมก็หงุดหงิดเหลือเกินที่พี่ธันไม่เคยพูดอะไรให้มันชัดเจนเลย
ผมถอนหายใจก่อนจะพูด “คิดถึงใครอีกล่ะ แฟนเก่าหรือไง”
“ยังไม่เคยเป็นแฟนกัน”
“แล้วทำไมไม่ไปขอเขาเสียเลยเล่า” ผมประชด
“ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาชอบพี่หรือเปล่า”
ผมหยุดกินแล้วมองหน้าพี่ธันตรงๆ พี่เขาดูอ่อนลงมากแล้วและผมก็ไม่ได้จะคิดกวนอะไรอีก ถ้าที่พี่ธันพูดถึงหมายถึงผมจริงๆละก็ บอกเลยว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“เขาอาจจะกำลังกลัวอยู่” ผมตั้งใจสื่อไปให้พี่ธันโดยตรง “กลัวว่าพี่ธันจะไม่ได้รักเขาจริงๆ ทำไมไม่พยายามแสดงออกหน่อยล่ะครับ”
“ก็กำลังจะทำอยู่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากอยู่กับพี่เลยสักนิด”
“นั่นไม่จริงสักหน่อย”
“นี่กำลังพูดถึงใครอยู่วะธัน” พี่สิบโทถามแทรกขึ้นมา
“เด็กแว่น” ผมสะดุ้งเลย พูดถึงแว่น คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งหมดไม่ใส่แว่นนอกจากผม พี่สิบโทก็เล่นกับเขาด้วย มองมาทางผมอย่างสงสัยใคร่รู้
“นี่ไม่กินข้าวแล้วรึไงไลท์ มัวแต่คุยอยู่นั่น” พี่สิบโทยีหัวผมเล่น ให้ความรู้สึกประหลาดชอบกล ออกจะเขินเสียด้วยซ้ำ “เอาน้ำอะไรดี พี่จะไปซื้อมาให้”
น้ำหรอ...”ไวตามิ้ลครับ ขวดเดียวก็พอ”
“มึงนี่กินอะไรน่ารักดีนะ ได้ เดี๋ยวจัดให้คร้าบเด็กน้อย” แล้วก็ยีหัวอีกรอบ ขณะมองตามแผ่นหลังอันบึกบึนนั้น สัญญาณในใจก็ดังลั่นขึ้นมา พี่สิบโทกำลังจีบผมหรอ???
เร็วไปม๊ายยยย เราเพิ่งรู้จักกันนะพี่ “ธันจะกินน้ำอะไรล่ะ เราไปซื้อมาให้” เจ๊เกดถามเสียงหวาน ผมงี้หันขวับ
“เราไม่หิว”
“งั้นเอาเป็นโค้กเหมือนเดิมแล้วกัน” อืม ไอ้พี่ธันชอบกินน้ำอัดลม ผมจะจำไว้
ตอนนี้ทั้งโต๊ะก็เหลือแต่ผมกับพี่ธัน ฝ่ายหนึ่งจ้องหน้าอีกฝ่าย ไม่มีใครพูดอะไร ผมที่หน้าแดงพยายามไม่หลบตา ถ้าสารภาพรักไปตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ จะสมหวังรึเปล่า หรือจะพังทลายในพริบตา
“พี่ชอบเด็กแว่นคนนั้นจริงๆหรอ” ผมค่อยๆเริ่ม...
“ใช่”
“ที่บอกว่าเคยน่ะ ชอบมานานแล้วหรือไง”
“ก็นานพอจะรู้สึกสิ้นหวังได้”
“หมายความว่ายังไง?”
“พี่รู้จักเด็กแว่นคนหนึ่งที่ชอบอยู่ทำกิจกรรมจนดึกดื่นคนเดียว พี่รู้จักเด็กแว่นที่ชอบแอบมองอยู่นอกสนามบาส พี่รู้จักเด็กแว่นที่ออกหน้าปกป้องคนที่สำคัญกับเขา...”
นี่มันเรื่องอะไรกัน...
พี่ธันพูดถึงเด็กแว่นคนนั้น ราวกับมันยังอยู่ในความทรงจำของเขา เด็กแว่น ที่เฝ้าถามตัวเองว่าทำอย่างไรคนที่เขาแอบรักจะหันมามองเขา เด็กแว่นที่พี่ธันก็แอบมองมาตลอดเหมือนกัน...อย่างนั้นหรอ...
“...เขาหายจากชีวิตพี่ไปตั้งหลายปี พี่ตามหาเขาไม่เจอ”
...
เป็นไปได้จริงๆหรอ? “แต่ตอนนี้พี่เจอเขาแล้ว”
...
พี่ธัน...
“แค่อยากบอกให้รู้ว่าพี่มองเขามาตลอด เพียงแต่ไม่กล้าแสดงตัว”
“ถ้าอย่างนั้นเขาคงรู้สึกแย่น่าดูนะ”
“แย่หรอ ยังไงล่ะ”
ผมกลืนน้ำลายไม่รู้ตั้งกี่รอบ กลืนความอัดอั้น แล้วค่อยๆเผยความรู้สึกจริงๆออกมา ผมอยากให้พี่ธันรู้ความรู้สึกทั้งหมด แม้แต่ความรู้สึกกลัว....ถ้าหากความฝันของผมมันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ผมต้องแน่ใจ
“เขาเคยรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นแค่ความฝันลมๆแล้ง ยิ่งไม่พูด เขาก็จะยิ่งรู้สึกสิ้นหวังไง เขารู้ว่าดาวจะไม่มีทางสนใจดิน...”
“ไม่เคยเห็นดาวตกหรอ มันตกลงมาที่ดินนะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ด้วยสังคมแบบพี่ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยนะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็ตัวพี่เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทอสังหายักษ์ใหญ่ อีกหน่อยก็ต้องมีหน้าตาในสังคม ถ้าพี่คบกับไอ้เด็กแว่นนั่นอนาคตของพี่ไม่ต้องพังไปด้วยหรอ ที่บ้านพี่จะว่ายังไง ไหนจะตัวพี่อีก คนเขาจะมองพี่ยังไงพี่ก็รู้”
พี่ธันไม่พูดอะไรกับความเห็นนี้
“...พี่ทนได้หรอ”
“มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”
“เกี่ยวสิ พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก”
“
แต่บนโลกนี้มีคนที่พี่รักอยู่คนเดียวนะ”
ทุกคำที่ได้ฟังทำเอาน้ำในตาคลอ มันเหมือนแสงสว่างในถ้ำมืดที่ไร้ทางหนี ค่อยๆกระจ่างชัดขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปหา แสงที่เป็นเหมือนปลายทางที่ไม่เคยหาเจอ บัดนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นทางออกที่สร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับผม มือผมเริ่มสั่นน้อยๆจากการสะกดกลั้นความอิ่มเอมใจ
“แล้วเมื่อไหร่พี่จะบอกให้เขารู้ในสิ่งที่พี่รู้สึกล่ะ”
“ก็พยามอยู่ ขอโอกาสให้พี่สักครั้งได้มั๊ย” พี่ธันใช้เสียงที่อ่อนโยนมาก เสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นเสียงจากหัวใจเขาจริงๆ ส่วนคำตอบของผมน่ะหรอ...
“แล้ว...เด็กแว่นคนนั้น” ผมก้มหน้างุด “เขาชื่ออะไรหรอครับ”
“เขาชื่อไลท์” ------------------------------------------------------------------------------
ผมก้มหน้าจนจะจมลงไปกับโต๊ะอยู่แล้ว ไอ้พี่ธันก็เรียกผมเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่นั่น ผมแค่พยายามจะหลบสายตาไม่ให้ใครเห็นน้ำตาที่เจิ่งจนจะไหลออกมาอยู่แล้ว ความอบอุ่นใจที่คนที่เรารัก รักเราตอบมันช่างมีความสุขเหลือเกิน ความเศร้าและสิ้นหวังกับการแอบรักพี่ธันข้างเดียวดูช่างแจ่มชัด ทุกวินาทีที่ผมเฝ้าคิดไปต่างๆนาๆว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ บัดนี้ผมกลายเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดในโลก หากเป็นไปได้ก็อยากจะเก็บความรู้สึกนี้ใส่กล่องติดตัวไว้ตลอดเวลา บางทีอาจจะเขียนลงในสมุด ผมชอบเก็บความรู้สึกเป็นตัวหนังสือ และจะกลับไปทำอีกครั้ง
พี่สิบโทซื้อน้ำเสร็จก็กลับมานั่งที่เดิม พอเห็นหน้าผมก็ตกใจ
“ไลท์ เป็นอะไร ไม่สบายหรอ” พี่เขาคงเห็นว่าผมหน้าแดงถึงที่สุด แถมยังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “หรือไอ้ธันมันว่าไลท์...”
“ไม่มีอะไรครับพี่สิบโท”
ว่าไม่ว่าเปล่ายังทำหน้าเครียด ยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากแตะคอ
พระเจ้า... มือพี่สิบโทนิ่มที่สุด อ่อนโยนจนผมขนลุก เป็นมือที่ถ้าใครได้สัมผัสต้องหลงกันทุกคนแน่ๆ ผมที่อารมณ์กำลังเต็มแน่นกลับเจอแบบนี้ก็ยิ่งทำให้หน้าแดงเข้าไปอีก
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมสบายดี แค่....” ผมเงยหน้ามองพี่ธันที่ตอนนี้ดูจะกลายเป็นยักษ์เสียให้ได้
“มากไปละไอ้สิบโท นั่นน้องรหัสกูนะเว้ย”
“แล้วไงวะ น้องรหัสมึงไม่ใช่แฟนมึงเสียหน่อย” เอาแล้วไง พี่ธันจะว่ายังไงล่ะทีนี้
“เออ แค่น้องรหัสกูก็ว่ามากไปและ ถ้าเป็นแฟนเมื่อไหร่มึงโดนกูต่อยหน้าแน่” อื้อหือ เข้มเข้าไปพ่อคุณ
“มึงพูดอะไรเนี่ยไอ้ธัน ใครแฟนมึง?” เออ
ใครแฟนมึง แค่สารภาพว่ารักยังไม่ได้ขอเป็นแฟนเสียหน่อย ผมทำหน้าท้าทายใส่เลย ตอนนี้เจ๊เกดก็เดินมานั่งพอดี ไอ้พี่ธันก็คว้าโค้กหมับแล้วตั้งต้นดูดอย่างบ้าคลั่ง
“อ้าปากดิ๊” ผมที่กำลังนั่งก้มหน้ายิ้มไม่หุบก็ไม่รู้ว่าใครยื่นให้ อ้าปากงับดูด รู้สึกตัวอีกทีก็ตกใจ พี่สิบโทกำลังถือขวดไวตามิ้ลป้อนผม ทั้งยังยิ้มหน้าบานให้ด้วย เป็นยิ้มที่เปล่งปลั่งจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมรักพี่ธัน คงเผลอใจให้พี่สิบโทอย่างไม่มีข้อสงสัยทีเดียว
“มึงนี่น่ารักน่าแกล้งจริงๆนะไลท์” ผมชกแขนพี่สิบโท ความรู้สึกเหมือนชกกระสอบทราย เฟิร์มโคตร
ไอ้พี่ธันตาลุกเป็นไฟ กระแทกขวดโค้กลงบนโต๊ะ
“ธันเป็นอะไร” เจ๊เกดถาม ผมก็เห็นท่าจะไม่ดีแล้วเหมือนกัน รีบดูดน้ำให้หมดแล้วห้ามทัพ
“พอๆ จะบ่ายแล้วครับพี่ ไปเตรียมตัวเรียนกันดีกว่า”
“เฮ้ย พี่ไม่มีตรวจแบบ” อ้อหรอ หืมมมม พี่สิบโทนี่ก็...
“แต่ไลท์ต้องทำงาน ห้ามใครกวนสมาธิ” พี่ธันยืนยันเสียงแข็ง
พี่สิบโทมองพี่ธันแปลกๆ พวกเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน มองตากันแบบนี้คงจะเข้าใจกันได้ไม่มากก็น้อย จากที่เป็นพันธมิตรกัน ผมคิดว่าตอนนี้มีประกายไฟเล็กๆได้เกิดขึ้นแล้ว และพี่สิบโทเพิ่งจะเข้าใจ
ผมสังหรณ์ว่าจะเกิดสงครามชิงนายกันก็คราวนี้...
แล้ว...ทำไมกระผมต้องมาเป็นนายสีดาด้วยละครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------
เพราะอินทีเรียกับสถาปัตย์หลักนั้นแยกตึกกัน จึงขอให้พี่สิบโทกลับไปก่อน เหลือแค่พี่ธันที่เดินไปส่งที่สตูดิโอ พอถึงโต๊ะก็เล่นงานผมทันที
“ชอบมันหรอ” ยังไม่ทันเป็นแฟนเลย แววขี้หึงนำมาก่อนแล้ว
“พี่เขาก็เป็นคนดีนะ” ผมพูดด้วยความจริงใจ “เค้าดูใส่ใจผมมาก”
“แล้วพี่ล่ะ...” พี่ธันพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจจริงๆ ผมกำลังคิดว่าใจร้ายไปหรือเปล่าที่ทำตัวไม่เป็นมิตร อย่างน้อยก็ควรเป็นห่วงความรู้สึกพี่ธันอย่างจริงจังบ้าง
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับพี่สิบโทหรอกนะ”
“ก็ไลท์ชอบหว่านเสน่ห์...พี่ก็กลัวคนอื่นจะเข้ามาหาแล้วทำให้หมูน้อยของพี่เปลี่ยนใจนะสิ”
“เวอร์ไปละ ผมก็หวงเนื้อหวงตัวเป็น”
“ไม่รู้แหละ พี่ไม่ไว้ใจคนอื่นๆ....” พี่ธันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปค้นกระเป๋าตัวเองแล้วล้วงสิ่งหนึ่งออกมา
ในมือของพี่ธันเป็นแหวนเงินหน้าตาธรรมดามากเหมือนที่ขายกันตามตลาดนัด แต่ผมเห็นไวๆว่าด้านในของแหวนมีสลักชื่อไว้ จึงน่าจะเป็นแหวนที่สั่งทำพิเศษแน่ๆ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้ามือซ้ายผมไปแล้วสวมแหวนนั้นไว้ที่นิ้วนาง
“เฮ้ย!!??...” ผมตกใจมาก ทั้งหมดนี้ปุ่บปั่บเกินไป ไอ้อุ้มที่นั่งอยู่ข้างผมก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“นี่เป็นสิ่งยืนยันว่า ใจของไลท์เป็นของพี่แล้ว ห้ามใครมาแย่งไปทั้งนั้น”
พี่ธันไม่ปล่อยให้ผมค้าน พูดเสร็จปุ๊บก็เดินออกจากสตูหายวับไปเลย นี่เขาชัดเจนขนาดนี้เลยหรอ ไม่มีลังเลอะไรเลยสักนิด ผมที่มัวแต่ตกใจ ดีใจ แปลกใจ ไม่มีคำพูดใดๆจะเอ่ยจริงๆ
...แต่แบบนี้เรียกว่าขี้ตู่ จอมบงการตัวพ่อเลย...
“พวกมึงสองคนนี่ก็แปลกไปมั๊ย ไวไฟกันฉิบหาย” อุ้มตั้งข้อสังเกต “จู่ๆก็มาสวมแหวนให้ซะงั้น”
“แต่เขายังไม่ได้ขอกูเป็นแฟนนะเว้ย”
“แล้วยังไง ไอ้ที่ให้แหวนไว้ก่อนแบบนี้ ท้องก่อนแต่งหรอยะ”
“เฮ้ย พูดบ้าอะไรเนี่ย” มาท้งมาท้อง บ้า... “แต่ก็ดูแปลกๆจริงนะ กูตั้งตัวไม่ทันไง เขายังไม่เห็นจะเข้ามาจีบกูเลย”
“หรอ...” อุ้มประชด “แล้วไอ้ที่เทียวเช้าเทียวเย็นมาหาเรื่องคุยกับมึงเนี่ย ไม่เรียกว่าจีบหรอ มึงไม่รู้อะไร คนอื่นๆที่ได้คุยกับพี่ธัน เขาก็บอกทั้งนั้นแหละว่าเหมือนคุยกับก้อนหินดินทราย ไม่มีการตอบรับหืออือ มึงก็รู้ว่าฉายาพี่เขาคืออะไร ราชานรกน้ำแข็งนะเว้ย”
อืม...มันก็จริงอย่างอุ้มว่า พี่ธัน... ตั้งแต่เจอผมครั้งแรกก็ไม่ปล่อยให้ผมนั่งคิดถึงหน้าเขาแต่ฝ่ายเดียวเลย เล่นโผล่มาทุกวัน มาด่าบ้างล่ะ แขวะบ้างล่ะ วันไหนดีๆก็ซื้อของมาให้เป็นกระบุง ถ้างั้นที่ผ่านๆมา พี่ธันเขาจีบผมมาโดยตลอดหรอ นั่นเป็นวิธีจีบที่ฮาร์ดคอร์มากๆ
รู้สึกดี รู้สึกเป็นที่ต้องการ...
“เอาเหอะมึง หุบยิ้มแล้วเขียนแบบให้เสร็จ เย็นนี้เขามีนัดนะเว้ย ไหนจะเชียร์ ไหนจะแก้วแรก”
“เชี่ย นี่กูยิ้มอยู่หรอ” ผมยิ้มจริงๆหรอ? “มึงนี่ก็ชอบแซว คืนนี้กูจะมอมมึงให้หลับเลย”
คราวนี้อิอุ้มมันหัวเราะแบบสบประมาทโคตรๆ “มึงไม่ต้องมโน กูดูทรงมึงและ ไม่เกินสองชั่วโมง มึงได้ไปเฝ้าพระอินทร์แน่”
มันพูดจริงครับ ผมคอนเฟิร์ม
อย่างไรก็ดี กว่างานผมจะเสร็จก็ได้เวลาเข้าห้องเชียร์พอดี เพราะผมมัวแต่นั่งจ้องแหวนเงินที่มือผมนี่แหละ****************************************************************************************************************
Mr.SCROMAN : ไม่ได้เลยนะธันวา แบบนี้ไม่แมนเลย พอเห็นว่าจะเสียเขาไปแล้วค่อยมาหวงหรอ นิสัยเสียมาก
#(ความลับนะ คนที่ชื่อสิบโท ที่จริงแล้วคือคนที่สำคัญมากๆต่อชีวิตทั้งคู่ และเรื่องราวจะค่อยๆเปิดเผยออกมาเอง อีกอย่าง หมอเนี่ย สเปคไรเตอร์เด้อค่ะ)