ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย/บทส่งท้าย: ธันวา(ไปบ้านไลท์ครั้งแรก) - เมี๊ยว! [19/8/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย/บทส่งท้าย: ธันวา(ไปบ้านไลท์ครั้งแรก) - เมี๊ยว! [19/8/60]  (อ่าน 16697 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
วิวเอ๊ย ......นายรีๆรอ
จะบอกเลิกเขา ก็ชวนเขาออกมาพูดข้างนอกสิ
พูดตอนที่เพื่อนๆเขาอยู่ด้วยมันมีโอกาสเรอะ

นายชักช้า ปล่อยเวลาผ่านไป ไม่พูดเรื่องเลิกซักที
จนนายไม่น่าเชื่อถือในสายตาลิตเติ้ลแล้ว
แถมนายจู่โจมจูบลิตเติ้ลอีก
คราวนี้นายง้อลิตเติ้ล ยากแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
               
11

ไลท์ : ของเล่น




               ผมเบื่อออออการนั่งติดที่นานๆที่สุด ถึงแม้จะมีกิจกรรมฆ่าเวลาและการร้องเพลง(ซึ่งช่วยได้บ้าง) แต่ผมยังไม่เห็นประโยชน์อันใดกับการต้องมานั่งรวมกันเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง เป็นบุฟเฟ่ต์ให้ยุงละสิไม่ว่า
               เชียร์เลิกกันสองทุ่ม ผมเกือบจะมีเรื่องกับรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเพียงเพราะขอออกไปสูดอากาศลดอาการแน่นหน้าอก คงคิดว่าการคุมเด็กคนเดียวไม่อยู่จะทำให้เสียอำนาจควบคุมของตัวเองกระมัง ผมก็นิสัยดีเสียด้วย ได้ยินแบบนั้นยิ่งอยากทำให้สมหวัง แต่เรื่องมันดันหยุดเพราะไอ้ตะวันมันเข้ามาแทรก กลุ่มรุ่นพี่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้ตะวันวอแวด้วยไม่ได้ ผมสองคนเลยเดินออกมาและกลับหอทันที
               “มึงไปสร้างศัตรูไว้กี่คนแล้ววะ” ไอ้ตะวันถาม
               “เชี่ย กูไม่ได้อยากสร้างหรอก มึงก็รู้นิสัยกู”
               ตะวันถอนหายใจ “มึงนี่นะ กูจะว่างไปตามดูมึงได้แค่ไหนกันเนี่ย”
               “ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”
               “พยายามอย่าอยู่คนเดียวล่ะ อย่างน้อยไปไหนก็ขอให้ไปกับเพื่อนนะ”
               “เออ รู้แล้ว”
               เรากินอาหารรองท้องก่อนจะไปที่ร้านเหล้า ตะวันก็ไม่วาย กำชับหนักหนาว่าอย่าดื่มมากเกินไป ผมรู้ตัวว่าตัวเองรับได้แค่ไหน ไปครั้งนี้คงไม่กะน๊อคอยู่แล้ว คงสักห้าหกทุ่มก็จะกลับ บนหอนั้นผมนอนรอเล่นโทรศัพท์ไปพลาง ตะวันก็นั่งคุยงานที่ร้านของครูเชฟที่มันไปเรียน ไม่ก็คุยกับผู้จัดการอพาร์ทเม้นท์ของมัน วันๆหนีไม่พ้นงานหรอก
               ก่อนสามทุ่มไม่นานก็มีคนมาเคาะห้อง ตอนนั้นไอ้ตะวันอยู่ด้วย มันทำตื่นๆเหมือนมีผู้ร้ายจะเข้ามากราดกระสุนใส่(สงสัยดูหนังมากไป) แอบฟังแอบดูอยู่หลังประตู พอส่องลอดตาแมวก็ตกใจแล้วหันมามองผม
               “ใครมาวะ?”ผมถาม
               “ที่รักมึง”
               เชี่ย พี่ธันมาห้อง ครั้งแรกนะเนี่ย...ผมนี่ลนลานไปแล้ว(ทำไมก็ไม่รู้) กำลังจะบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดก็สายไปเสียแล้ว พี่ธันเข้ามาในห้องแล้ว
               แต่...เฮ้ย แค่ไปกินเหล้าต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยหรอวะ แว่นตาสีชา เซตผมสุดเท่ เสื้อเชิ้ทแขนสั้นสวมทับเสื้อยืดที่มีตัวอักษรว่า ‘ตามหาหัวใจ’ (โคตรตะมุตะมิ) ครึ่งล่างเป็นกางเกงขาสั้นธรรมดากับแตะสวม ดูรวมๆแล้ว ผมจัดประกวดซุปเปอร์โมเดลดีกว่า มีไอเทมตั้งสองคนแน่ะ(รวมไอ้ตะวันด้วย)
               “พี่ขึ้นมาได้ไง” ตะวันถามเสียงเข้ม
               “อยู่ด้วยกันหรอ” พี่ธันถามไอ้ตะวัน ทำตาคมกริบไม่ไว้ใจ แต่ตะวันมันยืนจ้องหน้าพี่ธันนิ่ง สื่อสายตาประมาณว่า ‘มึงเสือกเชี่ยอะไรล่ะ’ ใส่แล้วหันไปคุยโทรศัพท์ของมันต่อ เห็นแล้วก็ขำสิครับ
               “ไลท์” พี่ธันเข้ามานั่งข้างผมเพื่อยีหัวเล่น ต่อไปนี้จะไม่เซ็ตผมอีกแล้ว เซ็ง “ไหวป่ะเนี่ยคืนเนี้ย”
               คงหมายถึงเรื่องที่ผมป่วย “ไหวน่า ไม่เป็นไรหรอก”
               “คืนนี้ไลท์ต้องอยู่กับพี่ตลอดนะ”
               “ได้ไงล่ะ ผมก็ต้องอยู่กับเพื่อนผมมั่งสิ”
               “ช่างหัวพวกนั้นไม่ได้หรอ”
               “อย่ามางอแงไม่เข้าเรื่อง ผมไม่ใช่คนทิ้งเพื่อนนะ”
               “พูดแบบนี้จะว่าพี่หรือไงห๊ะ หมูน้อย”
               “คิดเอาเองละกัน”
               “ไอ้ไลท์ จะไปกี่ทุ่ม เพื่อนมึงอยู่ร้านจะทุกคนแล้วนะ” ตะวันบอก
               “จริงหรอ” ผมดิ้นหนีมือพี่ธันที่พยายามจะกอดออกมาได้ “มึงรู้ได้ไงวะ”
               “วีบอก”  วีคือพี่วีของมัน เดี๋ยวนี้รู้ทุกฝีก้าวว่าวีมันอยู่ไหน ทำอะไร ถามไปก็บอกไม่ได้เป็นอะไรกัน เหอะ เชื่อตายล่ะ
               “งั้นไปเลยก็ได้มั้ง” ผมว่า จะได้ไม่ดึกมากด้วย “ไป พี่ธัน...”
               พี่ธันนั่งอยู่บนเตียงผม กำลังพิจารณาตุ๊กตาไม้แกะหยาบๆ ของขวัญจากคนที่ไม่รู้จัก ปกติจะวางบนหัวเตียง
               “นี่อะไร“ พี่ธันถาม
               “ตุ๊กตาไง”
               “ใครให้มา...”
               “ไม่คิดว่าผมจะแกะเองมั่งหรอ...” ผมตอบเล่นๆ แต่พี่ธันดูเหมือนจริงจัง จึงบอกความจริงไป “...มีคนให้มาน่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร”
               “เก็บของขวัญของคนที่ไม่รู้จักไว้ตลอดหรอ”
               “ก็ไม่หรอก...”  ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี  “เฉพาะตุ๊กตานี่เท่านั้นแหละ ไม่รู้สิ...มันทำให้ผมไม่สิ้นหวัง ตอนอยู่มัธยม...มั้ง”
               “ไม่เคยคิดจะสืบหาตัวจริงหรือไง”
               “จะให้สืบยังไงล่ะ ไม่มีเบาะแสอะไรเลย...อีกอย่าง ตอนนั้นผมสนใจอย่างอื่นอยู่”
               พี่ธันคงรู้ตัวว่าเป็นเขา ไม่ได้ถามอะไรอีก ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร จนกระทั่งเขายิ้มกว้างตอนมองตุ๊กตาไม้ถือหัวใจนั่น
               “ไปกันได้ยัง” ตะวันเร่ง แหม ไม่อยากจะพูด อยากเจอพี่วีละสิ หมั่นไส้

                                 ----------------------------------------------------------------------------------------------

               ตะวันยืนยันว่าจะขับรถไปด้วยแม้ว่าร้านจะอยู่ไม่ไกลมาก มันบอกเผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้แก้ไขทัน โรคขี้กังวลน่ะครับ ผมว่าก็รอบคอบดี พี่ธันชวนกินเกี๊ยวกุ้งเซเว่นหน้าปากซอยก่อนเข้าร้านด้วย แต่ผมเห็นไก่ย่างซะก่อนเลยเปลี่ยนใจ ปล่อยพี่ธันกินไปคนเดียว ก่อนเข้าร้านก็มิวายแวะซื้อไส้กรอกอีก เดินไปพลางก็ป้อนพี่ธันไปพลาง รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน
               ตั้งแต่เดินเข้าซอยมา เสียงดนตรีจากร้านเหล้าหลายร้านก็พากันมาต่อคิวเข้าหูผมไม่หยุด ยิ่งใกล้ถึงที่หมายนี่... อย่างกับมีคอนเสิร์ต ในที่สุดก็มาหยุดที่หน้าร้านใหญ่ร้านหนึ่ง เหล่าพี่ปีสองคอยต้อนรับอย่างไม่ใส่ใจนัก ในร้านอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก กลุ่มคนสี่คนบนเวทียกพื้นเล็กๆกำลังบรรเลงเพลงสด(รุ่นพี่อีกแหละ มีปีผมด้วย) ทว่าผู้คนส่วนใหญ่จะรุมล้อมอยู่ตามโต๊ะ ทักทายพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ มือก็ถือเหล้าถือเบียร์ตามรสนิยมของตัวเอง มีจำนวนไม่น้อยเดินแวะเวียนโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ ตะโกนโหวกเหวกทักทายข้ามหัวไปมา ผมสังเกตว่าจุดร่วมที่เกือบทุกคนมีเหมือนกันก็คือความสนุกสนาน
               “ไปนั่งกับพี่ก่อนมั๊ย” พี่ธันถาม ผมที่รู้ดีว่ายังไม่สนิทกับปีห้า หากไปนั่งก็เซ็งเปล่าๆ วันนี้เป็นวันรวมญาติเหล่าคนที่ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นในคณะ(เฉพาะปีห้า) ไว้ค่อยเข้าไปหาอีกทีดีกว่า
               “พี่ธันเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวไลท์หาพวกแถวนี้ก่อน สักพักค่อยแวะไปหานะ”
               “อย่านานนักละกัน พี่คิดถึง”
               ผมยิ้มให้ ตบไหล่ไปหนึ่งที “คร้าบบ”
               กว่าจะหาเจอก็ต้องฝ่าฝูงชนกันเยอะหน่อย อุ้มมันมาก่อนผมเป็นชั่วโมง นั่งอยู่โต๊ะในสุดและกินไปได้พักหนึ่งแล้ว มันเห็นผมก็กวักมือยิกๆเรียกให้ไปหา ผมนั่งตูดยังไม่ทันถึงเก้าอี้มันก็ชงเหล้ามาให้แล้วแก้วนึง อินี่
               “ไม่ไปอยู่กับที่รักมึงหวอวะไลท์” มันเปิดประเด็น
               “ให้กูมาหาเพื่อนบ้างดิวะ ทุกวันนี้จะจำหน้าเพื่อนไม่ได้อยู่แล้ว”
               “อยู่ทุกวันมึงก็จำไม่ได้อยู่ดีแหละ จำได้แต่หน้าพี่ธันของมึงคนเดียว กูพูดถูกมั๊ย”
               “พ่องสิ...”
               “แล้วพี่ธันก็ยอมปล่อยมึงมาเนี่ยนะ ไม่มาส่งด้วยตัวเองอีกต่างหาก” อุ้มมันเป็นคนพูดตรงครับ มันมักจะพูดประเด็นที่เป็นแก่นหลักของปัญหาออกมาได้แบบหน้าตาเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซึ่งถ้าคิดตามมันก็เป็นแบบที่มันว่าจริงๆ แต่ผมจะยังไม่คิดมากเรื่องนี้
               “คงเห็นว่ามีแต่เพื่อนมั้ง...ช่างมันเถอะ” คิดหาข้อแก้ตัวไปก็เท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ฟองสบู่ในใจมันขยายใหญ่ขึ้นเปล่าๆ “มึงก็มาแดกกับกูไงอิอุ้ม”
               เพื่อนผมจัดหนักจริงๆครับ ผมเพิ่งจะรู้ว่าวันเวลาที่เอาไปทะเลาะกับพี่ธัน เพื่อนคนอื่นก็ค่อยๆสนิทกันเองมากขึ้น ผมจึงอาศัยจังหวะนี้ชวนทุกคนชนแก้วกันเสียเลย และนั่นทำให้มึนเร็วเกินไป ไอ้อุ้มเห็นผมตัวเริ่มแดงก็เห็นท่าไม่ดี ไม่ชงเหล้าเทเบียร์ให้อีก ผมเลยได้แต่นั่งคุยเฉยๆ

               ผ่านไปราวชั่วโมงนึงน่าจะได้ ตอนที่พี่ลิตเติ้ลโผล่เข้ามา เห็นผมนั่งอยู่ด้านในก็ตะโกนเรียกซะเสียงดังแล้วกระโดดข้ามโต๊ะมาหา คนรอบข้างหลายคนทักทายพี่ลิตเติ้ลเสียงอ่อนเสียงหวานตลอดทาง
               “ฮ็อตจังนะพี่ มาช้าจัง” ผมถาม
               “โอ๊ย ช้าอะไรล่ะ กูนั่งซัดกับสน.(สถาปัตยกรรมภายในหรืออินทีเรีย)ที่ร้านข้างๆนี่เป็นชั่วโมงแล้ว นี่กูหนีมาก่อนพวกมันจะเล่นกูจนหัวทิ่มน่ะสิ”
               พอพูดถึงสน. ทำให้ผมนึกถึงพี่สิบโทขึ้นมาเบาๆ
               “แล้วพี่ธันล่ะ” ทำไมต้องมาถามผมล่ะ “ไม่ได้มาดูแลมึงหรอ”
               “ดูแล....??” พี่ลิตเติ้ลรู้หรอ
               “อ้าว กูนึกว่ามึงกับพี่ธันเป็นแฟนกันแล้วซะอีก”
               “เฮ้ย  ยังพี่”
               “อืม ยังนี่...แสดงว่าอีกไม่นานสินะน้องรัก” ผมลืมไปว่าพี่ลิตเติ้ลก็ร้ายไม่เบา
               “พี่ไปบอกเขาเองเหอะ ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่ในหัวมันหรอก”
               พอได้ยินผมพูดแบบนี้พี่ลิตเติ้ลจึงเลิกเล่นแล้วหันซ้ายหันขวาหาตัวต้นเหตุ ไม่นานก็พบ พี่ธันนั่งอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงด้านนอกกับกลุ่มเพื่อจากหลากหลายคณะ และทุกคนเมามาย
               “ไปหาเลยมั๊ยล่ะ”
               “ไม่ล่ะพี่ ให้เขากินให้เต็มที่ไปก่อนเหอะ”  ถึงอย่างไร การเข้าไปในวงเหล้าของพวกผู้ชายที่กำลังเมาได้ที่นั้นเป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ยิ่งถ้าวงนั้นเป็นวงที่เสียงดังที่สุดยิ่งแล้วใหญ่
               “ไปเหอะน่า ไม่มีอะไรหรอก”
               ในที่สุดผมก็จำยอม พี่ลิตเติ้ลเข้าไปทักพี่ธัน ฝ่ายนั้นพอเห็นน้องมาไม่รอช้า จัดเหล้าให้กระดกเลยขวดหนึ่ง พี่ลิตเติ้ลไม่ใช่ธรรมดาเหมือนกัน ไม่ปฏิเสธเสียด้วย ผมได้แต่ยืนมองเขาแนะนำตัวกับเหล่าเพื่อนพี่ธัน กว่าครึ่งมาจากคณะอื่นๆ สุดท้ายจึงมาจบที่พี่ลิตเติ้ลแนะนำผม ชื่อผม....
               “...นี่คือน้องไลท์ น้องปีหนึ่งของผมเอง”
               เงียบกันอึดใจหนึ่ง จึงยกมือไหว้สวัสดีพอเป็นพิธี พี่ธันที่พึ่งจะเห็นผมก็กวักมือเรียก
               “ไลท์ มานั่งกับพี่นี่มา” พูดไม่พูดเปล่า เอื้อมมือมาดึงแขนไปด้วย แต่ผมไม่ยอมนั่ง เพิ่งจะรู้ว่าพี่ธันตอนเมานี่ไม่มีออมแรงเลยสักนิด
               “เมามากไปป่ะ เลิกกินได้แล้วมั้ง”
               “เฮ้ย พี่เพิ่งจะได้เจอเพื่อน ขอเมาหน่อยดิ”
               “ผมว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนะ...” แล้วผมก็แย่งแก้วเหล้ามาจากมือพี่ธันมา
               “เชี่ยธัน น้องรหัสหรือเมียวะเนี่ย” เพื่อนพี่ธันคนหนึ่งพูดขึ้นมา
               “เชี่ย ถ้าน้องคนนี้เป็นเมียกูกูก็ยอมว่ะ ขาวน่ารักชิบหาย”
               “ตลกละไอ้โชติ น้องรหัสมึงแต่ล่ะคนโคตรแจ่ม มึงจะมาแย่งไอ้ธันทำไม”
               “พูดไปนั่น พวกมึงถามเจ้าตัวเขาหรือยัง”
               “นั่นดิเชี่ยธัน อาการมึงหนักนะเนี่ย คราวนี้ไม่เลือกเลยหรอวะ”
               มันชักจะมากไปแล้วนะ ถึงผมจะเป็นน้องก็ไม่ควรมาพูดจาดูถูกดูแคลนตามอำเภอใจ แบบนี้เขาเรียกไม่ให้เกียรติกัน ผมมองหน้าไอ้พี่ธันที่ดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดพวกนี้ด้วยซ้ำ ไหนจะคำว่า ‘คราวนี้’ อีก ผมไม่อยากจะคิดภาพในอดีตของพี่ธันเลย
               “เชี่ยพวกมึงเงียบปากไปเลย คนนี้กูจริงจังนะเว้ย” พี่ธันโวย แต่เป็นการโวยที่ติดจะเล่นๆ หยอกล้อกับเพื่อน ผมเห็นอาการแบบนี้ของเขาแล้วรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกล
               “เป็นไปได้หรอวะไอ้ธัน” เพื่อนอีกคนพูด คนนี้แสดงออกเด่นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างแรง อาจถึงขั้นรังเกียจ “กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงชอบผู้ชาย”
               “ผมว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพี่ธันนะครับ” พี่ลิตเติ้ลแทรกขึ้นมาแบบโกรธๆ เวลาแบบนี้ทำให้รู้สึกดีใจมากที่ได้พี่ลิตเติ้ลเป็นพี่รหัส “แล้วพวกพี่ก็ควรจะเกรงใจน้องผมบ้าง มันก็ยืนอยู่ตรงนี้”
               “อ้าวไอ้เหี้ย กูจะพูดอะไรกันก็เป็นเรื่องของพวกกูป่าววะ”
               ตอนนี้ในวงเหล้าวงนี้เริ่มเปลี่ยนอารมณ์ไปเป็นคนละเรื่อง ความเย็นเยียบบางอย่างทำให้ผมเหงื่อซึม แต่ผมกำลังโกรธมาก และยังคงมองพี่ธันที่ยังคงทำหน้าซึมกระทือแบบงงๆ
               มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมา ผมหันไปก็เห็นพี่วิวกำลังกอดคอเพื่อนเขา(ใครไม่รู้)เดินตรงมาทางโต๊ะที่พี่ธันนั่ง พี่ลิตเติ้ลที่หันไปเห็นเหมือนกันกลับทำหน้าดั่งเห็นคนที่ตัวเองเกลียดมากๆ เขาพูดงึมงำบางอย่างที่คล้ายกับบอกว่า “แม่ง ซวยชิบหาย” จากนั้นเขาก็เดินหนีออกไป
               “ลิตเติ้ล” พี่วิวที่เห็นพี่ลิตเติ้ลก็มีท่าทางร้อนรน รีบตรงเข้าไปหาทันที “ลิตเติ้ล คุยกับกูก่อนไม่ได้หรอ”
               “ไปไกลๆตีนกูเลย”
               “กูขอโทษ ลิตเติ้ล....ฟังกูก่อนดิ”
               แล้วพี่สองคนก็หายเข้าไปในร้าน ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับความแปลกใจ สองคนนี่ทะเลาะกันหรอ แต่ช่างมันก่อนเถอะ เพราะตอนนี้ผมยังต้องเจอกับความอึดอัดตรงหน้านี้เพียงลำพัง พี่ธันที่ดูจะไม่สนอะไรยังคงพูดกับเพื่อนอย่างเมามันและเมามาย
               “พี่ธัน พอเถอะ ไลท์จะกลับแล้ว”
               พี่ธันทำหน้าอึ้งเล็กน้อย “เฮ้ย!! จะกลับแล้วหรอ อยู่กับพี่ก่อนดิไลท์”
               “ไลท์ไม่อยากอยู่กับคนเมา พรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีกว่า” ผมอยากออกไปจากสถานการณ์นี้เต็มทนแล้ว
               “เชี่ยธัน..” ไอ้คนเดิม ชอบดูถูกคน เห็นหน้าแล้วอยากจะต่อยปากสักเปรี้ยง “นี่มึงเอาจริงหรอวะ กูว่ามึงเมามากไปและ”
               “ไอ้สัตโบ้ท” พี่ธันตะโกน “กูพูดไปตั้งนานสองนาน มึงแม่งยังไม่เชื่อกูอีกหรอ งั้นดูนี่...”
               พี่ธันคว้าแก้วเหล้าเต็มปริบขึ้นมากระดกรวดเดียวหมด ชี้นิ้วไปที่เพื่อน แล้วหันมาจูบผม....
               นี่เป็นจูบแรกในชีวิต และเป็นจูบ...จากคนที่ผมรัก ทว่าผมกลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด
               มันเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ผมรู้สึกเกลียดพี่ธัน
               ผมผลักเขาออก เพื่อนพี่ธันอึ้งเป็นตอไม้อยู่ข้างๆ  ยิ่งอึ้งหนักเมื่อผมซัดหน้าพี่ธันไปเต็มแรงจนตัวเขาเซลงไปที่เก้าอี้ น้ำตาผมไหลอาบแก้มและไม่มีคำพูดใดๆอีก ในหัวผมขาวโพลนว่างเปล่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผม กับคนที่ผมรักที่สุด ผมอยากจะหัวเราะ แต่พอร้องไห้ไปด้วยแล้วสิ่งที่ออกมาจากปากมันก็คือเสียงสะอื้นสำลัก ความวุ่นวายของผู้คนรอบตัวกลายเป็นเพียงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับผมแม้แต่น้อย ตอนนี้ไม่อาจเข้าใจอะไรได้อีก ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน รู้ตัวอีกทีก็เดินออกมาจากร้านเสียแล้ว ผมเดินวนอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งเจอกับคนที่ผมรู้จัก ยืนคุยกับเพื่อนอยู่หน้าร้านเหล้าอีกร้าน พี่สิบโท
               พี่ลิตเติ้ลบอกว่าสน.กินเหล้ากันอยู่อีกร้านผมจำได้ ตอนที่เดินไปถึง พี่สิบโทตกใจมากที่เห็นผมร้องให้
               “ไลท์....เป็นอะไรครับ”
               “ขอร่วมวงด้วยคนนะพี่” ผมพูด “พี่นั่งโต๊ะไหน...”
               พี่สิบโทชี้ไปที่เก้าอี้ตัวเล็กๆสำหรับสี่ที่ริมด้านใน มีแผงไม้ไผ่สานเป็นฉากบังตาจากภายนอก ดี คืนนี้จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก ผมได้ยินเสียงพี่ธันตะโกนหา หันไปมองแวบนึงแล้วรีบเข้าไปนั่งที่โต๊ะทันที พี่สิบโทที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตามเข้ามานั่งข้างๆ ทันเห็นผมเปิดขวดเบียร์และกระดกเข้าปาก
               แต่เขาแย่งขวดไปจากมือ วางลงบนโต๊ะแล้วหันมาหาผม “ทะเลาะกับไอ้ธันหรอ”
               ผมไม่พูดอะไร น้ำตายังคงไหลอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด นั่งฟังเสียงพี่ธันตะโกนเรียกหาผมอยู่ไกลๆ ภาพในหัวตอนนี้มีแต่....จูบนั่น จูบของคนผยอง พี่ธันไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกยังไง เขาจะรู้มั๊ยว่าผมอับอายและเจ็บปวดแค่ไหน คนที่ผมรักกำลังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนที่ไม่มีค่า ผมมันก็แค่ของเล่นแก้เบื่อ ไอ้ที่บอกว่าแอบชอบ ที่บอกว่ารักผม ผมเป็นของเขาคนเดียว มันคือคำโกหกจากคนที่มีหัวใจตายด้าน
          “แม่งเอ๊ย” ผมตะโกนออกมาดังมากแล้วคว้าเบียร์ขึ้นมาดื่มจนหมดขวด คราวนี้พี่สิบโทไม่ได้ห้าม เขาคงเข้าใจ เวลานี้ผมไม่ต้องการอธิบายอะไร เพียงขอให้เรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นมันหายไปเร็วที่สุด ให้รสจูบที่ไม่น่าจดจำนั้นหายไปตลอดกาล....
               เบียร์สามขวดแล้วที่ผ่านคอของผมลงท้องไป ผมไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังมีคนนั่งอยู่ข้างๆ ใจผมยังติดอยู่กับพี่ธันที่ตอนนี้เดินหายไปแล้ว เขาคงเข้าไปคุยกับเพื่อนต่อโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร หัวเราะเยาะกับฉากฮาๆที่เพิ่งแสดงให้ทุกคนดู ยิ่งคิดน้ำตาผมก็ยิ่งไหลจนรู้สึกได้ว่าตัวสั่นเทิ้มไปหมด พยายามกลืนทุกความเสียใจและปิดกั้นมันเอาไว้...
               แล้วในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ทันทีที่สัมผัสของท่อนแขนโอบรอบตัว ความรู้สึกทุกอย่างก็ถึงจุดที่เกินกว่าจะควบคุมได้ ผมปล่อยโฮออกมาซะอย่างนั้น แขนที่อ่อนโยนค่อยๆขยับตัวผมเข้าหาอ้อมอกที่แข็งแกร่งมั่นคง ที่ผมทำต่อจากนั้นคือร้องไห้ ร้องอยู่อย่างนั้นนานแสนนานเหลือเกิน


               ผมร้องอยู่นานมากจริงๆ



***********************************************************************************************************

       Mr.SCROMAN : ธันวา นายทำอะไรลงไป.....   สงสารภาณุเหลือเกิน  อย่างนี้จะเกิดการเปลี่ยนฝั่งขึ้นมารึเปล่า
                                                      #ใครก็ได้ไปต่อยปากธันวาแทนไรท์ที

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
12

ไลท์ : สองทางเลือก



               ตอนยังเด็ก ม๊าชอบเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเสมอ แล้วผมก็จะลืมทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า แต่หลังจากที่ม๊าจากไป ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาคืออีกวันที่ผมไม่อาจลืมได้ หลายเดือนทีเดียวกว่าหมอนของผมจะไม่มีคราบน้ำตาปรากฏให้เห็น
               ตอนนี้มันกลับมาอีกครั้ง ผมลุกจากเตียงด้วยร่างกายที่อ่อนเปลี้ย นั่งเหม่ออยู่เงียบๆสักพักเพื่อเรียกความรู้สึกกลับเข้าร่างตัวเอง ทว่าความทรงจำเรื่องเมื่อคืนมันย้อนกลับเข้ามาด้วย ผมจึงต้องหลับตาเพื่อหนีมัน แต่กลับทำให้ภาพนั้นยิ่งชัดขึ้นอีกจนต้องขมวดคิ้วและเสมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่.....
               แต่ว่าห้องผมไม่มีผนังกระจกบานใหญ่แบบนี้
               ยิ่งมองยิ่งแปลก นี่เป็นลักษณะของห้องคอนโดขนาดสามสิบกว่าตารางเมตร เตียงคิงไซส์ปูด้วยผ้าปูและผ้าห่มสีขาว ม่านสีเทาอ่อนถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้มีแสงสาดเข้ามาบนพื้นปูพรม ทั้งทีวีเครื่องใช้ รูปแขวน แม้กระทั่งโต๊ะทำงานเล็กๆ ทุกอย่างถูกจัดเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อยโคตรๆ ข้าวของเครื่องตกแต่งทั้งหมดถ้าไม่มีสีขาวก็เป็นวัสดุที่มีสีอ่อน มองแล้วสบายตามากๆ จากตรงที่ผมอยู่ ผมเห็นความเคลื่อนไหวอยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่น มีเสียงช้อนชามกระทบกันเบาๆ เมื่อชะโงกหน้าไปดูจึงรู้ว่าอยู่ห้องใคร
               คือ...ผมอยู่ห้องพี่สิบโท
               เวรเอ๊ย!! เมื่อคืนคงจะเมามาก หลังจากโดนพี่ธันจูบผมก็แทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไปทำอะไรที่ไหนบ้าง รู้แต่ว่านั่งอยู่กับพี่สิบโท หลังจากนั้นคงจะดื่มหนักไปจริงๆ ผมรีบสำรวจตัวเองอย่างเร่งรีบ ชุดถูกเปลี่ยน เนื้อตัวก็ไม่มอมแมม..แต่ผมไม่ได้รู้สึก...เจ็บ
               ไม่หรอกน่า พี่สิบโทเป็นสุภาพบุรุษพอ เขาคงไม่รู้ว่าหอผมอยู่ไหนจึงไม่ได้ไปส่ง แต่ถ้านี่เป็นคอนโดของพี่สิบโท แล้วผมอยู่ส่วนไหนของประเทศล่ะ
               “อ้าว ไลท์...ตื่นแล้วหรอ” พี่สิบโทที่อยู่ในชุดที่แบบ... เอ่อ...เสื้อกล้ามสีขาวกับเนื้อตัวขาวผ่อง เฮ้ย!!!
               พี่สิบโทเข้ามานั่งข้างๆ ยื่นมือมาแตะหน้าผากและคอ(ท่าพิฆาตใจภานุ)
               “นี่ผมอยู่ที่ไหน...” แถมพึ่งตื่น เนื้อตัวยับยู่ยี่ทุกซอกส่วน
               เขาพ่นลมด้วยความหนักใจ “นี่ห้องพี่เอง  รู้มั๊ย พี่ตกใจแทบแย่ตอนไลท์สลบไป พี่เพิ่งรู้ว่าเรามีโรคประจำตัวแบบนั้น”
               “เอ่อ...” เข้าในแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะกำเริบนี่นา สงสัยดื่มหนักจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น “...พี่พาผมไปส่งโรงพยาบาลหรอ”
               “ใช่ ไม่ทันได้บอกใครด้วย แต่เมื่อเช้าบอกเพื่อนไลท์ไปแล้วนะ ชื่อตะวันใช่มั๊ย” พี่สิบโทลูบหัวผมอีกแล้ว “พึ่งชาร์ตแบทให้ ดูเหมือนเขาจะตามหาไลท์ทั้งคืนเลย”
               เออ แย่แน่จริงๆ โดนไอ้ตะวันด่าไฟแลบแน่ แต่มันจะโดนผมด่าก่อน เล่นหายตัวไปไม่อยู่ในงาน ปล่อยให้ผมต้องเจอกับเรื่องแบบนั้น
               “คราวหลังก็บอกกันก่อนว่าป่วย พี่ใจหายใจคว่ำหมด” สายตาพี่สิบโทบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นห่วงมาก ผมยิ้มขอบคุณเขา พลันก็นึกขึ้นมา ว่าพี่ธันของผมจะอ่อนโยนแบบนี้บ้างได้ไหมนะ
               เสียงถอนหายใจเบาๆสะกิดผมให้สบตาพี่สิบโทอีกครั้ง “อย่าพึ่งไปคิดเรื่องอื่นเลย มากินโจ๊กก่อน พี่ไปซื้อมาให้แล้ว อร่อยนะ ขาประจำพี่เอง”
               “เฮ้ยพี่!!...ใจดีไปป่ะเนี่ย” อย่าทำดีกับผมเยอะนักสิ ผมไม่อยากลำบากใจนะครับ
               “รึจะอาบน้ำ...” ไม่ฟังผมเลย “ไปล้างหน้าก่อนก็ได้”
               ผมเห็นด้วย กำลังจะลุกแต่พี่สิบโทช้อนแขนช่วยพยุง ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร(ทั้งที่อ่อนแรงไปหมด)
               “ผ้าเช็ดตัวอยู่ในห้องน้ำนะ ใช้ได้ พี่เตรียมให้แล้ว” พี่ช่างเป็นคนดีเสียจริงๆ ดีพอๆกับม๊าผมเลย แต่คงต้องถาม...
               “เอ่อ... พี่สิบโท” ผมพยายามไม่มองบ๊อกเซอร์ตัวเล็กๆของเขา “คือว่า...ชุดผม...พี่เปลี่ยนชุดให้ผมหรอ”
               “ก็เราน่ะตัวเปียกไปหมด พี่กลัวจะอาการแย่ลงเลยเช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนเสื้อให้” แล้วพี่เขาก็ทำหน้าแสดงความเข้าใจ “เฮ้ย!!! แต่พี่ไม่ได้ทำอะไรเรานะ ไม่ได้แต๊ะอั๋ง”
               พูดไปคุณอาจจะไม่เชื่อ แต่พี่สิบโทเวลาเขินหน้าแดงเนี่ย น่ารักที่สุดในสามโลก
               “ขอบคุณนะครับ ผมคิดว่าผมเชื่อใจพี่แหละ” แล้วผมก็วิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำไป แหม!! ถึงพี่จะบอกแบบนั้นแต่การเปลี่ยนให้ทั้งชุดมันก็ต้องมีมองมีเห็นกันบ้างแหละ ยิ่งถ้าหากเกิดบอกว่าปิดไฟเปลี่ยนขึ้นมานี่ยิ่งแล้วใหญ่ มองไม่เห็นมันก็ต้องคลำใช่ป่ะล่ะ เหตุผลที่รีบเข้าห้องน้ำก็เพราะไม่อยากให้เห็นหน้าแดงๆของผมต่างหาก อยู่กับพี่สิบโทสองต่อสอง อันตรายต่อใจมากๆ
               ผมเอาน้ำลูบหน้าอยู่หลายรอบกว่าอารมณ์จะดาวน์ลงได้ ตอนนี้จึงหันความสนใจไปที่ห้องน้ำแสนสะอาดสีขาวโพลน สงสัยพี่แกชอบสีขาว เป็นคนที่สะอาดจริงๆ ผ้าเช็ดตัวก็ห๊อมหอม พอเปิดประตูออกมาข้างนอกก็พบกับโจ๊กหมูควันกรุ่นในชามสีขาว(อีกแล้ว) สงสัยจริงๆว่าขรี้ของพี่สิบโทจะขาวหรือเปล่า เอ้ย เชี่ยไลท์ คิดเชี่ยไรอุบาทว์ที่สุด กำลังจะกินข้าวแท้ๆ ผมส่ายหัวเล็กน้อยแล้วนั่งลง ในชามโจ๊กมีขิงซอย ในชามพี่สิบโทก็มี ผมไม่ชอบขิงเอาเสียเลย
               “เป็นอะไร ไม่กินล่ะ?”
               “เอ่อ พี่...ผมไม่กินขิงอ่ะ”
               พี่สิบโทมองหน้าตื่นๆ “อ้าวหรอ พี่ขอโทษ--มานี่เลย”
               แล้วพี่สิบโทก็ดึงชามออกไปเขี่ยขิงออกให้อย่างตั้งใจ ผมนั่งมองมือพี่เขาตักโจ๊กอย่างใจลอย มานั่งคิดดูถึงเรื่องที่เขาชอบผม ทำให้ตระหนักได้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน หากมีพี่สิบโทคอยดูแล ชีวิตนี้ก็คงไม่มีอะไรต้องเสียดายอีก แต่ผมไม่เคยคิดเป็นอื่นกับพี่เขาเลย ช่วงเวลาแวบหนึ่งที่จ้องมองพี่สิบโทปรากฏใบหน้าพี่ธันซ้อนทับเข้ามาอีกแล้ว ตัวผมคงจะโดนกามเทพล่ามโซ่ไว้กับเขา ที่เหลือก็ต้องมาลองดูกันว่าโซ่ที่มัดข้อมือเราอยู่จะทำให้เราผูกพันธ์กัน หรือว่ามันจะบาดข้อมือจนโชกเลือด
               “เรานี่ชอบเหม่อจริงนะ พี่บอกว่าอย่าเพิ่งคิดมากไง” พี่สิบโทยื่นชามโจ๊กให้ ปราศจากขิง แฮ่!!!
               “ขอบคุณครับ”
               ตลอดเช้าผมทานโจ๊กไปสองถ้วย(ไม่รู้หิวมาจากไหน) พี่สิบโทมีตรวจแบบตอนบ่ายจึงอาสาจะไปส่งให้ที่หอ เนื่องจากเป็นวันเสาร์ ผมก็เลยไม่ได้รีบอะไร นั่งอ่านหนังสือรอพี่สิบโทอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้าคณะ พี่เขาบอกว่าตอนอ่านหนังสือผมก็ยังทำหน้าเศร้า พอเขาพูดแบบนี้ก็ยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่ ผมรู้ว่าพี่เขาเป็นห่วง แต่ผมก็ไม่เคยเสเสร้งเพื่อตบตาใครแม้แต่จะให้เขารู้สึกดีขึ้นก็ตาม ดูไปก็คล้ายพี่ธันในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง
               ...แล้วก็นึกถึงขึ้นมาอีก ปกติห่างกันหลายปียังคิดถึง ตอนนี้มีเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งย้ำเตือนให้คิดถึงไม่ลืมเลือน...
               “ไลท์ชอบไอ้ธันใช่มั๊ย” จู่ๆพี่สิบโทก็ถามขึ้นมา เขายืนพับแขนเสื้ออยู่ตรงหน้า
               ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ แต่ไม่กล้าสบตาพี่สิบโท ปากที่เผยอจะเอ่ยก็กลืนคำนั้นลงท้องไปเสียอีก อาการไม่พูดก็แสดงออกได้ชัดเจนเกินพอกับคำว่าไม่ปฏิเสธ ส่วนกริยาอื่นคงเป็นความลังเล
               “อืม...นั่นสิ ไม่เห็นต้องถาม” ขณะยืนประจันหน้ากับแสงสว่าง พี่สิบโทดูมีประกายดุจเทวดา น้ำเสียงที่พี่เขาพูดดูไม่มีอะไร ทว่าสายตาที่มองออกไปนอกผนังกระจกนั้นมีความเศร้าหมองเจืออยู่ ผมสงสารพี่สิบโทเหลือเกิน
               “ไปกันเถอะ” พี่สิบโทคว้ากระเป๋าคอม(สีขาวอีกแล้ว)บนโซฟามาถือ ผมเองก็เก็บหนังสือลงใต้โต๊ะกระจกแล้วลุกขึ้น...
               ...แต่ผมลุกเร็วเกินไป อาการเมาและเวียนหัวยังคงอยู่ มันเล่นงานตรงสู่สมองทำให้พร่ามัวชั่วขณะและเซ พี่สิบโทเห็นจึงรีบเข้ามาช่วยประคองจนผมค่อยๆยืนได้ จากตรงนี้ผมมองเห็นความห่วงใยฉายชัดในแววตาพี่สิบโท ไหล่ที่กางน้อยๆเป็นการแสดงอาการอยากกอดผมที่สุด ผมเห็นใจเขามาก เพราะรู้ดีว่าการรักคนอื่นข้างเดียวมันทรมานแค่ไหน
               ผมเลือกที่จะจับมือเขาขึ้นมา มือที่อ่อนโยนเสมอ ผมค่อยๆลูบไล้เบาๆที่รอยแผลถลอกและบวมแดง ยังมีรอยช้ำที่มุมปากเป็นสีชมพูอ่อนๆ ผมเห็นตั้งแต่ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ไม่อยากถามมาก กลัวว่าสิ่งที่เดาจะถูกต้อง และถ้าเป็นเช่นนั้น ต่างฝ่ายต่างจะไม่สบายใจ ผมไม่อยากสร้างความอึดอัดใจให้ใคร ตอนนี้ที่พอจะทำเพื่อพี่สิบโทได้คือการปลอบประโลมเท่านั้น เราสองคนคงจะไม่มีทางให้ไปต่อ
               แล้วผมก็กอดเขา กอดให้แน่นที่สุดเพื่อส่งผ่านคำขอบคุณและตอบแทนความห่วงใยของเขา ตัวพี่สิบโทเองก็คงจะเข้าใจ เพราะผมรับรู้ได้ว่าอ้อมกอดที่กระชับแน่นของเขาอบอุ่นที่สุด

               “ขอโทษนะครับพี่สิบโท” ขณะที่พูดคำนี้ น้ำตาผมรื้นขึ้นอีกครั้ง “เรารู้จักกันช้าไป

                                               
                                                     
----------------------------------------------------------


               ที่ลานหน้าหอ ทั้งผมและพี่สิบโทยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ ตลอดทางที่ขับมาส่งก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลย ผมมีความรู้สึกว่าพี่สิบโทอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ตอนนี้คือการเปิดโอกาสให้
               “พี่สิบโทครับ....” ผมเอ่ย “ขอบคุณที่มาส่ง”
               “ไลท์...” พี่สิบโทคว้าแขนผมไว้ “พี่.....คิดว่า พี่ยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ”
               ผมเข้าใจ “แต่มันจะทำให้พี่เจ็บปวดนะครับ และผมไม่อยากเห็น โดยเฉพาะเป็นตัวพี่”
               “พี่มาคิดดูแล้ว ถ้าพี่ต้องทำเป็นไม่รู้จัก หรือต้องหลบหน้าไลท์ทุกครั้ง พี่ทำไม่ได้หรอก” เรื่องนี้ผมก็เข้าใจอีก “อย่างน้อยพี่ก็จะขอดูแลน้องชายคนนี้ต่อไป...ได้รึเปล่า”
               ผมได้แต่ถอนหายใจ ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมีแต่เรื่องที่ทำให้แก่ไวทั้งนั้น บางทีผมควรหยุดคิดไปเองแล้วเปิดโอกาสให้คนอื่นเขาตัดสินใจบ้าง
               “ที่จริง...ผมก็ยังไม่อยากเสียพี่ไปเหมือนกัน”
               “ขอบใจนะไลท์” พี่สิบโทดูดีใจมาก “พี่จะดูแลเราจนกว่าไอ้ธันมันจะทำให้ไลท์มีความสุขได้”
               ผมยิ้มตอบ ถ้าเป็นแบบที่พูดได้ก็จะดีมาก
               “ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” เขาลูบหัวผมส่งท้าย
               “ขับรถระวังด้วยนะครับ แล้วก็...” ผมเกือบลืมเตือน “อย่าลืมทำแผลล่ะ ถ้าเจอคราวหน้าแล้วไม่ดูแลตัวเองล่ะก็ เจอดีแน่”
               “ครับผม” พี่สิบโทยิ้มพร้อมตะเบ๊ะให้ทีหนึ่ง ก่อนจะขับรถออกไปจากสายตา

                                                         
-----------------------------------------------------------------

               ผมมองตามรถจนเลี้ยวหายไปแล้วจึงเดินขึ้นหอ สิ่งที่จะทำเป็นอย่างแรกก็คือไปหาไอ้ตะวัน เพราะผมผิดต่อมันอยู่ ในเรื่องราวที่ผ่านมาก็มีมันนี่แหละที่เป็นห่วงที่สุดรองจากป๊า(โรคจงอางหวงไข่ที่ติดต่อกันผ่านการมองตาได้) ห้องผมอยู่ชั้นสามสุดทางเดิน ตอนขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวาเข้าทางเดินไปสู่ห้องนั้น ผมเจอกับเรื่องไม่คาดคิด...
               ...พี่ธันนั่งรอผมอยู่ที่ประตู...
               ตกใจมาก! ตกใจที่เป็นพี่ธัน และตกใจที่คนอย่างเขากลับมีสภาพเนื้อตัวมอมแมม  เขาบาดเจ็บด้วย ผมเห็นแผลที่หางคิ้ว จมูกและปาก อีกทั้งดวงตาช้ำๆที่มีความหมายได้อย่างเดียวคือ พี่ธันร้องไห้
               ผมยืนมองพี่ธันในสภาพนั้นอยู่นานมาก ในใจแทบจะร้องไห้กับสภาพของพี่ธันอยู่แล้ว อยากจะวิ่งเข้าไปหา แต่...เพราะจูบ จูบนั้นแหละที่รั้งผมไว้ ผมจะทำยังไงดี--
               ในที่สุดพี่ธันก็เห็นผม เขาทำท่าทางตื่นๆแล้วค่อยๆเดินมาหาช้าๆ ผมเห็นใบหน้าที่ปรากฏในแสงไฟ มันทำให้ต้องน้ำตาไหลอีกครั้ง เพราะผมไม่เคยเห็นพี่ธันแสดงความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้าได้มากขนาดนั้นมาก่อน เมื่อเขาเดินมาใกล้ ผมก็เอาแต่ก้มหน้าหลบ แล้วพี่ธันก็ค่อยๆประคองมือซ้ายผมขึ้นมา สัมผัสที่ไม่อยากปล่อยให้หายไปเลย...
               “พี่ขอโทษ” นั่นเป็นคำแรกที่พี่ธันพูด ทั้งตัวทั้งเสียงของเขาสั่นเทิ้มไปหมด ผมก็เช่นกัน
               ...แต่ผมก็พูดอะไรไม่ออก...
               “พี่มันเหี้ย พี่ทำให้ไลท์ต้องเสียใจ ..พี่ผิดเอง พี่ยอมรับผิดทุกอย่าง” พี่ธันบีบมือผมเบาๆ น้ำตาเขาหล่นร่วง “ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้มั๊ย”
               เมื่อทนไม่ได้ก็ต้องเงยหน้ามอง ผมรับรู้ความรู้สึกเศร้าเสียใจของพี่ธันได้ ความสำนึกผิดที่ส่งผ่านมา ผมจะให้อภัยเขาได้หรือเปล่า ความจริงแล้วตลอดเช้ามานี่ผมเฝ้าคิดมาตลอดว่าตัวเองมีทางเลือกไหนบ้างในเรื่องของคนที่ผมรัก ผมต้องตัดสินใจเลือกระหว่างจบมันแล้วเสียใจไปตลอดกาล หรือ ลองอีกครั้ง ตั้งใจมากขึ้น  ไอ้ตะวันมันเคยเตือนหลายครั้งว่าอย่ามัวเฝ้าแต่มองอนาคต ให้คิดถึงสิ่งดีๆที่มีแล้วรักษาดูแลมันให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเสียดายในวันหลัง เพราะยังไงตอนนี้ผมก็มีหัวใจดวงนี้ดวงเดียว ไม่ว่าเขาจะกลายเป็นอะไร หัวใจผมก็จะตามเขาไปด้วยเสมอ
               ผมเดินจูงมือเขาเข้าไปในห้องแล้วจับนั่งบนเตียง พี่ธันยังคงสะอื้นและสั่นระรัว ผมจึงเดินไปเปิดม่านรับแสงแล้วเอากระมังใส่สลัดไปตักน้ำผสมน้ำอุ่นออกมาตั้งเตรียมไว้บนเก้าอี้ ใช้ผ้าเช็ดหัวผืนสำรองค่อยๆบรรจงเช็ดตัวให้อย่างเบามือ ตัวพี่ธันเหม็นเหล้ามาก หัวก็เลอะฝุ่น เช็ดอยู่นานกว่าจะหายเหนียว ที่ผมทำแบบนี้เพราะรู้ว่าพี่ธันตอนนี้คงไม่ยอมไปอาบน้ำแน่ๆ และแผลที่สกปรกจะทำให้เขาเป็นไข้
               ถึงตอนที่ยาก เมื่อผมจะต้องถอดเสื้อพี่ธันออก ตอนนี้จึงเหลือแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว ผมระมัดระวังเป็นพิเศษตอนที่เช็ดแขนและช่วงลำตัวบนเพราะมีแผลหลายจุด พอเสร็จสะอาดหมดแล้วก็เอาเสื้อยืดสำหรับใส่นอนของผมสวมให้ จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการทำแผล...
               --นี่ผมกำลังดูแลเด็กอยู่รึไงนะ--
               ด้วยความที่กลัวทำพี่ธันเจ็บเลยใช้เวลาทำแผลนานพอสมควร ตลอดเวลาพี่ธันก็เอาแต่สั่น แม้จะหยุดร้องให้แล้วแต่ตายังบวมแดง ผมเองก็ไม่ได้เช็ดคราบน้ำตาบนแก้มตัวเองทิ้งไป ในใจมันบอกให้ทำแบบนี้ เป็นเครื่องหมายว่าเสียใจและจริงใจ หากเราต้องอยู่ด้วยกันจริงๆ เราก็ควรจะเห็นในทุกแง่มุมของกันและกัน
               แผลที่แขนเสร็จแล้ว เหลือที่ปาก จมูก แล้วก็คิ้วที่ผมเก็บไว้ทำท้ายสุดเพราะพี่ธันจ้องตาตลอด เหมือนกลัวว่าผมจะหายไป พอเห็นดวงตาที่หวาดกลัวขนาดนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมาอีกครั้ง มือที่จับสำลีชุบน้ำยาเริ่มสั่นน้อยๆ ผมเช็ดแผล เป่าลมเบาๆให้แผลเย็นลง แต่ยังไม่ทันจะได้ปิดแผลที่คิ้วด้วยแผ่นพลาสเตอร์ พี่ธันก็โอบแขนกอดตัวผมไว้เสียก่อน...
               “พี่ขอโทษ..."  พี่ธันพูดช้าๆ น้ำเสียงขาดห้วง  "พี่ผิดไปแล้ว”
               พี่ธันปล่อยน้ำตาไหลลงบนอกผม ร้องไห้เหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว สะอึกสะอื้นจนตัวผมสั่นไปด้วย เขาร้องไห้อยู่นานมาก ผมเองน้ำตาไหลอยู่เงียบๆเหมือนกัน เป็นผมเสียอีกที่ต้องกอดปลอบเขา เราอยู่ตรงนั้นนานเท่าใดก็ตอบไม่ได้ ส่วนพี่ธันเอาแต่พร่ำพูดคำว่า ‘พี่ขอโทษ’ จนในที่สุดก็หลับไป หลับคาอกผมนั่นแหละ ลำบากที่ต้องค่อยๆประคองตัวพี่เขานอนลงบนเตียง(ตัวใหญ่) ห่มผ้าให้ เช็ดคราบน้ำตาออกแล้วปิดพลาสเตอร์ยาที่หางคิ้ว ก่อนจะเดินไปปรับแอร์ไม่ให้หนาว
               คงจะเหนื่อยมากเกินไปจริงๆ หลับไม่ได้สติเลย ผมไม่รู้ว่าพี่ธันมานั่งรอหน้าห้องทั้งคืนหรือเปล่า แต่คิดว่าเขาอาจจะวิ่งหาผมทั้งคืนมากกว่า ที่แน่ใจคือพี่ธันต้องโดนต่อยมา เท่าที่จะเดาได้ก็มีหมัดพี่สิบโทล่ะคนนึง อีกคนอาจจะเป็นไอ้ตะวัน ถ้าผมได้อยู่ในเหตุการณ์คงจะได้เห็นสภาพร้านที่พังเละ กับคนที่ชกต่อยกันด้วยสาเหตุที่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เรื่องนี้ผมต้องรู้ หากตัวผมเป็นสาเหตุจริงๆก็ต้องรับผิดชอบ
               ผมยืนจ้องหน้าพี่ธันอยู่นานมากก่อนออกจากห้อง อารมณ์เหมือนคนเป็นพ่อที่ต้องปล่อยลูกที่ป่วยนอนตามลำพัง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...
               “ราชานรกน้ำแข็ง กลายเป็นเด็กน้อยไปเสียแล้ว” ผมพูดออกมาเบาๆ

               แม้เป็นเพียงคำที่ผมพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ภายหลังมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยบอกตัวตนที่ชัดเจนของพี่ธัน เพราะในที่สุด นายธันวาก็ได้เกิดใหม่เสียที

                         
                                       
-------------------------------------------------------------------


***************************[ต่อด้านล่าง]****************************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2017 00:41:44 โดย SCRO.Y.K. »

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


             
****************************[มาต่อกัน]******************************


               “ตะวัน อยู่อะป่าวววววว” ผมเคาะห้องตะวัน
               “ตะวัน” ผมจะเคาะอีกแต่ประตูเปิดออกมาก่อนเลยเขกหัวแม่งแทน
               “พี่ธันไปไหน?” มันถาม
               “หลับไปแล้ว”
               “เคลียร์กันอีท่าไหนวะนั่น” ให้ผมเดาก็คือมันแอบฟังอยู่
               “ยังไม่ได้เคลียร์กันเลย”
               ไอ้ตะวันมันเงียบไป
               “กูว่าไม่ต้องเคลียร์หรอก เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” มันหมายถึงอะไรวะครับ
               ห้องไอ้ตะวันจัดน่าอยู่ดี  มีเครื่องประดับประดาเยอะไปหมด ตั้งแต่จักรยาน รองเท้ากีฬา หนังสือหลายตั้ง ตู้เย็น กาน้ำร้อน เตียงตะวันเป็นเตียงเดี่ยว ผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนเป็นลายธงชาติอังกฤษ มันมีปืนด้วย(จดทะเบียนถูกกฏหมายนะครับ)* ทีวงทีวีและอีกหลายอย่าง มันเอาโต๊ะมาเสริมทำเป็นที่วางเครื่องครัวมันด้วย หอนี้เขาห้ามทำอาหารในห้องนะเว้ย ที่เจ๋งที่สุดเห็นจะเป็นโซฟาสีน้ำตาลฟางข้าวที่โคตรนุ่ม แถมยังลื่นๆสบ๊ายสบาย เห็นห้องสไตล์วินเทจแบบนี้แล้วอยากแต่งห้องตาม
               แต่ช่างหัวห้อง เรื่องที่ผมอยากจะรู้จริงๆ คือ..”เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างวะ...” ถามตรงๆแม่งเลย “มึงต่อยพี่ธันหรอ”
               “ต่อย?? กูไม่ได้ต่อยนะ ถึงจะอยากต่อยก็เถอะ”
               “แล้วเรื่องเมื่อคืน...”
               “กูก็ไม่ค่อยรู้หรอก พี่ลิตเติ้ลเขาเล่าให้กูฟังอีกที เขาบอกว่ามึงโดนรุ่นพี่ล้อ จากนั้นผ่านไปสักพักพี่เขาก็เข้าไปเจอพี่ธันกำลังต่อยกับเพื่อนมันที่โต๊ะนั่นแหละ สองคนกับพี่วิวช่วยกันแยกออกมาได้ พอถามเรื่องก็ไม่มีใครรู้ ไอ้พี่ธันมันก็ไม่พูดอะไรเลย”
               ผมนึกตาม เชื่อมโยงเหตุการณ์อะไรไม่ได้สักอย่าง ทำไมพี่ธันต้องไปต่อยกับเพื่อน รึจะเป็นเพราะผม??
               “แสดงว่าเมื่อคืนมึงไม่ได้อยู่ในร้าน?”
               “เออ กูออกไปกินข้าวกับวี” ไอ้เพื่อนนรก เห็นชายดีกว่าเพื่อน สัด
               “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ มึงกับพี่ธันทะเลาะกันอีท่าไหนถึงหนีหายไปแบบนั้น” ผมไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องนี้เท่าไหร่... “หรือว่าพี่ธันเขาเมาแล้วจูบมึง”
               “เฮ้ย มึงรู้ได้ไงวะ ดูหมอเป็นหรอ”
               มันทำหน้าเหมือนผมเป็นไอ้ง่าว “ก็ดูจากอาการมึงเนี่ยแหละสัด เป็นเพื่อนกันมากี่ปี ดูปร๊าดเดียวก็โยงเรื่องได้หมดแล้ว”
               แล้วมันก็บรรยายเรื่องให้ฟังครับ มันบอกว่าที่มันเดาได้ก็คือหลังจากพี่ธันมันเมาจูบผมโชว์เพื่อน(มันบอกว่าผมต้องโกรธแน่ๆ มันเข้าใจผมจริงๆ) ผมที่โกรธต้องวิ่งหนีพี่ธันไปแอบร้องไห้(สัด) ไอ้พี่ธันนั่นก็จะเริ่มตาสว่างว่ามันไม่ได้ดูแลและให้เกียรติผมเหมือนที่มันพูด ตะวันมันบอกว่าพี่ธันวิ่งหาผมทั่วร้านเหล้าทุกร้านและตามถนนแถวนั้นทั้งคืน ถามเพื่อนมึงก็คงไม่มีใครรู้ พอไม่เจอผม เขาก็กลับไปที่ร้านและโดนเพื่อนกลุ่มเดิมล้อ ก็เลยตีกัน ตะวันมันก็ช่วยหาอยู่แต่ก็ไม่เจอ สุดท้ายพี่ธันไปจบอยู่ที่ห้องผม ถึงตอนนี้มันก็เดาว่าพี่ธันเขาคงจะเริ่มรู้ตัวว่าจะเสียอะไรไป
               “มึงคิดงี้จริงๆหรอ?” แค่คิดก็สงสารแล้ว ต้องวิ่งหาผมทั้งคืนเลยหรอ
               “แต่ที่กูไม่เข้าใจจริงๆคือ ไอ้พี่คนที่ชื่อสิบโทเนี่ย เป็นใครจากไหนวะ กูเห็นที่ร้านเหล้า จู่ๆก็ปรี่มาชกพี่ธันแล้วพูดเรื่องว่ามึงต้องเสียใจนั่งร้องไห้อะไรไม่รู้ แถมมึงยังไปกับเขาอีก”
               “กูไม่รู้ตัวนี่หว่า” ผมสารภาพ
               “เออๆๆกูรู้ พี่สิบโทนั่นเล่าให้ฟังหมดแล้ว คนอะไรชื่อสิบโท ประหลาด”
               เรื่องของพี่สิบโทไอ้ตะวันมันก็เล่าให้ฟังเหมือนกัน เหตุการณ์หลังจากที่เมาไม่ได้สติ พี่สิบโทฝากผมไว้กับเพื่อนเขา ก่อนจะไปเคลียร์กับไอ้พี่ธัน ตอนนั้นไอ้ตะวันมันไม่อยู่ พี่สิบโทชกกันไปสองสามหมัดก็หยุดเพราะเพื่อนเขาโทรตามมาดูผมที่กำลังชักหมดสติ(ไม่ได้ชักสักหน่อย) พี่สิบโทก็มัวแต่เป็นห่วงเลยพาผมไปโรงพยาบาล พอรู้ว่าป่วยจึงพาผมไปที่คอนโดเขาแทน เพราะมันใกล้กว่า จะได้ไม่ต้องเคลื่อนย้ายมาก สุดท้ายตอนเช้าก็มาเจอไอ้ตะวันโทรเข้าไปพอดี
               “เออ...เรื่องเยอะดีเน้อ แค่คืนเดียวนะเนี่ย” ผมออกความเห็น
               “เรื่องมึงสิเยอะ ที่วุ่นวายกันก็เรื่องของมึงทั้งนั้น” มันย้ำคำว่า ‘มึง’ มากครับ ไอ้ผมก็ข้องใจหลายอยู๊ เฮ๊ดหยังสิต้องเป็นเรื่องข้องข่อยก็บ่ฮู้
               “ตกลงไอ้พี่สิบโทนี่เป็นใคร มันเป็นบุคคลต้องสงสัย ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของกู บอกมา”
               “เขาเป็นรุ่นพี่ปีเดียวกับพี่ธันนั่นแหละ แต่อยู่อินทีเรีย เขามาชอบกู”
               “เชดดดดดดด กูบอกแล้วมึงเสน่ห์แรงไม่เชื่อ เอาพี่คนนี้เถอะ”
               “อ้าว... เหี้ยอะไรมึงเนี่ย กูนึกว่ามึงจะกันท่าเขา”
               “เชี่ย จากที่กูคุยแล้วนะ คนนี้ผ่านร้อยเปอร์เซนต์”
               “พ่องเหอะ!! กูไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขาสักหน่อย”
               “แต่มึงไปพักค้างอ้างแรมกับเขา ถ้ากูบอกให้เขารับผิดชอบซะอย่าง มึงจะขัดขืนอะไรได้”
               “สาดดดดดดด”
               และแล้วสงครามไล่ตีกันด้วยหมอนก็เริ่มขึ้น ไอ้ตะวันยอมแพ้อย่างง่ายดายเพียงแค่ผมทำท่าจะหย่อนรองเท้าสุดรักสุดหวงของมันลงจากระเบียง ร้ายมั๊ยล่ะ
               “วันนี้จะไปไหนมั๊ย” ตะวันถาม
               ผมคิดแล้วอย่างถี่ถ้วน โดยใช้เวลา 0.000001 วินาทีว่า “ไม่ไปอ่ะ”
               “ฮั่นแน่ เฝ้าพี่ธันใช่มั๊ยล่ะ เดียวยุงกัดผัว”
               “ผัวเหี้ยไรมึง ทำไมมึงไม่กวนตีนให้มันน้อยลงเหมือนตอนคุยกับรวีของมึงวะ”
               “เฮ้ย!!...” มันหน้าแดงครับคุณผู้อ่าน ฮ่าฮ่า “ดูพูดเข้า มึงนี่”


                                                 
------------------------------------------------------------------------


               พอไอ้ตะวันมันจะออกไปข้างนอกหาลูกค้า ผมเลยกลับมาที่ห้องตัวเอง พี่ธันยังคงนอนอยู่ที่เตียงท่าเดิมเป๊ะ ใบหน้าตอนหลับของพี่ธันน่ามองมากจริงๆ ผมจัดปลายผมเขาไม่ให้ปรกลงไปที่ตา กระชับผ้าห่มขึ้นไปถึงคอจะได้อุ่นๆ  รอยแผลนี่...ถ้าที่ไอ้ตะวันมันเล่าเป็นเรื่องจริง พี่ธันกลับไปมีเรื่องกับเพื่อนเขา เพื่อผม... เขาอาจจะไปบอกว่าเขารักผมจริงๆ ต่อว่าเพื่อน... แต่ผมก็ยังคงรู้สึกแย่กับจูบนั้นอยู่ดี
               หลายชั่วโมงผ่านไป ผมก็ลุกๆ นั่งๆ อ่านหนังสือ เล่นเกมโทรศัพท์ แต่จนแล้วจนรอดพี่ธันก็ยังคงไม่ฟื้น ผมคลำตัวดูก็เหมือนจะเป็นไข้จริงๆจึงปลุกแล้วประคองตัวให้กินยา เขาสลึมสลือไม่รู้สติ เช็ดตัวให้เสร็จแล้วก็หลับไปอีกครั้ง ตัวผมเองก็เริ่มเพลียจากอาการป่วยเดิมเลยขึ้นไปนอนบนเตียงกับพี่ธัน ไม่นานนักผมก็หลับไปเหมือนกัน

               รุ่งสางมาเยือนพร้อมกับเสียงนกร้อง แสงแดดอ่อนๆเอื้อมเข้ามาครึ่งเตียงแล้ว ผมลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าพี่ธันเป็นอย่างแรก พอมองดีๆก็ได้รู้ว่าเขาตื่นแล้ว และกำลังจ้องผมอยู่
               “ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?...” ผมถามพลางเอื้อมมือไปแตะหน้าแตะคอพี่ธัน “ไม่มีไข้แล้วนะ”
               “พี่ขอโทษนะไลท์” ดูเหมือนเรื่องนี้ยังคงสำคัญสำหรับพี่ธัน “ยกโทษให้พี่นะ”
               ผมจ้องเข้าไปในดวงตาเขา ดวงตาที่แน่วแน่จริงจัง ทว่าอ่อนโยน
               “พี่จะไม่ทำให้ไลท์ต้องเสียใจอีก...พี่สัญญา” เขายังคงพูดต่อไป แต่ผมมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว “จากนี้ไป...พี่จะดูแลไลท์ให้ดีที่สุด”
               “...........”
               “พี่เพิ่งจะรู้ว่าไลท์คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่...”
               “ผม.....”
               “พี่จะไม่ยอมเสียไลท์ไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะงั้น....”
               “ผม...........” น้ำตาจะไหลอีกแล้วสาดดดด ไม่ใช่นางเอกละครเกาหลีนะเฮ้ย!!!
               พี่ธันดึงมือผมไปแนบแก้ม ทำท่าเหมือนแมวอ้อน

               “พี่ขอโทษนะ”

               “.....ครับ”


               ...แบบนี้ใครจะไปโกรธลงวะ...



********************************************************************************************
         
Mr.SCROMAN : โอ๊ย!! โล่งใจมาก อย่างที่หลายคนพูดไว้  ถึงพายุจะรุนแรงโหดร้าเพียงใด หลังจากมันผ่านไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความสดใส
                        #สงสารพี่สิบโทเหลือเกิน มานี่มา...(กอด)



ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


13

ลิตเติ้ล : สักขีพยาน



               มันมาอีกแล้ว!!...มันมาในความคิด ไอ้เชี่ยพี่วิว
               วันนี้ผมมีเรียนครับ มันก็มีเรียน แต่ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหน ส่งข้อความมาอยู่นั่น ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคำขอโทษ ผมได้ยินคำนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว ทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้จากเขา ในหัวก็เอาแต่นึกคำๆนี้ด้วย อยากจะพูดใส่เขาเหมือนกัน ไม่เข้าใจเลยว่า...ทำไมถึงโกรธมันนานขนาดนี้ เพราะในที่สุดแล้วผมก็ต้องให้อภัยมันอยู่ดี
               และวันนี้ผมก็ตั้งใจจะคุยกับมันจริงๆจังๆเสียที อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะว่ายังไง
               ตลอดคาบเรียนไม่ได้ฟังอาจารย์บรรยายเลยสักอย่าง รู้สึกทำให้ตัวเองเสียเวลาโดยเปล่าดาย เรื่องนี้จะโทษไอ้พี่วิวก็ไม่ได้ หงุดหงิดหัวฟัดหัวหมุนไม่มีที่ลง สุดท้ายส่ายหน้าก้มลงหาสมุดตัวเอง จะดูว่าจดถึงตรงไหนแล้ว แต่บนหน้ากระดาษปรากฏรูปครับ รูปที่ผมวาด ตัวการ์ตูนที่มีหน้าไอ้พี่วิวเสียด้วย
               “เฮ้ย...” มันมาอีกแล้ว อย่างกับผี
               “เป็นเชี่ยอะไรไอ้ลิตเติ้ล” เพื่อนที่นั่งข้างๆผมทัก มันชื่อต้อม เป็นเพื่อนที่ดีเสมอและเก่งด้วย
               “ไอ้ต้อม กูไม่ไหวแล้วว่ะ ไม่มีสมาธิเลย”
               “เป็นกรวยอะไร หลายวันนี่มึงยังกับไปกินรังแตน ทะเลาะกับแฟนมาหรอ”
               “แฟนพ่องดิ “ เหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะเลิกคลาส แต่รอไม่ไหวเสียแล้ว “...จดเผื่อกูด้วย เดี๋ยวกูไปลอก”
               “อ้าว เฮ้ย!!...จะไปไหน?”
               ตามปกติแล้ว คลาสที่อาจารย์หญิงคนนี้สอนจะไม่มีใครกล้าออกไปไหนทั้งนั้น อารมณ์ประมาณว่า คุณครูสมศรีที่อยู่ในมาดซีอีโอประมาณนั้น เธอไม่เคยปราณีเห็นใจ ไม่เคยลังเลที่จะให้เอฟกับนักเรียนที่ผิดกฏของเธอ และครั้งนี้ การขอออกนอกห้องก่อนหมดชั่วโมงนั้นหมายถึงการขาดคลาส ครบสามครั้งก็ไปดรอปวิชาเรียนรอไว้ได้เลย
               แต่ผมก็เดินผ่านหลังอาจารย์มหาภัยคนนี้ออกไปหน้าตาเฉย ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ท่ามกลางความอึ้งจากเพื่อนทั้งห้อง ไม่สนใจเสียงเรียกใดๆด้านหลังด้วย(ค่อยมาใช้กรรมคลาสหน้า) ระหว่างทางผมส่งเมสเสสไปหาไอ้พี่วิวว่าให้ไปเจอกันที่โรงอาหารวิศวะโรงที่สอง(มีแอร์) ผมดื่มน้ำปั่นสีชมพูหมดไปสองแก้วครึ่ง คะเนเวลาที่หมอนั่นจะลงมา แต่ไม่รู้ว่าวิศวะเขาเรียนกันยังไง ในระหว่างนั้นก็หยิบเอาสมุดสเก็ตออกมาร่างไอเดียไปเรื่อย ทว่าหน้ากระดาษกลับเต็มไปด้วยตัวการ์ตูน ไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้นะครับว่าใคร
               จู่ๆก็มีจานข้าวผัดสองจานวางลงตรงหน้าผม เงยหน้าไปก็เป็นไอ้พี่วิว มันทำสีหน้าเซ็งนิดๆ
               “อะไรเนี่ย...” ผมร้อง
               “ข้าวไง ตาบอดหรอ” ยังกวนตรีนไม่เปลี่ยนแปลง
               “ยังมีอารมณ์ไปสั่งข้าวเนอะ”
               “ก็กูหิว” มันตอบหน้าตาเฉย หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้อารมณ์เราสองคนกลับไปเป็นปกติ ซึ่งดี... “วันนี้อาจารย์แม่งกินลิโพไปกี่ขวดไม่รู้”
               “ปีสุดท้ายแล้ว จะบ่นทำไม”
               “ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็คิดๆนะ ว่าทำไมเราต้องเรียนเอาเป็นเอาตายกับวิชาที่ไม่ได้เอาไปใช้ตลอดจนตายด้วย” พี่วิวตักข้าวเข้าปากคำโต ท่าทางจะหิวจัด “รู้สึกว่าแม่งไม่ใช่ว่ะ”
               พอคิดตามก็แอบเห็นด้วยไม่ได้ “ลาออกดิ ไม่เห็นยาก”
               “เฮ้ย บ้า อุตส่าห์มาตั้งขนาดนี้”
               “ฮึ...ทำเป็นพูดดี เก่งแต่ปาก” ผมก็เหมือนกัน ว่าเขานะ แต่ตัวเองก็ดันกินข้าวผัดที่เขาอุตส่าห์เอามาให้เหมือนกัน
               ผมก้มหน้าก้มตากินก็จริง แต่หัวสมองผมกำลังคิดหาคำพูดที่จะพูดกับคนตรงหน้า ถ้าจะขอโทษ ผมจะขอโทษที่ตัวเองทำตัวหมางเมินเหินห่างเกินไปได้หรือเปล่า ผมให้อภัยเขาได้จริงๆมั๊ย ผมมีสิทธิ์แค่ไหนกับเรื่องนี้
               “กูขอโทษ....” มือผมกระตุกนิดหนึ่ง พี่วิวเป็นฝ่ายเริ่มแหะ
               “เลิกพูดคำนั้นสักทีเหอะ”
               “ก็มึงยังไม่ยกโทษให้กูเลย”
               “มึงจะให้กูยกโทษมึงเรื่องไหนดี”
               “ก็เรื่อง....”
               เรื่องจูบ เป็นเรื่องที่คนอย่างมันต้องคิดถึงมากที่สุด เพราะจูบนี่แหละที่ทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไรทั้งนั้น ผมอยากรู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นกับผม ทำให้ผมต้องติดอยู่กับความรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน กินข้าว ก่อนนอน...
               แต่สิ่งที่มันพูดคือ “....ทุกเรื่องนั่นแหละ กูขอโทษ”
               “มึงจะพูดแค่นี้จริงๆใช่มั๊ย” ผมถามเสียงเย็นเยียบแล้ววางช้อนลง
               พี่วิวทำท่าอึกอัก ทีอย่างนี้ก็ไม่กล้าขึ้นมาซะอย่างนั้นหรือไง ถ้างั้นผมจะพูดเอง...
               “...มึงจูบกูทำเชี่ยไร...”
               ท่าทางเหมือนเขาอยากจะเก็บเรื่องนี้ไว้คุยทีหลังนะ “กูไม่รู้”
               “................” มึงไม่รู้???
               “ตอนนั้นกูแค่กลัวมาก”
               “กลัวห่าอะไรถึงดึงกูไปจูบ มึงจะบ้าหรอ”
               “กูกลัวว่ากูจะไม่เห็นมึงอีกไง” พี่วิวพูดออกมาเสียงดัง “กลัวว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่กูได้อยู่กับมึง...กูทำอะไรไม่ถูก”
               กลัวว่าผมจะหายไปจากชีวิต...ก็เลยจูบงั้นหรอ กลัวจะเป็นครั้งสุดท้าย...ไม่เข้าใจ หากผมต้องมีครั้งสุดท้ายกับคนที่ผมรัก ผมจะจูบเขามั๊ยนะ...
               แต่เฮ้ย!!! คำนี้มัน... ทำไมผมต้องนึกคำนี้ขึ้นมาด้วยวะ
               “...ตอนนั้นกูก็ไม่รู้อะไรแล้ว แค่อยากจูบมึงกูก็เลยทำ”
               “แต่...”
               “ถ้าตอนนั้นเป็นตอนสุดท้ายที่เราต้องเจอกันจริงๆ กูก็อยากจูบมึงอยู่ดีแหละ”
               ...จะบอกว่ามันชอบผมหรอวะ...
               “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มึงคิดแบบนั้น”
               “อืม...” พี่วิวหลบตาผม “กูก็ไม่แน่ใจ กูรู้แต่ว่าที่กูชอบลากมึงไปด้วยเพราะอยากเห็นหน้ามึงเฉยๆ นานวันเข้ากูก็เลยชิน พออยู่ๆมึงมาบอกว่าจะไม่อยู่กับกูแล้ว กูก็ตกใจดิ”
               “ตกลงเป็นเพราะ...มึงแคร์กูมากหรอ”
               “มาก” มันตอบเสียงหนักแน่น และนั่นทำให้ผมรู้สึกดีใจ
               ที่พูดมานี่มันก็ไม่ได้หลบหน้าหลบตาอะไร ซ้ำยังทำหน้าระรื่นใส่ ผมเจอไม้นี้ของมันจนจะนับครั้งไม่ได้อยู่แล้ว แต่แปลก... ยิ่งมันพูดถึงเรื่องจูบได้อย่างเต็มปากเต็มใจมากเท่าไหร่ ความโกรธผมมันก็ค่อยๆบรรเทาเบาบางลงเท่านั้น เพราะนี่ไม่ได้เป็นอารมณ์ชั่ววูบของมัน ทว่ามันเป็นความตั้งใจและเต็มใจของเขาเอง
               ผมนั่งมองหน้ากับมันอยู่นานทีเดียว กำลังพิจารณาคำขอที่มันขอมา ถ้าหากความจริงใจของมันเกี่ยวข้องกับตัวผมก็ควรจะยกโทษให้มันใช่มั๊ย หรือว่าผมต้องมองที่ตัวเองก่อน ผมคิดยังไงกับมันน่ะหรอ ง่ายๆ ไม่อยากให้มันทำเหมือนผมเป็นคนอื่น ความจริงแล้ว...ที่ผมโกรธก็คือมันทิ้งให้ผมต้องรู้สึกเดียวดาย นั่นทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าใจผมเองก็ขาดมันไม่ได้เหมือนกัน แล้วถ้าหากยอมรับความรู้สึกที่มันมีต่อผมจริงๆ เราจะอยู่ในฐานะไหนกัน พี่น้องเหมือนเดิมหรอ...ผมไม่โอเคกับคำนั้นมาตั้งนานนมแล้วนี่นา
               “มึงคิดอะไรอยู่” ไอ้พี่วิวถาม
               “คิดเรื่องมึงไง”
               พี่วิวดูอึ้งไป “เฮ้ย!! ยกโทษให้กูแล้วใช่ป่ะ”
               ลิงโลดไปแล้ว ก่อนอื่นผมขอถามให้มั่นใจก่อน “กูขอถามมึงจริงๆอีกทีนะ....แล้วมึงก็ต้องตอบตามตรงด้วย”
               “ได้เลยครับ”
               “มึงรู้สึกยังไงกับกูกันแน่”
               “อืม.....” นั่นไง มันลังเล ผมก็เดาได้ว่ามันจะตอบว่าอะไร เป็นเพื่อนรัก น้องรัก...”ถ้าจะให้ตอบตามความรู้สึกจริงๆ ....งั้นก็”
ผมถอนหายใจและเลิกกินข้าวแล้ว นั่งกอดอกเตรียมให้คำตอบมันเหมือนกันว่าจะยกโทษให้หรือไม่
               “กูรักมึง
               “............”
               “กูรู้ตั้งแต่ตอนที่มึงแกล้งอัพรูปกูคู่กับมึงน่ะ ตอนนั้นถึงมึงจะแกล้งแต่กูดีใจที่สุดของที่สุด” ผมมึนจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมคาดไว้ ไม่ใกล้เลย มันกำลังบอกรักผมหรอ “...กูเข้าใจว่าสำหรับมึงมันอาจจะยังแปลกๆ แต่ว่า...”
               อะไรอีก มึงจะเซอร์ไพรส์อะไรกูอีก
               “...ขอโอกาสกูพิสูจน์ให้มึงเห็นได้มั๊ย”
               นี่จากที่ผมต้องตัดสินใจว่าจะยกโทษให้มัน กลายเป็นฉากบอกรักที่ผมต้องตอบมันว่าจะยอมคบกับมันหรือเปล่าเนี่ยนะ เชื่อเลย ผมชักจะสงสัยความแน่วแน่ของมันเสียแล้ว สงสัยว่ามันจะทำตามที่พูดไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า แล้วนั่นมันแปลว่าผมก็ดีใจที่มันบอกรักผมหรอ...
               พอลองค้นหาเสียงของหัวใจดีๆแล้ว...ผมก็พบคำตอบนั้น

               “อืม” ผมพยักหน้าให้พี่วิว จากที่ทำหน้าลุ้น ตอนนี้มันตะโกนซะลั่นอย่างกับชนะลีคฟุตบอลระดับโลก

               ไอ้ผมก็เสือกทะลึ่งยิ้มตามมันไปเสียด้วยซี   .....ให้ตาย


                     
----------------------------------------------------------------------


               เคยเห็นคนเห่อของใหม่มั๊ยครับ ผมเคยเห็นคนเห่อแฟนนะ แต่นี่มันจะมากไปละ แฟนก็ไม่ใช่แต่เกาะยังกะปลิง
               “เฮ้ย!  มึงจะมากไปละนะ เอามือออกไป”
               “ขอโอบหน่อยไม่ได้หรอ”
               “ไม่ได้ กูผู้ชายนะเว้ย”
               “แล้วไง....” มันไม่พูดเปล่าครับ แค่เอาแขนคล้องคอผมตอนเดินมันก็เอาครับ ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผมเดินไปหาน้องรหัสปีหนึ่ง ไอ้พี่วิวมันก็เป็นดั่งสัมพเวสีดีๆนี่เอง
               พอถึงสตูก็ย่อมต้องมีคนซุบซิบ เป็นธรรมด๊าธรรมดาของคนหน้าตาดี(มั่นใจหนังหน้า มีไรป่ะ) แต่ผู้ชายกอดคอกันไม่แปลกไม่ใช่หรอ อืม...จะแปลกก็ตรงไอ้พี่วิวแม่งพยายามเล่นแก้มผมอยู่นั่น
               “หวัดดีไลท์ เป็นไงมั่ง” เอ๊ะ!!?...”พี่ธันไม่มีตรวจแบบหรอ”
               สองคนนี่ยังไง?
               “กูตรวจบ่ายสาม”
               “แล้วไม่ไปทำหรอ แบบน่ะ” พี่ธันทำแบบเสร็จก่อนตรวจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ผมเห็นไลท์มันมองพี่ธันประมาณว่า ‘ทำไมทำตัวแบบนี้’ จนพี่ธันได้แต่ยิ้มเหย
               “พี่วิวกับพี่ลิตเติ้ลคืนดีกันแล้วหรอครับ” น้องไลท์ถาม ผมหันไปมองไอ้พี่วิวที่ใช่บ่าผมเป็นที่เท้าศอก ผมสะบัดออก
               “ลิตเติ้ล!!”
               “รำคาญเว้ย” ผมโวย “มันจำเป็นต้องติดกันขนาดนี้ป่ะวะ”
               “จำเป็นดิ ก็คนมันหวง”
               “หวงเชี่ยไร ไม่ได้เป็นเชี่ยอะไรกันสักหน่อย”
               “แหม....แล้วใครกันที่หาว่ากูไม่ยอมช่วยเลี้ยงลูก”
               ไอ้สาดดดด หมด... ทั้งพี่ทั้งน้องรู้หมด อายเว้ย
               “เอ่อ...พี่ลิตเติ้ลครับ มีอะไรจะเล่าให้ผมฟังมั๊ย”
               “ไม่มี”
               “มี”
               สองคำนี้พูดพร้อมกัน ผมงี้รีบตวัดสายตาปิดปากพี่วิวทันที ฝ่ายหลังนี่หัวเราะชอบใจมาก ดูมีความสุขจริงๆ
               “เออนี่ไอ้ธัน เห็นไอ้เชี่ยวีมั่งป่ะ กูจะถามมันเรื่องโครงสร้างใต้ดินหน่อย” วิวหันไปคุยกับเพื่อน
               “อะไร ตัวเองเรียนวิศวะต้องมาถามนักเรียนถาปัตย์ ใช่เรื่องหรอวะ” ผมแขวะให้
               “อ้าว ลิตเติ้ลครับ ไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้วีนี่แหละเก่งที่สุด แม่งเก่งทุกอย่าง”
               ขณะสนทนาก็มีคนเดินมาหาน้องไลท์อีกคน ฮ็อตชิบหายเลยน้อง ผมงี้ยิ้มเลย ถ้าไม่ติดว่าราชานรกของผมกำลังพิโรธแล้วล่ะก็ คงจะแซวไลท์ไปแล้ว ต่อจากนี้คือการชมศึกชิงนายที่ร้อนแรง ทำไมถึงพูดอย่างนี้น่ะหรอ ... พี่ธันมีคู่แข่งอยู่ในคณะคนเดียวเท่านั้นก็คือคนนี้แหละ หล่อพอกัน สูงพอกัน สาวกรี๊ดพอกัน รวยพอกัน แต่ความเก่งนี่ไม่รู้แหะ ผมจำพี่เขาได้ เขาชื่อสิบโท
               “มึงมาทำเชี่ยอะไรที่นี่...” นายธันวาเปิดก่อน
               “ไอ้ธันครับ เรื่องของกูครับธัน กูจะมาหาน้องไลท์ มึงมีปัญหาหรอครับ” มาเต็ม คนละแนวกับพี่ธันเลย น้องไลท์ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ ไม่รู้จะจัดการยังไง
               “กูไม่ให้มา” อ้าวคนนี้ยังไงครับ เหตุผงเหตุผลไม่ต้องใช้แล้วรือท่าน
               “กูไม่ต้องขออนุญาตมึงมั้งสาดดด น้องไลท์เขายังไม่ห้ามสักคำ”
               “ไลท์...บอกมันไป”
               “บอกอะไร ไลท์ไม่ห้ามพี่สิบโทหรอก เขาช่วยไลท์ไว้ตั้งเยอะนะ” เอาแล้ว ท่านราชาจะทำอย่างไรกับประกาศิตเมีย พี่ธันวาผู้ไม่เคยยอมใครจะทำอย่างไรนะ
               “ไลท์...ทำไมทำงี้อ่ะ” กลายเป็นเด็กขี้งอแงไปเรียบร้อย เห็นแล้วอยากจะขำ
               “อย่ามาฟึกฟัด ทำตัวดีๆหน่อย สัญญาแล้วนี่” นี่ก็ ไปสัญญาอะไรกันตอนไหนวะ วันก่อนยังทะเลาะกันอยู่เลย
               “สนุกใหญ่เลยนะ เรื่องชาวบ้านเนี่ย” ไอ้พี่วิวแกล้งจิ้มแก้มผมอีกแล้ว แม่งขัดความสำราญ
               ทว่า สิ่งที่ขัดจริงๆก็เห็นจะเป็นเสียงพิฆาตที่ดังมาจากหน้าสตูนั่นแหละ
               “ไอ้ธันวา คนอื่นๆด้วย ทำไมเข้าไปกวนเด็กมันเรียน ออกมานี่ มาให้หมดเลย
               ฉากตอนนั้นคือทุกคนทำท่าเหมือนหลบกระสุน ลุกกันพรึ่บพรับ จะมีก็แต่พี่สิบโทคนเดียวที่ไม่แตกตื่น เด็กสถาปัตย์สาขาหลักจะรู้กันทุกคนว่า ถ้าเป็นอาจารย์อ้วน ทุกอย่างต้องตามบัญชาเท่านั้น อาจารย์ไม่ชอบผู้หญิง แต่ก็ครองโสดมาได้จนบัดป่านนี้ บางทีอาจเป็นเพราะแกเอาความรักมาให้นักเรียนของแกหมด เพราะเด็กคณะนี้ที่รู้จักก็รักแกทั้งนั้น เก่งก็เก่งมาก แต่กับลักษณะนิสัยแก ผมบอกได้เลยว่าแสบไม่แพ้ใครแน่
               พวกผมที่เป็นรุ่นพี่ถูกเรียกให้ไปนั่งกับแกที่ม้าหินอ่อน ผมนั่งตรงข้ามกับอาจารย์โดยมีไอ้พี่วิวนั่งจุ่มปุกติดผมไม่ห่าง ซ้ายและขวาของอาจารย์คือคู่ประลองโคตรหล่อทั้งสอง เหมือนยมทูตกับเทวดา คอยอารักขาพยามัจจุราชพุงพลุ้ยตรงกลาง ผมเห็นแล้วก็ให้อมยิ้ม
               “ยังไงไอ้ธัน มึงจีบน้องมันจริงๆหรอ”
               “ผมเคยโกหกอาจารย์ที่ไหนกันครับ”
               “แล้วมึงก็...เด็กสน.นี่หว่า” อาจารย์หันไปถามพี่สิบโท
               “ผมชื่อสิบโทครับ มาคอยดูแลน้องไลท์”
               “อ้าว...” อาจารย์อ้วนหันกลับมามองหน้าพี่ธันที่กลายเป็นพญามารไปแล้ว “ยังไง แย่งกันอยู่หรอ”
               “น้องไลท์เป็นของผมครับอาจารย์ คนอื่นห้าม”
               “มึงพูดเองนี่หว่าไอ้ธัน เจ้าตัวเขาห้ามหรือยัง”
               “ก็น้องเขาเป็นคนดีไงอาจารย์ เขาปฏิเสธคนไม่เป็นหรอก เดี๋ยวจะโดนหลอกเอาได้” อันนี้น่าจะกำลังพูดกระทบพี่สิบโท
               “ไอ้ธันครับ หมัดกูมันเบาไปใช่มั๊ยครับ ที่กูต้องมาดูแลไลท์แบบใกล้ชิดแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะมึงหรอวะ” ดูเหมือนพี่สิบโทจะจี้ใจดำ “กูบอกมึงว่าไงจำได้มั๊ย”
               “...กูรู้หรอกน่า”
               “กูเพิ่งเคยเห็นผู้ชายตีกันเพราะแย่งผู้ชายก็วันนี้แหละวะ แม่งตลก อ้าวแล้วนี่ก็อีกคู่หรือไง” อาจารย์มองมาทางผมที่นั่งกอดอกอยู่ แต่ไอ้พี่วิวโอบไหล่ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
               “เชี่ย เอาออกไป” ผมสะบัดหนีแต่ไม่เป็นผล
               “กูว่าแก๊งนรกที่ว่าแน่ก็เริ่มจะป่วนแล้วสินะ ฮ่าฮ่า” อาจารย์หัวเราะแบบสะใจมาก “แต่กูก็ยังสงสัยนะไอ้ธัน ปกติมึงควงคนแทบไม่ซ้ำเลยไม่ใช่หรอ”
               “อาจารย์... พวกนั้นน่ะมาควงผมเองต่างหาก ผมไม่ได้เล่นด้วยสักหน่อย”
               “อืม...” อาจารย์พยักหน้าล้อ “แล้วคนนี้กะควงจริงๆใช่มั๊ย”
               เวลานี้อาจารย์ได้ถามคำถามที่ทุกคนอยากฟัง โดยเฉพาะพี่สิบโทในท่ากอดอกที่กำหมัดแน่นอยู่ใต้วงแขน
               “ไม่ใช่แค่ควงหรอกครับอาจารย์ เขาคือคู่ชีวิตของผมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ขณะที่พี่ธันพูดอยู่ เขาจ้องมองเข้าไปในสตูฯ ในจุดที่น้องไลท์กำลังนั่งเขียนแบบอยู่  “ผมเลือกแล้ว”
               ทุกคนตอนนี้ที่ได้เห็นหน้าพี่ธัน รู้สึกเหมือนได้เป็นพยานรักระหว่างคนสองคนไปแล้ว อาจารย์อ้วนยังทำท่าสะใจเสียอีก ที่ในที่สุดราชานรกน้ำแข็งก็มีความรู้สึกกับเขาแล้ว
               “ไม่แปลกหรอกครับอาจารย์” พี่วิวขัดขึ้น และเป็นการขัดที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุด เมื่อทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพี่วิวเป็นคนใส่ใจคนอื่นมากเหมือนกัน เขาเล่าถึงที่มาของฉายาพี่ธัน ผมฟังแล้วยังแอบซึ้งตาม ถ้าน้องไลท์ได้ฟังแล้วไม่ร้องไห้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
               “แค่ซึ้งก็ไม่ต้องกอดก็ได้ป่ะวะ เชี่ยนี่” ผมต้องคอยระวังแขนพี่วิวที่เหมือนปลาหมึกมาก เผลอก็แปะ เผลอก็กอด
               “เฮ้ย นี่กูกอดมึงหรอ เชี่ยยยย ไม่รู้ตัวเลยว่ะ สงสัยจะรักมาก” ไอ้พี่วิว เดี๋ยวเหอะ
               กูก็เขินเป็นนะเว้ย...สัด
               เรื่องราวเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ พี่ธันนั่งเหม่อมองน้องไลท์ทำงานเช่นเดียวกับพี่สิบโท ปล่อยให้พี่วิวขาจ้อชวนอาจารย์คุยแบบไม่หยุดปาก ตอนนี้ผมก็เป็นหนึ่งในพยานกับความรักที่พี่ธันกล้าพูดมันออกมาให้ทุกคนได้ฟัง ส่วนความรักของผม...คงมีแต่หัวใจของผมเท่านั้นที่ได้ยินมัน  ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจนี้มันดังออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ บางครั้งหากต้องการฟังก็แค่....
               ...ผมลองจับมือพี่วิวดู รู้สึกเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นผ่านเล็กๆ ตอนแรกพี่วิวค่อนข้างจะตกใจ แต่ก็ยิ้มรับพร้อมกับบีบมือผมเบาๆ


               พยานความรักของผมหรอ...ก็คนที่ผมรักไง


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : เวะทักทายเรือข้างๆกันหน่อย สบายๆเนอะ ท้องฟ้ากำลังเริ่มสงบลง แต่จะสงบเพราะรอขย้ำหรือสงบและเผยฟ้าสดใส ต้องติดตามต่อไปเรื่อยๆ ขอให้สนุกนะ




ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

14

รวี : วันแข่งบาส


               ในที่สุดไอ้ธันก็น่าจะไปได้ดีกับน้องไลท์ เห็นสภาพตอนแก้วแรกที่ทะเลาะกัน เพื่อนผมมันคงจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ไม่ใช่ว่าจะต้องเปลี่ยนเพื่อคนอื่นนะ แค่เป็นการเปลี่ยนเพื่อคนที่เรารักและรักเรา ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริง
               ทว่าผมกังวลแทนมัน ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมเข้าใจว่าคนที่ต้องทำตามสิ่งที่คนอื่นบอก ไม่เคยได้รับความรักจากคนที่ใกล้ชิดมากที่สุด เมื่อเจอสิ่งที่สำคัญกับตัวเองมากๆแล้ว ย่อมจะต้องปกป้องมันสุดชีวิตเพื่อรักษามันไว้ ไอ้ธันมันก็เป็นแบบนั้น คนภายนอกอาจจะอิจฉาชีวิตมัน แต่มันคุยกับผมบ่อยๆว่าอยากจะหนีไปตั้งตัวด้วยความสามารถตัวเอง ครั้งหนึ่ง ผมกับไอ้วิวมีเรื่องชกต่อยที่ไม่ร้ายแรงมากกับพวกกุ๊ย เพียงแต่ผมสู้ไม่ไหวและกำลังโดนยำตีน ครั้งนั้นผมเห็นไอ้ธันที่เลือดขึ้นหน้า ถึงขนาดไม่สนใจแล้วว่าตัวมันกับคนที่มันใช้ไม้ฟาดจะตายหรือเปล่า มันทำเพื่อปกป้องพวกผม
               นั่นแค่เพื่อน แต่ครั้งนี้คือคนที่มันรัก และดูเหมือนรักมากด้วย
               ผมไม่อยากจะคิดถึงอนาคตเลย ครอบครัวมันต้องเจอเรื่องอีกมากมายนัก เป็นอีกครั้งที่ผมสบายใจกับการเป็นคนธรรมดา เรื่องนี้ตะวันก็คงเห็นด้วย
               “พี่ธัน....” เสียงไลท์ที่นั่งตัดโมเดลจำลองบ้านอยู่เอ่ยขึ้นมา งานโครงสร้างแสนสนุกของปีหนึ่ง แต่ไลท์คงสนใจงานน้อยกว่าไอ้คนข้างๆเป็นแน่
               “ว่าไงครับ” รายนี้ก็อ่อนจนเป็นมาชเมลโล่ ช่วยตัดโมเดลไปพลางจ้องหน้าน้องไปพลาง ดูมีความสุขดี
               “ไม่ไปซ้อมกับเขาหรอ” น้องพูดถึงเรื่องการซ้อมบาสที่จะแข่งกับวิศวะวันนี้ แมชไหนที่แข่งกับวิศวะพวกเราชาวถาปัตย์จะตื่นตัวเป็นพิเศษ พวกผู้หญิงก็อยากเห็นกล้ามหนุ่มๆ พวกผู้ชายก็อยากเห็นอีกฝ่ายแพ้ มีการพนันขันต่อเป็นเรื่องปกติ รางวัลก็... ค่าเหล้าค่ายา
               “ไม่ต้องซ้อมหรอก ระดับพี่แล้ว ไลท์รอดูแล้วกัน”
               “ขี้โม้...” ไม่โม้หรอกน้องไลท์ แก๊งสามนรกของพวกพี่ แค่ตอนปีหนึ่งก็ถือเป็นตัวเต็งแล้ว ตอนนี้ไอ้วิวย้ายไปวิศวะทำให้กำลังหดหายไป แต่กลับได้คู่แข่งแทน ไอ้ธันมันไม่อยากแพ้ลูกน้องอย่างไอ้วิวน่ะ แต่ส่วนผมหรอ ไม่ขอปะทะ ไม่อยากจะคุยว่า เพราะมันสองตัวชอบชนกันอยู่เรื่อย ผมจึงมีโอกาสทำแต้มมากมายเลยทีเดียว
               “วันนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ไอ้ธันถามเสียงหวานมาก ผมภาวนาขออย่าให้มันใช้เสียงแบบนั้นกับผมเลย ขนลุกวูบวาบ
               “ทำไมต้องเป็นพิเศษด้วย” น้องไลท์ถาม
               “ก็...ในโอกาสที่พี่ชนะไง”
               “อือหือ มั่นใจมากไปป่ะ นายธันวาจะไม่มีวันแพ้เลยหรือไง”
               “ก็ถ้าไลท์บอกให้แพ้พี่ก็จะแพ้”
               “เฮ้ย! ได้ไง นี่ชื่อเสียงคณะนะ ทำให้เต็มที่สิ”
               ทุกวันนี้ผมเห็นไอ้ธันทีไรก็ต้องเห็นน้องไลท์ด้วยทุกครั้ง เป็นความรักที่ใช้เวลาจีบกันไม่นานมากเท่าที่คิด สองคนนี้คงจะรักกันมากอยู่ก่อนแล้ว แต่แสดงออกไม่ค่อยเก่งกันทั้งคู่ ผมก็ช่วยได้แค่ห่างๆเท่านั้น ตอนนี้จึงทำงานของตัวเองไป ยืมโต๊ะน้องปีหนึ่งเนี่ยแหละ จะได้นั่งดูสองคนมันสวีทกันด้วย
               “ไม่ไปทำงานตัวเองบ้างหรอพี่ธัน” นั่นสิ ไม่ทำงานหรอวะ ถาปัตย์เขามีงานให้ทำทุกวัน มีงานต้องส่งแทบทุกวัน แต่แม่งเอาเวลามากกหนุ่ม
               “ทำไม่ได้อ่ะสิ ไม่มีสมาธิเลย”
               “ทำไมล่ะ เครียดเรื่องอะไรรึเปล่า” น้องไลท์ผู้แสนดี
               “ไลท์นั่นแหละ ทำให้พี่คิดถึงตลอดเวลาจนงานการทำไม่ได้เลย”
               ตอนแรกผมนึกว่าไอ้ธันมันหวานแบบกวนๆ น้องไลท์ก็ดูจะคิดแบบนั้น จนกระทั่งได้มองหน้ามันตรงๆ มันพูดจริงครับ ผมก็พอจะนึกออกหรอกนะ ไอ้ที่มีแต่หน้าคนรักลอยไปลอยมาจนไม่มีสมาธิเนี่ย
               “ถ้างั้นเดี๋ยวคืนนี้ไลท์ไปอยู่เป็นเพื่อนละกัน พี่ธันจะได้ทำงานได้” เป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนมาก ระวังตัวด้วยนะน้องไลท์ ไอ้ธันมันทำตาเยิ้มซะขนาดนั้น ดูเหมือนมันอยากจะจูบน้องใจจะขาด
               “โอ๊ยยยยย ไปแต่งงานกันเลยมั๊ย หมั่นไส้” จู่ๆน้องอุ้มที่นั่งเขียนแบบอยู่ถัดไปอีกโต๊ะก็โพล่งขึ้นมา งานชิ้นนี้ของปีหนึ่งแบ่งเป็นคู่ๆ น้องอุ้มอาสาเขียนแบบแล้วให้น้องไลท์ตัดโมเดล ที่เห็นว่านั่งเขียนแบบก็คงจะต้องทนฟังมาตลอด ยังไงน้องก็เป็นผู้หญิง มันก็ต้องมีจั๊กจี้บ้างแหละ
               “เสร็จแล้วหรออุ้ม” น้องไลท์ถาม
               “เออ ถึงกูไม่มีแฟน กูก็ทำเสร็จไวกว่ามึง ห่า มัวแต่จีบกันอยู่นั่น”
               “ปากไม่สร้างสรรค์นะมึง ระวังจะขึ้นคาน”
               แล้วน้องไลท์ก็โดนโบกกบาล น้องอุ้มคนนี้ก็นิสัยดีใช้ได้ ตอนนี้หลายคนมองน้องไลท์เป็นพวกมีอภิสิทธิ์ ไม่ก็พวกปีนเกลียวปากดี เนื่องด้วยน้องเป็นคนไม่ยอมใคร บวกกับการที่ไอ้ธันมันประกบไม่ห่าง น้องอุ้มไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักอย่าง เป็นคู่ซี้ขาโหดที่ไม่มีใครกล้าตอแยด้วยจริงๆ
               พูดถึงเพื่อนซี้ก็นึกถึงตะวันนะ รายนี้ก็เพื่อซี้น้องไลท์ ตอนนี้คงจะอยู่หน้ากระทะ ตะวันเคยส่งรูปในชุดเชฟเต็มตัวพร้อมหมวกมาให้ดู น่ารักมากๆ แต่ผมสังเกตว่าเพื่อนตะวันที่โรงเรียนเชฟนั่นมีผู้หญิงเยอะ แล้วไอจีของตะวันก็ดูจะมีรูปสาวๆพวกนั้นเยอะเหมือนกัน เหมือนจะรู้สึกหวงยังไงไม่รู้ วันนี้ตะวันบอกจะมาดูแข่งบาสด้วยเพราะผมลงแข่ง บอกต้องมาดูไม่ให้น้องไลท์ลงสนามด้วย ประเดี๋ยวเรื่องใหญ่จะเกิด
               ว่าแต่ไอ้ธันไม่มีสมาธิ ตัวผมนี่ก็ไม่ได้ต่างกันซักเท่าไหร่เลย

               สักพักก็มีแมสเสสเข้า

                       TawaN : WIIIIIIIIIIIIII
                       Wiiii : ไง เป็นไงบ้าง


               ตะวันทักมาครับ ทุกวัน เวลาเดิม

                      TawaN : วันนี้เชฟสอนทำสเต๊กเนื้อบดสูตรโบราณ
                      Wiiii : ฟังแล้วน่ากินนะ
                      TawaN : แน่นอน แบ่งมาให้วีด้วยเนี่ย เชฟชมด้วยนะ
                      Wiiii: แล้วเลิกเรียนหรือยัง ต้องไปทำอะไรอีกหรือเปล่า
                      TawaN : อืม ต้องไปหาลูกค้า เขามาเช่าห้อง
                      TawaN : แข่งบาสกี่โมงครับ
                      Wiiii : หกโมงก็เริ่มแข่งแล้ว จะมาทันรึเปล่า
                      TawaN : ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ถ้ารถไม่ติดก็คงจะทัน


               ผมที่กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไป แต่พลันก็นึกคำไม่ออกเสียอย่างนั้น เรื่องที่ตะวันจะมาดูผมแข่งบาสเป็นเรื่องที่ผมดีใจมาก ทว่าตอนนี้มันเหมือนลูกโป่งฟีบ ทุกอย่างดูน่าเบื่อหน่ายไปหมด

                      TawaN : แล้วเจอกันนะ

               ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า รู้สึกน้อยใจ แม้จะรู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกอย่างนั้นแต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ จากที่น้องไลท์กับไอ้ธันชอบล้อชอบชงอยู่บ่อยๆทำให้บังเกิดความคิด... ความคิดว่าตะวันจะเป็นคนที่ใช่สำหรับผมจริงๆหรือเปล่า ตอนแรกที่พบเจอผมรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้มาก ยิ่งได้รู้จักยิ่งทำให้อยากจะอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่แล้วความสม่ำเสมอและความปกติกลับทำให้ห่อเหี่ยว มันปกติเกินไป กับคนอื่นตะวันก็ปฏิบัติด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ผมรู้สึกเหงา
               สำหรับตะวันเอง เขาไม่เคยบอกว่าคิดอะไรกับผม ถ้าจะพิจารณาตามความจริงแล้ว เขาอาจจะไม่ได้คิดเป็นอื่นกับผมเลยก็ได้ ผมมันก็แค่คิดไปเอง แต่ทำไมเขาต้องทำเหมือนให้โอกาสด้วยล่ะ บางครั้งก็ไปรับส่งเวลาผมต้องออกไปข้างนอก คอยดูแลว่ากินข้าวหรือยัง นอนเพียงพอหรือเปล่า ทั้งหมดนี้เขาแสดงออกมาด้วยความปกติเกินไป อาจจะเป็นที่นิสัยของเขาด้วย น่าจะใช่... จริงจัง... ตรงไปตรงมา... จืดชืด...
               หรือผมต้องเป็นฝ่ายเติมรสชาติให้ตะวันบ้าง เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่านะ


               หกโมงเย็นแล้ว ผมกับไอ้ธันเตรียมเปลี่ยนชุดเปลี่ยนรองเท้า แล้วตรงไปที่สนามบาสของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นสนามเล็กๆ มีที่นั่งคนดูอยู่สองข้าง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ วันไหนที่ไอ้ธันกับไอ้วิวลงสนาม ผู้ชมจะคับคั่งมากเป็นพิเศษ แม้แต่คณะอื่นก็มาเชียร์ด้วย แต่ไม่แปลก
               ใช้เวลาราวสิบห้านาที ผู้เล่นในสนามก็มารวมตัวกันครบ ผมก็วอร์มอัพตามสเต็บ พอแบ่งตัวเตรียมจะเริ่มเกมเท่านั้นแหละ พระเจ้าช่วยด้วย... ทีมสถาปัตย์ประกอบด้วยผม ไอ้ธัน น้องลิตเติ้ล น้องวาและน้องจิน สองคนหลังนี่ผมไม่ค่อยได้เจอ แต่แว่วๆว่าเป็นมือทองของโรงเรียนเก่า หน้าตาก็ดี ฟอร์มทีมครั้งนี้อย่างกับจะแสดงคอนเสิร์ต เรียกเสียงกรี๊ดคนดูได้แบบถล่มทลาย ฝั่งวิศวะก็ไม่เบา กับตันทีมคือไอ้วิว ตามมาด้วยลูกทีมล่ำสูงทั้งนั้น สองฝ่ายจับมือกันกลางสนาม
               “มึงเจอกูแน่ไอ้ธัน โทษฐานได้เมียแล้วลืมเพื่อน”
               “ฝันไปเถอะ ถ้าคิดจะชนะน่ะ” ไอ้ลิตเติ้ลข่มกลับทำให้ไอ้วิวหน้าเสียไม่ใช่น้อย
               “ลิตเติ้ลจะลงทำไมเนี่ย”
               “เขาเรียกสร้างสีสัน” ลิตเติ้ลยักคิ้วให้ “สู้ให้เต็มที่นะครับ ไม่งั้นโกรธ”
               “ได้...” ไอ้วิวยิ้ม “ถ้าทีมกูชนะ มึงต้องไปเดทกับกูคืนนี้”
               “เฮ้ย!!!” ผมตกใจ “พวกมึงคบกันตอนไหนวะ”
               “ยุ่ง ไอ้วี”
               “อ้าวสาดดดดด”
               “แต่ถ้าทีมผมชนะ พี่วิวจะต้องเป็นเบ๊ผมหนึ่งอาทิตย์”
               “โห...โหดจังวะ”
               “กล้ารับมั๊ย”
               ไอ้วิวเดินไปชิดกับลิตเติ้ลมากซะจนจะจูบกันอยู่แล้ว แม้จะพูดกันไม่ดังแต่ผมได้ยิน “ได้....เราเองก็เตรียมใจไว้ด้วยนะ เพราะกูจะทำให้เดตคืนนี้เป็นที่จดจำไปอีกนาน”
               ผมก็งง ไอ้ลิตเติ้ลก็งง ออกจะกังวลนิดๆด้วย แต่ช่างมัน กรรมการลงสนามแล้ว และ...ไอ้ธันไปไหน...
               อ้อ!! ขอกำลังใจจากเมีย เอ้ย! จากน้องไลท์ สงสัยจะชอบใจกับคำว่ารางวัลมาก คิดจะเอาอย่างไอ้วิวสิท่า แต่นึกไม่ออกจริงๆว่าเดตของไอ้ธันกับน้องไลท์จะพิเศษไปในทางไหน วุ้ย! นี่คิดแต่เรื่องอะไรเนี่ย ผมตั้งสมาธิกับเกมดีกว่า ปล่อยให้คนมีความรักเขาแข่งกันไป ก่อนจะเริ่มผมก็ไม่ลืมกวาดตาดูแถวอัฒจันทร์ และตะวันยังไม่มา
               กรรมการชุดสีม่วงไปยืนกลางสนามพร้อมลูกบาส สองฝั่งตัวคือไอ้ธันในชุดสีน้ำเงินและไอ้วิวในชุดสีขาว สองคนแม่งไม่มองลูกเลย จ้องตากันอยู่นั่น สิ้นเสียงนกหวีด ทั้งสองคนเคลื่นไหวดุจลิงป่า ไอ้ธันฉกลูกแล้วส่งด้วยความเร็วให้ผมที่ส่งต่อไปให้ลิตเติ้ล มันวิ่งขึ้นหน้าไปตามนิสัย(ผมรู้อยู่แล้ว) น้องจินกับน้องวาแยกสองปีกซ้ายเพื่อล่อให้ศัตรูตามประกบ ผมปิดหลังไว้เผื่อมีการส่งกลับ ไอ้ธันพุ่งตรงไปแนวกลาง ดูก็รู้ว่าต้องดั๊งแน่ๆ ทว่าไอ้วิวกลับพุ่งไปหาน้องลิตเติ้ลแทน มันอ่านทางออก ใช้ตัวที่ใหญ่กว่าบังไม่ให้ส่ง สักพักก็แย่งลูกมาได้พร้อมกับหัวเราะร่า ผมเห็นแค่ไวๆ แต่เหมือนน้องลิตเติ้ลจะหน้าแดงแป๊ดและไล่ด่าไล่เตะแทนที่จะแย่งกลับ เมื่อกี้ตอนแย่งลูกกันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
               เมื่อได้ลูกมาก็พุ่งเร็วมาก สามคนรวมไอ้วิวส่งรับลูกเร็วมาก จากกลางสู่นอก ผมไม่สามารถเดาได้ว่าใครจะชู้ต น้องจินกับน้องวาลงมาช่วยสกัดได้ทัน ผมจึงมุ่งตรงไปที่ไอ้วิวที่กำลังจะทำคะแนนอย่างเดียว ปกติไอ้วิวเวลาชู้ตจะไร้ช่องโหว่ ทว่าในเวลานี้ผมสามารถสร้างได้...
               “มึงจูบน้องลิตเติ้ลหรอวะ” ผมตะโกนดังพอที่จะให้มันได้ยิน
               เป็นไปตามคาดครับ มันชะงัก แม้นิดหนึ่งก็ดีแล้ว ผมกระโดดคว้าลูกกลางอากาศมาได้ ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ส่งไกลไปให้ไอ้ธันที่ยังไม่ถอยลงมา มันอยู่ในระยะทำคะแนนและไม่มีใครขวาง และเป็นดังนั้น ฝ่ายผมเป็นฝ่ายได้แต้ม
               “ไอ้เชี่ยวี มึงเล่นไรเนี่ย” ไอ้วิวโวย
               “ก็เล่นมึงไง ห่า เขาเรียกเทคนิค”
               “เทคนิคพ่องดิ เสียสมาธิหมด” มึงทำให้น้องลิตเติ้ลกูเสียสมาธิจนหูแดงหน้าแดงแบบนั้นยังจะมาพูด “..มึงก็ยอมๆให้กูหน่อยดิวะ กูจะไปเดตกับลิตเติ้ล”
               “พูดมาได้ไม่อายปาก สัด กูไม่ยอมง่ายๆหรอก”
               “อย่าเอาความโสดมึงมาพาลชาวบ้านได้ป่ะ”
               แม่ง รู้ด้วย มันรู้ว่าผมพาลใครก็ตามที่มีคู่ดู๋ดี๋ตอนนี้ แม้แต่คู่น้องไลท์ผมก็อิจฉา ก็ดูดิ....
               ไอ้ธันพอจบสกอร์ก็วิ่งไปหาน้องไลท์ อวดซะจริง เซลฟี่กันซะด้วย คนที่อยู่นอกสนามปกติก็มองไอ้ธันตาเป็นมันแล้วแท้ๆ ตอนนี้ก็ยิ่งซุบซิบนินทาเข้าไปใหญ่ สองคนนั่นก็ไม่แคร์สายตาใครเลยจริงๆ ไอ้ธันน่ะไม่แปลก แต่น้องไลท์...อืม ที่จริงน้องก็คล้ายๆไอ้ธันเหมือนกันนะ หัวแข็ง ปากเก่ง ฮาร์ดคอร์
               กรรมการตะโกนเรียกไอ้ธันเพื่อเริ่มเกมใหม่ คราวนี้ก็เป็นไปในรูปแบบเดิม ผมไม่อยากปิดท้ายเลยพาลูกขึ้นไป หวังจะทำสามคะแนน แต่ไอ้ธันมันไม่ร่วมมือเลยครับ มัวแต่ห่วงเท่อยู่นั่น ไอ้วิวก็แทนที่จะมาประกบผม มันกลับไปประกบน้องลิตเติ้ลแจ พยายามอย่างยิ่งที่จะกอด น้องลิตเติ้ลก็ด่ากราดแล้ววิ่งหนี สรุปว่าเกมนี้แม่งก่งก๊งฉิบหาย ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าทำคะแนนแบบชิลๆ
จบควอเตอร์แรกด้วยคะแนนเท่ากัน ผมจะด่าไอ้พวกแก๊งสามนรกสองคนนี่อยู่แล้ว เล่นห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ ก็เข้าใจนะว่าแข่งบาสกับคณะอื่นแบบนี้ก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ เล่นสนุกๆ  ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหงุดหงิดไอ้สองตัวนี้ด้วย ส่วนหนึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับตะวัน ที่ยังไม่เห็นวี่แวว ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่เล่นก็แอบชำเลืองมองตลอด
               ในที่สุดก็ได้คนที่อาสามาด่าไอ้ธันแทนผม พอเห็นก็ตกใจเล็กน้อย เพราะนั่นคือไอ้สิบโท คู่แข่งตลอดกาลของไอ้ธันนั่นเอง
               “พวกมึงเล่นเชี่ยอะไรกัน” ไอ้สิบโทเดินไปหาน้องไลท์กับไอ้ธันที่ข้างสนาม บรรยากาศคุกรุ่น
               “เกี่ยวอะไรกับมึง พวกกูเล่นกันสนุกๆ”
               “สนุกหรอ กูว่าปัญญาอ่อน” ไอ้สิบโทท้าทาย คนรอบสนามที่รู้เรื่องสองคนนี้ก็ยิ่งตะโกนเชียร์เข้าไปใหญ่ “มึงเล่นอย่างกับเด็กแปดขวบ คิดว่าโชว์เท่หรอ”
               เล่นบาสมันสนุกก็วันนี้แหละวะ แบบนี้ถึงเรียกว่าการต่อสู้ และมันต้องมีเดิมพัน
               “งั้นมึงจะสอนกูเล่นอย่างนั้นใช่มั๊ย” ไอ้ธันเริ่มท้าทาย น้องไลท์ก็ทำอะไรไม่ถูก ยืนทำตาปริบๆ ไม่กล้าห้าม
               สิบโทยิ้มกริ่ม หันไปหาไอ้วิวแล้วตะโกน  “ไอ้วิว เปลี่ยนตัวคนหนึ่งดิ๊ กูจะลงด้วย”
               เชดดดดดดดด เอาแล้ว แมชที่น่าจดจำเริ่มขึ้นแล้ว เอาเข้าจริงผมไม่เคยเห็นไอ้สิบโทเล่นบาสแบบจริงจังสักที เล่นทีไรก็ดูจะเพื่อสร้างความสนุกสนานเท่านั้น ไม่เคยเข้าชาร์ตเข้าบังใคร ตัวแน่นๆอย่างมันใครชนก็ไม่กระดิก ถึงตอนนี้กลับมาท้าไอ้ธันเล่น ฝีมือไอ้ธันทุกคนและตัวมันก็น่าจะรู้อยู่ ผมจะได้เห็นมันเอาจริงก็คราวนี้แหละ
               “และเพื่อไม่ให้มึงมีข้ออ้างในการเล่นแบบหน่อมแน้ม ถ้าทีมกูชนะ น้องไลท์ต้องไปเดทกับกู” นี่แหละคือการเดิมพันที่แท้จริง ไอ้วิวหลบไป
               “เฮ้ย เกี่ยวอะไรวะ”
               “น้องไลท์จะได้รู้ไงว่ามึงพร้อมจะสู้เพื่อน้องรึเปล่า” โอ๊ยเจ็บ ไม่มีทางเลือกแล้วไอ้ธันวา
               “มึงเตรียมตัวกลืนน้ำลายตัวเองไว้ด้วยไอ้สิบโท”
               หลังจากวินาทีนี้ เสียงเชียร์และบรรยากาศที่เคยสนุกสนานจะเริ่มจริงจังจนน่ากลัวทีเดียว เมื่อเสียงนกหวีดเริ่มเกมดังขึ้น ไอ้ธันก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ทุ่มพลังและความชำนิชำนาญทั้งหมดออกมา มันจริงจังมาถึงขั้นห้ามไม่ให้ทุกคนพลาดแบบโง่ๆทีเดียว
               ที่น่าตกใจที่สุดคือไอ้สิบโทครับ เห็นตัวใหญ่หนากล้ามเพียบแบบนั้น กลับว่องไวปานสายฟ้า หลบหลีกเลี้ยงลูกและหมุนตัว ทั้งหมดนี้ทำได้โดยไร้ที่ติ ทุกครั้งที่บอลถึงมือมันก็ไม่มีใครแย่งได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะการครอสโอเวอร์ของไอ้สิบโทเป็นอะไรที่ร้ายกาจ เล่นซะคนที่โดนต้องไถลไปกับพื้นไม่เป็นท่าเลยทีเดียว ฝีมือที่มันเก็บไว้ในฝักทำให้ตอนนี้มันกลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่น่ากลัวมาก
ผมเห็นความแตกต่างทันทีที่มองหน้าไอ้ธัน ในขณะที่ไอ้สิบโทเล่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไอ้ธันกลับเคร่งเครียด แย่แน่ธันเอ๊ย กูไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว
               จบควอเตอร์ที่สอง ทีมผมกับไอ้ธัน(ทีมถาปัตย์)ตามอยู่เจ็ดแต้ม ทว่าแม้จะเครียดแค่ไหนไอ้ธันก็ยังได้กำลังใจจากน้องไลท์อยู่ดี แต่น้องไลท์ก็ยื่นน้ำให้ไอ้สิบโทเหมือนกัน จุดไฟกันเข้าไป จะไหม้บ้านอยู่แล้วนะ ส่วนอีกคู่...เหมือนกำลังเถียงอะไรกันอยู่ แต่ก็ดูยิ้มแย้ม ไม่รู้ว่าผู้ชมจะเห็นสีสันแบบที่ผมเห็นหรือเปล่า ตอนนี้ข้างสนามเต็มไปด้วยฝูงชนซึ่งไม่รู้มาจากไหน บนที่นั่งก็เปิดเพลงเชียร์กันแล้ว โต้กันไปมาอย่างกับแมชชิงชนะเลิศ อลังการดีแท้
               ...แต่ตะวันมันก็ยังไม่มา....
               ช่วงควอเตอร์ที่สามผมเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเล่นอีกแล้ว ชู้ตก็ไม่แม่น วิ่งก็ไม่วิ่ง จนไอ้ธันตะโกนด่า ผมก็ไม่ใส่ใจเล่นให้มันจบๆไป แต่ในตอนกลางควอเตอร์นั่นเอง ผมซึ่งได้ลูกและกำลังจะทำคะแนน เหลือบไปเห็นบนอัฒจันทร์เหนือน้องไลท์ขึ้นไปสองชั้น ตะวันมาแล้ว ผมกำลังจะยกมุมปากขึ้น ทว่าทำไม่ได้ เพราะตะวันกำลังคุยกับผู้หญิงสวยคนหนึ่งด้วยท่าทีสนุกสนานสดใส...
               ว่าจะไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้วนะ แต่แม่ง บอกว่าจะมาดูผม แต่กลับไปสนใจคนอื่น แถมยัง....ผมไม่รู้ว่าไอ้ความโมโหนี้มันได้แต่ใดมา มันทำให้ผมไม่ทันคิดอะไรให้รอบคอบ ร่างกายขยับไปเองโดยไม่ได้สั่ง แทนที่จะชู้ตให้ลงห่วง ผมกลับขว้างตรงๆไปหาไอ้ตะวันแม่งเลย
               ทุกคนเงียบ คงสงสัยว่าผมทำอะไร ตะวันมันก็ไวมาก จับลูกบาสไว้ได้และกำลังมองผมด้วยสายตาตื่นๆ
               “มึงทำเชี่ยไร” ผมตะโกนและเดินไปทางที่นั่ง(ที่นั่งอัฒจันทร์นี้ไม่ใช่สนามใหญ่ มันเตี้ยๆมีไม่ถึงสิบชั้น) ตะวันเห็นหน้าผมก็รีบแทรกตัวลงมาหา น้องไลท์ทำหน้างงๆเหมือนกัน
               “วี... เป็นอะไรเนี่ย”
               “ทำไมมาเอาป่านนี้”
               “ก็รถมันติด นี่รีบมาดูแล้วนะ”
               “มาดูอะไร ดูสาวหรอ” ตะวันดูเข้าใจ หันขึ้นไปมองสาวเจ้าที่คุยด้วยเมื่อกี้
               “เฮ้ย นั่นเพื่อน อยู่เกษตร เพิ่งรู้ว่ามาเรียนที่นี่เลยทักทายกันเฉยๆ”
               “เฉยๆก็ไม่ต้องแนบตัวติดกันแบบนั้นก็ได้ป่ะวะ” ผมโกรธนะเนี่ย สนใจกูแบบพิเศษๆหน่อย
               จู่ๆตะวันก็ยิ้ม “นี่วี...หึงตะวันอยู่ใช่ป่ะ”
               “หึงอะไร ไม่ได้หึง” แต่น้ำเสียงผมหึงโคตรๆ “จะหึงทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
               “อย่าพูดงี้ดิวี ตะวันรู้สึกแย่นะ”
               “รู้สึกแย่มั่งก็ดีนะ เพราะทุกวันนี้วีก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ตะวันไม่ให้ความสำคัญกับวีเลย”
               ตะวันเหมือนจะเข้าใจ ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ตะวันขอโทษ”
               ผมไม่พูดอะไร ตะวันก็ไม่พูดต่อ นั่นก็ทำให้ผมหงุดหงิด นี่คิดจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ตลอดเลยหรอ คนรักกันชอบกันมันก็ต้องรู้สึกพิเศษหน่อยดิวะ
               “ตกลง...วีสำคัญกับตะวันแค่ไหน” ผมถามออกไปตรงๆ
               สิ่งที่ผมไม่คาดคิดที่สุดที่ตะวันจะทำเกิดขึ้น สองมือที่ถือลูกบาส ยกขึ้น ตะวันคล้องสองแขนโอบคอ กดลูกบาสดุนหลังเบาๆ แล้วยื่นหน้ามาใกล้มากๆ เหล่าชะนีอีแอบและสาววายที่เห็นต่างเริ่มระดมเสียงกรี๊ดขึ้นมาจนผมเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ความรู้สึกผสมปนเประหว่างเขินกับอาย
               “วีครับ” ตะวันเริ่ม เสียงเขาแผ่วอ่อนแต่ชัดเจน “วีเป็นคนที่สำคัญกับตะวันมากนะ ตะวันไม่เคยเจอใครที่เหมือนวีเลย”
               “แต่วีไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย ตะวันก็ทำตัวดีกับคนอื่นไม่เห็นจะต่างจากวีสักนิด”
               “ตะวันขอโทษ ตะวันรู้ตัวแล้ว” ตอนนี้ตะวันใกล้มากจนจะจูบผมได้อยู่แล้ว หัวใจผมมันก็เต้นเร็วเกิ๊น “เอาเป็นว่า แข่งเสร็จแล้วเราไปทานข้าวกันนะ”
               ผมพิจารณาข้อเสนอ ที่ผ่านมาก็มีหลายครั้งที่ตะวันพาผมไปกินข้าว ไม่เห็นพิเศษ
               “ไม่ไปแล้ว แค่กินข้าว...”
               “วี....” ผมทำท่าจะดิ้นออกจากอ้อมแขนเขา แต่เขารัดไหล่ผมแน่น “แต่ตะวันมีของจะให้วีนะ”  ของอะไรวะ??? ต้องเป็นอะไรที่สำคัญแน่ๆ แต่ผมก็มาคิดว่า อย่างตะวันที่ผมดูจะอ่อนให้ง่ายเหลือเกินนี่ คงต้องเจออะไรที่มันยากหน่อยละมั้ง
               “ไม่ไป” ผมพูดพลางสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนตะวันได้ กำลังเดินกลับลงเล่นต่อ ในสนามที่ทุกคนกำลังจ้องผมตาเขม็งนี่แหละ ว่าจะไม่อายแล้วนะ
               “วี...” ตะวันเรียก
               “แข่งต่อดิวะ รออะไร” ผมบอกทุกคนในสนามเพื่อหลบเลี่ยงตะวัน ภายหลังมาคิดดูแล้ว นี่เป็นการกระทำที่บ่งบอกชัดเจนในความหมายเดียวกับคำว่า ‘กูงอน’
               “เดี๋ยวก่อน!” เสียงตะโกนดังลั่นจนทำให้กรรมการ(รุ่นราวคราวเดียวกับผม เป็นนักศึกษาเหมือนกัน)ค้างนกหวีดไว้ในปากอย่างงงๆ ตอนนี้ตะวันกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนรวมทั้งผมด้วย เขาเดินไปหาไอ้วิว คุยกันสักพักก็ได้เสื้อขาวสะอาดเบอร์สี่มาเปลี่ยน ผมเข้าใจทันที
               “ทำอะไรวะ” ผมถามตะวัน
               ตะวันเดินมาหาผมด้วยรอยยิ้ม
               “ตะวันรู้มาว่าพี่ธันกับพี่สิบโทมีข้อตกลงกัน”  เออใช่  “พี่วิวกับพี่ลิตเติ้ลก็มี”
               “แล้วไง?” อย่าบอกนะว่า...
               “เรามาทำข้อตกลงกันบ้างดีมั๊ยวี ถ้าทีมตะวันชนะ วีต้องไปเดทกับตะวันคืนนี้”
               นี่มันแมชห่าเหวอะไรวะเนี่ย พวกมึงไม่ได้คิดถึงชื่อเสียงคณะเลยว่างั้น  คนดูก็เชียร์กันเข้าไป ยิ่งเห็นคู่ผมที่ไอ้ตะวันลงสนามนี่หูแทบแตก ไม่มีใครคัดค้านเรื่องคนนอกเข้ามาในสนาม เพราะไอ้ตะวันมันหล่อมาก เมื่อมันเปลี่ยนเสื้อเสร็จผมก็ต้องกลืนน้ำลาย กล้ามแน่นๆนั้นต่างกับไอ้สิบโทโขอยู่ ไม่ได้เล่นเพื่อสวยแน่ นั่นมันกล้ามที่เกิดจากการฝึกใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่เอาเป็นเอาตาย น้องไลท์บอกว่าตะวันมันผึกเอาตัวรอดและต่อสู้มาแต่เด็ก
               “ไอ้ตะวัน มึงจะลงไปทำเชี่ยไรวะ หมดลุ้นเลยสัด” น้องไลท์ตะโกนด่า
               “ลุ้นไรวะไลท์” ผมถามน้อง รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว
               “พี่วี ไอ้ตะวันมันเป็นถึงทีมแชมป์กองทัพบก...”
               “ทีมแชมป์ของกองทัพบก??” เพิ่งเคยได้ยิน “หมายความว่าไงวะไลท์
               “เอ่อ....” น้องไลท์อึกอัก “เดี๋ยวพวกพี่ก็รู้เองแหละ”



               
**********************[ตะวันมาแล้ว]***********************



ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


*********************[มาวาดลวดลายกับตะวันกัน]*********************

               “ไอ้เชี่ยยยยยยยยยย”
               “เชดดดดด”
               “ทำได้ไงวะนั่น”
               รู้แล้ววววววว ผมรู้แล้ววววววว ทันทีที่ตะวันลงสนาม ไอ้สิบโทที่ว่าแน่แล้วกลับต้องยืนตาค้าง ตะวันเป็นเหมือนลูกกระสุนที่พุ่งผ่านคนทุกคนได้อย่างง่ายดาย ลูกที่ตะวันส่งไปไอ้วิวยังรับได้ไม่ค่อยถนัดเพราะเร็วเหลือเกิน การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวไม่มีใครตามตะวันทันเลยสักคน ไม่ว่าทางที่ตะวันจะส่งบอลอยู่ไกล หรือมีคนขวางแค่ไหน ตะวันมันก็ส่งผ่านไปได้เสมอ ลอดแขนคนที่กำลังวิ่งเอย เฉียดหู ลอดใต้ขา ผมงี้ได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ได้อยู่กับไอ้ธัน จบท้ายเกมด้วยการชู้ตหันหลังของตะวันในอีกฝั่งฟากของสนาม มันลงห่วงเป๊ะ
               คะแนนขาดลอยมาก ไอ้ธันมันเซ็งแบบไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ผมก็ได้แต่ปลอบใจพอเป็นพิธีเท่านั้น ไอ้ลิตเติ้ลนี่ท่าจะหนักหน่อย คอยจะหนีเดทไอ้วิวอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าไอ้วิวมันไปเคยทำอะไรกับน้องไว้
               สองทุ่มแล้ว หลังจบการแข่งขันก็มีประกาศผู้เข้ารอบตามปกติ จากนั้นก็ต่างแยกย้ายกันกลับ เหล่าคนที่มาดูการแข่งขันเกมนี้ต่างพูดคุยกันต่างๆนาๆ(ภายหลังก็มีคลิปออกมาด้วยเหมือนกัน ดังกันใหญ่) ส่วนใหญ่จะชมและชื่นชอบ  สาวๆก็ซุบซิบเรื่องคนหล่อๆตามประสาวัยรุ่น พวกผมที่เป็นผู้เข้าแข่งขันก็กลับไปรวมตัวที่สตูดิโอปีหนึ่งเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนและรุ่นน้องเข้ามาทักทายชื่นชมไม่ขาด เห็นบอกว่าสนุกมาก บางคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแมชสำหรับให้ปีห้าได้ส่งท้าย ก็จริงแบบที่ว่าจริงๆ
               “วี” ตะวันดักรอผมอยู่หน้าห้องน้ำ ผมเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินไปใต้ตึก ตะวันก็เดินมาด้วยกัน
               “ตกลงวีต้องไปเดทกับตะวันใช่มั๊ย” ผมถาม
               “ไม่เห็นต้องถามเลย”
               “แล้วของที่จะให้ มันคืออะไร”
               “บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ” ก็คนมันอยากรู้อ่ะ
               พอทุกคนมารวมตัวกัน ผมตั้งสังเกตว่า ไอ้ธันมันซึมมากถึงมากที่สุด นั่งมองน้องไลท์อยู่ไกลๆแบบเหม่อๆ เห็นแล้วน่าสงสารที่สุด แต่เรื่องนี้คงต้องให้น้องไลท์เคลียร์เอง ผมเข้าไปยุ่งมันจะไม่ดีนะ
               “พี่ธัน....” น้องไลท์เดินเข้าไปหาคนงอนตุ๊มป่อง ไอ้ธันก็มองเหมือนหมาหงอย ผมเกือบขำแหนะ
               “ไลท์จะไปกับมันจริงๆหรอ”
               “พี่ธันก็ไปกับไลท์ด้วยไง” หืม ควงสองหรอน้องไลท์ ไอ้ธันมองสองคนสลับกัน ท่าทางแปลกใจ
               “ผมคุยกับพี่สิบโทแล้ว เขาไม่ได้จะเดทกับไลท์ซักหน่อย แค่อยากแกล้งพี่นั่นแหละ ไปด้วยกันนะ”
               “นี่มึงแกล้งกูหรอ” ไอ้ธันงี้ลุกพรวด แต่พี่สิบโทไม่สะทกสะท้าน แถมยังข่มขวัญได้อยู่หมัด
               “อย่ามาขึ้นเสียง อย่าลืมว่ามึงแพ้กู” ตลกมากครับ ไอ้ธันฟึดฟัด จะตอบโต้ก็ไม่ได้ แพ้ยับเยินเลยเพื่อนกู
               “พี่ธันนน” น้องไลท์ประกบมือทั้งสองข้างของไอ้ธันแล้วยื่นหน้าเข้าไปไกล้ๆ “ตกลงนะ คนดี”
               คำว่า คนดี ของน้องไลท์นี่ขยี้ใจผมมาก กับไอ้ธันคงไม่ต้องพูด ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องน้องไลท์ไม่วางตา ไอ้สิบโทก็ดูจะไม่ว่าอะไร ผมคิดว่าระหว่างไอ้สิบโทกับน้องไลท์น่าจะมีการตกลงกันแล้วหรือไม่ก็..มันรู้ว่าน้องไลท์ชอบไอ้ธัน แต่ทำไมถึงตัดใจง่ายๆ ...ทว่าผมก็คิดขึ้นมาอีกทบว่า ที่มันมาหาน้องทุกวันน่าจะหมายความว่ามันอาจยังไม่ยอมแพ้ก็ได้
               ในคณะตอนนี้เหลือเพียงพวกผมกับปีหนึ่งไม่กี่คน น้องไลท์สรุปเรื่องให้อย่างชาญฉลาดว่า เราทั้งเจ็ดคนจะต้องไปทานข้าวที่เดียวกัน ไอเลิตเติ้ลรีบเห็นชอบความคิดนี้ทันทีต่างกับไอ้วิว ผมยังไงก็ได้ ขอแค่ตะวันไม่ลำบากใจอะไร ส่วนไอ้ธันก็ต้องตกลงตามระเบียบอย่างไม่มีทางเลือก
               เราแยกกันไปด้วยรถสามคัน คันของตะวันมีผมติดไปด้วย ไอ้สิบโทเอารถของตัวเองไปเพราะขากลับๆคนละทาง พ่วงไปด้วยแขกสองคนคือน้องไลท์กับไอ้ธัน(ซึ่งไม่เต็มใจอย่างยิ่ง) มีฉากน่าขำนิดหน่อยเมื่อไอ้ธันยืนยันจะนั่งหน้าคู่กับไอ้สิบโทเพื่อไม่ให้น้องไลท์ต้องนั่งคู่กับศัตรูหัวใจ ส่วนไอ้วิวนะหรอ มันอุตริขนเอาฮาร์เลย์เดวิดสันจากบ้านมันมาขับด้วยเหตุผลคือ ต่อไปนี้จะมีคนซ้อนรถมันได้คนเดียวเท่านั้น ไอ้ลิตเติ้ลฟังแล้วก็ทำหน้า ‘มึงถามกูสักคำมั๊ยว่าอยากซ้อนมึงหรือเปล่า’ ใส่


                         
--------------------------------------------------------------


               ผมแอบชื่นชมน้องไลท์อยู่เล็กๆที่เลือกร้านได้สวยมาก อาคารเป็นสไตล์ลอฟท์ที่รีโนเวทมาจากบ้านเก่าอีกที ทำให้มีกลิ่นอายของยุคเก่ากับความทันสมัย ไม้และเหล็กสีดำผสมกลมกลืนได้อย่างลงตัว ชั้นสองมีระเบียงกว้างรูปร่างประหลาด ออกแบบให้โค้งเว้าหลบหลีกต้นไม้เก่าที่ถูกริดแต่งจนดูดี เก้าอี้ไม้ต่อเองหลากหลายรูปทรงจัดวางดูไม่น่าเบื่อ ถ้าจะให้คะแนนบรรยากาศ ผมให้สิบดาวเลย
               พวกไอ้ธันจองโต๊ะด้านในที่มีแอร์(แต่ผนังกระจกบานใหญ่ทำให้เห็นด้านนอกระเบียงได้ทั้งหมด) พอทุกคนถึงโต๊ะก็แย่งกันสั่งอาหารชุลมุนชุลเก วุ่นวายไปหมด
               “เอาอันนี้แหละ” ไอ้ธันจิ้มไปที่อาหารที่แพงที่สุด มันคงอยากข่มไอ้สิบโท ทว่า...
               “น้องไลท์ชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ฝ่ายนี้มาเหนือมาก นายธันวาที่ไม่เคยต้องหวานกับใครมาก่อนถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
               ผมเห็นน้องไลท์มองหาสักพักก็เจอที่ตัวเองอยากกิน “เอาอันนี้”
               “พี่จัดให้ครับ” ไอ้สิบโทรับคำแล้วยีหัวน้อง เชี่ยยย หึงแทนไอ้ธันเลยสัด
               “ไม่ได้..” ห๊ะ? ไอ้ธันห้ามทำไมวะ น้องมันชอบนะเว้ย “กูสั่งแล้ว มึงห้ามสั่งตาม”
               สาดดดดด แบบนี้เรียกหัวหมอ อิ๊บ เผด็จการ ทำตัวเป็นเด็ก
               ไอ้ลิตเติ้ลก็ไม่วายร่วมวงทะเลาะไปกับเขาด้วย เมื่อไอ้วิวพยายามสั่งอาหารตามมันอยู่นั่น พอถามก็บอกว่าจะกินเหมือนที่ลิตเติ้ลกิน ให้ตาย
               ตะวันไปเข้าห้องน้ำนานมาก ผมสั่งอาหารไปสองอย่างก็เบื่อจะเถียงเลยเดินออกไปนอกห้องกระจก ยืนเท้าแขนชมวิวนอกระเบียง ทั่วทั้งร้านประดับด้วยไฟสีส้มและเหลืองเป็นจังหวะได้อย่างงดงาม ด้านนอกนี้มีลมพัดอ่อนๆด้วย ผมชอบสายลมมาก...
               “สวยเนอะ....” เสียงตะวันมายืนข้างหลังผม
               “อืม... ใช่” ผมสะดุ้งเล็กน้อย
               ตอนกำลังจะหันกลับไป ตะวันก็โอบผมไว้ ใช้สองมือของเขาวางบนมือผมทั้งสองข้าง สัมผัสได้ถึงหน้าอกที่แข็งแกร่งบนแผ่นหลัง ตะวันเอาแก้มมาแนบขมับด้วย ผมไม่เคยคิดถึงฉากแบบนี้มาก่อน แอบเกร็งเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกได้ว่ามันกำลังสูบฉีดเลือดมาที่หน้า
               “ทำอะไรน่ะ” ผมถาม
               “ดูแลคนพิเศษอยู่ไง” ตะวันเห็นรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมยิ้ม
               “มาหวานอะไรเอาตอนนี้”
               “เพราะผมกลัวว่าจะเสียคนสำคัญไปน่ะสิ”
               ผมหันไปมองหน้าเขา ผละตัวออกมา แต่เขายังคว้ามือไปจับต่อ ผมรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะเคืองหรือดีใจ กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนเกือบจะเสียไปหรอ อีกใจผมบอกว่า เพราะแบบนี้เขาถึงแสดงออกมาได้สักทีว่าแคร์ผมมากใช่มั๊ย ผมเริ่มเข้าใจว่าตะวันเป็นคนยังไง เขาเป็นคนที่มีอารมณ์จืดชืด อยากให้เขาหวานมันก็ต้องใส่เครื่องเทศ ต้องใส่ให้เขาก่อน
               “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วีเป็นคนสำคัญของตะวัน”
               “ตั้งแต่เห็นวียิ้ม”
               “หรอ” ผมแปลกใจ แบบนั้นมันก็ตั้งแต่ครั้งแรกไม่ใช่หรอ “แล้วทำไมไม่เห็นพูดอะไรสักคำ”
               “ก็...ตะวันเขิน ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนนี่นา” ตะวันกำลังเขินหน้าแดงน้อยๆ “อีกอย่าง...ตะวันไม่รู้ว่าวีคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า”
               อ๋อ...รู้แล้วล่ะ ตะวันมันดูคนไม่เป็นเลยนี่เอง นี่คนชอบกันขนาดนี้ยังแยกไม่ออก มิน่าถึงได้คุยกับคนอื่นตาหวานแบบนั้น มันไม่รู้ว่าตัวมันเองมีเสน่ห์แค่ไหนด้วย
               “แล้วตอนนี้รู้แล้วหรือไง”
               “ยัง” อ้าว??? “ตะวันยังไม่รู้ว่าวีจะตกลงมั๊ย” ?????
               แล้วตะวันก็ล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า กล่องผ้ายีนส์สีเทา ข้างในเป็นสร้อยข้อมือที่ทำด้วยหินทิเบตหายากลวดลายสวยงาม
               “นี่เป็นหินทิเบต ตะวันรวบรวมมาได้สามเม็ด เป็นหินสองตา มันหมายถึงความรักคงกระพันนะ”
               ผมรู้มานิดหน่อย พอจะทราบว่าหินทิเบตสีแดงคือพวกที่มีอายุไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี มูลค่ามหาศาล สามเม็ดตรงนี้ประเมินค่าไม่ได้เลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ เป็นหินก้อนใหม่รูปทรงรียาวที่ทำพิเศษต่างหาก มันสลักคำว่า ‘ดวงใจของตะวัน’
               ผมมองหน้าตะวัน รู้สึกอิ่มเอิบจนพูดไม่ถูก
               “ตะวันสะสมมาทั้งชีวิตเลยนะ ตั้งใจจะให้กับคนที่พิเศษจริงๆ”
               “จะให้วีจริงๆหรอ”
               “ถือเป็นของหมั้นแล้วกัน” ของหมั้น??...
               “หมายความว่ายังไง...”
               ตะวันยกมือเขาขึ้นมาลูบหน้าผม ไล่มาถึงคอ เขาจับไหล่แล้วเลื่อนมือลงไปกุมมือผมไว้แน่น ผมมองเข้าไปในดวงตาแสนสดใสนั่น และรู้ว่าเขาต้องการอะไร...
               นี่จะเป็นความรักที่ผมต้องการจะให้กับเขา เราสองคนจูบกัน เป็นจูบที่แผ่วเบาและให้ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ขยายเข้าไปในตัวจนสุดปลายนิ้ว ผมยอมรับในวินาทีนี้เลยว่านี่เป็นสิ่งที่โหยหา...บางสิ่งที่เคยคิดว่ามันขาดไป ตอนนี้ถูกเติมเต็มแล้ว ช่วงเวลาที่เหมือนอยู่ในความฝันล่องลอยยาวนานไม่จบสิ้น นี่เป็นจูบแรกของผม
               เรามองตากันอีกครั้ง ตะวันใช้สองมือประคองหน้าผมไว้แล้วพูด...
               “เป็นแฟนกับตะวันนะ
               ผมดีใจมาก มากจนถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาแห่งความปีติยินดี ผมดึงตะวันเข้ามาจูบอีกครั้ง เป็นจูบสั้นๆแห่งความขอบคุณ ขอบคุณที่เห็นค่าในตัวคนธรรมดา
               ”อย่าทิ้งกันละ” ผมร้องขอ
               “สัญญาเลย” ตะวันยิ้มรับแล้วกอดผมไว้ในอ้อมอก ผมกอดตอบด้วยความเต็มใจ พยายามส่งผ่านความยินดีให้ตะวันสัมผัส ให้เขารู้ว่าผมเองก็รักเขาเช่นกัน
               “ฮิ้วววววววววววววววววววววววว
               ผมกับตะวันตกใจกับเสียงควายเผือกตรงประตูระเบียง เราผละจากกันแบบเขินๆ ตัวผมเองถ้าแปลงกายได้คงจะเป็นกิ้งกือไปแล้ว ตะวันยังอุตส่าห์ยิ้มกว้างมองผมไม่หยุด เหมือนกับยินดีที่มีสักขีพยานเป็นควายเผือกห้าตัว สุดท้ายผมจึงเดินฉับๆเข้าไปในร้านด้วยความเสียดายบรรยากาศอย่างที่สุด
               “ไม่แดกข้าวกันหรือไง” ผมควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้ ตะโกนโวยวายด้วยรอยยิ้ม


               จะว่าไป... ความพ่ายแพ้ก็นำพาสิ่งที่ดีมาให้เราได้เหมือนกันนะ



********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : เรือเพื่อนแซงแล้วน้าาา  ธันวา รีบพาภาณุจ้ำตามเร็ว
#สิบโท สิบโท สิบโทผู้แสนดี คนที่มีความลับมากที่สุดในเรื่องนี้(ติดตามเขาต่อไป เพราะเรื่องนี้เขียนจบแล้วนะฮ้าบบ)
^  v ^


:impress2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คู่อื่นๆ แซงหน้าธัน ไลท์ ไปแล้ว

ตะวัน วี  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
น่ารักสุดๆ ตะวันที่เก็บอาการ ก้าวหน้ามีหินธิเบตเป็นของหมั้นวีซะด้วย

วิว ลิตเติ้ล  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
วิว แสดงออกนอกหน้าตัวติดลิตเติ้ล ไม่เก็บอาการ
ให้รู้ซะบ้างว่าคนนี้มีเจ้าของ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
               
15

วันสบายๆของเหล่าสามนรก
Part 1 : ธันวา




               "วันนี้ไลท์ไม่มาอยู่ด้วยหรอ” ไอ้วีถาม มันเพิ่งหอบของมาทำงานที่สตูได้ พอมีแฟน งานการก็สำคัญน้อยลงไปทันที

               หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...
               “น้องไลท์ล่ะไอ้ธัน” เสียงนี้ไอ้โจ้ แม่งกว่าจะมาทำงานได้ สนใจแต่งานตัวเองจริงๆ

               อีกครึ่งชั่วโมงผ่านไป......
               “มึงเอาน้องไลท์กูไปไหนเนี่ย”  นี่ไอ้หยก ตี๋น้อยลูกเจ้าของร้านยาจีน หัวสมองของกลุ่มงานสหวิทยาการที่ผมนั่งทำอยู่นานมากแล้ว

               อีกครึ่งชั่วโมงผ่านไป.........
               “ธัน น้องไลท์ไปไหนล่ะ ออมอยากคุยด้วย คิดถึง” นี่คุณหญิงออม มาพร้อมถุงขนมเต็มไม้เต็มมือ

               อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา.................
               “ไอ้ธัน เมียมึงกับเมียกูอยู่ไหน” ไอ้เชี่ยวิว แม่งว่าง ไม่มีเรียน แล้วเบอร์เมียมันก็มีมันก็ไม่รู้จักโทรหา สัด
               “เมียตัวเองก็ตามหาเองสิวะ” ไอ้โง่เอ๊ย

               “ไอ้เชี่ยยยยยยยยยย” ผมทนไม่ไหวแล้วโว้ย
               วันหยุดหลายวันทั้งที ทำไมผมต้องมานั่งทำงานงกๆ แทนที่จะได้อยู่กับไลท์
               “น้องไลท์เขากลับบ้าน ตะวันบอกมา” ไอ้วีบอก
               “กลับบ้าน???” ผมตื่นเต้น ความรู้สึกแรกคือคิดจะตามไปหา แต่พอบอกว่าเป็นบ้านไลท์ก็ยังหวาดๆพิกล ไม่รู้สิ บ้านไลท์อยู่ในค่ายทหารป่ะ “กูควรจะไปเยี่ยมบ้านไลท์มั๊ย มึงว่าไง”
               “ก็ดีนะ ได้ไปเจอพ่อเขาด้วย”
               “แต่กูกลัวว่ะ”
               “กลัวเชี่ยไร”
               “ก็พ่อเขาเป็นถึงนายพลฯ ห่า ลูกชายคนเดียวด้วย กูกลัวโดนเป่าขมอง”
               “สัด บ้านเมืองมีขื่อแป จะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง” ไอ้วีส่ายหัวอย่างระอา “อย่าเพิ่งคิดมาก เอ้า เอางานไปพล็อต” (พล็อตงานคือการปริ๊นงานออกมาในรูปกระดาษขนาดเอหนึ่งเพื่อเอาไปนำเสนออาจารย์ งานหนึ่งๆต้องพล็อตประมาณไม่ต่ำกว่ายี่สิบแผ่น แล้วแต่ขนาดของงานนั้นๆ)
               ผมรับแฟรชไดรฟ์มา รอพล็อตงานทีหนึ่งสองสามชั่วโมงโน่น ยิ่งถ้ามีคิวจะต้องเสียเวลามากกว่านั้นแน่นอน  ระหว่างรอจะทำอะไรล่ะ...
               “มึงไปกับกู” ผมบอกไอ้วี
               “เฮ้ย!! ไปคนเดียวก็ได้มั้ง”
               “ไม่ได้ กูเหงา”
               “เชี่ยธัน”


------------------------------------------------------------------------------


               สุดท้ายมันก็ต้องไปกับผมจนได้แหละ ผมขับรถมินิคันโปรดไปโดยมีมันนั่งฟึดฟัดอยู่ข้างๆ เราฝากงานไว้ที่ร้านล้างรูปร้านประจำ พอเห็นคิวรับงานเท่านั้นก็ถึงกับลมจับ
               “สี่ชั่วโมง พ่องตาย” ไอ้วีไม่ห้ามผมที่สบถแบบนี้ มันคงเซ็งเหมือนกัน
               แต่โชคดีที่ร้านนี้อยู่ใกล้กับห้างดังมาก เราสองคนจึงไปอยู่ที่ร้านกาแฟแอร์เย็นฉ่ำในอีกสิบห้านาทีต่อมา พอนั่งได้ไม่นาน ไอ้วีก็เริ่มแชทหาแฟนมัน นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์อยู่นั่น เห็นแล้วคิดถึงไลท์

               เมื่อคิดถึงจึงได้เจอ นั่น....น้องไลท์

               ผมขยี้ตาอีกครั้ง ไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ แว่นกับหน้าขาวๆแบบนั้น ไหนบอกว่าอยู่บ้านไง แต่นี่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนมา ไอ้วีหันมาเห็นผมทำหน้าเหมือนเห็นผี มองตามสายตาไปหาเป้าหมายเช่นกัน
               “อ้าวเฮ้ย!!? นั่นน้องไลท์นี่หว่า ไหนบอกว่าอยู่บ้าน” แต่แทนที่ไอ้วีมันจะเดือดร้อนกับผม มันกลับจ้องโทรศัพท์ตาเขม็ง “...ทำไมต้องหลอกกันด้วยนะ”
               แล้วนั่นไม่ได้มาคนเดียวด้วย ผมจำไอ้หน้าอ่อนนั่นได้ มันคือเด็กนิเทศที่เคยเข้ามาจีบไลท์ และตอนนี้กำลังคุยกระหนุงกระหนึ่งเริงร่าไม่อายฟ้าอายดิน(เวอร์ไป)
               “ไอ้วี....” มันได้ยินผมเรียก เงยหน้าขึ้นมาหา
               “หืม อะไร?”
               “ตาม” ผมพูดเสียงหนักแน่น ไอ้วีไม่ได้ท้วงอะไร น่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้
               วันหยุด คนเยอะเป็นธรรมดา ผมหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมเพื่ออำพรางความโดดเด่นของตัวเอง  แล้วเบียดฝ่าฝูงชนไปตามทางเดิน ตาก็คอยจ้องไลท์ที่อยู่ระเบียงฝั่งตรงข้าม ทิ้งระยะห่างเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ตามไปสักพักก็เห็นไอ้เด็กนิเทศกอดคอไลท์แล้วลากเข้าร้านขายกล้องไป ผมรู้สึกเหมือนตาลุกเป็นไฟ ความโกรธพุ่งถึงขีดสุด กำลังจะเดินเข้าไปหา แต่ไอ้วีกลับล็อกคอผมแล้วลากถูลู่กังออกมาซะก่อน
               “เชี่ยไรวี”
               “มึงใจเย็นก่อนไอ้ธัน อย่าเพิ่งมโน”
               “แต่แม่งกอดคอไลท์ สัด กูขึ้น....” ผมรู้สึกอยากจะต่อยอะไรสักอย่างมาก ไอ้วีมองหน้าผมแล้วตั้งการ์ดทันที
               “ถ้ามึงต่อยกู กูสู้นะเว้ย” มันจริงจัง กลัวโดนต่อยจริงๆรึไง “มึงค่อยๆดูไปก่อน เขาอาจจะแค่มาเที่ยวตามประสาเพื่อนก็ได้”
               “เพื่อนเหี้ยอะไรกอดคอกันแบบนั้น กูไม่เชื่อ”
               “มึงก็เคยกอดคอกูป่ะ แม่ง” ไอ้วีมองเห็นน้องไลท์กำลังก้มหน้าดูกล้องที่เจ้าของร้านกำลังแนะนำให้ โดยมีไอ้เด็กเวร(ฉายาจากธันวา)โอบไหล่ไม่ห่างกาย “เออว่ะ แม่งจะโอบอะไรขนาดนั้นวะ”
               “เรื่องนี้ต้องเคลียร์”
               “แล้วมึงจะทำไงต่อ”
               “มาซื้อกล้องทำไม??” ผมสงสัยกับตัวเอง ไม่ได้ถามไอ้วี ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอยากได้กล้อง ผมคิดได้เลย ไอ้เด็กเวรนั่นอยู่นิเทศ มันต้องหลอกไลท์มาเที่ยวกับมันแน่ๆ
               ผมเฝ้ามองอยู่นานเกือบชั่วโมง ใจหนึ่งอยากเข้าไปหา แต่อีกใจอยากจะรู้ว่าไลท์คิดอะไรกับไอ้เด็กเวรนั่นหรือเปล่า ในที่สุดสองคนนั่นก็ออกจากร้านพร้อมกับหอบถุงใบเบอร์เร่อออกไปด้วย ไลท์ซื้อกล้องได้แล้ว
               ไลท์คงไม่รู้จริงๆว่าผมเดินตามหลังเขาไม่ถึงสิบเมตร ท่าทางไม่สนใจอะไรรอบข้างเลย เอาแต่หัวเราะกับไอ้เด็กเวรนั่น ห่านั่นก็เอาแต่จะคอยกอดคอ ไลท์ก็ไม่ปัดป้องสักนิด โว้ย!!! หงุดหงิดๆๆๆๆๆ
               “เฮ้ย งั้นเดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อนนะ มีอะไรคืบหน้าก็...โทรบอกกูด้วย”
               “เชี่ยวี--”  วิ่งปรู๊ดไปแล้ว มันไม่รู้รึไงว่าเรื่องนี้สำคัญกับผมขนาดไหน ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนสักนิด ไอ้เพื่อเฮงซวย แล้วนั่น...อ้าว!!? ไลท์ไปไหนแล้ววะ
               ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมตามอยู่แบบนี้นานมากจนใกล้ค่ำ จากร้านกล้องสู่ร้านก๋วยเตี๋ยว ต่อด้วยร้านการ์ตูนและร้านหนังสือ เห็นสองคนนั่นเข้าร้านเครื่องเขียนด้วย สักพักไปลงท้ายที่ร้านขายรองเท้า น้องไลท์ต้องเลือกรองเท้าให้ไอ้เด็กเวรครับ ระหว่างที่ไอ้เวรนั่นต่อราคา น้องไลท์ก็ลองกล้องใหม่ด้วยความตื่นเต้น ถ่ายนู่นถ่ายนี้ไปเรื่อย โดยมากจะถ่ายคน(แอบถ่าย) ไม่ก็ถ่ายไอ้เด็กเวรที่ยิ้มร่าให้ รู้สึกน้อยใจโคตรๆ
               เห็นว่าไม่ได้แวะไปไหนแล้ว ตัดสินใจจะเข้าไปหาหลังจากน้องไลท์เข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นก็มีเบอร์โทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนสำคัญสำหรับแม่ผมเสียด้วย และสักวันมันจะเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับชีวิตของไลท์กับผม ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจ ผมคลาดสายตาจากไลท์ไปพักหนึ่งแต่สุดท้ายก็หาเจอ จึงวิ่งตามหัวไวๆของเขาที่กลืนไปกับฝูงชน ตามแผ่นหลังลงบันไดไปถึงชั้นล่าง ผมไม่เห็นไอ้เด็กเวรนั่นแล้ว ไม่รู้แยกกันไปตอนไหน นึกว่ามาด้วยกันซะอีก แต่ก็ดี ตอนนี้ก็เป็นโอกาสให้ผมได้เข้าไปถามน้องให้รู้เรื่อง
               ผมเห็นน้องแล้ว กำลังเดินออกจากห้าง ผมรีบแหวกคนตามออกไป พอพ้นประตูก็กวาดตามองหาตามจุดรอแท๊กซี่ ท่ารถเมล์ จุดจอดรถตู้ ผมเดินวนรอบซุ้มแสดงไฟรูปตัวการ์ตูนใหญ่ยักษ์อยู่สองรอบจนแน่ใจว่าไม่เจอ สุดท้ายจึงได้แต่ยืนเกาหัวอยู่ตรงกลางซุ้มไฟ โมโหในความไร้สามารถของตัวเอง เพราะมัวแต่ลังเลไม่ยอมเข้าไปหา มัวแต่กลัวว่าไลท์จะไม่ซื่อสัตย์ พูดกันง่ายๆคือผมไม่เชื่อใจคนที่ตัวเองรัก อยากจะร้องไห้เสียให้ได้

               แช๊ะ!!

               เสียงชัตเตอร์ดังแหวกอากาศมาถึงหู พอหันไปก็ได้ยินอีกแช๊ะ ผู้ที่ถ่ายค่อยๆลดกล้องลง เมื่อเห็นหน้า ผมก็ยิ้มออกมาทันที
               “ไลท์”
               “ในที่สุด พระเอกเอ็มวีก็แสดงตัวจนได้”
               ผมไม่พูดอะไรแล้ว วิ่งเข้าไปกอดไลท์แน่น กอดอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่คิดจะปล่อยด้วย
               “พี่ธัน....เป็นอะไรเนี่ย” ไลท์ดูตกใจ
               “คิดถึง” ผมรู้สึกดีที่น้องไม่พยายามดันตัวออก เมื่อเป็นเช่นนั้นก็กอดต่อไปเนี่ยแหละ
               แล้วเสียงปรบมือเป่าปากก็ดังระงม เงยหน้ามองเท่านั้นแหละ ถึงกับฉุน ไอ้เด็กนิเทศกับ...ไอ้วี
               “เชี่ยไรเนี่ย” มันยังขำกันอยู่
               “กูขำคนโง่ว่ะ แม่ง” ไอ้วีมันยังขำต่อไป
               “อะไรโง่?”
               “มึงไม่สงสัยหรอว่าทำไมกูไม่เป็นเดือดเป็นร้อน” สงสัยสิวะ เอ๊ะ??...รึว่ารู้กันอยู่แล้ว
               ผมหันไปหาไลท์ในอ้อมแขนทันที “ไลท์ คืออะไร”
               แล้วไลท์ก็ขำ “ไลท์มาซื้อกล้อง ให้ไอ้เบสมันมาช่วยเลือก ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าพี่ธันอยู่นี่ แต่...” น้องไลท์ขำต่อ
               “อะไร เล่ามา”
               “...นี่พี่ธันคิดจริงๆหรอว่าไอ้การใส่แว่นตาดำในห้างมันจะทำให้ความเด่นน้อยลง ไลท์มองแวบเดียวก็จำได้แล้ว”
               “แล้วทำไมไม่มาหาพี่ล่ะ”
               “ก็พี่ธันทำท่าไม่เชื่อใจไลท์ ไลท์ก็ต้องแก้เผ็ดสักหน่อย”
               ความผิดผมเอง ผมยอมรับ “พี่ขอโทษก็ได้...ก็คนมันหึงนี่นา”
               “ดีนะวันนี้ไลท์อารมณ์ดี ไม่งั้น...” ไลท์ทำมือเป็นรูปปืนจะยิงหัวผม น่ากลัวตายละ ผมขยี้หัวเล่นซะเลย หมั่นไส้
               “แสบนักนะเราน่ะ” ผมหันไปหาผู้สมรู้ร่วมคิด “ส่วนมึง ไอ้เบส ใครใช้ให้กอดคอไลท์”
               “ใครใช้ล่ะพี่ ผมไง ทำไมหรอ”
               “ต่อไปนี้ ห้าม”
               “อ้าวไอ้ธัน อย่าพาล เรื่องนี้มึงผิด ไอ้สัด”
               “มึงด้วยไอ้วี รู้แล้วไม่บอกกู”
               “บอกก็ไม่หนุกดิวะ”

               แช๊ะ!!! อีกแล้ว

               “แล้วทำไมมาซื้อกล้องไม่บอกพี่ ให้พี่มาช่วยเลือกก็ได้”
               “โว๊ะ ถ่ายรูปยังห่วยเลย ให้คนที่เค้าเรียนสายตรงมาช่วยดูก็ดีอยู่แล้ว” ไลท์เคาะหัวผมเบาๆ น่ารักมาก “อีกอย่าง เห็นพี่ธันต้องทำงานกลุ่มกับเพื่อน ไม่อยากให้เสียการเสียงาน”
               “ชอบถ่ายรูปหรอ” ผมถามไลท์
               “อืม นี่ไง”
               ไลท์ยื่นกล้องให้ผมดูรูป เป็นหน้าผม น้องละลายฉากหลังที่เป็นแสงไฟ ลดแสงสีแดงลงหน่อย จัดองค์ประกอบภาพได้โคตรเท่ เห็นแล้วนึกว่าถ่ายพอร์เทรตโฆษณาเอ็มวี ไลท์มีความสามารถในด้านนี้ มีอีกหลายรูป ล้วนเป็นมุมที่สามารถเอาขึ้นนิตยสารได้สบายๆ(ไม่ได้จะชมว่าตัวเองหล่อหรอกนะ)
               ผมได้แต่มองหน้าไลท์แล้วยิ้ม “หล่อจัง”
               “ไม่ชมไลท์หน่อยหรอ” ไม่ชมหรอก แต่ก็กดดูทุกรูปด้วยความอิ่มเอมใจ
               “ส่งให้ด้วยนะ จะเอาไปโชว์เพื่อน”
               “เออ แม่งเจ๋งว่ะ ไม่ไปเรียนโฟโต้วะ” ไอ้วีก็ดอดมาดูด้วย ผมรีบหันกล้องหนี “แหม ไอ้เชี่ยธัน ไม่ได้เลยดิ”
               เห็นว่าสมควรแก่เวลาจะกลับ หรือว่าจะไปกินข้าวกันก่อนดีนะ พาไลท์ไปกินข้าว จะได้ไปรับแบบที่พล็อตไว้...........

               “เชี่ยวี!!!!!!!!

               “อะไรมึง” ความตกใจของผมฉายชัดบนหน้ามันมากๆ
               “งาน....ห่าเอ้ย ร้านปิดไปยังวะ”
               “โอ๊ยไอ้เหี้ย พึ่งจะมานึกถึงรึไงไอ้สัด กูไปเอามาให้แล้ว”
               “..........”

               “อ๋อหรอ กูขอโทษ”

               พอดี ห่วงคนรักน่ะครับ

               [เรื่องวุ่นวายของราชานรกน้ำแข็งก็จบลงเท่านี้ อ้อ...ไลท์ไม่ได้กลับคณะนะครับ รวีติดรถของเบสกลับไป ส่วนธันวาก็มุ่งตรงไปส่งไลท์ที่บ้าน เรื่องส่วนนี้น่าสนใจมาก ไว้จะมาเล่าให้ฟังทีหลัง]


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : ใสๆสบายๆกันก่อนนะ ชีวิตเด็กถาปัตย์ไม่ได้มีแต่งานอย่างเดียวหรอก....และธันวาเป็นพวกหึงแล้วฉุนเฉียวฟุ้งซ่าน เบสโชคดีแล้วที่มีน้องไลท์เป็นเพื่อนนะ ...แต่ แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดอะไรกับไลท์
*ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งไว้ มีสามภาคให้อ่านกันยาวๆ ดีไม่ดีเชิญแหกอกคนเขียนได้ตามสบาย กดตอบลงความเห็นกันได้ ไม่ว่ากัน*
 



ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

16
วันสบายๆของเหล่าสามนรก

Part 2 : วิว



               "ทำไมปีสุดท้ายมันยากอย่างนี้วะ”
               “ยากเพราะตัวมึงเองแหละไอ้เชี่ยวิว”
               “อย่างมึงก็พูดได้ดิวะไอ้เชษฐ์ แม่งแก่งทุกเรื่อง”
               “เก่งส้นตีนไร กูแค่ตั้งใจ” มันวางเล่มรายงานที่ทำเสร็จแล้วตรงหน้าผม “ถ้ามึงไม่ได้เรียนให้มันผ่านๆไป มึงก็ไม่ต้องกลับมาทบทวนส่วนที่มึงเรียนไปแล้ว เพราะมึงเข้าใจแล้ว แบบนี้เขาเรียกพื้นฐานไม่แน่น ยิ่งสูงยิ่งหนาว”
               “พอ...พอเลย ไม่ต้องมาเทศนา”
               “พอพูดความจริงมึงก็รับไม่ได้ แบบนี้ใครจะบังคับมึงได้ไอ้วิว” อืม บังคับหรอ ไม่มีวันซะล่ะ
               “ไอ้เชี่ยวิวววว” มีคนตบหลังผมดังตั๊บ
               “ไอ้บาส มึงมาดีๆได้มั๊ยเนี่ย” เล่นซะจุกจนจะเงื้อศอกอยู่แล้ว
               “หงุดหงิดไรว้า วันนี้เขาจะไปกินข้าวกันนะเว้ย อาหารป่าเว้ย อาหารป่า”
               “ป่าไหน???” ความหมายผมคือ ร้านอยู่ตรงไหน เพราะมันมีร้านอาหารป่าที่ขึ้นชื่ออยู่นอกถนนใหญ่ และตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมยังไม่ได้ไปจัดเลย ทว่าเพื่อนผม...
               “ป่าเดียวกับมึงมั้งสาดดดด” ไอ้บาสเริ่ม
               “กูรู้และทำไมมันอารมณ์เสีย” ไอ้เชษฐ์ช่วยตบมุก “เมียไม่ให้เข้าบ้านแน่ๆ”
               “เมียเชี่ยไรมึง” มันไม่ใช่อย่างนั้น ที่จริงแล้ว…แม้แต่แฟน ลิตเติ้ลมันยังไม่ยอมให้กูเป็นเลยง่ะ” อยากจะร้องไห้
               “สมน้ำหน้า อยากทำตัวเสเพลดีนัก คนแบบมึงก็ต้องเจอโลงศพก่อน มันถึงจะหลั่งน้ำตา”
               “ตกลงจะไปมั๊ย น้องมันต้องพรีเซนต์ไม่ใช่หรอ รึมึงจะพาไปด้วยก็ได้”
               อันที่จริงลิตเติ้ลยื่นคำขาดว่าเขากำลังพรีเซนต์ตั้งแต่บ่ายแล้วไม่อยากให้ผมเข้าไปกวน กว่าจะเสร็จไม่รู้จะกี่ทุ่ม คนอะไรหาว่าผมกวน ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆก็แค่นั้น ขอเล่นแก้มสักหน่อยก็ไม่ได้

               “เออ กูไป”


     
------------------------------------------------------------------


               ผมมาอยู่ที่ร้านอาหารป่าเลื่องชื่อในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พอนั่งประจำที่เสร็จก็จัดการสั่งอาหารแทบทุกชนิดที่มีในรายการเมนูทันที ระหว่างรอเพื่อนคนอื่นที่จะมาสมทบก็คุยกันพลางเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ผมไม่อยากบอกลิตเติ้ลว่ามากินข้าวกับเพื่อนห่ามๆพวกนี้ แต่กลัวจะงอนอีก...โคตรอยากทัก ถ้าทักแล้วโกหกนิดหน่อยจะได้มั๊ยนะ...
               ตัดสินใจว่าไม่ทักไป หากตอนนี้เขายืนพรีเซนต์อยู่ ผมได้หัวฟูแน่ ในที่สุดก็หันมาสนใจเบียร์ที่เพื่อนมันสั่งมากินกับข้าว ให้ตาย รู้งานชะมัด เมื่ออาหารมา เรานั่งกินไปได้สักระยะ ตอนนั้นเพื่อนคนสุดท้ายมาถึง ลงจากรถหรู แถมยังลากสาวสวยพริ้งมาด้วย ดูไม่ใช่สาวจัดจ้าน ผมดัดลอนรวบพาดร่องคอไว้ข้างเดียว เผยเนินไหปลาร้าเนียนขาว ไม่ผอมเกินไป ใส่ชุดพอดีตัวและแต่งหน้าไม่จัด
               นี่มันแรร์ไอเทมนี่หว่า
               “ใครวะน่ะ”
               “ทำไม มึงสนใจหรอ” ไอ้เชษฐ์พูด แม่งจะปฏิเสธมันยังไงดีวะ
               และแม่หญิงคนนั้นกำลังมองมาทางผมแล้วยิ้มให้น้อยๆ
               อื้อหืออออออ นี่กะว่าจะไม่คิดอะไรแล้วนะ
               ...ผมสบตาไม่นานหรอก สัญญากับลิตเติ้ลไว้แล้ว...
               แต่จู่ๆน้องสาวเจ้าก็มานั่งเบียดผมซะงั้น เบียร์ในปากนี่แทบพุ่ง ไอ้บาสหัวเราะ
               “มึงเป็นเชี่ยไรไอ้วิว”
               “เอ่อ...” ผมไม่สนใจมัน “ไม่ทราบว่า คุณชื่ออะไรครับ”
               “ชื่อขวัญค่ะ” ชื่อก็สมกับตัวดีนะ แต่....
               “ขอโทษนะครับ” ผมทำท่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำ
               “เดี๋ยวสิคะ ขวัญอยากคุยกับวิวนะ” เฮ้ย!! รู้ชื่อผมได้ไง
               “แต่...ผมมีแฟนแล้วครับ”
               “อะไรวะไอ้วิว อะไรทำให้มึงพูดคำนั้นออกมาวะ” นี่ไอ้ดุลย์ครับ คนที่ลากแม่สาวนี่มาเนี่ยแหละ น่าจะเป็นแฟนกันนะ
               “มึงไม่รู้อะไรไอ้ดุลย์ ไอ้วิวมันเจอคนที่ใช่แล้วเว้ย” ไอ้บาสเสือก
               “เป็นไปได้หรอวะ เชี่ย สงสัยจะเกิดภัยพิบัติในเร็ววัน” แม่งเข้าใจและ ผมไม่น่าทำตัวเสเพลเลย เครดิตไม่มีสักแต้ม มิน่างานนี้ถึงได้ยากนัก
               “ถึงมีแฟนแล้วก็เถอะ ขวัญอยากคุยด้วยนี่ ไม่ได้เจอคิ้วท์บอยตัวเป็นๆบ่อยนี่คะ” เธอทำสีหน้าน้อยใจ ไอ้ผมมันก็ผู้ชายที่ไม่อยากเห็นใครเสียน้ำใจ “เนี่ย...อุตส่าห์ให้ดุลย์พามาหา มาถ่ายรูปกันเถอะ”
               แล้วสาวเจ้าก็เซลฟี่ผมกับเธอเป็นที่เรียบร้อย เธอบอกจะเอาไปโชว์เพื่อน โต๊ะอาหารนี้นั่งกินกันชั่วโมงกว่า ผมแตะเบียร์ไปสองแก้วเท่านั้น(ลิตเติ้ลบอกให้กินน้อยๆลงหน่อย) ปรากฏว่าน้องขวัญอัธยาศัยดี คุยเก่ง แม้จะมีกิริยาอาการเหมือนคนเจ้าชู้แต่เธอก็ยังรักกับเพื่อนผมดี มันเข้าใจผู้หญิงของมันจริงๆครับ เห็นแล้วหน้าลิตเติ้ลงี้ลอยมาเลย เมื่อไหร่เขาจะใจอ่อน
               ทุกคนร้องจ๊ากเมื่อบิลมา เล่นซะเกือบกระเป๋าแห้ง อาหารอร่อยครับ แต่แพงระยับ บ่นกันปอดแปดไม่นานก็แยกย้าย ผมกลับไปนั่งรอลิตเติ้ลพลางทำรายงานตัวเองไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็ส่งข้อความหาลิตเติ้ลว่าเสร็จแล้วให้โทรบอก ผมห้ามไม่ให้เขาขับรถมาคณะ เพราะต้องให้ผมไปรับไปส่งทุกวัน ลิตเติ้ลยอมรับในข้อนี้
               ผมเห็นข้อความถูกอ่าน ยิ้มรับแล้วก้มหน้าทำรายงาน ยังไม่ทันจะเริ่มพิมพ์ต่อก็มีเมสเสสเข้า ลิตเติ้ลนั่นแหละ เขาส่งรูปภาพมาให้ เป็นรูป..................รูป-ผม-กับ-น้อง-ขวัญ

               Shit! Shit! Shit! Shit!!!!….

               เวรแล้วไง ไปได้มาจากไหนวะ ผมกำลังจะพิมพ์ข้อความอธิบาย ลิตเติ้ลออฟไลน์เสียแล้ว
               เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย
               ปิดคอมอย่างไว รวบกระดาษทั้งหลายแหล่ยัดใส่กระเป๋าแล้วกระโดดลุกขึ้น วิ่งไปที่หน้าตึกเรียนรวมที่ลิตเติ้ลบรรยายอยู่ กำลังจะขึ้นไป แต่ดูเหมือนจะเลิกคลาสแล้ว เพื่อนลิตเติ้ลทยอยลงมาจากตึก ผมไล่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอที่รักของผม เพื่อนๆก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน แย่แน่แล้วจริงๆ ผมอยากจะบ้า
               เขาจะกลับบ้านได้ยังไง รถก็ไม่มี หรือว่าจะติดรถเพื่อนกลับ ผมรีบวิ่งไปที่ลานจอดรถ มองหาจนคอจะหมุนได้รอบทิศก็หาไม่เจอ รึว่าจะอยู่ที่สตูดิโอ ผมเลยวิ่งหาตั้งแต่ประตูแรกยันประตูสุดท้ายก็ยังไม่เห็น หาจนทั่วคณะถาปัตย์แล้ว เป็นไปได้มั๊ยว่าเขาจะไปหาผมที่คณะวิศวะ ไม่รู้แหละ หนึ่งเปอร์เซ็นต์ผมก็เอาแหละงานนี้
               ปรากฏว่าผมวิ่งหาทั่วทุกโรงอาหาร ลานหอประชุม ศาลากลางน้ำ ตึกเรียนรวม หอประชุม สนามบอล โรงยิม ถนน ร้านอาหาร ร้านกาแฟ วิ่งหาจนเหนื่อยก็ยังไม่เจอ เขาจะไปอยู่ที่ไหนได้วะ
               ผมท้อใจมาก ทรุดตัวลงนั่งกลางสนามบาสที่เคยแอบจูจุ๊บลิตเติ้ลเมื่อคราวแข่งบาส ไม่รู้ว่ะ ถ้าตอนนี้ผมร้องไห้จะมีใครเห็นใจบ้างหรือเปล่า ผมก้มหน้างุดไม่อยากยอมรับความจริง ลิตเติ้ลไม่ชอบคนเจ้าชู้ เรื่องนี้ผมรู้ดีที่สุด แต่รูปนั้นมันก็ไม่มีอะไรสักหน่อย เป็นเพราะผมพลาดหลายครั้งหรอ เป็นเพราะอดีตของผมหรอ เขาควรจะให้โอกาสผมไม่ใช่หรอ ถึงเขาจะโกรธผมแค่ไหนก็น่าจะให้ผมได้อธิบายบ้างสิ เล่นหายไปอย่างนี้ผมจะตายให้ได้ แล้วผมจะทำยังไงล่ะทีนี้ ผมไม่อยากยอมแพ้ แต่ผมหาเขาไม่เจอจริงๆ

               “ลิตเติ้ลลลลล กูขอโทษษษษษษษ

               ผมตะโกนออกไปด้วยความจนปัญญาจริงๆ รู้สึกหมดแรงจึงหงายหลังนอนแผ่ไปกับพื้นสนาม ไม่สนใจแม้เศษหินที่ทิ่มหลังอยู่ จ้องมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดำมืด มันมืดจนไร้ทางออก ไร้หนทางที่ไปต่อ เหมือนใจผมตอนนี้นั่นแหละ ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆเพื่อปิดกั้นความจริงอีกครั้ง ผมเชื่อว่าตัวเองต้องหาเขาพบ เราต้องปรับความเข้าใจกัน ผมไม่อยากเสียคนๆนี้ไป
               จู่ๆก็มีสิ่งของก้อนกลมๆตกลงบนหน้าท้อง แรงจนจุกตัวงอ ผมลุกขึ้นมองหาว่าใครอยู่แถวนี้ บังอาจมาลอบโจมตีคนแบบผมได้  และมันอยู่นั่น หลบอยู่ในเงามืดบนที่นั่งคนดู ผมจะเดินไปหยิบลูกบาสเขวี้ยงกลับไปอยู่แล้ว ถ้าไม่บังเอิญว่าจำท่าทางการนั่งเท้าศอกที่เป็นเอกลักษณ์ได้เสียก่อน คราวนี้ใจผมเต้นโครมคราม

              ลิตเติ้ล...

               ผมกำลังจะวิ่งไปหา แต่...
               “หยุดตรงนั้นแหละ” เอ้ย!!! เสียงดูขุ่นๆ ผมงี้รีบเบรก
               “ฟังกูก่อนได้ป่ะ”
               “ฟังอะไรวะ...?”
               “เรื่องรูปไง”
               “รูป??....อ๋อ ที่มึงถ่ายกับขวัญอ่ะนะ”  ...เดี๋ยวก่อน? ลิตเติ้ลรู้ชื่อขวัญได้ไงวะ
               ลิตเติ้ลลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่เดินลงมา  “มึงไปไหนมา”
               “กูก็ตามหามึงไง  อยู่ๆหายไป กูจะบ้าอยู่แล้วมึงรู้มั๊ย”  ผมบอก
               “................”
               “กูกลัวมึงงอนกูอ่ะ แม่งทักแล้วก็หายเงียบ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่ามึงไปไหน”
               “แบตกูหมด”
               “ห๊ะ!!?”
               “กูจะพิมพ์ตอบไปอยู่แล้ว แต่แบตหมดพอดี เพื่อนมันก็จะกลับบ้านเลยไม่ได้รบกวน” ผมดีใจมากเลยที่ลิตเติ้ลไม่ได้โกรธ “มึงสิ วิ่งหายไปไหน กูกำลังจะเรียกแท๊กซี่กลับเองอยู่แล้ว”
               “แสดงว่ามึงไม่โกรธกูแล้วใช่มั๊ย”
               “เรื่องอะไรล่ะ....”
               “ก็เรื่องน้องขวัญไง” คราวนี้ลิตเติ้ลเงียบ เป็นความเงียบที่น่าขนลุกมาก “กูไม่ได้อะไรจริงๆนะ น้องเขาเป็นแฟนเพื่อนกู เขามาขอถ่ายรูป...แต่กูบอกเขาไปแล้วนะว่ามีแฟนแล้ว”
               “ใครแฟนมึง”
               “อย่าพูดอย่างนี้ดิ กูรู้สึกแย่นะเว้ย” รู้สึกแย่จริงๆ ไม่ได้ตอแหล
               แล้วลิตเติ้ลก็เดินเข้ามาในแสงไฟ เขายิ้มร่ามาด้วย  “ขวัญน่ะ มันเพื่อนกู เรื่องมึง...มันก็รู้ ที่มันอัพรูปแล้วแท็กกูมาก็เพราะมันจะแกล้งกู”
               “อ้าว!!!!” ผิดไปไกลเลยผม นี่คือกระผม...มโนเกินเหตุใช่มั๊ย มโนจนอยากจะบ้า สมองคนกับเรื่องความรักนี่ช่าง...
               “...แต่กูคุยกับมันแล้ว มันเล่าให้กูฟังหมดแหละ”
               ในที่สุดผมก็ยิ้ม ยิ้มกว้าง ยิ้มเหมือนคนปัญญาอ่อน แล้วก็คว้ามือลิตเติ้ลมากุมไว้
               “คราวหลังอย่าหายไปอีกนะ....” ผมบอกเขา “ว่าแต่ มึงมาเจอกูที่นี่ได้ไงอ่ะ”
               “กูมาเอาลูกบาส ฝากที่สโมฯวิศวะไว้เมื่อวันก่อน พอดีก็เจอมึงมานอนเล่นอยู่เนี่ย”
               “อ๋อหรอ” ผมมองตาลิตเติ้ล วันนี้เขาไม่ได้ต่อต้านอะไร “ขอบคุณนะ”
               “เรื่องอะไร”
               “ที่ไม่โกรธกูไง”
               “อืม....กลับกันเถอะ”


               เป็นปีสุดท้ายที่ทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกเต็ม พอดี อบอุ่นใจ เพราะวงแขนที่โอบผมตอนขี่มอเตอร์ไซค์ในวันนี้ มันแน่นกว่าทุกๆวัน.......[ยิ้ม]


*******************************************************************************************

Mr.SCROMAN : ละมุนไปๆ ขอโทษแทนวิวด้วยนะ หมอนี่มันไม่ค่อยเต็มเท่าไหร่
#ครั้งหน้าพบกับสมาชิกคนที่สาม
 :man1:





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

17

วันสบายๆของเหล่าสามนรก

Part 3 : รวี


               "วันนี้แย่จัง เชฟไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหน”
               “ทำไมล่ะ”
               “ก็แกไม่ให้ผ่านสักที นี่ก็ทำไปห้ารอบแล้วนะ”
               “สุดยอดเชฟเคยบอกว่า ถ้าอาหารไม่อร่อย มันหมายความว่าเราไม่ได้ใส่ใจทำนะ”
               “วี...ตะวันอยากไปหาวี”
               “เรียนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว” ผมบอก “วีมีของจะให้ด้วยนะ วันนี้เป็นวันที่สำคัญกับวีมากๆ”
               “นี่ถ้าถึงเวลาเลิกแล้วเชฟยังไม่ยอมให้ผ่าน ตะวันจะอาละวาดให้ดู”
               “ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งกังวลเลย นะ”
               “อืม...” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจแรงมาก “เจอกันคร้าบที่รัก”

               ใช่ครับทุกคน วันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับผมมาก เพราะมันเป็นวันเกิด--ของตะวันนั่นเอง-- และผมกำลังจะดำเนินการสร้างสถานการณ์เพื่อเซอร์ไพรส์ผู้ชายรสจืดคนนี้
               ขั้นแรก! ผมโทรไปขอความช่วยเหลือจากเชฟที่สอนตะวันอยู่ เขาเป็นเพื่อนกับหัวหน้าเชฟที่เป็นหัวหน้าสาขาร้านอาหารที่ครอบครัวผมเป็นเจ้าของ  เขาให้ความร่วมมือทันที นั่นจึงเป็นเหตุว่า ทำไมตะวันถึงทำอาหารไม่ผ่านเกณฑ์เสียที คือ...ผมตั้งใจจะไปหาเขาที่โรงเรียนเชฟเลยครับบบบ โอ๊ย!! พูดก็เขิน ไม่เคยเซอร์ไพรส์ใคร
               ตั้งแต่เราตัดสินใจคบกัน ตะวันก็ไม่ลังเลที่จะให้... เขากอดผมทุกครั้งที่มีโอกาส จูบผมในทุกโมเมนท์และบรรยากาศที่แสนโรแมนติก เขาไม่เคยอึกอักที่จะพูดอะไรออกมา ทุกอย่างที่เขาแสดงออกว่ารักผมเกิดในทุกที่โดยไม่สนใจคนรอบข้างด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีผมก็สงสัยอยู่ว่าเขาเคยมีคนที่ต้องแคร์มาก่อนหรือเปล่า
               วันนี้ผมเตรียมกำไลข้อมือหนังถักไว้เส้นหนึ่ง มันเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่พ่อผมมอบไว้ให้ ผมรักสร้อยข้อมือเส้นนี้มาก ที่สร้อยนี้จะมีเหรียญเล็กๆที่ผมให้ช่างสลักเป็นรูปดวงตะวันและข้อความพิเศษเพิ่มให้ ตลอดเวลาที่รอ ผมเอาแต่นั่งพิจารณาของขวัญอยู่นั่น อยากจะเห็นสีหน้าตะวันตอนได้รับสิ่งนี้จริงๆ
               “คิดถึงดวงตะวันอยู่หรอพี่วี” เสียงน้องไลท์แทรกผ่านปุยนุ่นแห่งความสุขเข้ามา
               “เออ” ไม่ปฏิเสธหรอก
               “คู่นี้นี่รักกันดีนะ เข้าใจกันทุ๊กกกกอย่าง ลงล็อกเป๊ะ อย่างกับเพิ่งหากันจนเจอ” แล้วน้องไลท์ก็ร้องเพลงล้อเลียน เพลงหากันจนเจอนั่นแหละ ผมกำกระดาษเป็นก้อนแล้วปาไปที่น้องซึ่งกำลังนั่งช่วยไอ้ธันตัดกระดาษประกอบแมสไอเดีย ไอ้ธันเห็นดังนั้นก็คว้าหมับด้วยความรวดเร็ว ผมล่ะหมั่นไส้ เดี๋ยวนี้ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แตะนิดแตะหน่อยยังไม่ได้
               “อย่าเอาความเขินมาลงกับน้องไลท์กู ห่านี่” ไอ้ธันเขวี้ยงกระดาษก้อนนั้นกลับมาใส่ผมแทน ส่วนน้องไลท์หัวเราะคิกคัก
               “แต่พี่วี  แน่ใจนะว่าจะใช้แผนไม่ให้ผ่านหลักสูตรแบบนี้ เดี๋ยวไอ้ตะวันมันก็ได้ลาออกกันพอดี”
               “ลาออกอะไร?”
               “พี่อยากรู้ พี่ก็ต้องไปดูเอง ไปตอนนี้เลยก็ได้”
               “อืมมมมมม..” ความจริง ไปดูตะวันเรียนบ้างก็ท่าจะดีนะ
               “ไลท์จะไปมั๊ย”
               “แหม นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว ผมไม่เคยพลาดอวยพรวันเกิดเพื่อนผมนะครับ นอกจากผมก็มีพี่นี่แหละที่จัดงานให้มันน่ะ”
               “พี่หรอ? หมายความว่าไง”
               “ตะวันมันไม่มีใครพี่...” น้องไลท์พูดปกติ แต่ทำไมผมถึงรู้สึก... แปลกใจ ที่จริงตะวันไม่ค่อยเล่าประวัติตัวเองให้ใครฟัง ผมเข้าใจว่ามันคงทำให้รู้สึกแย่ “เอาเป็นว่าไปกันเลยมะ พี่ธันขับรถละกัน”
               “ครับผม” ไอ้ธันรับคำทันที งานการไม่สนแล้ว


 
-------------------------------------------------------------------


               “ไอ้เชี่ยธัน”
               “ก็มึงบอกแยกข้างหน้า นี่ไงแยกข้างหน้า แยกใหญ่ด้วย”
               “ไลท์ จัดการดิ๊” ผมปวดหัวโคตร ผมว่าไอ้ธันมันไม่ได้จำแยกผิดแน่ๆ ดูเหมือนว่ามันจะแกล้งนะ
               “พี่ธัน อย่าแกล้งพี่วีสิ” น้องไลท์ก็อีกคน เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจรอบข้างเลย
               พอมันเลิกแกล้งก็ใช้เวลาแพร๊บเดียว ไม่ต้องบอกทางด้วย เราสามคนลงจากรถแล้วปรี่เข้าไปในร้าน ไอ้ธันเดินนำไปก่อน หยุดที่เคาเตอร์แล้วคุยบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ สักพักแม่สาวต้อนรับก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้น ไอ้ธันจึงเดินกลับมาหาน้องไลท์ หอมกระหม่อมน้องเบาๆ(หวานซะ)แล้วพูด...
               “ไลท์ไปช่วยพี่หน่อยนะ” น้องไลท์ก็ดูงงๆอยู่ แต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือถามอะไร “ส่วนมึงไอ้วี ไปตามหาไอ้ตะวันแล้วจับตาดูไว้ ห้ามแสดงตัวเด็ดขาด”
               “มึงจะทำอะไร?” ผมถามมัน
               “มึงน่ะทำไปแล้ว กูก็แค่ทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้น” ไอ้ธันทำท่าทางราวกับอาจารย์เฉลิมชัยมาเอง จากนั้นก็พาน้องไลท์ไป
               ตอนนี้เหลือคนเดียวแล้ว ร้านนี้ผมเคยมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นตะวันไม่รู้หรอก ก็แค่มาแอบดูเขาทำอาหาร ตะวันเป็นคนตั้งใจทำงาน ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีเสน่ห์ไปเสียหมด ผมเดินหลบสายตาสงสัยของแขกตามโต๊ะเข้าประตูร้านหลังครัวไป
               ที่เรียนของตะวันเป็นครัวสำรองหลังร้าน มีอุปกรณ์ครบเหมือนครัวใหญ่ ต่อเติมออกจากตัวร้านเดิมเพื่อเปิดโรงเรียนเล็กๆโดยเฉพาะ ผมเคยถามว่าทำไมตะวันไม่ไปเรียนกับพวกเชฟชื่อดัง เหตุผลเขาน่าประทับใจมาก เขาบอกว่าประเทศเรามีชื่อด้านอาหารในระดับโลกมานานมากแล้ว แม้แต่แม่ครัวที่ไม่เคยเปิดร้านก็มีสูตรอาหารที่อร่อย และนั่นก็เป็นที่เรียนที่ดีที่สุด ที่เหลือก็แค่เสาะหาอาหารเลิศรสแล้วขอเรียนกับเขา หากอาหารประจำประเทศเรามีรสชาติเป็นสากลจนเกินไป เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาทานกับเราก็ได้ สรุปคือ เราคือเรา อย่าเสเสร้ง ให้ภูมิใจในตัวเองก็พอ
               ผมเจอเขาจริงๆ อยู่ในครัวกับเชฟใหญ่และเพื่อนๆ ทว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ต้องทำอาหารต่อ วันนี้เป็นลิสต์ทำอาหารชุด ตะวันยังตั้งใจทำอยู่ ผมเห็นเม็ดเหงื่อและความเคร่งเครียดบนใบหน้าตะวันได้ เขาจริงจังมากจนดูขัดๆ
               “ไหนดูซิ” เชฟเดินเข้าไปชิม
               ตะวันตอนนี้เซ็งที่สุด สงสัยเพราะใกล้เวลานัดของผมแล้ว แอบดูนาฬิกาบ่อยมาก
               “ลื้อลืมใส่อะไรรึเปล่าตะวัน” เชฟบอกตะวัน
               “เชฟครับ...” ตอนนี้ตะวันเหมือนเด็กที่เกเรมากครับ ผมเพิ่งจะเคยเห็นโหมดนี้ เขาชิมอาหารที่ตัวเองทำแล้วทำหน้าแปลกใจแบบหลอกๆ น่าจะรู้ตัวว่าพลาดตรงไหน “...เหล้าจีนไง”
               “ทำใหม่” เชฟสั่ง
               “เชฟครับ ผมมีนัดสำคัญมาก และผมต้องไป นี่ก็จะได้เวลาแล้วนะครับ”
               “แล้วความรู้อั๊วะไม่สำคัญหรือไง อั๊วะตั้งใจให้ ลื้อก็ต้องตั้งใจรับ” เอาออสก้าไปเลยครับ จริงจังมาก
               “เชฟครับ ความรู้เชฟสำคัญก็จริง แต่ผมคิดว่าคนที่สำคัญของเชฟต้องมาก่อนเสมอไม่ใช่หรอ คนที่ดูแลคนรักไม่ได้ ไม่เท่ากับขาดคุณสมบัติของเชฟหรอครับ”
               เชฟใหญ่ดูอึดอัดกับคำพูดนี้มาก ผมขอโทษนะครับเชฟ “ถ้าอย่างนั้น ลื้อทำอย่างสุดท้ายมาเลยแล้วกัน ถ้าผ่านอั๊วก็จะปล่อยไป”
               “แต่ผมไม่มีสมาธิทำแล้วนะครับ” ตะวันดูไม่มีสมาธิจริงๆ แบบนี้จะยื้อได้นานแค่ไหนกัน
               “เอาน่า ใจร่มๆแล้วทำไปก่อน”
               สุดท้ายตะวันก็ยอมทำตาม ตลอดเวลาที่ตะวันเตรียมอุปกรณ์หรือวัตถุดิบก็เอาแต่ชำเลืองมองนาฬิกาอยู่นั่น มีดบาดนิ้วก็ไม่สนใจ น้ำมันกระเด็นโดนเนื้อก็ไม่สำคัญ จำเครื่องปรุงผิดๆถูกๆสลับกันไปหมด เชฟที่ยืนดูอยู่ก็เอาแต่ยิ้ม ตอนนี้ความรู้สึกผมมันปนเป ตะวันรักผมมากขนาดนี้ผมเองก็เพิ่งจะรู้ ...ดีใจมาก มันตื้นตันที่สุด เวลามองหน้าเขาที่กำลังวุ่นวายใจเพราะมัวแต่คิดถึงผมนั้นช่าง....
               ผมสัญญาว่าผมจะรักเค้าและดูแลเขาให้ดีที่สุด
               “อย่ามัวแต่ซึ้งสิ เป็นไงมั่งแล้วน่ะ” ไอ้ธันจู่ๆก็มากระซิบข้างหู เล่นเอาผมสะดุ้ง ตอนนี้เราอยู่หลังประตูกันกลิ่น มองผ่านช่องกระจกเข้าไป จึงไม่กลัวว่าใครจะเห็น น้องไลท์เองก็ตามหลังไอ้ธันมาพร้อมกับน้องๆผู้หญิงที่เรียนที่นี่อีกสองสามคน
               “จะเขวี้ยงกระทะทิ้งอยู่แล้วนั่น หงุดหงิดน่าดู” ผมบอก
               “คนมันห่วงก็เงี๊ยแหละมั้ง” น้องไลท์ตั้งข้อสังเกต
               “เสร็จรึยังครับน้องๆ”
               “เรียบร้อยค่ะพี่ ว่าแต่...” น้องสาวๆหันมามองผม “พี่เป็นแฟนตะวันใช่มั๊ยคะ”
               “เอ่อ...ครับ” ตอนแรกผมนึกว่าน้องจะทำหน้าตกใจ ที่ไหนได้กลับกรี๊ดกร๊าด จับไม้จับมือกันยกใหญ่ “เนี่ยๆๆๆ แก หล่อน่ารักกว่าในรูปอีกอ่ะแก”
               “นี่น้องๆรู้จักพี่หรอ??”
               “โอ๊ยพี่ ตะวันมันพูดทุกวันเลย เอะอ่ะก็จะไปรับแฟน ชวนไปกินข้าวก็บอกจะไปกินกับแฟน ว่างๆก็เอาแต่ให้พวกหนูดูรูปแฟน แชทหาแฟน หนูล่ะอยากจะอ้วกกกกกกก แต่พอเห็นหน้าพี่แบบนี้ ขอพวกหนูเป็นแฟนคลับด้วยคนได้หรือเปล่า”
               เป็นงั้นไป ผมไม่รู้มาก่อนว่าตะวันจะเห่อแฟนขนาดนี้ ยิ่งฟังยิ่งเขิน “....ก็ แล้วแต่ละกันนะ ถ้าตะวันไม่ว่าอะไร”
               “อุ๊ย เป็นห่วงความรู้สึกกันซะ...”
               “ไอ้เชี่ยวี ใกล้เวลาแล้ว ดำเนินแผนขั้นต่อไป” ไอ้ธันบอก
               “พี่แค่กระตุ้นมันหน่อย เดี๋ยวจะได้เห็นเรื่องดีๆ เชื่อผม”
               “กระตุ้นหรอ ...ตะวันจะไม่ยิ่งเครียดหรอ” สาวๆกรี๊ดอีกแล้ว
               “สัดวี มึงไม่เป็นเรื่องพวกนี้ กูบอกให้ทำก็ทำสิ”
               กระตุ้นหรอ หมายถึงทำให้วุ่นวายใจมากขึ้นรึไง...... แต่ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าตะวันจะเป็นไปได้แค่ไหนเพื่อผม ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาตะวัน เขารับสายไวมาก(เกือบทำตกหม้อ)
               “วี ตะวันขอโทษ รอตะวันอีกสักพักได้มั๊ย เชฟยังไม่ยอมให้ไปเลย”
               “หรอ....” ผมเว้นเสียงให้เหมือนกำลังผิดหวัง “...ถ้างั้น ไว้วันหลังก็ได้ ตะวันเรียนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเชฟจะโกรธนะ”
               “แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของวีไม่ใช่หรอ” ผมเห็นหน้าตะวัน เขากำลังหน้าเสียถึงที่สุด ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ส่วนหนึ่งคือรู้สึกอบอุ่นจนน้ำตาเอ่อ
               “วีเข้าใจ ตะวันทำอาหารต่อเถอะ แล้วเจอกันนะ”
               “วี...ว”   ผมตัดสายแล้ว ตอนนี้ในห้องเครัวกิดความโกลาหล เมื่อตะวันทิ้งตะหลิวทัพพี ปลดชุดออกแล้วกำลังจะเดินมาที่ประตู
               “ผมไม่ทำแล้ว หลีกไปเชฟ ผมจะไป” ตะวันกำลังโมโหและร้อนใจ ดูจะไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ
               “เฮ้ย!! ลื้อจะทำแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย อั๊วบอกแล้วไงว่าต้องทำชุดนี้ให้เสร็จ” เชฟเล่นใหญ่มาก จริงจังไปไหม
               “ผมบอกแล้วไง ผมไม่ทำแล้ว”
               “ถ้าลื้อไม่ทำ ลื้อก็ไม่ต้องมาเรียนกับอั๊วอีก” โอ้โห เชฟครับ อย่างกับหนังจีน
               ตอนแรกผมนึกว่าตะวันจะขอร้องเชฟต่อ แต่ไม่ครับ เขากระชากชุดเชฟบนตัวเขาออกอย่างไม่ใยดีจนเหลือแต่เชิร์ทซับใน(เท่ซะ) เขวี้ยงชุดลงไปกองที่พื้น
               “ถ้างั้นผมก็ขอลาออก ไม่เรียนแม่งแล้ว”
               แล้วเขาก็บึ่งมาที่ประตูซึ่งผมกำลังแอบดูอยู่ ตัวผมที่กำลังอึ้ง ถูกดึงไปซ่อนในห้องน้ำ
               “เชี่ย เวลาโกรธแม่งน่ากลัวชิบเป๋ง” ไอ้ธันบอก
               “ผมบอกแล้ว” น้องไลท์เสริม
               “แล้วทำไงล่ะทีนี้...” ผมร้อนใจขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ว่าตะวันจะรู้สึกแย่แค่ไหน
               “เตรียมเสร็จแล้วใช่มั๊ยครับน้องๆ” ไอ้ธันถามสาวๆอีกครั้ง
               “ไร้ทางหนีแน่ค่ะ”


               ณ ห้องอาหาร แขกทุกคนกลับไปหมดแล้ว โต๊ะโล่งๆถูกจัดเป็นระเบียบสวยงาม ตะวันกำลังเดินออกไปที่ประตู แต่ปรากฏว่าประตูล็อก ในใจผมร้องอ๋อทันที ร้ายนะไอ้ธัน สัด
               แต่เค้าลางไม่ดีก็เกิด เมื่อตะวันดูจะไม่ยอมแพ้ ถีบประตูอย่างแรงจนน่ากลัว จากนั้นก็หันมองหน้าต่างทุกบาน ไอ้ธันเห็นดังนั้นก็ทำมือให้สัญญาณกับสาวๆให้เริ่มแผน
               “พร้อมรึยัง” มันถาม ผมพยักหน้า
               ทันใดนั้น ไฟทุกดวงดับพรึ่บ ทุกสิ่งมืดลง มีเพียงแสงไฟจากรถและถนนไกลๆ นับหนึ่งถึงห้า ไฟดวงหนึ่งก็ติดตรงตำแหน่งกลางโถงห้องอาหารพอดี ผมสังเกตว่าตรงนั้นโล่งเป็นพิเศษ ถึงตอนนี้เริ่มมีเสียงเพลงวันเกิดดังขึ้นจากน้องไลท์ น้องถือเค็กก้อนเล็กๆเดินไปหาตะวันด้วย มีไอ้ธันเดินตามแบบไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่
               “แฮบปี้เบิร์ท เดย์ ทู ยู...แฮบปี้เบิร์ท เดย์ ทู๊ ยู...” ตะวันดูตกใจและแปลกใจ แต่ไม่มากเท่าที่ควร ผมเข้าใจว่าน้องไลท์เซอร์ไพรส์วันเกิดตะวันจนชินแล้ว
               “แฮบปี้เบิร์ททททท เดย์ เดียร์ ซัน ไชน์” ตะวันถอนหายใจ แต่หน้ายังเครียดเหมือนเดิม
               “แฮบปี้เบิร์ท----- เดย์----- ทู๊---“
               “หยุด” หืมมม
               “อ้าว?? ทำไมล่ะ กำลังได้โมเมนท์”
               “กูขอบใจนะไลท์ แต่คราวนี้กูต้องขอตัวว่ะ”
               “เฮ้ย!  มึงไม่เคยไม่ดีใจนะ จะรีบไปไหน”
               “....ขอโทษด้วย กูรีบ”
               ตะวันทำท่าจะเดินหนีอีก คราวนี้น้องๆเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่นี่ที่แอบเดินอ้อมไปดักเป็นวงกลมรอบตัวตะวันก็จุดไฟเย็นขึ้น แล้วร้องพร้อมกันว่า--
               “แฮบปี้เบิร์ท เดย์ ตะวัน
               แม้ผมจะมองว่าเหตุการณ์ตรงหน้ามีความอบอุ่นมากแค่ไหน หน้าตาของตะวันก็ยังคงเคร่งเครียด ถ้าเป็นไปได้ น้ำตาเขาคงไหลออกมาแล้ว ทุกคนรอว่าตะวันจะพูดอะไร นิ่งฟังกันอย่างกับรูปปั้น
               “ขอโทษนะทุกคน ขอบคุณมากจริงๆ แต่ผมอยู่ไม่ได้ เปิดประตูให้ผมเถอะ”
               “ตกลงมึงจะรีบไปไหน ตะวัน” น้องไลท์ถามซ้ำ
               ตะวันมองไลท์อยู่อึดใจหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นๆ
               “วันนี้เป็นวันสำคัญของวี ยังไงกูก็ต้องไป มึงน่าจะเข้าใจกูไม่ใช่หรอ ไลท์
               สิ่งที่ตะวันพูออกมา สำหรับผมมันมากกว่าคำว่ารักเสียอีก ผมภูมิใจมากจริงๆที่ได้คบกับตะวัน ตอนนี้เป็นตอนที่ผมจะปรากฏตัวใช่หรือเปล่า ออกไปบอกว่ารักเขามากเหมือนกัน
               “เปิดประตูเถอะ กูขอร้อง”
               “ไม่ มึงห้ามไปไหน” คำนี้ไอ้ธันพูด
               ตะวันไม่เอ่ยปากใดๆแล้ว จู่ๆเขาก็ลากเก้าอี้ฝ่าวงล้อมเหล่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันออกไปที่ประตูกระจก ผมเห็นท่าไม่ดีแล้ว กลัวจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จึงรีบเดินออกไปที่กลางห้องแล้วเรียกคนที่ผมรัก
               “ตะวัน
               เก้าอี้ที่ยกไว้เหนือหัวตะวันหยุดทันที เขาลดเก้าอี้ลงพร้อมกับหันกลับมามองที่ผมด้วยสีหน้าตกใจ ผมยืนกึ่งยิ้มกึ่งสะอื้นมองตาเขา วินาทีนั้นเหมือนกับมีใครมาปิดเสียงซาวด์รอบๆจนผมไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหายใจขุ่นหนักของตะวัน ตอนแรกเหมือนเขาสับสน แต่นั่นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็วิ่งเข้ามากอดผมแน่น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแรงมาก
               “วี...”
               ผมเห็นเขาเอ่ยปาก อยากจะรู้ว่าจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็ไม่พูด “อะไร...?”
               “วี” เขาเรียกผมอีกแล้ว
               “วีอยู่นี่แล้ว”
               “ตะวันขอโทษ”
               “จะขอโทษทำไม” ผมรีบบอก กลัวว่าเขาจะรู้สึกแย่
               “วันนี้เป็นวันสำคัญของวีไม่ใช่หรอ.....ตะวันทำให้วีต้องรอ ขอโทษนะ” เขายังกอดผมอยู่นะ อะไรจะขนาดนั้น บางทีผมก็ยังมียางอายอยู่
               “ก็เพราะเป็นวันสำคัญของวี วีเลยมาที่นี่ไง”
               เขาคลายอ้อมกอดเพื่อมองหน้าผม “หมายความว่ายังไงครับ?”
               “วันนี้เป็นวันเกิดตะวันไม่ใช่หรอ”
               “ก็ใช่....”
               “ก็นั่นแหละ วันนี้ถึงเป็นวันสำคัญของวีไง”
               “นี่......” ตะวันดูจะเข้าใจแล้ว “วีกำลังเซอร์ไพรส์วันเกิดตะวันใช่มั๊ย”
               “ยังต้องถามอีกหรอวะไอ้ตะวัน อย่าง่าวดิ” น้องไลท์แทรกขึ้นมา
               “ไม่เอาดิหมูน้อย อย่าเพิ่งรบกวนพวกมันดิ”
               “พี่ธัน ..ก็ดูไอ้ตะวันดิ ทีผมจัดวันเกิดให้มันไม่เห็นมันดีใจขนาดนี้ ผมก็น้อยใจสิ”
               “อย่าโมโหสิ คนดี”
               “ไม่ได้โมโหสักหน่อย”
               “ไม่เงียบเดี๋ยวพี่ปิดปากให้” ไอ้ธันทำท่าจะจูบน้องไลท์มีเสียงกรี๊ดแหวกอากาศมาจากสาวๆหลายคนเหมือนกัน ผมเห็นท่าจะไม่ได้งานจึงหันมาสนใจตะวันต่อ
               “ตะวัน มาขอพรก่อน” ผมให้ตะวันเป่าเทียนบนเค้ก ก่อนที่เทียนจะละลายหมด
               “ขอพรหรอ...” แทนที่ตะวันจะประนมมือขอพร เขากลับกอดผมอีกครั้ง หอมกระหม่อมฟอดหนึ่งแล้วยืนลูบหัวเหมือนคนเลี้ยงลูก สักสิบวินาที่ได้เขาถึงจะเป่าเทียนบนเค้ก
               “เฮ้ย! บอกให้ขอพรไม่ใช่หรอ”
               “ขอแล้ว..”
               “ขอแล้ว?? เกี่ยวกับวีรึเปล่า” ผมแค่อยากรู้นะ ไม่ได้ต้องการรู้ขนาดนั้น
               “ไม่ใช่”
               “อ้าว....” รู้สึกน้อยใจนิดๆแหะ
               “เกี่ยวกับเราสองคนต่างหาก”
               ผมไม่ถามแล้ว ตอนนี้จากลุ้นๆกลายเป็นเขินแทน เสียงกรี๊ดกร๊าดที่เมื่อกี้คงจะกลั้นกันไว้หลุดออกมาแล้ว ผมกับตะวันซึ่งยืนอยู่กลางแสงไฟยังคงยืนกอดกันแน่น ผมต้องพยายามดันตัวออกเพื่อหยิบของสำคัญจากกระเป๋ากางเกง
               “เกือบลืมแนะ วีบอกว่าวีมีของจะให้ตะวัน จำได้มั๊ย”
               “อะไรล่ะ”
               แล้วผมก็ล้วงหยิบเอากล่องหนังสีดำใบเล็กๆออกมา ข้างในเป็นสร้อยข้อมือที่ผมตั้งใจจะให้ตะวัน
               “รู้มั๊ยว่าชื่อรวีกับชื่อตะวันมีความหมายเหมือนกันนะ เอามือซ้ายมา...”  ตะวันรู้ว่าผมจะให้ของ ยิ้มไม่หุบเลย
ผมค่อยๆใส่สร้อยข้อมือพิเศษให้กับตะวัน
               “สร้อยเส้นนี้วีรักมันมากนะ ตอนแรกไม่เคยคิดให้ใครเลยด้วยซ้ำ” ผมใส่เสร็จก็ปล่อยมือ “ลองดูสิว่าวีเขียนว่ายังไง”
ตะวันพลิกเหรียญเล็กๆดู

               “เพียงตะวัน” เขาพูดข้อความนั้นออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ผมจะสื่อ ถ้าสร้อยที่ข้อมือผมคือดวงใจของตะวัน ใจของผมก็จะมี ‘เพียงตะวัน’ คนเดียวเท่านั้น

               “ตะวันจะได้จำได้ว่า ใจของ รวี มี เพียงตะวัน เท่านั้น เวลาตะวันต้องไปไหนไกลๆ..................”

               คำพูดที่เหลือของผมหายไปกับจูบของเขา เป็นจูบอีกครั้งที่เราจะประทับลงในความทรงจำ สองเรารักกัน กลางแสงไปสีเหลืองอบอุ่น ท่ามกลางเสียงปรบมือและคำชื่นชมยินดี อย่าลืมเสียงกรี๊ดล่ะ หูผมแทบแตก
               เป็นฉากการเซอร์ไพรส์วันเกิดที่ช่างเหมือนการแต่งงานเสียจริงๆ

               แต่ผมยังไม่คิดถึงขั้นนั้นหรอกนะ ไม่คิดจริงจริ๊ง

               เรื่องนี่ต้องขอบใจเชฟใหญ่ที่อุตส่ามาช่วยเล่นใหญ่ งานนี้ไม่มีใครเสียการเสียงาน แขกที่ควรจะมีอยู่ในร้านถึงสี่ทุ่มก็ถูกชดเชยด้วยการเหมาปิดร้านเลี้ยงทุกคนของไอ้ธัน น้องไลท์เป็นอีกคนที่ร่วมยินดีกับเพื่อนด้วยน้ำตาแห่งความสุข(อ่อนไหวจริงนะ) อีกคนคือเชฟใหญ่นั่นเอง เขาไม่ถือสาพวกผมสักนิดที่มารบกวนเวลางานของเขา แต่นี่เป็นคำพูดทิ้งท้ายถึงพวกผมและตะวัน


               [ทีหน้าทีหลังถ้าต้องถึงขนาดทำให้ไอ้ตะวันมันโกรธละก็ อั๊วจะไม่เล่นด้วยแล้ว ...แม่ง น่ากลัวชิบหาย]


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : เฮ้อ...วันน่ารักๆผ่านไปแล้วนะครับ ต่อไปจะเริ่มจริงจังกันแล้ว
#อย่าลืมนะครับ เวลาตะวันโกรธจะน่ากลัวมาก (สั่น...โกรธเมื่อไหร่มาหาเจ๊นะ ห้องเบอร์)



ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 ความรักของตะวัน ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ประจุความรักมันแผ่ทุกทิศทาง
วี โชคดีมาก ที่ได้รับความรักของตะวัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

18

ไลท์ : ประชุมเชียร์



               เหลืออีกไม่กี่วันก็จะหมดกิจกรรมมหาภัยนี่แล้ว ผมไม่มั่นใจว่าอะไรทำให้ต้องทนนั่งเข่าเคล็ดอยู่ในที่แคบๆแบบนี้นานสองนาน สำหรับรุ่นพี่ที่คอยควบคุมดูแลแล้ว ผมถือเป็นตัวปัญหามาก ทั้งที่ๆจริงแล้วจะขาดผมไปสักคนมันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ทำไมต้องมาคอยตามจ้องจะหาเรื่องด้วยก็ไม่รู้
               วันนี้ก็อีกวัน ต้องมานั่งร้องเพลงยากๆ ยังไม่ทันได้ร้องจบท่อนก็โดนด่าซะแล้ว ผมชักไม่แน่ใจว่าพวกเหล่าผู้คุมทั้งหลายอยากจะสอนอะไร เพราะแต่ละอย่างที่พูดที่ตะโกนกระแทกหูมานี่ก็เรียกได้ว่า ไม่เกี่ยวข้องกับผมเลย ผมสะกดอารมณ์ไม่ค่อยเก่ง หากไม่มีพี่ธันคอยนั่งเป็นกำลังใจให้ คงไม่มาถึงวันนี้แน่ หลายครั้งมากที่เกือบมีปากเสียงกับรุ่นพี่ที่คอยคุมเชียร์ และวันเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นวันที่พี่ธันต้องพรีเซนต์งานจนดึกดื่นทั้งนั้น
               วันนี้ก็เช่นกัน...
               “กูไม่ไหวแล้วว่ะอุ้ม”
               “เป็นไรมึง แน่นหน้าอกอีกแล้วหรอ”
               “เปล่า แต่กูกำลังจะบ้า” ผมกำลังจะระเบิดจริงๆ
               “ไปห้องน้ำมั๊ยล่ะ ล้างหน้าสักหน่อย”
               “กูไปมาห้ารอบแล้ว แม่งจำหน้ากูได้ละ ไปอีกทีคงมีวางมวยแน่”
               “ไปกับกูดิป่ะ”
               คราวนี้มันจะลากผมออกไปจากพื้นที่ประชุมเชียร์ แสงไฟดวงน้อยๆทำให้หน้าแต่ละคนสลัว รุ่นพี่ที่ยืนรายรอบคอยคุมจะเป็นคนดูว่ามีใครต้องการออกไปจากห้องหรือเปล่า หากจะออกก็ต้องสาธยายเหตุผลว่าจำเป็นแค่ไหน นี่มันไม่ใช่การฝึกทหาร ผมไม่จำเป็นต้องทน ก่อนที่ไอ้อุ้มมันจะหันหาพี่ที่พอจะขอได้ ผมก็ลากมันออกมาเองโดยไม่สนใจใครอื่น มันแอบตกใจเล็กน้อย เมื่อถึงทางออกก็โดนดักทันที
               “จะไปไหนวะเอ็ง” ผมมองเห็นหน้าไม่ชัดว่าเป็นใคร แต่น้ำเสียงนั่น ผมไม่ชอบ
               “ห้องน้ำครับ”
               “เอ็งเข้ามากี่รอบแล้ววะ เพื่อนคนอื่นยังไม่เห็นเป็นเหมือนมึงเลย”
               เกลียดตรรกะโง่ๆนี่ชะมัด “ถ้าเป็นแบบพี่ว่า คงต้องรอให้ปวดกันหมดทุกคนก่อนถึงมีสิทธิ์ไปได้ใช่ป่ะ”
               “ไม่นานหรอกค่ะพี่ เดี๋ยวก็มาแล้ว”
               ไอ้อุ้มจับไหล่ผมหันหนีแล้วดันออกมาจากพื้นที่อย่างไว ระหว่างทางจะมีอีกหลายคนที่ยืนเรียงรายคุยกันอยู่ แม้แต่ตามจุดห้องน้ำก็มีการยืนยาม ผมละอยากจะหัวเราะ ตลกสิ้นดี
               “มึงนะไอ้ไลท์ จะคุยดีๆกับเขาหน่อยก็ไม่ได้”
               “ก็ดูแม่งใช้คำพูด คิดว่าตัวเองเป็นพี่เลยมีสิทธิ์สั่งใครก็ได้ที่เป็นรุ่นน้องหรอ เอาอะไรคิดวะ”
               “ก็เขาอยู่มาก่อน มึงก็ยอมๆเขาหน่อยไม่ได้หรอวะ”
               “อยู่มาก่อนแล้วไง มันไม่ได้เลี้ยงกูมานี่หว่า”
               อุ้มถอนหายใจ มันบอกเสมอว่ามันดูคนเป็น เถียงกับผมแบบนี้ไม่ได้อะไรแน่นอน
               “เอาเถอะ ไปล้างหน้าแล้วหาที่เงียบๆสงบสติอารมณ์ก่อนค่อยเข้าไป”
               ผมพยักหน้ารับคำ อุ้มมันแยกไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมแค่เปิดก๊อกราดหัวตัวเองเสร็จก็เดินออกมาแล้ว ตอนแรกกะว่าจะรอหน้าห้องน้ำหญิง ทว่ามีหลายคนที่ยืนอยู่เลยอยากแยกไปหาที่เงียบๆ เพราะบางคนก็เริ่มมองแล้วซุบซิบนินทา ผมรำคาญพวกแบบนี้มาก จะพูดก็ไม่พูด จะเข้ามาทักรึก็ไม่ อย่างน้อยจะด่าก็ด่าได้ ขอแค่ชัดๆว่าจะเอายังไง ทำตัวน่าหงุดหงิดที่สุด
               สุดท้ายจึงมาหลบยืนอยู่แถวโต๊ะหินนอกเขตอาคารที่จัดกิจกรรม อยู่ในเงามืด ไม่มีคนพลุกพล่าน ทว่ามองเห็นทางเดินเลาๆ พอจะเห็นเป็นหน้าคนได้ เผื่ออิอุ้มเดินมาจะได้เรียกได้ทัน ผมกะจะอยู่แบบนี้นานสักหน่อย เป็นไปได้ก็ไม่อยากเข้าไปอีก แต่เห็นใจพี่ๆบางคนที่ใจดีคอยช่วยดูแล คอยให้กำลังใจ ผมรู้มาว่าพี่ๆเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นทีมจัด นั่นทำให้เข้าใจอะไรได้แจ่มชัดทีเดียว
               แม้จะบอกว่ามองเห็นทางเดินแต่ก็ยากมากเพราะปิดไฟหมดทุกดวง มีเพียงแสงจากหน้าจอโทรศัพท์วับแวบอยู่เป็นระยะ ผมเห็นดังนั้นก็เลยควักโทรศัพท์ออกมาเล่นบ้าง แชตหาไอ้ตะวัน ปรากฏว่ามันกำลังขับรถมาหา ยังไม่ทันจะได้บอกเล่าอารมณ์อะไร มันก็ชิงบอกผมก่อนแล้วว่าอย่าเพิ่งตะบะแตก ...ก็ได้แต่ยิ้มแบบเซ็งๆ หมุนโทรศัพท์เล่นสักพักก็เหมือนจะมีกลุ่มคนประมาณสามคนเดินเข้ามาหา
               “สบายมั๊ยมึง เล่นโทรศัพท์สนุกมั๊ย” น้ำเสียงนั้นสัมผัสได้แล้วว่ากำลังจะมาลากผมกลับไปในห้องเชียร์ แต่ผมอยู่ในเงามืด ไม่มีใครเห็น อาจจะโดนลากไปทางอื่นก็ได้
               “ก็....สนุกดี” ผมก็ตอบไป
               “มึงไม่เห็นหรอว่าเพื่อนมึงนั่งร้องเพลงกันอยู่” คนข้างหลังกระชากเสียงขึ้นมา บอกตามตรงว่าผมไม่เห็นหน้าใครเลย “แบบนี้ไม่เรียกเอาเปรียบเพื่อนหรอวะ”
               “เอาเปรียบตรงไหนวะ เพื่อนผมมันอยากนั่งร้องเพลงก็นั่งไป ส่วนผมไม่ได้อยากนิ”
               “แต่มึงหลบออกมาเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว ไม่สบายไปหน่อยหรอสัด”
               “สบายหรอ...ถ้าอยู่ข้างนอกนี่สบาย แสดงว่าอยู่ข้างในไม่สบาย ที่ต้องการให้ผมกลับเข้าไปนี่ก็ อยากให้ผมไม่สบายด้วยใช่ป่ะวะ”
               “นี่มึงกวนตีนกูหรอ”
               “ผมแค่ตั้งข้อสังเกต” ผมเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนี้ไม่มีใครห้ามทัพแน่ ทว่าผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่อง    “ไหนพวกพี่ลองบอกผมมาหน่อยสิว่า ผมจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการเข้าไปนั่งในนั้น”
               แล้วก็เงียบ ไม่แน่ใจว่ามันไม่รู้ หรือว่ารู้สึกด้อยอำนาจเมื่อต้องตอบคำถามผู้ที่เป็นรุ่นน้อง รู้เลยว่าคนพวกนี้เป็นประเภทไหน ....พวกบ้าอำนาจ....และพวกนี้จะปล่อยให้ใครสั่นคลอนอำนาจมันไม่ได้ หากมีหนูหลุดมาตัวเดียวเท่ากับกรงนั้นไม่มีอยู่ มันจะไม่มีทางยอมแน่ และผมก็เช่นกัน
               “เอาเป็นว่าไม่ต้องห่วงแล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมอยู่ตรงนี้อีกสักพักก็จะเข้าไปเอง”
               ไอ้อุ้มเดินมาสมทบ เหมือนจะช่วยคลายอารมณ์ได้บ้าง อย่างไรเสียมันก็เป็นผู้หญิง คงไม่มีใครกล้าลงไม้ลงมือ “มีอะไรกันรึเปล่าคะ” มันรู้ครับว่าเกิดอะไรขึ้น และนั่นเป็นคำถามเพื่อให้เรื่องยุติ “หายเวียนหัวยังไลท์”
               ผมมองหน้ามัน เข้าใจว่าคงจะแสร้งทำเป็นว่าผมป่วยจะได้มีคนเห็นใจ “ไอ้อุ้ม กูไม่ได้ป่วย”
               “อ้อ ป่วยนี่เอง พวกมีอภิสิทธิ์ ใช้ความอ่อนแอให้เป็นประโยชน์” ต้องเป็นไอ้ปากม้าสักตัวตรงหน้าผมแน่ “กูว่ามึงกลับเข้าไปดีๆดีกว่านะ รึให้ต้องให้กูลากไป รึจะเอารถเข็น”
               เบื่อจะเถียงด้วยแล้ว มาแรงกูก็แรงกลับเป็นนะเว้ย คราวนี้ผมขอท้าทายอำนาจมันบ้าง
               “กูไม่เข้า” แล้วผมก็เดินหนี “ไปอุ้ม ย้ายที่เหอะ”
               แล้วผมก็ถูกกระชากแขน “เฮ้ย ไอ้เหี้ย กูบอกให้มึงเข้าไปในห้อง”
               “มึงคิดว่ามึงแน่มากหรอที่มายืนเถียงพวกกู” อีกคนช่วยเสริมแล้ว
               “แล้วพวกพี่ล่ะ แน่มากหรอถึงมายืนสั่งสอนชาวบ้านเขาแบบเนี้ย” ผมเริ่มโมโหจริงๆแล้ว “พวกพี่เป็นใครวะ พ่อก็ไม่ใช่ ทำไมผมต้องฟัง”
               “อ้าวเฮ้ยไอ้นี่ มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะ อินดี้หรอ เรียกร้องความสนใจ? อยากแตกต่างจากชาวบ้านหรอสัด”
               “พอเถอะพี่ เดี๋ยวพวกหนูก็เขาไปเอง”
               “กูไม่เข้าแล้ว มึงจะเข้าก็เข้าไปก่อนอุ้ม” ผมบอกเป็นนัยว่าให้มันออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ อุ้มมันตีผมเบาๆ กระซิบประมาณว่าให้ผมหยุดพูด
               “มึงท้าทายกูหรอ ที่บ้านไม่เคยสอนให้เคารพผู้ใหญ่หรือไงวะ” นี่มันเริ่มก้าวข้ามเส้นบางอย่างของผมแล้ว “รึไม่มีพ่อแม่สั่งสอนจริงๆ ถึงชอบเรียกร้องความสนใจ”
               “ถ้ามึงยังพูดถึงที่บ้านกูอีกแค่คำเดียวนะ....”
               “มึงจะทำไม มึงคิดว่าที่มึงมีปีห้าหนุนหลังแล้วจะทำอะไรก็ได้หรอ” นี่เป็นอีกสิ่งที่ผมเกลียด การถูกมองว่าใช้เส้นสาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อผมหรือใครก็ตาม
               “ส่วนพวกมึงก็เป็นพวกบ้าอำนาจที่ต้องคอยให้คนอื่นก้มหัวให้ตลอดใช่มั๊ย” ถึงตรงนี้ผมยอมรับแล้วว่ากวนตีน “น่าสงสารนะ เป็นพวกมีปมด้อย”
               “วอนซะแล้วมึง....” คนข้างหลังไอ้ที่พูดเมื่อกี้ฉุดไว้ ทำให้มันไม่สามารถเข้ามาชกหน้าผมได้
               “เลิกยุ่งกับผมซะทีเถอะ ถือซะว่ามองผมไม่เห็นก็ได้” แล้วผมก็เดินหนี แต่ถูกหยุดโดยคนอีกคนหนึ่ง เขาเพิ่งเดินมาถึง
               “มีอะไรวะเนี่ย พวกมึง” แล้วมันก็มองผม “นี่มันไอ้ปีหนึ่งเจ้าปัญหานี่หว่า ทำเหี้ยอะไรไม่เข้าไปในห้องเชียร์” ผมทนไม่ไหวแล้ว แม่งจะไรนักหนา
               “มันเรื่องของผมป่ะ ผมแค่ไม่อยากเข้า จบนะ”
               ปัง!! เขามาที่หน้าผมทีหนึ่ง ไอ้อุ้มกรี๊ดออกมาเบาๆ คนหลายคนจากไกลๆเริ่มเห็นเหตุการณ์แล้ว ผมล้มลงไปกองกับพื้น รู้สึกได้ถึงรสเลือด
               “กูหมั่นไส้มึงมาหลายวันและ ปากเก่งมาจากไหนวะ คิดว่าตัวเองแน่หรอ”
               “ไม่เห็นต้องรุนแรงก็ได้ป่ะวะ” นี่ไอ้อุ้มพูด มันช่วยพยุงผมลุก ตอนนี้หน้าอกผมมันเหมือนเต็มไปด้วยก้อนถ่านร้อนๆอยู่เต็มแน่น
               “อยู่บ้านมึงคงถูกเอาใจตลอดละสิไอ้คุณหนู นิสัยแบบนี้คงเป็นกันทั้งบ้านถึงไม่ได้สอนสั่งกันเหมือนคนอื่น....”
               ผมดิ้นสะบัดจากแขนไอ้อุ้มแล้วเหวี่ยงหมัดตัดโครมเข้าที่กรามไอ้คนที่พูดเต็มแรง มันเซไปข้างๆนิดหนึ่งก่อนจะสวนมาด้วยหน้าแข้งทั้งท่อน แต่ผมรู้ว่าต้องการ์ดยังไง มันเตะผมไม่ได้จึงทำท่าจะถีบแทน ผมซึ่งไวกว่าเตะตัดขามันลงไปกอง แต่ก่อนจะกระทืบซ้ำ อีกสามคนก็เข้ามารุม ผมถูกล็อกด้านหลังชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งมีแรงกระแทกส่งผ่านตัวให้คนล็อกผมเข้ามา ไอ้อุ้มก็ร่วมวงด้วย มันถีบและสกัดอีกคนเพื่อให้ผมหลุด แต่งานนี้คงไม่ได้หนี ผมซึ่งกำลังเลือดขึ้นหน้าปรี่เข้าไปอัดใครก็ตามที่อยู่ข้างหน้า ซัดลงไปกองได้คนหนึ่ง อีกคนก็จับตัวได้ กระทั่งผมได้ยินเสียงอุ้มร้อง ตอนนั้นเองที่มีตีนกระหน่ำถีบจนต้องลงไปกองที่พื้น จากนั้นคือดงตีนของแท้ โดนอยู่กว่าสิบทีจึงมีคนเข้ามาห้าม คงเป็นกลุ่มรุ่นพี่ เพราะมีกันหลายคนมาก
               ขณะกำลังลุกก็รู้เลยว่าร่างกายตัวเองมีแผล รสเลือดสดๆในปากก็เข้มข้น ผมถุยออกแล้วคิดจะปรี่เข้าไปอีกรอบแต่ถูกดึงออกมาเสียก่อน ผมสังเกตว่าเสียงกิจกรรมอื่นๆรอบตัวหยุดหมดแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยเสียงพึมพำอย่างตกใจจากรอบทิศทาง
               “นี่มันเรื่องเชี่ยอะไรกันวะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งพูด เขายืนอยู่ข้างๆผม สูงกว่าผม และเสียงทุ้มก้อง รู้สึกได้เลยว่าเป็นเสียงที่ทุกคนต้องฟัง “ยังไงวะไอ้ก๊อต วิธีคุมน้องแบบใหม่ของมึงหรอ”
               “ก็เด็กแม่งกวนตีน จะให้ทำไง”
               “พวกมึงก็เลยรุมกระทืบน้องหรอวะ เดี๋ยวนี้คนของสโมฯมีแต่กุ๊ยใช่มั๊ย” คำพูดของพี่คนนี้เหมือนเป็นคำสั่งยังไงไม่รู้ ผมรู้สึกได้ถึงความมีอำนาจจริงๆ เหมือนป๊าเวลาฝึกทหาร “อย่าให้กูต้องขึ้นไปจัดการเองนะ”
               “เด็กมันไม่ฟังจะให้คุมไงวะ แม่งปลาตายตัวเดียวก็เหม็นทั้งบ่อ นี่ถ้าไม่ฟังได้คนหนึ่ง ที่เหลือแม่งก็ไม่ต้องฟังกันแล้ว”
               “แล้วมันเป็นอย่างนั้นรึยังวะ เด็กร้อยพ่อพันแม่ จะให้มันมาก้มกราบมึงทุกคนรึไง ปากก็บอกรักน้อง จะดูแลน้อง อยากให้สิ่งที่ดีๆกับน้อง เนี่ยหรอวะที่พวกมึงพูด ดูแลด้วยตีน...”
               ถึงตอนนี้ทุกคนเงียบกริบ
               “พอแล้ว จบตรงนี้ พวกมึงมีหน้าที่อะไรก็ไปทำต่อ เดี๋ยวเด็กนี่กูจัดการเอง ห่า”
               ผมไม่รู้ว่าพี่คนนี้เป็นใครนะ แต่ตอนนี้ทุกคนที่มุงดูอยู่เริ่มละลายไปแล้ว เหลือแต่ผมกับไอ้อุ้มแล้วก็เพื่อนพี่เขาอีกหนึ่งคน พอคนอื่นเลิกสนใจแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูดกับผม...
               “พวกมึงก็ตามกูมา ได้ทำแผล...” พูดเสร็จก็หันไปหาไอ้อุ้มที่ตอนนี้ดูเหมือนจะยังอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ “น้องผู้หญิงเป็นอะไรรึเปล่า”
               “ไม่เป็น”
               “งั้นก็ตามมาช่วยเพื่อนทำแผลด้วย”

-----------------------------------------------------

               
               ผมมาอยู่ที่สตูดิโอ อุ้มเปิดไฟมาปุ๊บก็ร้องออกมาเบาๆ  ตอนมืดๆ เนื่องจากผมไม่เห็นสภาพบาดแผลตัวเองเลยไม่แคร์ บัดนี้พอเห็นเข้าก็ตกใจ เลือดกลบปากมันเป็นแบบนี้นี่เอง กำเดาไหล หน้ามีแต่รอยจ้ำช้ำ ถ้าไม่นับตามตัวและหน้าอก(ซึ่งเจ็บแปลกๆ) ผมก็ยังตีความได้ว่า ยังไม่เละนะ
               พี่คนเดิมหากล่องปฐมพยาบาลมาให้จนได้ พอเห็นสภาพผมก็ถอนใจ  “นี่มึงคิดว่าตัวเองมีกี่ชีวิตวะ ถึงคิดจะเข้าไปตาย”
               “ผมยังไม่ตายซักหน่อย” ผมประชด ไม่รู้สิ ความโกรธจากการที่ๆบ้านถูกดูหมิ่นมันยังไม่จางหาย
               “แต่มึงก็ไม่ควรปากเก่งป่ะวะ กูรู้ว่ามึงคิดต่าง แต่บางทีเก็บไว้บ้างก็ได้ อดทนน่ะ รู้จักแมะ”
               “โอ๊ย! โดนด่าถึงพ่อถึงแม่ซะขนาดนั้น ใครอดทนได้ก็บ้าแล้ว” ไอ้อุ้มใส่อารมณ์มาก ก็ดีใจที่มันเข้าใจ แต่ช่วยเบาๆกับแผลกูหน่อยนะอุ้ม “ผู้ชายเฮงซวย ใช้คนมากรุมคนน้อย แมนชิบหาย”
               พี่เขาขำออกมานิดนึง แต่หน้าหล่อ คิ้วเข้ม ตาดุ กับต่างหูดำสองข้าง และลายสักที่แพลมออกจากเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินมาถึงข้อมือ ไม่ได้ทำให้เขาดูเป็นคนที่มีอารมณ์ขันสักนิด ผมมองพี่เขาแล้วเหมือนกับมองพวกมาเฟียในหนังไม่มีผิด น่ากลัวดี
               “เธอเองก็เหมือนกันนะ รู้ตัวรึเปล่าว่าเป็นผู้หญิง จะไปต่อยตีสู้ผู้ชายเขาได้ยังไง”
               “ถึงหนูจะเป็นผู้หญิง หนูก็ไม่เคยกลัวใคร ร้ายมาก็ร้ายตอบ อย่าเอาไปรวมกับผู้หญิงทั่วๆไป”
               “เก่งจริงแม่คุณ ระวังเถ๊อะ เจอของจริงขึ้นมาแล้วจะรู้สึก”
               “มาเลย ไม่เคยกลัว”
               “อิอุ้ม เบาๆหน่อยสิวะ”
               “เรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้พี่ฟังซิ” เขาพูดกับผม
               ผมลังเลว่าจะพูดออกไปทั้งหมดได้รึเปล่า “ก็....ผมก็แค่เครียดที่ต้องนั่งอยู่ข้างในนั่นนานๆ แค่เดินออกมาสูดอากาศหน่อยเดียวก็โดนหาเรื่องซะละ”
               พี่คนนี้ส่ายหน้าเบาๆ “ที่จริงมึงกูก็รู้จักนะ เพราะมึงมันขวางโลกไง ทำตัวไม่สนใครมันก็ต้องโดนหมั่นไส้แบบนี้แหละ”
               “มันใช่เรื่องมั๊ยล่ะแบบเนี้ยะ ยังไม่เห็นเลยว่าไอ้กิจกรรมที่ต้องทำอยู่เนี่ยมันจะมีประโยชน์อะไรนอกจาก เป็นกิจกรรมที่คนจัดสนุกอยู่ฝ่ายเดียว”
               “อันนั้นพี่ก็เห็นด้วยนะ แต่ประโยชน์จริงๆมันมีอยู่เยอะนะ ตอนนี้พูดไปก็เท่านั้น” น่าแปลกที่ผมเชื่อทุกคำพูดพี่แกเลย แค่น้ำเสียงก็รู้ว่าจริงใจไม่ปิดบัง ใจนักเลงไม่ใช่เล่นแหะคนนี้ “ชื่ออะไรกันบ้างเนี่ย”
               “ผมชื่อไลท์ครับ” ผมแนะนำตัวเองและ.. “นี่อุ้ม”
               “อุ้มหรอ ชื่อไม่เห็นเข้ากับนิสัยเลย”
               ตรงนี้อุ้มชักสีหน้า ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงยังหงุดหงิดไม่หาย “เรื่องนี่ไม่ได้เกี่ยวกับพี่ ไม่ต้องยุ่ง”
               “แล้ว พี่ชื่ออะไรหรอครับ”
               “เรียกกูว่าเสือ ชื่อกู”
               ชื่อสมกับภาพลักษณ์ดีนะ แต่ตอนนี้จะเอายังไงดีล่ะ ผมคงจะไม่เข้าไปอีกแล้ว ที่เหลือก็คงจะต้องให้ตะวันมารับ ทว่ายังไม่อยากให้พี่ธันมาเห็นผมในสภาพนี้ กลัวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทางออกคือกลับห้องหรือไปที่อื่นสักพัก แต่ไม่น่าจะสำเร็จง่ายๆ ยังไงพี่ธันก็ต้องสงสัยอยู่ดี...
               “โอ๊ย  อุ้ม ดีๆหน่อยดิวะ เจ็บนะเว้ย” ผมโวยอีกครั้ง เพราะอุ้มมันหนักมือมากจริงๆ “เลิกโมโหได้แล้ว”
               “ไม่ได้ว่ะ กูเคืองจริงๆ เกลียดที่สุดแหละไอ้พวกหมาหมู่” ดูมันเกลียดของมันจริงๆครับ ไม่รู้ว่าเห็นหน้าผมเป็นไอ้พวกนั้นด้วยหรือเปล่า “นิสัยของพวกหน้าตัวเมีย ห่วยแตก”
               จู่ๆพี่เสือก็ขำและแทรกขึ้นมา “ไม่กลัวศัตรูจะมาล้างแค้นหรอ”
               “ขอให้มาจริงๆเถอะ”
               “มาคราวนี้กูก็ไม่สู้นะ...โอ๊ะๆๆๆ ซี๊ด...” คำนี้ทำให้อุ้มมันถูแผลที่คิ้วแรงมาก “นี่กูยังเจ็บซี่โครงอยู่เลยว่ะ ไม่รู้ร้ายแรงมากมั๊ย”
               “มึงลองหายใจแรงๆดูยัง” ผมรู้ว่าพี่เสือหมายความว่ายังไง ที่น่ากังวลคือผมลองแล้ว
               “เพราะลองแล้วถึงได้พูดไงพี่”
               “ถ้างั้น...ไปหาหมอกันก่อน เช็กอีกที กูพาไปเอง” พี่เสือเสนอ ผมว่าก็น่าจะดี แต่คงต้องบอกพี่ธันก่อน จะบอกว่ายังไงล่ะทีนี้ “เอ้า ...ลุกดิ ลุกไหวรึเปล่า”
               “จะบอกพี่ธันยังไงดีวะอุ้ม” ผมจนปัญญาจริงๆ อุ้มมันก็ส่ายหน้า
               “เป็นอะไรวะ ไม่รู้จะบอกไอ้ธันว่ายังไงหรอ”
               “ครับ...” ผมตอบไป ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร แต่ทำไมพี่เสือต้องพูดชื่อพี่ธันออกมาแบบนั้น เขารู้เรื่องรึ
               “ไม่ต้องตกใจ กูไม่ได้โง่ดักดานจนไม่สนใจข่าวสารบ้านเมือง ใครเกี่ยวข้องกับชีวิตกู กูรู้หมดแหละ”
               “พี่รู้เรื่องไอ้ไลท์กับพี่ธันด้วยหรอ” ไอ้อุ้มถามซ้ำ
               “ไลท์มันก็น้องรหัสพี่ ก็ต้องรู้สิ”
               “ห๊ะ...”
               “..................”
               “เอาไว้ค่อนคุยทีหลัง ไปขึ้นรถก่อน กูโทรบอกไอ้ธันให้” พี่เสือหยิบโทรศัพท์แล้ว
               “พี่เสือครับ” เขาชะงักมอง ผมเผลอยืดตัวแรงทำให้ความเจ็บจี๊ดที่หน้าอกพุ่งขึ้นสมองจนตัวงอ “...อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพี่ธันได้มั๊ย”

               เขามองหน้าผมด้วยความกังวลและหนักใจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ


----------------------------------------------------------------------------

**************************[มีอีกหน่อย]****************************


ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


**********************[พี่ธันมาโอ๋น้องหน่อยเร็ว]**********************


               ซี่โครงร้าวครับ แม้ไม่มากแต่เจ็บบรรลัยเลย แม่งไม่ยั้งตีนกันสักนิด ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยกินนะ ยำตีนน่ะ
               “เล่นแรงเกินไปรึเปล่าวะ” พี่เสือพึมพำ
               “ไม่เป็นไรหรอกพี่ แค่นี้ผมไม่ตายหรอก เคยเจอหนักกว่านี้” ผมบอก
               “บางทีมึงนี่ก็ปากเก่งเกินไปนะไลท์ ถึงมึงจะหน้าตาดีน่าเอ็นดูแค่ไหน มันก็ไม่ช่วยให้มึงรอดตีนไปได้ตลอดนะเว้ย อย่าลืมว่ามึงต้องอยู่อีกหลายปีกับพวกนั้น”
               เรื่องนั้นก็คิดเอาไว้เหมือนกัน ผมไม่ได้อยากราวี แต่ถ้าไม่เลิกจริงๆ ผมก็มีวิธีจัดการ
               “ทำไมต้องมาเทศนาเอาตอนนี้ด้วย แค่นี้ก็รู้สึกโดนกระทำจะแย่แล้ว หัดใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นบ้างสิ”  อิอุ้มว่าเข้าให้ แต่ใจเย็นนะ ผมไม่ได้อะไรขนาดนั้น
               “ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาว่ากระดูกที่หักบ่อยๆจะแข็งแรงนะ”
               “มึงไปเอาความคิดนี้มาจากไหนวะ” พี่เสือที่พูดติดตลก(ที่ดูไม่ตลกสักนิด) พยามจะทุบหัวผม ไอ้อุ้มก็ดีมากช่วยกันไว้ให้ เป็นเหมือนการ์ดอีกคนเลย
               เมื่อตรวจเสร็จก็ได้ผลมา แผ่นฟิล์มสีดำแสดงรูปในช่องอกตัวเอง ที่ตรงนั้น.. ผมเห็นแค่รอยร้าวตรงซี่โครงแถวล่างสุดหนึ่งจุด พอมองก็แปลกใจมากว่าทำไมแค่รอยเล็กๆถึงได้ทำให้เจ็บหน้าอกได้ขนาดนี้ หมอสั่งยาให้สองสามชุดแล้วพันผ้ารอบอก(รู้สึกอึดอัด) ขณะกำลังเซ็งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่เสือก็อาสาเลี้ยงข้าว
               “ไม่ต้องล้งต้องลุ้นมันและพี่รหัส เปิดให้หมดแม่งเลย” ไอ้อุ้มกระซิบขึ้นมา ผมจำได้ว่ามันเคยพูดมาก่อน
               “ได้ยินนะครับอุ้ม” พี่เสือพูดขึ้นขำๆ “พี่ก็เป็นเงี้ยะแหละ อยากบอกก็บอก ไม่เห็นต้องมีพิธีรีตอง น่ารำคาญซะเปล่า”
               ด้วยความชิลของพี่แก บวกกับการไม่ค่อยสนโลกและธรรมเนียมหมู่มากต้องตาต้องใจผมโขอยู่ รู้สึกนับถือพี่เสือไปแล้ว เขาเป็นคนดูมีเหตุผลของตัวเองและไม่เคยเบ่งอำนาจกับใคร อย่างเช่นตอนเขาเข้ามาห้าม เขาไม่พูดปกป้องผมซักคำ เขาปกป้องคำว่า น้องๆ ต่างหาก นั่นเป็นวิธีพูดที่ทำให้ทุกคนนิ่งฟังได้ เพราะมันยังประโยชน์ ปกป้องคนอื่นในอนาคต
               เราเลือกทานร้านอาหารข้างทาง พี่เสือแนะนำมา อร่อยใช้ได้ ผมพึ่งรู้ว่าพี่เสือไม่ค่อยพูดมาก ส่วนใหญ่จะพูดคำสั้นๆหรือประโยคเคลียร์ๆ
               “เอ้อ ไลท์ พี่มีของให้” พี่เสื้อรื้อกระเป๋าหยิบกล่องกระดาษหุ้มผ้าสีเทาออกมา ข้างในเป็นปากกาลามี่สีม่วง “ของขวัญจากพี่รหัส”
               “ขอบคุณครับ กำลังอยากได้พอดีเลย” พี่เสือยิ้มรับ หน้าตาดูดีมากขึ้นมาทันที
               ตลอดเวลากินข้าว อุ้มมันนั่งข้างๆผม แต่แปลกที่มันนั่งเหม่อ ไม่บ่อยที่มันจะเป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่เคยถามว่ามันเป็นอะไร กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินพื้นที่บางอย่าง เพราะตัวผมก็เป็นผู้ชาย ไม่เคยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงมาก่อน
               “อุ้ม” พี่เสือเรียกมันในที่สุด “ไม่กินหรอ เครียดเรื่องอะไรรึเปล่า”
               “อืม ไม่มีอะไร” อุ้มก้มกินต่อ พี่เสือนี่ก็ใจดีมาก ตักเนื้อตักกับใส่ชามอุ้มจนพูน
               “ขอบคุณ” อุ้มมันไม่ดีใจสักนิด “...แต่ตักเองได้ป่ะวะ”
               “ก็อยากตักให้ แล้วก็กินด้วย”
               “เป็นไรวะอุ้ม” ผมแอบถามมันเรื่องที่มันเหม่อ อุ้มมองผมและเหลือบไปมองพี่เสือแวบหนึ่ง
               “ไม่มีอะไรหรอก กินเถอะ”
               ผมเหลือบมองนาฬิกาตัวเองเป็นระยะเพราะโทรศัพท์ผมแบตหมด นั่งได้ไม่นานก็เริ่มร้อนใจ เรื่องที่ว่าจะจัดการได้กลับไม่มั่นใจขึ้นมาซะอย่างนั้น เพราะในที่สุดพี่ธันจะต้องรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาจะต่อว่าผมมั๊ย รึจะไปหาเรื่องกับพวกที่รุมผม ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ใช่ทางที่ดีทั้งนั้น ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือผมเอง อย่างน้อยก็ให้มาลงที่ผมเถอะ ใจจริงไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แม้แต่พวกที่ฝากรอยเท้าไว้ให้ก็ตาม
               “พี่เสือบอกพี่ธันไปว่ายังไงครับ” ผมตัดสินใจถามตรงๆ
               พี่เสือมองหน้าผมนิ่ง ก่อนที่จะพูด “มึงรู้จักพี่ธันมานานหรือยัง”
               แต่นั่นมันคำถาม ทำไมรึ “เอ่อ...ผมก็เคยเห็นเขามานานแล้วล่ะ เรื่องมันก่อนเข้ามหาลัย”
               “หรอ...แล้วที่คบกันนี่ นานยัง”
               “แค่ดูใจครับ ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน” ใช่ ยังไม่เห็นว่าพี่ธันจะขอผมคบเป็นแฟนเลย
               หน้าตาพี่เสือตอนนี้เหมือนพยายามจะตัดสินใจบางอย่าง ในที่สุดเขาก็พูดมันออกมา “มึงรู้จักครอบครัวไอ้ธันมันดีแค่ไหน...กูหมายถึง เคยเจอมั๊ย”
               “ไม่ครับ  ถามทำไมพี่”
               “กูแค่อยากเตือนไว้” เตือน....ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย มีเรื่องอะไรของพี่ธันที่ผมยังไม่รู้อีกเยอะใช่มั๊ย
               ผมรอฟังอยู่...
               “เห็นมึงเป็นคนใจร้อน ถ้ามึงสองคนรักกันจริง...” พี่เสือชะงักไป “ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะพูดนะ เอาเป็นว่า ถ้ารักกันจริง ต่อจากนี้คงมีเรื่องให้มึงกับพี่ธันปวดหัวอีกมาก อดทนเอาหน่อย มีอะไรก็ค่อยๆพูดคุยกัน นะ”
               “ทำไมพี่ถึงพูดเหมือนกับว่าเข้าใจพี่ธันดีทุกอย่าง” อุ้มแทรกขึ้นมา เป็นคำถามที่ผมอยากรู้ด้วย
               “ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นญาติห่างๆกัน พอดีพ่อพวกพี่ค่อนข้างไปมาหาสู่กันบ่อย”
               ผมเพิ่งจะรู้ว่าพี่ธันเป็นคนกว้างขวาง ถึงขนาดมีน้องรหัสเป็นญาติสนิท อาจารย์หลายคนก็ดูเหมือนจะรู้จักพี่ธันดีมาก สงสัยว่าการเป็นทายาทอสังหาชื่อดังทำให้เป็นคนเด่นคนดังในวงการนี้ไปโดยปริยายนะ ตอนนี้ก็น่าจะเลิกพรีเซนต์แล้วด้วย เขาคงโทรหาผมไม่ติด ไม่รู้ว่าจะโกรธมั๊ย
               “ก่อนออกมานี่พี่เสือบอกพี่ธันว่ายังไงครับ”
               พี่เสือส่ายหน้า “ไม่ได้บอก แค่ว่าจะพามาเลี้ยง ดูเหมือนไม่อยากให้มาด้วย”
               เอาล่ะสิ ถ้าผมกลับห้องเลยตอนนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่า ค่อยเจอพี่ธันพรุ่งนี้ แล้วผมจะซ่อนแผลพวกนี้ยังไง ปิดเท่าไหร่ก็คงปิดไม่มิดแน่ๆ ไหนจะพวกที่เห็นเหตุการณ์อีก ดีไม่ดีตอนนี้พี่ธันอาจจะรู้แล้วก็ได้
               ลางสังหรณ์ผมค่อนข้างแม่นทีเดียว ไม่นานพี่เสือก็รับสายโทรศัพท์แล้วยื่นมาให้
               “ฮัลโหลครับ” ผมพูด
               “ไลท์ เป็นไงบ้าง” เสียงพี่ธันยังคงสงบ รึจะยังไม่รู้เรื่อง...
               “สบายดีครับ พี่เสือให้ของขวัญผมด้วย” ผมพยายามเลี่ยงประเด็น
               “ไลท์รีบกลับมาหาพี่ได้มั๊ย”
               “ไม่เป็นไรจริงๆพี่ธัน เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว แต่คงไม่กลับไปคณะแล้วแหละ พี่ธันกลับหอได้เลยนะ”
               "พี่รู้เรื่องหมดแล้วนะ” เอาแล้วไง “ไลท์รีบกลับมาให้พี่ดูหน่อย”
               “ไลท์ไม่เป็นอะไรมากจริงๆพี่ธัน นิดหน่อยเอง” ใช่ แค่หายใจแรงยังไม่ได้แค่นั้น
               “ไลท์....”
               “เจอกันครับ” แล้วผมก็วางสายเลย ยื่นคืนให้พี่เสือด้วยความไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ตัดสายไปก่อน
               พี่เสือส่ายหน้าน้อยๆแล้วบ่นออกมา “ไม่จบแน่นอน”
               ผมมองหน้าพี่เขา “พี่ธันจะทำอะไรต่อถ้ารู้ความจริงแล้วแบบนี้” ผมถามพี่เสือ แต่ในใจผมก็มีคำตอบอยู่บ้างแล้วเหมือนกัน...
               พี่เสือไม่ตอบ กระดิกนิ้วคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ตัดสินใจพาผมและอุ้มกลับหอ ระหว่างทางผมได้แต่ครุ่นคิด หาทางออกที่ไม่รู้อยู่ตรงไหนในสมอง บางส่วนมันก็ร้องเตือนดังมาก ฉายภาพความวุ่นวายในคณะโดยมีผมและพี่ธันเป็นศูนย์กลาง เห็นภาพพี่ธันกลับไปกระทืบไอ้คนที่มาซ้อมผมจมกองเลือด ผมไม่อยากให้พี่ธันทำแบบนั้น เขาจะเรียนจบแล้ว ไม่ควรต้องมาด่างพล้อย
               ครึ่งชั่วโมงก็ถึงหอ ผมบอกให้พี่เสือไปส่งอุ้ม บอกว่าผมไม่เป็นไร ก่อนจะขึ้นผมหันมองหน้าหอพี่ธัน ไม่เห็นวี่แววใดๆ จนกระทั่งหันกลับจะขึ้นหอตัวเองนั่นแหละ พี่ธันเดินมาจากไหนก็ไม่รู้ จู่ๆก็คว้าผมไปกอด ไอ้ผมก็ไม่ได้ตั้งตัว ซี่โครงถูกกดจนปวดแปลบ เจ็บมากจนตัวงอตาหยี มือจิกเสื้อพี่ธันแน่น
               “พี่ธัน...” ผมค่อยๆดันเขาออก
               พอพี่ธันเห็นผมเจ็บก็หน้าซีดทันที “ไลท์ ไหนบอกไม่เป็นอะไรมากไง”
               “ก็ไม่มากหรอก ไม่นานก็หาย” ผมทำท่าทางสบายๆ
               พี่ธันไม่ฟังผม จับมือจับแขนสำรวจแผลที่มีหลายจุดบนตัว หนักสุดเห็นจะเป็นหน้านี่แหละที่ดูน่ากลัว แต่แว่นผมยังคงอยู่ดีนะ ผมดีใจมากตอนที่แว่นไม่ได้รับความเสียหาย ก็ม๊าอุตส่าห์ตัดให้นี่นา
               “ยับเยินไปหมด ไม่หนักอะไร” พี่ธันดุผม “แล้วนั่นน่ะ...”
               พี่ธันค่อยๆแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาผมออก ผมตกใจจนเกร็ง เลือดสูบฉีดรุนแรงจนหน้าร้อน จู่ๆก็มีคนที่เรารักค่อยๆถอดเสื้อให้ ในสมองนี่ก็มโนเป็นฉากๆแล้ว... ไม่ได้ เดี๋ยวอารมณ์กระเจิง ผมรีบจับเสื้อไว้ทันก่อนที่กระดุมเม็ดสุดท้ายจะถูกแกะสำเร็จ
               “พี่ธัน พาไลท์ขึ้นห้องก่อนเถอะ” แม้ว่าฉากนี้จะทำให้คิดว่าผม... แต่อย่าได้คิดเด็ดขาดนะ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
               เพิ่งจะรู้ว่าการขึ้นบันไดมันยากขนาดนี้ ทุกครั้งที่ก้าวขา ซี่โครงที่ร้าวก็จะเจ็บ ไหนจะต้องพยายามเก็บอาการไม่ให้พี่ธันเห็นอีก พอเข้าห้อง ได้นั่งดีๆที่เตียงจึงค่อยยังชั่วหน่อย พี่ธันก็ยังไม่เลิก นั่งได้ไม่กี่วินาทีก็ลงมือปลดกระดุมผมต่อ
               “เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย”
               “ขอพี่ดูหน่อย” เอ็งก็พูดง่ายสิวะ ผมเขินนะเว้ย ใจมันเต้นตึกตัก
               สุดท้ายก็ต้องเผยเนื้อหนังให้อีตานี่ดูจนได้ พี่ธันค่อยๆลูบเบาๆไปตามแถบผ้าที่มัดตัวอยู่แล้วแกะมันออก
               “เดี๋ยวหมอด่า แกะทำไม”
               “พี่จะดู...” ดูอะไรวะ ไม่เอา แต่ผมขัดขืนได้ยากมากเพราะทุกครั้งที่ขยับมันเจ็บ ไม่รู้หมอให้ยาอะไรมา ถึงทำให้ความรู้สึกเจ็บมันชัดได้ขนาดนี้
               เมื่อพี่ธันเห็นรอยช้ำม่วงๆใต้ชายโครงซ้ายก็นิ่งไป ภายใต้สายตาเย็นเยียบนั้นผมมองเห็นเปลวไฟที่มันเริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ  “ใครเป็นคนทำ”
               “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นมันมืดมากเลย” ผมพูดความจริง “แต่พี่ธันไม่ต้องไปสืบหาหรอก ให้มันจบๆไปแหละดีแล้ว”
               “จบหรอ” พี่ธันเริ่มคุมเสียงตัวเองไม่ได้แล้ว “ทำกันถึงขั้นนี้จะให้พี่จบหรอ ถ้าพี่ไม่ให้ไอ้เสือมันคอยดูไลท์ไว้จะเป็นยังไง”
               “ก็ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าไปตอแยเขาเลย เขาจะได้เลิกสนใจไลท์ไปเองไง” ผมพูดด้วยเหตุผลล้วนๆเลยตอนนี้ พยายามทำให้พี่ธันเย็นลงให้ได้ก่อน “ถ้าพี่ไปหาเรื่องเขาอีก เขาก็จะเอามาลงที่ผมอีก ไม่กี่วันก็หมดเชียร์แล้ว เดี๋ยวมันก็เลิกไปเองแหละ”
               “แต่....พี่จะวางใจได้ยังว่าไลท์จะปลอดภัย”  เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน กำลังคิดหาทางอยู่  ตอนนั้นเองที่มีเสียงคนเคาะประตูห้าครั้ง เป็นไอ้ตะวันครับ พี่ธันเดินไปเปิดให้ มันมาพร้อมกับพี่วี พี่วิวและพี่ลิตเติ้ล
               “เอ้ย! ขนกันมาทำไมเนี่ย”
               “ก็มาดูมึงไง เป็นไงบ้าง” ตะวันถาม
               “สบ๊าย ไม่มีอะไรต้องห่วง”
               “ผมคุยกับพี่เสือมาแล้ว คราวนี้ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่าน” พี่ลิตเติ้ลครับ อย่าสุมไฟสิ ผมขอร้อง
               “พวกมันเป็นใครรึ” พี่วิวถามเสียงปกติ ปกติเกินไปจนเรียบเฉย มาเหมือนพี่ธันเลย แต่รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมนั่นผมไม่เคยเห็นมาก่อน
               “กูขอโทษ กูน่าจะไปให้เร็วกว่านั้น” ตะวันมันโทษตัวเองอีกแล้ว ประจำเลย
               “มึงไม่อยู่แหละดีแล้ว ไม่งั้นคงไม่จบง่ายๆแบบนี้แน่” ผมบอก
               “กูเข้าใจว่ามึงไม่อยากให้ใครเดือดร้อนวุ่นวาย แต่มึงคิดจริงๆหรอว่าพวกมันจะจบ” ตะวันตั้งคำถามที่ผมไม่อาจตอบได้ขึ้นมา ตอนนี้ทุกคนเลยดูเครียดไปหมด
               ดูเหมือนพี่วีจะเข้าใจผมดีในเรื่องนี้ พยายามสร้างสถานการณ์ให้ดูผ่อนคลาย “ห้องน้องไลท์นี่ง่ายๆดีนะ ดูสบายๆ โต๊ะเขียนแบบก็ไม่มี กระดาษก็ไม่มี เรามาเรียนสถาปัตย์จริงๆหรอไลท์”
               “แหม พี่วี...ห้องผมคงสู้ห้องตะวันไม่ได้หรอกมั้ง รายนั้นเขาจัดห้องซะสวย แต่ถ้าจะมานอนกับมัน พี่คงต้องนอนกอดกันนะ เพราะเตียงมันเล็ก”
               “คนเจ็บก็ทำตัวให้สมเป็นคนเจ็บหน่อย อย่าพูดมาก” ตอนที่ตะวันพูดนี่ก็หน้าแดงระเรื่อ พี่วีที่หันหลังให้ก็ไม่ได้ดูตกอกตกใจอะไร สงสัยจะไปเห็นมาแล้ว “เอ๊ะ หรือว่า.....มึงกับพี่วี จุดจุดจุดกันแล้ว”
               “เชี่ย...พูดเชี่ยไรเนี่ย” ไอ้ตะวันละล่ำละลัก เห็นพี่วีหูแดงก่ำก็ขำขึ้นมา รึว่าสิ่งที่ผมเดาจะถูก ฝั่งนี้พี่ลิตเติ้ลก็กำลังทุบตีพี่วิวเป็นพัลวัน ไม่รู้ว่าโดนทำอะไร
               แต่ในระหว่างที่ขำขึ้นมา ความเจ็บก็วิ่งเสียดไปทั่งแผ่นอกอีกครั้ง
               “เฮ้ย ไลท์” ไอ้ตะวันตกใจมาก
               “ซี่โครงร้าวมันเจ็บขนาดนี้เลยหรอวะ”ผมบ่น
               ผมเคยกระดูกแตก แต่ตอนนั้นมันชาไปเลย ภายหลังจึงเจ็บระบมขึ้นมา อาการเจ็บในช่องอกแบบนี้ นอกจากหัวใจแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรก เจ็บจริงๆ พี่ธันเห็นแบบนี้ก็ยิ่งหน้ายับเข้าไปใหญ่ พ่นลมหายใจอย่างกับวัวกระทิง
               “กินยานอนเหอะมึง พักผ่อน” ตะวันกำชับ
               “พี่ก็ว่างั้น” พี่วีว่า แหม คู่นี้นี่ก็...
               “ลิตเติ้ลอยากนอนยัง กูจะนอนเป็นเพื่อน” พี่วิวกระเซ้า
               “ไปนอนกับหมาเหอะมึงน่ะ”
               “หยุดเสียงดังกันได้แล้ว ไลท์จะนอน”
               เดี๋ยวก่อนนะ “ผมขอไปอาบน้ำก่อน” เพราะตอนนี้รอยตีนเต็มเสื้อไปหมดเลย
               “พี่ไปช่วยถูหลังมั๊ย” ไอ้หื่นมันพูด
               “ไม่ต้องเลย”

               ผมดีใจมากที่ยังมีคนเห็นเรื่องของผมเป็นเรื่องสำคัญของเขา ผมไม่เคยพูดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่คือคนที่จะอยู่ในใจเสมอ ทำให้รู้สึกดีที่ยังมีลมหายใจ แม้ผมจะตอบแทนพวกเขาแย่ไปหน่อยด้วยการเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยไม่คิด แต่ผมจะค่อยๆปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับพี่ธัน ขอบคุณมากที่ไม่ยอมห่างผมไปไหน มือของเขายังคงลูบหัวอยู่จนผมค่อยๆหลับไป
               ก่อนจะสิ้นสติเข้าสู่นิทราลึก ผมแว่วว่าได้ยินเสียงพี่สิบโทเข้าห้องมาหา ได้ยินพี่ธันขอร้องให้เขาช่วยทำอะไรบางอย่าง และได้ยินเขาพูดกับเพื่อนทั้งสองของเขา สมุนมือขวาและมือซ้าย
               “ฉายาพวกมึงยังไม่ทื่อใช่มั๊ย”
               “มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ไอ้ธัน”

               “ก็ทำให้พวกมันเห็นของจริงไงล่ะ”


******************************************************************************************
Mr.SCROMAN : โอ้ววว รุนแรงกันจริง ...แต่ความสนใจผู้เขียนยังคงสนใจอยู่กับความสงสัย ว่าทำไมรู้สึกเหมือนไลท์มีฮาเร็มเป็นของตัวเอง แล้วแต่ละคนนี่แบบ...


ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
รอตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

19

ธันวา : นรกเปิด



               "มึงเอาจริงหรอวะธัน” ไอ้วีถามเป็นรอบที่สิบ
               “ก็อาจจะดีกว่านั่งเฉยๆ” ไอ้เสือมันมองไปข้างหน้าสามก้าวเสมอ
               “จัดการไปยังวะไอ้วิว”
               “เออ คราวนี้มันหลอนแน่”
               “ทำอะไรหรอ” ไอ้ลิตเติ้ลยังใสๆ แต่รายนี้น่าจะช่วยได้บ้างในฐานะคนวงใน
               “แล้วมึงล่ะ สิบโท จะช่วยกูป่ะ”
               “กูจะช่วยไลท์” ผมรู้ว่ามันต้องตกลง “เพราะมึงคงยังดูแลไลท์ไม่ได้”
               ผมเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง “ทางนี้ให้ไอ้วิวจัดการดูแลทุกอย่างไป ที่เหลือเตรียมตัวให้ดี บ่ายวันนี้เราจะไปบุกสโมฯ”
               “ผมขออยู่เฝ้าไลท์นะ” คนนี้ก็ยอมให้ทำไปแล้วกัน เห็นว่าลาเรียนมาเลยนี่นะ พ้นช่วงสามวันไปนี้คงจะดีขึ้นบ้าง
               “ยังไงก็ตาม เรื่องนี้ห้ามพลาด”  ผมย้ำ  “เด็ดขาด


               ตามที่ผมบอกนั่นแหละ งานนี้ห้ามพลาดจริงๆ หากต้องการให้ไลท์ปลอดภัย เวลานี้ทำได้เพียงกันพวกนั้นให้อยู่ห่างตัวให้ไกลที่สุด แต่หากจะทำให้ไลท์ต้องปลอดภัยในระยะยาว ก็ต้องแน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่เข้ามายุ่งอีก เพราะนี่เป็นปีสุดท้ายของผมแล้ว  วันข้างหน้า จะให้คอยตามไม่ห่างคงจะยากหน่อย
               นั่นเป็นเหตุให้ผมยืมฉายาของไอ้วิวมาใช้ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ฉายาที่หลายคนรู้จักของมันไม่ใช่ของจริง ‘เจ้าพ่อฮาเร็ม’  คือฉายาที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากเรียนมหาลัยแล้ว  ส่วนฉายาดั้งเดิมเกิดจากพื้นฐานทางครอบครัวยากูซ่าของมัน พ่อมันมีทั้งธุรกิจค้าไม้ โรงแรม รีสอร์ท โลจิสติก และอาหาร  มีเส้นสายมากมายทั่วประเทศ ทั้งบนดินใต้ดิน เวลาไปติดต่อคุยงานทีก็ลากไอ้วิวไปด้วย ทักษะการรวบรวมคนและข่าวสารของมันจึงร้ายกาจมาก แม้ยังไม่เข้าขั้น แต่ก็ไร้ผู้ใดในรุ่นเดียวกันทาบติด ห้าปีที่อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่ามันขุดวางรากลงไปลึกแค่ไหนแล้ว
               ครั้งนี้ผมจะขอชมฝีมือของนรกหมายเลขสองฉายา ‘ปีศาจแมงมุมดำ’ เป็นขวัญตาอีกสักครั้ง สิ่งที่ผมมอบหมายให้มันคือการสร้างความหวาดกลัวให้ศัตรูของไลท์ ทุกที่ๆพวกมันไป ที่ๆพวกมันอยู่ ที่ๆมันนอน แม้กระทั่งที่ๆพวกมันคิดว่าปลอดภัยที่สุด จะมีสิ่งที่คอยย้ำเตือนมันว่ามีคนจับตาดูอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข้อความเตือน คำขู่ หรืออาจเป็นแค่คำทักทายใสๆในลิ้นชักโต๊ะ ของพวกนี้จะปรากฏในที่ๆแม้แต่พวกมันเองก็คิดไม่ถึง คราวนี้ถ้ายังกล้าลงมืออีกก็ถือว่ามันรนหาที่เองละกัน
               อย่างที่ไอ้วิวว่า คราวนี้มันต้องหลอนแน่ๆ
               ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ทุกคนค่อนข้างยุ่ง ทว่ามีเหล่าคนที่แยกตัวออกไปแล้วคือไอ้เสือกับไอ้วี สองคนนี้ไม่ต่างจากคู่หูวิชามาร ฉายาไอ้วีแม้ไม่เป็นที่รู้จักแต่ก็ร้ายกาจ เหตุผลที่ฉายานี้ถูกสร้างขึ้นมาก็เพราะนิสัยไม่แสดงตัวของมันนั่นแหละ คนทั่วไปจะรู้จักมันในเรื่องของ ‘เจ้าแห่งวิชามาร’ เพราะมันมักจะทำสิ่งที่ไม่น่าสำเร็จให้สำเร็จได้ ครั้งนี้มันแท็กทีมกับไอ้เสือ ผู้ที่ผมแอบตั้งฉายามันตั้งแต่เด็กว่า ‘นรกตายซาก’ ทีมนี้รวมกันแล้วค่อนข้างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียวว่าจะสำเร็จตามแผน
               เว้นไอ้สิบโท ไอ้นี่มันคนดีเกิน กลัวจริงๆว่ามันจะขัดแผนการของผมที่เน้นรุกรับใต้น้ำ ตัวมันที่เป็นคนเปิดเผยชัดเจนยอมมาร่วมวงก็เพราะน้องไลท์คนเดียว ไม่รู้จะดีใจดีหรือเปล่า
               แล้วตัวผมทำหน้าที่อะไรน่ะหรอ...ใช่แล้ว ผมคือปีศาจที่ถูกขังอยู่ในขุมนรก ตลอดเวลาผมถูกจองจำอย่างสงบมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ เมื่อมันเกี่ยวข้องกับไลท์ ปีศาจตนนี้จะขออาละวาดให้ถึงที่สุด

--------------------------------------------------------------------------

               ผมอยู่กับไลท์และเพื่อนของเขาที่โรงอาหารในตอนกลางวัน กำชับทุกคนแล้วว่าไลท์ต้องไม่รู้เรื่อง ผมไม่อยากให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เหมือนไอ้สิบโท ไลท์เป็นคนอ่อนโยนเกินไป เขาต้องปฏิเสธแผนการของผมแน่ แต่เรื่องนั้นยังไม่น่ากังวลเท่าสายตาของคนที่มองเข้ามาในตอนนี้ เรื่องเมื่อคืนคงจะสะพัดไปแล้ว ดีหน่อยที่ส่วนใหญ่ยังคงเข้ามาถามอาการเพราะห่วงใย
               “ไลท์เป็นไงบ้างเนี่ย” ยัยออมครับ เธอเป็นแฟนคลับไลท์  “ดูซิ เจ็บแย่เลย ทำไมถึงทำกับน้องพี่ขนาดนี้ก็ไม่รู้เนอะ ใจร้ายจัง”
               “ไม่เป็นไรครับพี่ออม ผมเก่งซะอย่าง เดี๋ยวก็หายแล้ว ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง” ไลท์นี่ก็ชอบหวานใส่ชาวบ้านเขาไปทั่ว ผมซึ่งนั่งประกบข้างเขาอยู่ขยี้หัวไปทีนึง
               “หว่านเสน่ห์อยู่เรื่อยเลยนะเรา หื้มมม”
               “พี่ธันน ไลท์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
               “แค่ยิ้มก็หว่านเสน่ห์แล้ว”
               “พี่ธันไม่กินข้าวหรอ มา... ไลท์ป้อน” น่ารักที่สุด ผมงี้ยิ้มจนหุบไม่ลงเลย สรุปแล้วมื้อกลางวันของผม เราสองคนกินข้าวด้วยกัน น้องไลท์ดูจะยังเขินๆอยู่บ้าง ส่วนผม...ไม่รู้ตอนไหนเหมือนกันที่ทำให้ผมเลิกสนใจคนอื่นโดยสิ้นเชิง ใครจะมองว่ายังไงก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
               “หวานกันจริงนะคู่เนี๊ยะ หมั่นไส้จริงเลย” ไอ้อะตอมตัดพ้อ นี่เพื่อนออม
               “ซี่โครงมึงเป็นไงบ้างไลท์” น้องคนนี้ชื่ออุ้ม ผมชอบน้องคนนี้เพราะว่าเธอไม่เคยทิ้งไลท์เลย
               “อืม ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ แต่คงยังทำอะไรหนักๆไม่ได้แน่ๆ”
               “งั้นมึงก็ลาออกไปเหอะ งานแต่ละงาน กูยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่หนักเลย” พูดได้ตรงมากน้องอุ้ม ที่จริงผมควรจะขอบคุณเธอ สำหรับเรื่องไลท์
               “เอ่อ...น้องอุ้มครับ พี่ขอบคุณมากเลยนะที่คอยช่วยไลท์น่ะ”
               น้องดูอึ้งมาก ออกจะเขินๆด้วย พักหลังมานี่พอผมทำดีๆกับใครเป็นอันต้องตกใจทุกคนสิน่า มันเป็นเพราะอะไรวะ
               “มึงเขินเชี่ยไรอุ้ม เดี๋ยวเหอะ” อันนี้ไลท์หึง ดีใจจัง หมั่นไส้ด้วย อยากแกล้ง.... แล้วผมก็แกล้งถอดแว่นของไลท์ออกมาลองใส่ดูบ้าง ไลท์ตอนไม่มีแว่นก็น่ารักไปอีกแบบ
               “พี่ธัน ไลท์มองไม่เห็น”
               “มองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย...” ผมลองสวมแว่นไลท์ดู “โห?? อะไรเนี่ย ไลท์สั้นเท่าไหร่”
               “ก็ เจ็ดร้อยกว่าๆเอง“ เจ็ดร้อย แม่เจ้า ตอนนี้ผมกำลังเป็นคนตาบอดหลังเลนส์ เห็นแต่ภาพอะไรไม่รู้ ไม่คุ้น
               “น้องไลท์ใช่มั๊ยคะ” มีเสียงผู้หญิงมานั่งตรงข้ามไลท์ ผมคุ้นเสียงอยู่หรอก แต่มองผ่านแว่นแล้วไม่แน่ใจ น้องเองก็คงมองไม่ชัดเหมือนกัน
               “ใครวะน่ะ เสียงคุ้นๆ” ผมถาม ไลท์ยังคงพยายามแย่งแว่นกลับ
               “เชี่ยธัน กูสา” อ๋อ ฝ่ายสถานที่ของสโมฯ อันที่จริงสาเป็นผู้หญิงอินดี้ที่น่ารักนะ ทำไมตอนนี้ถึงได้บิดเบี้ยวพิกล
               “เอามานี่เลย” ไลท์แย่งได้ในที่สุด
               “มีไรวะ มาหากูถึงนี่ อยากให้ช่วยอะไร”
               สาดูหนักใจมาก ผมดำมันที่ตัดฉียงเสมอแนวคางดูห้อยย้อย ต่างหูวงใหญ่แกว่งน้อยๆตามการเคลื่อนไหวของใบหน้าเรียบเฉย สาไม่ชอบทารองพื้นหรือแต่งหน้าจัด เพียงเขียนขอบตาคมๆเท่านั้น แต่ทุกคนก็จะฟันธงว่าเธอเป็นผู้หญิงสวยดุมีสมองทันทีที่ได้เห็น
               “กูมีเรื่องอยากจะถาม”
               “ว่ามาสิ”
               “มึงเป็นคนขอให้ย้ายห้องประชุมเชียร์หรอวะ”  อืม...จะว่ายังไงดี งานไอ้วีนี่ยังเร็วเหมือนเดิม เร็วกว่าที่ผมคาด
               “ก็ห้องเก่ามันเล็ก เด็กมันอึดอัดแย่ จะทำกิจกรรมอะไรก็ยาก ถูกมั๊ย”
               “มึง เหตุผลแค่นี้ไม่พอหรอกนะเว้ย ย้ายสถานที่มันงานใหญ่นะ ไหนจะต้องขอไปทางคณะบดี กว่าจะรอผล ทำความสะอาด จัดเวที นี่ก็เหลือแค่ไม่กี่วัน มันจะคุ้มหรอวะ”
               “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันไม่คุ้ม” ผมกำลังคิดว่าเข้าทางสาอีกทางน่าจะดี เธอมีเหตุผลและคุยได้ ที่เธอมาหาผมก่อนเพราะต้องการที่จะรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นและถ้าผมคิดไม่ผิด เธอเองก็ดูจะไม่ค่อยชอบคณะจัดเชียร์ปีนี้เท่าไหร่นัก
               “กูไม่ชอบคำว่า น่าจะ.. เลยนะเว้ย มึงมั่นใจใช่มั๊ยว่ามันจะไม่เป็นปัญหา”
               “ปัญหามันมีแล้ว มึงไม่ต้องกังวลหรอก คราวนี้กูลงมาช่วยพวกมึงโดยเฉพาะ ขอแค่พวกมึงเปลี่ยนชุดคนคุมเชียร์ให้หมดทุกคนก็พอ”
               สาลังเล เธอชำเลืองมองไลท์แล้วถอนหายใจ หลายคนไม่แปลกใจแล้วที่ผมคบกับไลท์ คณะนี้ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง ชีวิตใครชีวิตมันไม่เกี่ยวข้องกัน และงานที่ล้นมือล้นสมองก็ช่วยลดความเผือกของทุกคนลงไปได้กว่าครึ่งเลยทีเดียว
               “เอาจริง กูก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้นะ ไม่นึกว่าไอ้ก๊อตมันจะกล้าทำ”
               “สายตาดูคนของพวกมึงนี่...แย่ลงรึเปล่า” สามองผม เธอลังเลอะไร...รึว่า  “--อย่าบอกนะว่าเด็กเส้นไอ้บอล”
               เธอไม่ตอบ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนดี
               “กูเบื่อจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกแม่งแล้ว” เธอขยับนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ยาว ท่าประจำเวลาเธอหงุดหงิดใจ “ถ้ามึงกลับไปช่วย อะไรมันก็คงง่ายขึ้นแหละมั้ง”
               “กูบอกมึงแล้วว่าเหนื่อยๆ มึงก็ไม่ฟัง...”  ผมไม่อยากรื้อปมทะเลาะเก่าแก่  “เอาเถอะ รอตอนบ่ายตอนที่พวกมึงประชุมกัน แล้วจะรู้เอง”
               “....มึง...”
               “อ้อ เอาไอ้เต้ไปด้วยนะ” ไอ้เต้เคยเป็นคนคิดกิจกรรมสนุกๆในคณะ หัวมันสร้างสรรค์ แต่มันสู้เหล่าประธานสโมฯหัวโบราณไม่ไหว
               “ไอ้เต้หรอ....มันคงมาให้มึงแหละ”
               “บอกว่ากูขอมาเอง”

               วินาทีนี้ผมต้องสงบอารมณ์เพื่อเค้นสมองให้มากที่สุด ถึงผมจะมีอิทธิพลทางความคิดแต่ก็ไม่สามารถจัดกิจกรรมใหญ่แบบนี้ตามลำพังได้ ยังไงเสียกำลังคนก็ยังจำเป็น ทางที่เร็วที่สุดคือการยึดอำนาจ ตอนนี้ยังไปได้สวยอยู่ รอไปวัดผลกันจริงๆบนสโมฯอีกที
               “มีเรื่องอะไรกัน พี่ธันจะมาคุมเชียร์หรอ” ไลท์ถาม ไม่ใช่คนโง่ด้วย พูดอ้อมๆเอาดีกว่า
               “ก็คล้ายๆแบบนั้นแหละ ไหนๆก็ปีสุดท้ายแล้ว ขอทิ้งลายไว้หน่อยแล้วกันนะ”
               “เป็นเพราะไลท์รึเปล่า” เขาทำเสียงได้รู้สึกแย่มากๆ
               “ก็ส่วนหนึ่งพี่ก็ต้องดูแลไลท์ให้ปลอดภัยไง” ผมหอมกระหม่อมไลท์ คนอะไรหัวห๊อมหอม “เพื่อไลท์ พี่จะทำทุกอย่าง”
               “หวานไปละ เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง”
               “ด้านได้อายอดนะครับ คนดี”  ผมฉวยโอกาสตอนไลท์เผลอ จูบซอกคอน้องไปที ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  แต่ไลท์เป็นคนที่ตัวหอมมากๆ ไม่ต้องใส่น้ำหอมก็หอมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้อะไรทำให้ไลท์หวงเนื้อหวงตัวขนาดนี้ได้นะ เล่นทุบผมซะหลายที

               ไลท์หาว่าผมเป็นพวกชอบฉวยโอกาส


--------------------------------------------------------------------------

               ตอนบ่าย ผมลอบออกมาจากห้องบรรยายพร้อมไอ้วี พอออกมาหน้าตึกก็เห็นคณะปฏิวัติของผมรออยู่แล้ว ประกอบด้วยสิบโท(ทำหน้าตายมาก) ไอ้วิวในชุดช็อป สา ไอ้เต้ และไอ้เสือ
               “ไงเต้” ผมทักสมาชิกใหม่
               “หวัดดีพี่ นึกไงเรียกผมมา”
               “มีเรื่องให้ช่วยว่ะ” ผมยังไม่อยากอธิบายอะไรตอนนี้  “ไปกันเถอะ”
               เราเจ็ดคนมุ่งตรงไปที่ตึกสโมสรคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์(ไม่ได้มาเป็นปีแล้ว) ห้องประชุมอยู่ชั้นสอง พอขึ้นไปถึง ทุกคนกระจายกำลังทันที ผมกอดคอไอ้เต้นั่งปักหลักอยู่หน้าประตู ไอ้สิบโทเดินอ้อมไปด้านข้างกลุ่มน้องๆปีสองปีสามราวสามสิบคนที่นั่งกันอยู่ที่พื้น ไอ้เสือและสาเข้าไปสมทบกับกลุ่มที่เป็นสตาฟหลัก ไอ้วีเป็นตัวสำคัญ มุ่งตรงไปยืนบริเวณด้านหน้าการประชุม ส่วนไอ้วิวนะหรือ โน่น พ่นควันอยู่นอกระเบียง
               ทุกคนมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด มากๆ
               “พวกมึงมาทำอะไรที่นี่” เสียงนี้เป็นของประธานเชียร์ ไอ้บอล เด็กไอดี(ออกแบบอุตสาหกรรม)ที่ชอบโชว์กร่างในทุกกิจกรรมของคณะ ผมเห็นไอ้คนที่เป็นต้นเหตุให้ไลท์ต้องเจ็บตัวด้วย ไอ้ก๊อต นั่งอยู่เลยด้านหลังไปหน่อย จากที่มันหน้าเสียอยู่แล้ว พอเห็นผมจ้องยิ่งหน้าซีดลงไปอีก น่าจะได้รับข้อความแล้ว และหน้าผมตอนนี้เป็นอีกหนึ่งข้อความ สื่อความหมายง่ายๆว่า ‘มึงล้ำเส้นกูก่อน’
               “จากที่เจอกันครั้งก่อน มึงดูดีขึ้นมากนะ ในฐานะที่เป็นประธานเชียร์” ไอ้วีเดินเข้าไปหา “แล้ว...นี่คู่หูมึงไปไหน ไอ้อ๊อฟน่ะ”  ไอ้อ๊อฟคือเพื่อนที่มันลากมาช่วยทำกิจกรรมตลอด ได้ยินว่าหลังๆชอบทะเลาะกันเพราะไอ้อ๊อฟเริ่มเด่นในสายตารุ่นพี่ ไอ้บอลมันทนไม่ได้ที่ถูกลดความสำคัญจึงเขี่ยไอ้อ๊อฟทิ้งไปจากสารบบ นี่ที่ไอ้วีมันสืบมานะ
               “เรื่องเมื่อวานเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่ามีน้องปีหนึ่งถูกลูกน้องมึงรุมใช่มั๊ย น้องเขายังอยู่ดีรึเปล่า” ไอ้วีพูดออกมาเสียงดังจนคนหลายคนซุบซิบแลกข่าวกัน ไอ้บอลคงยังไม่ได้บอกรายระเอียดกับคนอื่นๆ “จัดการไปถึงไหนแล้วล่ะ”
               “เรื่องนั้นพวกกูจัดการอยู่ และมันจบไปแล้ว”
               “หรอ น่าเสียดายที่คนผิดไม่ได้รับโทษ” ไอ้วีกดดันอีกฝ่ายได้อยู่หมัดทีเดียว “กูเห็นว่าตัวการยังสบายดีอยู่เลย”
               สายตาไอ้บอลกวาดตามองน้องๆทีมร้องเพลงลวกๆ หันไปหาไอ้ก๊อตที่หน้าเสียหลบอยู่ข้างหลัง จากนั้นมันมองหน้าผมแล้วพยักหน้าเรียกให้ไปคุยกันอีกห้องหนึ่ง พวกผมจึงตามไปพร้อมทีมงานทั้งหมด พอประตูปิดลงหลังจากสตาฟคนสุดท้ายเดินเข้ามา ไอ้บอลมันก็เกรี้ยวกราดทันที
               “พวกมึงเอาเรื่องเชี่ยนี่ออกมาพูดอะไรตอนนี้ อยากให้มันวุ่นวายรึไง” มันเดินมาหาผม “กูอุตส่าห์ทำให้เรื่องเงียบ”
               นี่มันไม่คิดจะรับผิดชอบหรือแม้กระทั่งรู้สึกผิด ส้นตีนจริงๆ  “ที่คนอื่นไม่รู้เรื่องพวกนี้ เป็นเพราะมึงอยากจะเก็บความเหี้ยของพวกมึงไม่ให้ใครเห็นใช่มั๊ย รึกลัวว่าคนอื่นจะหาว่ามึงไร้น้ำยา ดูแลลูกน้องตัวเองไม่ได้”
               “อย่าเอาความปากเก่งมาใช้กับกูนะไอ้ธัน กูไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน”
               “อ้อเรื่องนั้นกูก็พอจะดูออกนะ” ผมกำลังจะยั่วให้มันเขว “มึงดูเหี้ยขึ้นกว่าตอนสุดท้ายที่เจอกันเสียอีก หน้าตัวเมียกว่าเดิมด้วย”
               “ถ้ามึงจะมาเรื่องน้องรหัสมึงละก็ กลับไปซะ”
               “อันที่จริง เพราะเรื่องนั้นแหละที่ทำให้กูต้องมาอยู่ตรงนี้ ...นี่กูควบคุมตัวเองแล้วนะ ไม่งั้นเลือดหัวไอ้ก๊อตมันได้ล้างตีนกูไปแล้ว”
               “ที่กูได้ยินมาคือน้องมึงไปกวนตีนเขาก่อน ทำตัวมีปัญหา ไม่ใช่หรอ”
               “แต่ที่กูเห็นมาคือไอ้ก๊อตกับพวกของมันกำลังกระทืบน้องแล้วก็ทำร้ายผู้หญิง” ไอ้เสือพูดแหวกอากาศขึ้นมา “มึงจะบอกว่าเรื่องนี้มึงสั่งการลงไปเองด้วยใช่มั๊ย”
               “เหี้ย มันก็ไม่มีใครอยากให้เกิดป่ะวะ ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ต่างฝ่ายต่างคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็แค่นั้น”
               “แค่นั้นหรอ??” ไอ้สิบโทคงจะอารมณ์โกรธขึ้นหน้าเหมือนกัน ทว่าผมไม่สงบพอจะเปิดปากพูดด้วยเสียงปกติเหมือนมันได้ “ใช่ แค่ซี่โครงร้าวเอง บางทีถ้าตอนนี้กูกระทืบมึงให้จมตีนมันก็คงไม่มีอะไรใช่มั๊ย --แบบว่า...อารมณ์ชั่ววูบน่ะ”
               “กูก็ยังเห็นมันมาเรียนได้ปกติ ไม่เห็นหนักหนาอะไร”
               “ไอ้พี่บอลครับ ผมในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์สามารถแจ้งความจับไอ้ก๊อตได้เลยนะ ถ้าน้องไลท์มันไม่ห้ามไว้” ไอ้เสือพูดออกมาลอยๆ ยืนแคะเล็บท่าทางผ่อนคลายไม่รู้สึกรู้สา
               ตลอดเวลาที่พูดกันอยู่ ไอ้ก๊อตตัวต้นเหตุก็ยังยืนเฉยๆอยู่มุมห้อง หน้าตาที่เคร่งเครียดไม่รู้มาจากความกลัวรึความโกรธ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกผมเป็นปีแก่กว่าทำให้มันไม่กล้าเล่นต่อหน้า ผมกำลังชั่งใจว่าจะบีบมันมากกว่านี้ดีไหม ในเมื่อตอนนี้คนชักใยกลับเป็นไอ้บอล คนอย่างไอ้ก๊อตที่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้นั้นจัดการไม่ยาก ไอ้บอลนี่แหละน่าปวดหัว ผมไม่อาจใช้กำลังบังคับให้มันวางมือได้
               ”ถ้าอย่างนั้นพวกมึงต้องการอะไร”
               “ก็แค่ ขออำนาจสั่งการทั้งหมดในกิจกรรมเชียร์--”  ไอ้วิวว่า  “--จากมึงไงคร้าบ”
               แล้วเมย์ก็แทรกขึ้นมา เธอเป็นคนคุมทีมเพลง  “ตกลงพวกมึงมาเรื่องอะไรกันแน่ จะมาเคลียร์เรื่องน้อง หรือว่าจะมาไล่พวกกู”
               “เฮ้ย! เปล่าเลยเมย์ พวกมึงก็ทำตัวปกติไปเหมือนเดิม กูกับไอ้ธันในฐานะคนกำหนดทิศทางจะไม่ขอออกหน้าเอาชื่อหรอก แค่ขอให้พวกมึงเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกกูจะเข้ามาทำก็แค่นั้น” ไอ้วีอธิบาย
               “ให้พวกกูเป็นหุ่นเชิดหรอ จะมากไปแล้วมั้ง” ไอ้บอลค้าน
               “ก็ยังดีกว่าให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปใช่มั๊ย”
               ไอ้บอลมันยังไม่สะทกสะท้าน “คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้กูกลัวหรอวะ พวกมึงจะดูถูกกูมากไปรึเปล่า”
               ห้องเงียบกริบ ความเย็นเยียบเงียบขรึมสร้างบรรยากาศที่น่าอึดอัด สองฝ่ายมองหน้ากัน แววตาคั่งแค้นแสนสาหัสนัก แต่ไอ้วีเพียงยิ้มบางๆให้ ก่อนเดินเข้าไปชิดติดไอ้บอล ยื่นหน้าเข้าไป ผมซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ได้ยินมันกระซิบข้างหู
               “...แล้วถ้าเป็นเรื่องเมื่อสี่ปีที่แล้วล่ะ ครอบครัวมึงจะเป็นยังไงนะ ถ้ากูเปิดเผยออกมา ...เท่าไหร่นะ? สิบห้าล้านใช่มั๊ย”
               “ไอ้...มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง---“   ไอ้บอลมันหน้าซีดครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร
               “ถ้านี่ยังไม่พอ งั้นก็เรื่อง....วันขึ้นปีใหม่ ที่โรงแรมเชอราตั้น อันนั้นกูมีคลิปด้วยนะเว้ย”  ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้ไอ้บอลคงจะกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว ตอนนี้สีหน้ามันไม่ต่างจากกระดาษเลยทีเดียว “นิสัยแบบนั้นของมึงก็ไม่ได้น่าเกลียดมากนะ แต่มึงประมาทไป เดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรไว้ใจได้ทั้งนั้นแหละ”
               ไอ้วีมีชัยแล้ว มันหันไปบอกกับทุกคน “ถ้างั้นเอาตามนี้นะ เรากลับเข้าห้องประชุมกันดีกว่า”
               “อะไรวะ ตกลงยังไง” เลขาไอ้บอล น้องปุยนุ่นถาม
               “ก็ คงตกลงได้แล้ว ใช่มั๊ย” สาบอก ผมดูออกว่าเธองง แต่คงอยากให้เรื่องจบไวๆ
               ไอ้วีช่วยอธิบายเพิ่ม “สรุปคือไอ้บอลอนุญาติแล้ว พวกกูจะมาช่วยทำเชียร์ แล้วก็ไม่ต้องแจ้งทางศิษย์เก่าหรอกนะ พวกพี่ๆลุงๆเขารู้กันหมดแล้ว”
               เหล่าสตาฟที่กำลังงงอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มองมาทางไอ้บอล เมื่อมันไม่ตอบก็เข้าใจว่าเป็นไปตามที่ไอ้วีประกาศ ไอ้บอลยังคงยืนค้างหน้าซีดอยู่ที่เดิม ผมรอดูมันอยู่ที่ประตูจนกระทั่งทุกคนออกไปหมด ตอนนั้นเองที่ไอ้วีมันเดินเข้ามาอีกครั้ง  “ไอ้บอล...ไปบอกลูกฝูงมึงซิ”  มันมองไอ้วีแปลกๆ กึ่งทึ่งกึ่งอาฆาต  “...แล้วก็อย่าคิดมาก กูยังมีเรื่องมึงกับครอบครัวอีกเยอะ แต่ไม่ต้องกลัว กูไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ตราบใดที่มึงเลิกตอแยกับน้องไลท์และพวกกูอีก กูก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
               เหงื่อไอ้บอลมันแตกเป็นเม็ดเลยครับ ไม่รู้ว่าร้อนหรืออะไร ระหว่างที่มันเดินผ่านผมกับไอ้วี มันเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง เป็นการขู่อย่างซึ่งหน้า...
               “อย่าให้มึงพลาดบ้างแล้วกัน” หน้าไอ้บอลเอาจริงครับ
               ...แต่ไอ้วีเอาจริงกว่า แววตาดำมืดที่เหมือนไร้ก้นบึ้งนั่น แม้แต่ผมยังขวัญผวา   
               “มึงจะทำอะไรก็ทำไป อยากล้างแค้นกูก็ไม่ว่า...แต่จำไว้ ถ้าจะเริ่มเล่นเกมกับกู มึงก็ต้องเป็นฝ่ายเริ่ม
               ฟังแล้วขนลุก ผมรู้เสมอว่าไอ้วีเกลียดการขู่ที่สุด เรื่องแบบนี้ที่มันตัดสินใจเข้าร่วม มันต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์เสี่ยงๆมาแล้วแน่ๆ แต่นี่เป็นเพียงทักษะอย่างหนึ่งของมันเท่านั้น เข้าใจว่าเวลาแค่นี้ไม่อาจทำให้มันแสดงฉายาที่แท้จริงออกมาได้ น่าเสียดายจริงๆ

               ปรากฏว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น ไอ้วีทำให้มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ ทุกอย่างดูปกติ พวกผมในสายตาของทุกคนในทีมคือแขกผู้มีเกียรติที่มาช่วยสร้างสีสัน ไอ้วิวได้เป็นตำแหน่งคุมน้อง มันขนเอาเพื่อนและน้องที่มันสนิทมาด้วย(ในคณะถาปัตย์) ผมไม่รู้ว่ามันจะมาช่วยสร้างสีสันหรือความวุ่นวาย เพราะแค่มันเริ่มงาน ก็ประกาศว่าจะเลี้ยงใหญ่ให้ทีมเชียร์ทั้งหมดหลังวันอาทิตย์เสียแล้ว แบบนี้เรียกเอาขนมมาล่อ
               ไอ้วีมันร้ายมาก เรื่องทุกเรื่องที่ต้องจัดการเสร็จสิ้นเรียบร้อยหมดภายในหนึ่งวัน เอกสารรับรองสถานที่ อุปกรณ์ประกอบฉาก แสงสีเสียง แม้กระทั่งกำหนดการสำหรับพวกพี่ๆที่จบไปแล้วก็อัพเดททุกอย่าง เรื่องที่ผมกับแก๊งจะเข้ามาช่วยคุมทีมปีนี้เป็นที่ล่วงรู้กันหมดด้วยเวลาอันรวดเร็วมากโดยที่ไม่มีใครค้านได้เลยสักคน ตอนนี้พวกผมอยากทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครกล้าขัด ไอ้เต้เลยคิดกิจกรรมสนุกๆเพิ่มเข้าไปอีกสองสามอย่าง ผมเห็นแล้วก็...อืม จะอลังการไปไหน ส่งท้ายด้วยรายชื่อแขกผู้มีคุณวุฒิที่จะมาร่วมเชียร์ เป็นเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังไม่น้อยเลย
               ถึงเวลาเย็นย่ำพอดีที่พวกเราแยกย้ายขนของไปรอเหล่าปีหนึ่งกันอยู่ที่ห้องเชียร์ห้องใหม่ ทุกชั้นปีต่างพูดถึงกิจกรรมของวันนี้ราวกับเป็นเทศกาล ปีหนึ่งเองก็โดนเป่าหูจนตื่นเต้นไปหมด ส่วนผม ก่อนจะไปเข้าห้องเชียร์ก็ต้องตรงไปที่สตูฯปีหนึ่งก่อน ไลท์เลิกเรียนแล้ว กำลังจ้อไม่หยุดกับเพื่อนหลายคนที่ยืนล้อมเป็นกลุ่ม ผมเกิดความรู้สึกหงุดหงิด ทำไมต้องเป็นห่วงไลท์ขนาดนั้นด้วย
               “ไลท์” ผมตะโกนเรียก ทุกคนตรงนั้นหันมาเห็นก็เริ่มซุบซิบกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ ไลท์เองก็หน้าแดง
               “พี่ธัน มาทำไมเนี่ย”
               “ไอ้ตะวันล่ะ” ผมไม่เห็นมัน ห่านี่ ไหนบอกจะเฝ้าไลท์  “มันไปไหน”
               “เอ่อ มันมีธุระ ผมเลยให้มันกลับไปก่อน”
               “แล้วทำไมไม่โทรหาพี่ พี่จะได้มาอยู่เป็นเพื่อน”
               “บ้าหรอ ไลท์ก็เรียนอยู่ ไม่มีอะไรหรอกน่า”
               ไลท์เป็นคนดื้อด้านจริงๆ พูดไม่เคยฟังเลย “ไม่รู้แหละ แค่ไม่เห็นหน้าก็เป็นห่วงแล้ว แล้วนี่...ดีขึ้นรึยัง”
               “อืม ค่อยๆดีขึ้นแล้ว หายใจได้ ไม่เจ็บมากแล้วล่ะ” ไลท์สีหน้าดูดีขึ้นจริงๆ “ร่างกายไลท์แข็งแรงมาก แค่นี้ไม่นานก็หาย”
               “อย่าซ่าให้มากนักนะ ไม่ใช่วูฟเวอรีน”
               “ทำไมวันนี้มาซะเร็ว”
               “ก็มารับไง จะมาพาไปห้องเชียร์”
               “เอ้อ ใช่ ได้ยินว่าได้เข้าไปคุมเชียร์แทนแล้ว???”
               “อืม”
               น้องไลท์ทำหน้าสลด “นี่ต้องโหดกว่าเดิมแน่เลยอ่ะ ไม่เข้าได้ป่ะ”
               “ไลท์ก็ไปกับพี่ไง วันนี้น่าจะสนุกนะ”
               “เชื่อได้ป่ะเนี่ย”
               ผมเอาแต่ขยี้หัวไลท์เล่นจนโดนชกแขนมาทีหนึ่ง ไลท์ดูผ่อนคลายลงมากแล้ว แต่แผลที่หน้ายังคงแดงและเริ่มตกสะเก็ด เห็นแล้วก็อดถอนใจไม่ได้ พ่อเด็กแว่นของผม
               “แว่นมันไม่กดแผลหรอ” ผมคิดว่าแผลที่ดั้งไลท์ต้องเจ็บมากแน่ๆ จึงถอดแว่นออก “ทำไมไม่ใส่คอนแท็กเลนซ์มา”
               “พี่ธัน ไลท์มองไม่ถนัด”
               มือไลท์ไล่คว้าแว่นที่ผมไม่ยอมคืน อีกมือของผมก็พยายามแตะดูแผลและรอยช้ำบนแก้มกับคอ นิ้วผมค่อยๆไล้ไปตามริมฝีปากที่หายบวมแล้ว ใจจดจ่อแต่กับแววตาสดใสที่กำลังจ้องมอง
               “มองไม่เห็นใช่ป่ะ”
               “เออ....เอาแว่นคืนมาก่อน” ผมเก็บแว่นไลท์เข้ากระเป๋าในที่สุด แล้วจูงมือ


               “ให้พี่พาไปเองแล้วกัน”


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : สามนรกนิยมความรุนแรงทางความรู้สึกนะฮะ ประมาณว่าบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกเครียด อับจนหนทาง หวาดผวา ระแวงตลอดเวลา เรียกได้วาซาดิสม์ หากหวังให้ใช้กำลังคงต้องไปปรึกษาวิวกับตะวัน และน้องไลท์
...แต่เป็นที่รู้กันว่าคนหลังสุดนี่ เละ
#เอาใจช่วยทีมสามนรกกับคนเขียนด้วยนะฮะ เจอกันตอนหน้า ตะวันจะมาให้ข้อคิด

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

20

รวี : Last Sheer!!!



               หาเรื่องให้ผมแท้ๆ ไอ้บ้าธัน จู่ๆก็โยนศัตรูให้เฉย จากประวัติที่สืบค้นมา ครอบครัวไอ้บอลแม่งน่ากลัวชิบ ฉ้อฉลโกงกินติดสินบนไม่เกรงใจกฏหมาย ไอ้ตัวลูกก็สำส่อน ภาพลักษณ์ที่ดูดีใช้หลอกคนมาเยอะแน่ๆ เห็นแล้วขนลุกซู่ หวังว่ามันจะกลัวไอ้ที่ผมขู่ไว้ไม่มาราวีอีก
               เวลาเตรียมการหนึ่งวันสำหรับผมเป็นอะไรที่น้อยมากที่จะเตรียมการ ดีที่เสียงส่วนใหญ่ไม่ได้คลั่งไคล้ไอ้บอลมากนัก ไอ้กรบอกว่าไอ้บอลมันไม่ฟังคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่มีน้องๆมาเยอะเพราะกรคอยชักชวนน้องตลอด ใช่ครับ กรเป็นสายให้ผมตั้งแต่ผมช่วยให้มันเป็นมือกลองของคณะปีนี้ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ อันที่จริงผมก็ไม่อยากรบกวนมันมากเท่าไหร่ เกรงใจ
               เรื่องหนักใจเรื่องที่หนึ่งผ่านไป ต่อไปก็ต้องคอยคุมไม่ให้ไอ้วิวมันสนุกจนเลยเถิด อย่างน้อยขอให้กิจกรรมที่สืบทอดกันมาจัดเสร็จไปก่อนค่อยเพิ่มเสริมเติมแต่งให้มันสนุกทีหลัง คืนนี้มีการลงว้ากด้วย ลิตเติ้ลยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมเช่นเดียวกับคนอื่นๆอีกสามคน(ที่จำชื่อไม่ได้) หมัดเด็ดก็คือการเชิญอาจารย์อ้วนเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดกับเด็กๆนั่นแหละ ทว่าจุดประสงค์หลักของผมคือเชิญแกมาเตือนสติพวกรุ่นพี่และเป็นไม้กันหมาด้วย
               ผมยังเป็นห่วงน้องไลท์อยู่ น้องยืนกรานว่าไม่เป็นไร จะมาร่วมเชียร์ให้จบ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ปกติไม่อยากเข้าที่สุด มาตอนนี้ไม่อยากพลาด จริงๆแล้วน้องอาจจะไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตัวเขาอีก วันนี้น้องก็ดูจะฟังมากขึ้นและดื้อน้อยลงแล้ว ดีเหมือนกัน  ผมหันมาสนเรื่องในห้องเชียร์  วันสุดท้ายนี้เต็มไปด้วยคณะสตาฟทั้งดั้งเดิมและใหม่แกะกล่อง ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันดี ไอ้วิวมันไปตีสนิทมาให้หลายคน ผมบอกไอ้สิบโทให้พาน้องมาช่วยคุมห้องเชียร์มันก็พามาจริงๆครับ สาวๆเต็มใจมากับมันเป็นสิบๆ ตอนนี้เป็นบรรยากาศเงียบๆรอน้องปีหนึ่งเข้ามานั่งเป็นแถวเกือกม้าหน้ากลองคณะ นี่เป็นรูปแบบแถวใหม่เพื่อให้น้องสามารถจับจังหวะกลองกับเนื้อร้องข้างหลังมือกลองได้ ผมว่าก็เข้าท่า ไอ้กรมันก็ไม่ได้ขี้เหร่ จังหวะตีดุดัน น่าจะช่วยให้เด็กหึกเหิมได้มากทีเดียว ผมเดาเอานะ เพราะตอนนี้ปิดไฟอยู่ มืดตืดตื๋อ
               บรรยากาศที่ว่าเงียบ  พอไอ้วิวเข้ามาก็เซ็งแซ่ทันที  ไอ้นี่มันอยู่ไม่สุข ชอบหาเรื่องคุยไปทั่ว  ตอนนี้มันก็กำลังนั่งหยอกแหย่ไอ้ลิตเติ้ลอยู่ เห็นแล้วอยากจะโบกหัว ข้างหลังนั่นก็อีกคู่ ไอ้ธันยืนยันเสียงแข็งตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนว่าไม่ให้น้องไลท์เข้าไปร้องเพลงเพราะปอดต้องขยับเยอะ น้องไลท์ก็ขัดขืนไม่ได้ ทั้งสองจึงนั่งกันอยู่แถวที่นั่งสตาฟ และเท่าที่กวาดตามอง   ผมไม่เห็นหน้าไอ้บอลกับไอ้ก๊อตเลย
               รู้สึกกังวลขึ้นมาน้อยๆ...หวังว่ามันจะแค่ไม่อยากเจอพวกผม
               “ไอ้ธัน มึงไม่ไปดูน้องบ้างวะ”
               “ก็ดูอยู่เนี่ย” เออ ดูแต่น้องไลท์ ห่านี่ ตัวต้นเรื่องแท้ๆ
               “ไอ้เต้มันคุยกับสากับปุยนุ่นยัง” เตรียมให้พร้อมจะได้ไม่หน้าแตก ยุ่งเหมือนกันนะเนี่ย
               “กูเห็นนั่งคุยกันอยู่ทางโน้น ไม่มีปัญหาหรอกน่า อย่าเครียดสิ”
               “จะเครียดก็เพราะมึงเนี่ยแหละสัด”
               “ไอ้วี วีเว้ย” ผมได้ยินเสียงเรียก ไอ้กรเองครับ มันยังนั่งอยู่ไกลเขตแดนคน
               “ทำไมมาอยู่นี่วะ ไม่ไปนั่งที่กลอง”
               “นั่งเชี่ยอะไร กูเขิน”  ให้ตายสิกร
               “ห้ามเขิน วันนี้มึงต้องเต็มที่ เพราะงานนี้กูให้มึงเป็นพระเอก จบเชียร์มึงได้ตำแหน่งหนุ่มป๊อปปูล่าของคณะแน่ๆ”
               “ห่าไรล่ะ กูไม่เอา”
               ปลอบกันอยู่พักใหญ่จึงยอมไปนั่งที่ ตรงกลองที่มันอยู่มีสป็อตไลท์ส่องอย่างกับเวทีคอนเสิร์ท ผมนึกภาพเท่ๆตอนมันตีกลองท่ามกลางแสงไฟได้ ดูดีทีเดียว ทีมเพลงยังหลบอยู่หลังแถวน้องๆเหมือนเดิม
               พอทุกคนพร้อมก็เริ่มบรรเลง สป็อตไลท์บนหัวมือกลองติดพรึ่บทันทีที่เสียงกลองตึงแรกดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องเพลงของน้องทีมเพลง บรรยากาศโคตรน่าจดจำ เพลงวันนี้ค่อนข้างยากทีเดียวสำหรับเด็กใหม่ หลังจากทีมเพลงร้องแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการช่วยสอนน้องร้องไปทีละคำทีละท่อน ช่วงนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ ผมจึงเดินออกไปนอกห้องเชียร์ คนส่วนใหญ่จะชอบเข้าไปฟังเพลง มีเพียงกลุ่มผู้ชายไม่กี่คนยืนสูบบุหรี่อยู่ ไอ้สิบโทก็อยู่ด้วย นั่งคอตกอยู่บนโต๊ะเก่า
               “ไม่เข้าไปข้างในหรอ” ผมถามมัน
               “ม่าย....น่าเบื่อ” เห็นด้วยเลย “ไลท์อยู่ข้างในรึเปล่า”
               ถามคำถามที่ไม่อยากตอบเลยนะไอ้สิบโท “ก็อยู่ เห็นบอกไม่อยากทำตัววุ่นวาย”
               “คนอะไรไม่รู้ หัวแข็ง ใจแข็ง เอาแต่ใจจริงๆ”
               “ยังไงเนี่ยมึง กูนึกว่ามึงชอบน้องมันซะอีก”
               “เพราะแบบนั้นถึงได้บอกว่าไลท์มันหัวดื้อไง” ผมสังเกตว่าในดวงตามันช่างแสนเศร้า “กูเพิ่งจะกอดน้องไปได้แค่ครั้งเดียวเอง ไม่ทันไรก็โดนบอกเลิกเสียแล้ว”
               อย่าให้ไอ้ธันได้ยินเชียว ไปกอดกันตอนไหนวะ “ทำไมพูดอะไรหดหู่แบบนั้นวะ กูคิดว่ามึงเป็นพวกไม่ยอมแพ้ซะอีก”
               “เรื่องอื่นมันก็ใช่อยู่หรอก...แต่นี่ไม่ใช่” ผมไม่เคยเห็นไอ้สิบโทผู้สดใส เหงาหงอยเช่นนี้มาก่อน เห็นแล้วก็หงอยตาม “ใครจะไปทนเห็นคนที่เรารักไม่มีความสุขได้ล่ะ”
               ที่มันพูดก็เป็นความจริงอยู่ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคนอย่างไอ้สิบโทมันยอมแพ้ง่ายๆอย่างนี้ได้ไง รึจะเป็นเรื่องที่โดนบอกเลิก
               “มึงว่าน้องไลท์จะเปลี่ยนใจได้มั๊ย” จู่ๆมันก็ถามผม อารามแปลกใจเลยคิดไม่ค่อยทัน ถ้าจะถามน้องไลท์ว่าจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านี่ผมไม่รู้ แต่ผมคงจะช่วยให้มันตัดใจง่ายขึ้นได้
               “มึงรู้รึเปล่าว่าไอ้ธันกับน้องไลท์ชอบกันมาตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้ว”
               “อะไรนะ?” มันหันหน้ามาหาผม ภายใต้แสงไฟ ผมเห็นหน้ามันแดงระเรื่อจึงก้มลงดูที่มือ ชัดเลย ไอ้ห่านี่แดกเบียร์เข้าไปละ
               “มันสองคนน่ะ หายหน้าจากกันไปห้าปีแน่ะ มึงไม่สังเกตหรอว่าไอ้ธันมันไม่เคยแข่งกับมึงเรื่องควงหญิงเลย”
               “เป็นเพราะน้องไลท์หรอ”
               “ใช่ เพราะน้องแว่นคนนี้แหละที่ทำให้ทุกคนตั้งฉายามันว่านรกน้ำแข็งไร้ความรู้สึก ก็เพราะมันรู้สึกสูญเสียโอกาสที่จะบอกความในใจกับน้องมันเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นมามันก็ไม่เคยมองใครพิเศษอีกเลย”
               ถึงตอนนี้ไอ้สิบโทเงียบไป ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม อึดใจหนึ่งจึงพูดออกมาได้ “นี่เองหรอที่ไลท์หมายความถึง ‘เราเจอกันช้าไป’ ช้าไปมากเลยจริงๆ”
               “มึงชอบน้องเขาได้ยังไงวะ”
               มันลังเล ไอ้หมอนี่พอเบียร์เข้าปากก็อัพสกิลสมองช้าขึ้นสิบเลเวล “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกก็แค่คิดว่าน้องมันน่ารักดี ยิ่งคุยด้วยก็ยิ่งเห็นว่ามันเป็นคนจริงใจ ตัวไม่ใหญ่แต่ใจกล้าชะมัด---“ ถึงตรงนี้ไอ้สิบโทก็ยิ้มขึ้นมา “—ยิ่งเห็นก็ยิ่งเอ็นดู อยากดูแลเสียให้ได้”
               “ตัดใจซะเถอะมึง กูว่านิสัยตรงๆแบบไอ้ไลท์ ถ้ารักใครแล้วก็ยากจะเปลี่ยน”
               “กูคงจะเป็นคนอาภัพรัก” ถึงกับสำลัก ไอ้สิบโทเข้าโหมดดราม่าเฉย “เชี่ย กูเสียใจว่ะ...”
               และแล้วมันก็ใช้ไหล่ผมเป็นที่พักหัวมัน ตกใจสิครับ ตัวมันใหญ่กว่าผม มาซบกันแบบนี้มันดูแปล๊กแปลก แต่แค่ปลอบในฐานะของเพื่อนผู้หวังดีคงไม่เป็นไร มันก็ไม่ได้ร้องไห้นะ แค่เหม่อๆ ผมนี่สิที่เริ่มจะเขินอาย เพราะมีสายตาเผือกๆหลายหัวกำลังใช่ฉากตรงหน้าเป็นหัวข้อพูดคุย
               เนื่องจากจุดที่ผมกับไอ้สิบโทนั่งอยู่เป็นมุมอับ มองไม่เห็นรอบนอกบริเวณโรงรถ ใครไปใครมาก็ไม่เห็น ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะมา ถ้าไม่ใช่ที่รักของผม เขาอ้อมมุมเสาเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว พอเห็นเข้าก็นิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะทัก
               “ทำอะไรน่ะ” ไม่ต้องเป็นแฟนกันก็รู้ครับว่ามันเคือง เป็นผมก็คงเหมือนกัน ผมค่อยๆจับหัวไอ้สิบโทออกจากบ่า
               “ตะวัน ไปไหนมา”
               “ไปหาลูกค้า...” ดูออกจะโกรธๆนะ “วีอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง ทำไมให้เขาซบไหล่แบบนั้นล่ะ”
               “ไม่มีอะไรหรอก ไอ้สิบโทมันเฮิร์ทเรื่องน้องไลท์ วีเลยช่วยปลอบใจ”
               “แล้วทำไมต้องซบไหล่”
               “ไม่รู้เด่ะ มันเมามั้ง”
               ตะวันมองสภาพพี่สิบโทแล้วสรุปว่าผมไม่ได้โกหก ผมเพิ่งจะเคยเห็นตะวันโหมดขี้หึงก็คราวนี้แหละ ปกติมีแต่ผมหึงมัน    เพราะมันฮ็อต ส่วนผมแม้จะหน้าตาดีแต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาติดพัน เรื่องนี้ถือเป็นรสชาติใหม่ รู้สึกดีเหมือนกัน แต่ตะวันมันน่ากลัวเวลาโกรธนะสิ
               “ไปเหอะ เข้าไปข้างในกัน” ตะวันโอบไหล่จะพาผมเข้าห้องเชียร์
               “แล้วไอ้สิบโทล่ะ”
               “มันไม่เป็นไรหรอกน่า โตเป็นควายแล้ว ดูแลตัวเองได้ ไปหาไลท์กัน”
               ผมยอมตะวันคนเดียวแหละ วันนี้น่าจะเป็นวันดี ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันหึง แม้จะน่ากลัวแต่ก็อบอุ่นมาก แต่ยิ้มได้ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะบรรยากาศในห้องเชียร์กำลังอยู่ในช่วงว้ากลง ทีมงานผมตกลงกันว่าว้ากคราวนี้ไม่ให้ด่าหรือสอนแต่ฝ่ายเดียว จะพยายามให้รุ่นน้องได้ถามถึงเหตุผลของคำสอนหรือจุดประสงค์ของการเชียร์ด้วย
และตอนนี้ลิตเติ้ลกำลังพูดอยู่...
               “—ที่พี่ขึ้นมาพูดในวันนี้ไม่ใช่เพื่อติติงใคร ที่พี่พูดในวันนี้ไม่ได้เจาะจงใคร พี่พูดกับพวกเราทุกคน”
               “นั่งอยู่ไหนกัน” ตะวันถาม
               “อืม...” นั่นสิ หายไปไหนแล้วนะ “อ้อ นู่นไง ข้างหลังสุดโน่น”
               ตะวันจูงมือผมเดินไปหาน้องไลท์ซึ่งตอนนี้นั่งอยู่กับไอ้เสือและอาจารย์อ้วน ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
               “สวัสดีครับอาจารย์” ผมทัก
               “เออ นี่ไง หาตั้งนาน แม่งานมาแล้ว”
               “แม่งานอะไรครับ”
               “ไอ้ธันบอกมึงเป็นคนออกความเห็น” อื้อหือ ไอ้เพื่อนเวร โยนขี้ให้อีกละ
               “อย่าไปฟังมันครับ รายนั้นน่ะตัวต้นเรื่อง”
               “เออ กูรู้ ดีนะคนที่รู้เป็นกู” อาจารย์เป็นคนเก็บความลับอยู่ รู้จักกาละเทศะ “เรื่องนี้แม่งน่าจับพักการเรียนทั้งคู่ โตๆกันแล้ว คนหนึ่งก็ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ คนหนึ่งก็ไม่รู้จักอดทน”
               น้องไลท์ที่อยู่ข้างๆนี่หงอยเลย ดูท่าจะโดนเทศนาไปหลายยก
               “---อย่าเห็นว่าการตั้งคำถามเป็นเรื่องผิด หากพวกเราเป็นคนมีเป้าหมาย มีความชัดเจนในการใช้ชีวิต คำถามนั่นแหละที่จะช่วยให้เส้นชัยเราชัดขึ้นและเสียเวลาน้อยลง---“
               ไอ้ลิตเติ้ลกำลังเอาจริงเอาจังกับหน้าที่ตัวเอง มีลูกพี่มันอย่างไอ้ธันนั่งโยกเก้าอี้เขียนแบบดูอยู่หลังแถวน้องๆ ชนิดติดขอบเวทีเลยทีเดียว
               “กำลังทำอะไรกันอยู่หรอ” ตะวันถาม คงเพราะเห็นห้องเชียร์ครั้งแรก
               “ไม่มีอะไรหรอก แค่พูดสอนน้อง ให้กำลังใจให้ข้อคิดมันไปเรื่อย”
               “เข้าท่าดีนะ---“
               ด้วยเสียงเห็นด้วยนี้ ผมกลับผุดไอเดียประหลาด คนตรงหน้าผมแม้จะอายุน้อยกว่าผม แต่ประสบการณ์ชีวิตมากกว่าไม่รู้กี่ขุม ท่วงท่าคารมก็คมคาย น่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากทีเดียว ขอให้ขึ้นไปพูดหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
               แต่ความคิดผมชะลอลงเพราะเสียงพึมพำฮือฮา สาเหตุที่ทำให้น้องๆแปลกใจดูจะมาจากเสียงพี่ว้าก พอผมเห็นเท่านั้นแหละ ลมจะจับ ไอ้เชี่ยวิวอีกแล้ว คิดไม่ผิดจริงๆว่ามันจะต้องเข้ามาป่วน
               “---ชีวิตในช่วงวัยเรียนเป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ก็จริง แต่ก็อย่าได้ทำตัวให้คนเขาหมดความน่าเชื่อถือ เพราะมันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้นในอนาคต” นี่ไอ้ลิตเติ้ลพูด
               “---พูดดีมากครับ แต่สิ่งที่พี่คิดว่าสำคัญกว่านั้นคือการให้อภัย หากคนผิดคิดกลับตัวแล้วเราไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พิสูจน์ มันก็คือการลงโทษดีๆนี่เอง ทำให้คนอื่นเจ็บปวดทรมานมันก็ผิดมนุษยธรรมขั้นร้ายแรงแล้ว---” นี่ไอ้วิว สังเกตดีๆว่ามันใช้น้ำเสียงสุภาพมาก นั่นเป็นเพราะว้ากแบบวิศวะกับสถาปัตย์นั้นค่อนข้างต่างกัน
               “---พวกที่หลงคิดว่าตัวเองกลับตัว แต่ไม่อาจทนทำดีได้นาน มันก็ไม่ได้ต่างจากคนไม่จริงใจ หลอกลวง ถ้าหวังจะให้เขาให้อภัยง่ายๆ ก็อย่าทำตัวเหี้ยตั้งแต่แรก---“
               “---แล้วใครมันจะไปรู้ว่าจะมาเจอคนแบบมึงเอาตอนนี้ กูก็พยายามเปลี่ยนอยู่นี่ไง เห็นใจกันบ้างสิ---“
               “---นี่ไง ไอ้อาการฉุนเฉียวหงุดหงิดเพราะไม่ได้ดั่งใจนี่ไงที่มันแสดงให้เห็นว่ามึงไม่จริงใจ แบบนี้จะไปโทษใครได้นอกจากตัวมึงเอง---”
               “---ก็กูน้อยใจไง มึงแม่งไม่เห็นใจกูบ้างเลย----“
               “พวกมันเล่นเชี่ยไรกัน ผัวเมียทะเลาะออกสื่อหรอ” อาจารย์อ้วนพูดติดตลกขึ้นมา ผมเองก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความจนใจ พวกมันสองตัวคงไม่ได้สังเกตเลยว่าน้องๆงงเป็นไก่ตาแตก ไอ้ธันที่ถือลูกบอลยางเล่นอยู่ ปาหัวไปคนละที ท่าทางเหมือนจริงจังนะ ถ้ามันไม่ได้กำลังขำอยู่ น้องๆก็ร่วมหัวเราะไปกับเขาด้วย เหมือนตลกคาเฟ่
               “ตลกดีนะสองคนนี้” ตะวันยิ้ม
               “ไอ้เสือ มึงไม่มีอะไรจะพูดบ้างหรอ” อาจารย์เป็นคนถาม ผมเห็นด้วยทีเดียว ไอ้เสือเป็นอีกคนที่จิตสาธารณะสูง
               “พูดอะไรเล่าจารย์ ใครเขาจะฟัง”
               ผมเร้ามันบ้าง “กูว่าก็ดีนะเสือ มึงก็มีเรื่องอยากจะบอกทุกคนอยู่นิ”
               อาจารย์ตบไหล่มันเบาๆจนมันลุกออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
               “ตะวันอยากขึ้นไปพูดมั๊ย” ผมถาม
               ตะวันดูตกใจกับคำถามนี้มาก “เห้ย ไม่เอา”
               “แชร์ประสบการณ์ไง เล่าให้เด็กๆมันฟัง ถือซะว่าเป็นไอดอลให้กำลังใจแฟนคลับ”
ตะวันยังคงส่ายหน้า
               “ช่วยวีหน่อยน้า... นะ” เจอลูกอ้อนผมเข้าไปถึงกับกลืนน้ำลาย ในที่สุดผมจึงได้ครูดีๆอีกสองคนไว้ขัดขาไอ้เสร่อสองตัวที่ทะเลาะกันไม่เลิก
               ไอ้เสือพูดขึ้นก่อน “เอาล่ะๆ หยุดละครตอนดึกไว้ก่อนนะ วันนี้กูจะมาพูดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง---”
               มันก้าวเข้าไปในเขตแสงไฟแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยครับ ไอ้นี่มันตายด้าน “---สิ่งที่พวกมึงเรียนเพื่อหวังจะเป็นในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก มัฑณากร ช่างภาพ ผู้กำกับหรืออะไรก็แล้วแต่ ขอให้อย่าเพิ่งคิดถึงเงินเดือนแพงๆ การงานที่ก้าวหน้าหรือตำแหน่งงานที่มีเกียรติ คนเราเกิดมาและอาศัยอยู่ร่วมกันก็เพื่อสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและผู้อื่น---“
               ไม่ว่ากี่ครั้งผมก็รู้สึกทึ่งในความคิดของผู้ชายคนนี้ตลอด นี่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนในสังคมปัจจุบัน “---เป็นสถาปนิกที่สร้างสรรค์พื้นที่ที่ยังประโยชน์แก่คนทุกผู้ทุกชนชั้น เป็นนักออกแบบที่ทำให้ให้ลูกค้ามีความสุขเมื่อได้เห็นผลงานของคุณ เป็นช่างภาพที่นำเสนอแง่มุมดีๆของสังคมเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นประชาชนที่หมั่นสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ---“
               “---อนาคตของผู้ที่อยู่ที่นี่จะกลายเป็นอะไรกันบ้างนั้นพี่ไม่อาจรู้ แต่ขอให้เตือนตัวเองไว้เสมอว่า ‘การให้’ ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน หากมันออกมาจากใจจริง ผลตอบแทนจากมันคุ้มค่าเสมอ”
               เมื่อสิ้นสุดเสียง ไอ้เสือก็โค้งคำนับทีหนึ่ง จากนั้นเสียงปรบมือก็เริ่มดังกระหึ่มห้องเชียร์ สิ่งที่มันพูด หากทุกคนทำได้เหมือนๆกัน โลกเราคงไม่มีสงคราม นับเป็นวาทกรรมที่มีประโยชน์จริงๆ
               ใกล้จะหมดเวลาแล้ว สิ่งสุดท้ายสำหรับความพิเศษที่ผมจะมอบให้ คือดวงใจของผมเอง ผมออกไปยืนกลางโถงเพื่อแจ้งข่าว   “สวัสดีครับทุกคน เวลาของเราใกล้จะหมดแล้ว แม้เราจะมีเรื่องต้องคุยกันอีกมาก แต่สัญญาต้องเป็นสัญญา สุดท้ายนี้มีบุคคลคนหนึ่ง เขาเป็นคนสำคัญมากของพี่ เป็นคนที่น่าสนใจที่สุดของผม และวันนี้เขาจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน เขาอาจจะไม่ใช่คนดัง....แต่เขาคือ ตะวันครับ”
               เสียงปรบมือเปาะแปะมากในทีแรก แต่ดังกระหึ่มมากเมื่อเขาแสดงตัว เพราะความหล่อของตะวันนั่นแหละ เพราะตอนนี้สาวๆก็เริ่มกรี๊ดกันแล้ว
               “เอ่อ...สวัสดีครับ” เสียงที่ทุ้มลึกเรียกเสียงกรี๊ดหนักเข้าไปอีก “ผมชื่อตะวัน---“
               ผมรู้สึกได้ถึงความเขินของตะวัน เขาหันมาหาผมที่กำลังยิ้มเป็นกำลังใจให้ ดูเหมือนเขาจะคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดอะไร ผมเองก็เดาไม่ออก ถึงจะบอกว่าให้แชร์ประสบการณ์ก็ใช่ว่าผมจะรู้ เพราะตะวันไม่เคยเล่าประวัติตัวเอง ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของผมด้วย
               “---ขอโทษด้วยที่ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง ประสบการณ์ของผมก็ใช่จะมากกว่าผู้อื่น เอาเป็นว่าผมจะเล่าชีวิตบางส่วนให้ฟัง---“ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกได้ถึงความเงียบ ทุกคนกำลังตั้งใจฟัง
               “---ผมไม่เคยมีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง มีแต่ยายที่ตายไปตอนผมอายุแปดขวบ จากนั้นตัวผมก็ต้องเลี้ยงดูตัวเองด้วยกำลังของตัวเองมาตลอด ไม่มีคนมาคอยห่วงใยเอาใจใส่ คอยทำอาหารให้หรือจูบหน้าผากก่อนนอน ไม่มีของขวัญหรือวันสำคัญใดๆ ผมโชคดีมากเมื่อผมพบเพื่อนคนหนึ่ง คนที่ยอมรับผมที่เป็นตัวผม ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นเพื่อนกับผม เชื่อว่าหลายคนคงนึกไม่ถึงแน่ว่าผมดีใจแค่ไหน---“
               พอพูดถึงตรงนี้ผมก็หันไปหาน้องไลท์ น้องกำลังน้ำตารื้น(อ่อนไหวอีกแล้วนะ) ผมจำคำที่น้องไลท์บอกตอนเซอร์ไพรส์วันเกิดตะวันได้ ‘ตะวันมันไม่มีใครพี่ นอกจากผมก็มีพี่นี่แหละที่จัดงานวันเกิดให้มัน’
               “---และนี่เป็นเรื่องแรกที่ผมจะพูด ‘โอกาส’ หลายคนคงเคยได้ยินว่าโอกาสมีอยู่ทุกที่ ไม่ผิดหรอกครับ แต่เชื่อมั๊ยว่าคนส่วนใหญ่มักปล่อยให้มันหลุดมือไป แต่อย่ากังวลครับ โอกาสหน้ายังมี เพียงแต่บางทีโอกาสที่ดีที่สุดของเรามันอาจไม่ผ่านเข้ามาในชีวิตอีกแล้วก็ได้ จงใช้ชีวิตอย่างตั้งใจและมองหาโอกาสนั้น เหมือนผม...ที่ได้เจอโอกาสที่ดีที่สุดอีกครั้ง ตอนนี้---“ แล้วตะวันก็หันมามองผม
               สภาพการณ์ตอนนี้เหมือนกลับมาดูละครหลังข่าว น้องๆหลายคนซับน้ำตากันแล้ว บางส่วนก็กำลังคุยกันว่าตะวันพูดถึงใคร     “---ผมรู้ว่าหลายคนอาจมองไม่เห็นสิ่งที่ผมกำลังบอก มองไม่เห็นว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่....นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรคิดถึง เรื่องที่สองที่ผมจะพูดก็คือ ‘เวลา’...” ตอนนี้ตะวันทำหน้าจริงจังขึ้นมานิดหนึ่ง
               “---ผมเชื่อว่าทุกคนมีเวลาเท่ากัน ตอนนี้พวกคุณกำลังใช้เวลาทุกวินาทีต่อจากนี้ฟังผม พ่อแม่ของพวกคุณอาจใช้เวลาเดียวกันนี้อ่านหนังสือ แม่ค้ากำลังพักผ่อน เพื่อนคณะอื่นกำลังสังสรรค์ ส่วนผม....ผมอยู่กับปัจจุบันเสมอ ตอนนี้ผมกำลังตั้งใจบอกเล่าข้อคิดจากประสบการณ์ตัวเองให้พวกคุณฟัง เอาไปใช้ก็ได้นะครับ ตอนคุณเรียนก็ให้ใช้ทุกวินาทีในห้องเรียนให้มีประโยชน์กับตัวคุณที่สุด ตอนคุณกลับบ้าน ก็ให้ใช้ทุกวินาทีกับคนที่คุณรัก---“
               ตะวันหยุดไป ดูเหมือนว่าเขากำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างในตัว
               “---ในส่วนนี้ผมจะเปลี่ยนเป็นการขอร้องแล้วกัน ผมเชื่อว่าเวลานี้ทุกคนมีคนให้คิดถึงและเขาเหล่านั้นก็คิดถึงคุณด้วย อย่ามัวแต่อยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วหรือสิ่งที่ยังไม่เกิด ให้ลองมองข้างตัวคุณแล้วดูว่ามีคนที่พร้อมจะจับมือคุณอยู่หรือเปล่า ถ้ามี... ผมขอร้องด้วยใจจริง จับมือเขาไว้ให้แน่น เพราะพวกคุณไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ...หรือคนที่คุณรัก ---ขอบคุณครับ”
ไร้เสียงปรบมือครับ มีแต่ความเงียบ เหมือนว่าทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาในหัวของตัวเอง อาจารย์อ้วนเป็นคนปรบมือนำให้ แล้วทั้งห้องเชียร์ก็ทำตาม ผมเชื่อนะ เชื่อว่าหลายคนตรงนี้จะเริ่มตระหนักอะไรบางอย่างได้เหมือนกับผม ไม่รู้สิครับ แต่ผมรู้สึกรักชายคนนี้เหลือเกิน
               ตะวันเดินมาโอบเอวผมแล้วหอมกระหม่อมเบาๆทีหนึ่ง   “โคตรตื่นเต้น”
               “ตะวันพูดได้ดีมากเลยนะ” ผมชมจากใจจริงเลย
               “คราวหลังไม่เอาแล้วนะวี ตะวันเขิน”
               “ถ้าคราวหน้ามีอีก วีจะขึ้นไปยืนข้างๆตะวันแล้วกันนะ”
               แล้วก็มองผมด้วยสายตาทึ่งๆ “แบบนั้นค่อยน่าสนใจหน่อย”
               ผมกับตะวันเดินกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อให้ประธานเชียร์(ไอ้บอลเพิ่งจะโผล่มา)กล่าวปิดเชียร์และดำเนินกิจกรรมบายศรีรับน้อง ยังไม่ทันจะนั่งเลย อาจารย์อ้วนก็ถามขึ้นมา
               “ไอ้วี นี่แฟนมึงหรอ” อาจารย์ชี้ตะวัน
               “ครับอาจารย์”
               “เชี่ย สามนรกกูไปหมดแล้ว หมดสภาพแล้ว”
               “ได้เวลาเป็นประธานในพิธีแล้วนะครับ ไปครับผมพาไป---”

               เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆสำหรับผมและอีกหลายๆคน ปีหนึ่งทุกคนต่างก็ปลื้มปีติในสิ่งที่พวกเรามอบให้ ทีมเพลงร้องเพลงไพเราะปลอบใจ พี่ใหญ่น้องเล็กในคณะต่างทยอยปรากฏตัวออกมามากมายเพื่อร่วมยินดีและต้อนรับน้องในฐานะน้องปีหนึ่งเต็มตัว หลายคนปล่อยโฮออกมา นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่น้องๆและพี่ๆได้แลกเปลี่ยนกัน ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม---
               ...ยกเว้นผมนี่แหละ...


               ก็ดันมีแต่คนเข้าคิวขอให้ตะวันผูกข้อมือให้   ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ให้มันโชว์ตัว


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : ใกล้จบภาคแรกแล้ว ขอบคุณทุกคนเลยน้าาา อย่าลืมติดตามไปจนจบ
#ปล. เราเพิ่งมีฟีดแบ็ก และถึงจุดนี้จึงอยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านช่วยเหลือ ช่วยคอมเม้นติชมวิธีเขียนหรือข้อบกพร่องให้เราที เพื่อเป็นประโยชน์ในการเขียนเรื่องต่อๆไปให้น่าอ่านมากขึ้น ผู้อ่านจะได้มีเรื่องราวสนุกๆไม่ซ้ำใครไว้อ่าน รบกวนด้วยนะฮ้าบ ทุกๆความเห็นของคุณคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการที่สุด ต้องเป็นคุณเท่านั้น
 กราบขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ด้วยจริงๆ
T ] T


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุก ชอบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ให้ความรู้  มีข้อคิด ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จริงๆมากมาย

แก๊งสามนรก ร้ายกาจทุกคน   o22
แต่ทุกคนมีแฟนกันหมด อย่างที่อ.อ้วนว่า  :z3:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


21

ไลท์ : ก่อนเดินทาง



               "ทำเข้าสิวะ เหม่ออะไร”
               “เหม่อเชี่ยไร กูก็แค่เบื่อ...” เบื่อจริงๆ วันๆเขียนแต่แบบ เจอแต่ทีสไลด์ กระดาษ แล้วก็ดินสอ
               “ชีวิตมึงนี่มันต้องเป็นแบบไหนวะ ถึงจะไม่น่าเบื่อ ไอ้ไลท์” แบบไหนก็ได้ที่ไม่มีมึงมาคอยบ่น “มาเรียนสายนี้แล้วก็หัดเอาใจใส่งานเสียบ้าง เดี๋ยวจะลำบาก”
               “ครับแม่...”
               “รีบทำให้เสร็จเป็นงานๆไป เดี๋ยวถึงมีตติ้งจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวล”
               “ถึงเวลานั้นกูก็ไม่มานั่งกังวลให้เสียเวลาหรอก ฮ่าฮ่า”
               ใช่ครับ งานเรียนกับงานเที่ยวมันคนละเรื่องกัน อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ สาขาของผมจะจัดงานมีตติ้งสังสรรค์ เป็นการรับน้องนอกสถานที่ ที่พี่ลิตเติ้ลเรียกแบบเป็นกันเองว่า ‘เปลี่ยนสถานที่กินเหล้า’ โดยมีพวกผมซึ่งอยู่ปีหนึ่งเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรม ปีนี้ก็เหมือนหลายๆปีที่ผ่านมาครับ ทะเลคือทางเลือกที่ดีที่สุด
               หลังจบเชียร์ ชีวิตผมก็กลับมาเรียบง่ายอีกครั้ง ตอนแรกๆก็สงบดีหรอก ไม่รู้สิ พอสงบเกินไปสมองมันก็คอยแต่จะหาเรื่องให้ได้ อะไรก็ได้...โชคดี วันนี้เป็นวันที่พี่ธันมีตรวจแบบ
               “ไปดูพี่ปีห้าตรวจแบบกัน” ผมชวนอุ้ม
               “ไม่ล่ะ กูยังไม่เสร็จเลย”
               “ไอ้อุ้ม เขียนแบบมันทำเองที่ห้องก็ได้ แต่บรรยากาศการตรวจแบบ มันไม่ได้มีทุกเวลานะเว้ย ไปเรียนรู้ไว้ก่อนดีกว่า”
               แผนนี้ใช้ได้ครับ เอาความรู้มาล่อ ส่วนที่ผมพูดว่าจะเอางานกลับไปเขียนที่ห้อง ก็เพราะผมจะได้ไปทำงานห้องพี่ธันไง ปีสุดท้ายเวลาตรวจแบบจะแยกกันไปตามอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง พี่ธันตรวจแบบอยู่ที่โต๊ะไม้หน้าห้องอาจารย์อ้วน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสตูฯปีหนึ่ง ผมเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นหัวที่ไม่ได้เซ็ตของเขา ดูท่าจะยังไม่ได้อาบน้ำด้วย กำลังนั่งหน้าตาเรียบเฉยรอตรวจแบบต่อจากเพื่อนอยู่
               “สวัสดีครับอาจารย์”
               “เอ้อ ว่าไงไลท์” อาจารย์นี่เป็นกันเองสุดๆ “มาหาผัวหรอ”
               ห๊ะ...เฮ้ย “ไม่ใช่แล้ว-จารย์”
               “ไลท์มาหาพี่หรอ” พี่ธันเริ่มจับมือผมแล้ว แม้จะกลายเป็นเรื่องปกติแต่ก็ยังเป็นสาเหตุให้ผมต้องเขินได้ตลอด “คิดถึงพี่ใช่มั๊ยครับ”
               “หลงตัวเองละ จะมาหาอาจารย์ ดูอาจารย์ตรวจแบบ”
               “ไม่เชื่อหรอก มานั่งนี่มา---“
               ผมถูกดึงไปนั่งข้างพี่ธัน ไอ้อุ้มบ่นรำคาญขึ้นมาทีหนึ่งแล้วเดินอ้อมไปนั่งโต๊ะฝั่งอาจารย์ ผมต้องตีพี่ธันหลายรอบ บอกให้เลิกรบกวนอาจารย์เสียที เพื่อนพี่ธันคนนี้ก็ดูไม่มีอะไร งานดีงานเซฟไม่เจ็บตัวมาก ระหว่างนั้น พี่เสือก็เดินเข้ามาแล้ววางถุงขนมแสนน่ากินไว้บนโต๊ะ
               “สวัสดีครับอาจารย์ พ่อให้เอาขนมมาฝาก”
               “ชีวิตนี้กูจะได้ของฝากจากมึงมั๊ยเนี่ย เอะอะก็พ่อฝากมาๆ” อาจารย์ตัดพ้อแกมหยอก
               “อย่าไปเชื่อมันมากครับจารย์ มันเป็นคนเลือกหามาให้อาจารย์ทั้งนั้นแหละ ทำปากแข็ง” พี่ธันแทรกขึ้นไป
               “หุบปากน่า” ที่เสือดุพี่ธันไปทีแล้วเดินไปนั่งข้างๆอุ้ม “หวัดดีอุ้ม”
               “กองไว้ตรงนั้นแหละ” หืม.....อุ้ม
               “ใจร้ายจัง อารมณ์ไม่ดีหรอ มีอะไรกวนใจรึเปล่า”
               “ตอนแรกก็ไม่มีหรอก---”
               “มีคนบอกว่าสิ่งที่กวนใจเราได้ คือสิ่งที่อยู่ในใจเราเท่านั้น” คำพูดพี่เสือเหมือนดักทางอุ้มอยู่ ทว่าเป็นการดักทางที่แหม่งๆอยู่เหมือนกัน “---ตกลง พี่ยังกวนใจอุ้มอยู่หรือเปล่า”
               ตลกอิอุ้ม มันกำลังทำหน้าจิ๊จ๊ะ บ่งบอกว่าพี่เสือกวนใจมันจริงๆ “เงียบไปเลย จะฟัง....”
               “วันนี้พี่ก็มีตรวจตอนเย็น ไปฟังมะ”
               มันถอนหายใจดังเฮือก “ไม่”
               “งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวกัน”
               ผมว่าสองคนนี่ดูจะมีอะไรแปลกๆเสียแล้ว อุ้มมันก็ดูเหวอๆกับท่าทีของพี่เสือไม่น้อยอยู่ ฝ่ายหลังนี่ก็ยังไง จะจีบอุ้มหรอ แบบนี้ต้องส่งเสริม สวมบทเป็นกามเทพจำเป็นเลยดีมั๊ยเนี่ย
               “ว่าไงครับ”
               “ไม่ไปเว้ย”
               “ทำไมละครับ เพราะเขินหรอ” ไอ้พี่เสือนี่ก็ขวานผ่าซากจริงๆ “ส่วนใหญ่ที่พี่เห็น ถ้าชวนแล้วไม่ไปนี่แปลว่าเขินนะ ก็แค่เลี้ยงข้าวน้องๆเอง”
               “ไอ้ไลท์ก็นั่งอยู่นี่ ชวนมันไปสิ”
               “ไลท์มันไม่ว่าง มันบอกให้อุ้มไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย” นั่นไง โดนแล้ว ไอ้อุ้มมันหันมาหาผมทันที กระทันหันเกิน ทำอะไรไม่ถูกจึงขยับแว่นแล้วทำท่าตั้งใจฟังอาจารย์ ผมเลยโดนสายตาอาฆาตเฉือดเฉือน “ตกลงไปนะ”
               มันเงียบ
               “ถ้าไม่ไป พี่จะถือว่าอุ้มคิดอะไรกับพี่นะ”
               “ไม่ได้คิดเว้ย” อุ้มโวย
               “โอเค ตกลงว่าไปกับพี่”  พี่เสือนี่โคตรบังคับ “...งั้น ม่ะ” พี่เสือแบมือไปทางอุ้ม
               “อะไร???” อุ้มมันทำท่าจะกระเถิบหนีด้วย เพราะพี่เสือเอนตัวเข้าไปใกล้มาก
               “เอาเบอร์มา ได้โทรหากันได้” เชดดดด พี่เสือนี่ร้าย แต่ขอเบอร์แบบนี้กับสาวมันจะไม่ฮาร์ดคอร์ไปหน่อยหรอพี่ “ไม่ต้องตกใจ แล้วก็ไม่ต้องหวงเบอร์ ยังไงพี่ก็หาเบอร์อุ้มได้อยู่แล้ว ขอตรงๆแบบนี้ไม่ดีกว่ารึไง”
               มีเหตุผลซะจนอุ้มมันปฏิเสธไม่ได้จริงๆ และนี่ก็ทำให้อุ้มมันเห็นความโปร่งใสตรงไปตรงมาได้ชัดเจน ผมเชื่อว่าผู้ชายที่นิสัยเปิดเผยย่อมดึงดูดสาวดีๆได้แน่นอน ระหว่างนี้พี่ธันก็เริ่มตรวจแบบแล้ว ไม่อยากจะเล่า แต่ทันทีที่คลี่ม้วนกระดาษร่างแบบให้อาจารย์ดู อาจารย์ก็เริ่มถามคำถามเหมือนยิงปืนกลเลยทีเดียว
               “---นี่มึงวางอาคารมากี่หลัง ดูที่จอดรถด้วย แล้วเนี่ย...แต่ละหลังแม่งห่างโคตร ฝนตกจะทำยังไง คนดูแลจะขนของขนขยะตรงไหน ระบบน้ำดีน้ำเสียเข้าตรงไหนยังไงมึงก็ไม่เขียน ส่วนกลางมึงก็— จะเอาไปวางไว้ตรงนั้นทำไม แย่งวิวห้องพักหรอ”
               “อาจารย์ ครับ” ผมงี้ขำเลย ตอนนี้พี่ธันวาของผมกำลังเหงื่อตกอย่างแรง “ใจเย็นสิ”
               “—แล้วมึงไปดูเคสสตัสดี้มารึยัง”
               “ว่าจะไปเสาร์อาทิตย์นี้แหละครับ”
               “เออ ดีแล้ว ดูมาให้ดีด้วยนะ ไซด์ที่มึงเลือกมายากนะเนี่ย เช็กกฏหมายให้ดีด้วย”
               “โอ๊ย เยอะจัง”
               “เยอะมึงก็ต้องทำ” อาจารย์สรุปให้ในกระดาษคำโตๆว่า ไม่ผ่าน
               “อาจารย์----แบบผม...“


----------------------------------------------------------------------------

               ปรากฏว่าพี่ธันตรวจแบบเร็วมาก เพราะไม่มีอะไรจะตรวจ ผมแยกกลับไปทำงานต่อ พี่ธันก็กลับไปเตรียมงานกลุ่มจนมืด เกือบหนึ่งทุ่มแล้วตอนที่เขาเดินเข้ามาหาที่สตูฯปีหนึ่ง
               “ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ” พี่ธันดูตกใจมากมาย “เพื่อนไปไหนหมด”
               “ใครเขาจะอยู่ล่ะ ไอ้อุ้มก็ไปกินข้าวกับพี่เสือ วันนี้ไอ้ตะวันก็กลับช้า”
               “วันหน้าวันหลังถ้าไม่มีใครอยู่ก็ขึ้นไปหาพี่ข้างบนนะ รู้มั๊ย” พี่ธันเดินมาแย่งกระเป๋าผมไปถือ “ไปกินข้าวกันเถอะ”
               พี่ธันขับมินิสีแดงคันโปรดของเขาพาผมไปกินร้านข้าวต้มนอกมหาลัย ชื่อคือร้านข้าวต้มนะ แต่สั่งอาหารได้ทุกอย่างเลย ที่เด็ดสำหรับผมก็เห็นจะเป็นผัดกุ่ยช่ายขาวนี่แหละ
               “ไม่ลองกินปลาดูมั่งล่ะ” พี่ธันคีบปลาสลิดเค็มยำสามรสใส่ชามข้าวต้มผม อร่อยเหาะ
               ผมสังเกตว่าพี่ธันนั่งมองผมกินบ่อยกว่าตักข้าวเข้าปากตัวเองเสียอีก พักหลังมานี่ก็ทำตัวแปลกๆ ผมรู้สึกได้ว่าเขาเครียด เขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็นแม้แต่ผม บางช่วงเวลาที่ไม่มีใครมองก็จะแอบไปนั่งเหม่อ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ผมเองก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งย่าม หากพี่ธันไม่เอ่ยปากเล่าเอง ผมก็ไม่มีสิทธิ์ อย่างว่าแหละ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่....อย่างน้อยผมก็ควรมีสิทธิ์ได้แสดงความห่วงใยไม่ใช่หรอ
               “ช่วงนี้ทำตัวแปลกๆนะ มีอะไรรึเปล่า” เป็นไปตามคาด พี่ธันหลบตาผม
               “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่...เรื่องงานไง”
               “ไลท์ไม่มีสิทธิ์รู้หรอ”
               “เปล่า พี่แค่---“
               “ไม่ไว้ใจไลท์...”
               “ไลท์....”
               นี่เป็นการคาดคั้นรูปแบบหนึ่งของผมเอง มันเกิดจากความเป็นห่วงปนกับอาการน้อยใจ ตลอดช่วงเวลานับแต่ที่พี่ธันบอกชอบผม ผมไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองเลย เขาพูแค่ วันนี้... หรือ พรุ่งนี้... ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยถามเสียเมื่อไหร่ แต่พอถามก็เอาแต่เงียบบ้างล่ะ เบี่ยงประเด็นบ้างล่ะ เป็นคุณจะไม่แอบน้อยใจบ้างหรอ คนรักกันอยู่ด้วยกันแต่ไม่รู้เรื่องของกันและกัน มันมีที่ไหน
               “ไอ้เรารึก็อุตส่าห์เป็นห่วง” ผมพึมพำ
               “พี่แค่ไม่อยากให้ไลท์ต้องเข้ามาพัวพันกับปัญหาของพี่”
               “แต่ถ้าพี่ไม่สบายใจ มันก็เป็นปัญหาของไลท์ด้วยป่ะวะ จะให้ไลท์หัวเราะเวลาเห็นหน้าเครียดๆของพี่หรอ”  ตอนนี้พี่ธันดูหนักใจจริง ผมเห็นหลายครั้งแล้ว วันนี้ผมจะทลายกำแพงนั้นให้ได้ พี่ธันต้องเปิดใจคุยกับผม
               “แต่....คือพี่---“  พี่ธันกำมือแน่นมาก หลบตาผมอยู่สักพัก “---มันก็เรื่องที่บ้านพี่นั่นแหละ”
               “บ้านพี่? ยังไง พ่อแม่พี่ทะเลาะกันรึไง”
               “เปล่า.....ไลท์ก็รู้ใช่มั๊ยว่าพ่อแม่พี่ทำอะไร” ถ้าหมายถึงอาชีพละก็ ผมเข้าใจ พ่อพี่ธันเป็นเจ้าของบริษัทอสังหารายใหญ่ของประเทศ และยังเป็นผู้นำอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนแม่เป็นคุณหญิงเชื้อสายเจ้าขุนมูลนายมีฐานันดร พี่วีบอกว่าตั้งแต่เด็กๆ พี่ธันไม่เคยได้ทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยากทำเลย ทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว ตั้งแต่การเรียน เพื่อน การงาน สังคม ผมเรียกชีวิตแบบนี้ว่าการถูกจองจำ นั่นหมายความว่าตัวผมที่คบกับพี่ธันอยู่นั้นเป็นการประพฤติตนเยี่ยงกบฏ
               “พวกเขารู้เรื่องของเราแล้วหรอ” ผมลองถามดู พี่ธันไม่เคยปิดบังเพื่อนๆ แต่กับครอบครัว เขาจะบอกเลยว่าอย่าเพิ่ง
               “ถ้าพวกเขารู้แล้ว พี่คงไม่มานั่งกินข้าวอยู่นี่หรอก เรื่องนี้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาด”
               “แต่ช้าเร็วพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดีป่ะ”
               “...ก็อาจใช่ แต่ขอให้พี่เรียนจบก่อนเถอะ”
               “ถ้างั้นตอนนี้พี่เครียดเรื่องอะไรล่ะ”
               แล้วพี่ธันก็เลื่อนมือมากุมมือผมไว้ “ไลท์ต้องเชื่อใจพี่นะ ที่พี่ไม่บอกไลท์บางเรื่องเพราะว่ามันจะทำให้ไลท์ไม่สบายใจ ขอพี่จัดการมันด้วยตัวคนเดียวก่อนแล้วกัน”
               ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังไง...พี่ธันก็ยังกันผมออกจากเรื่องส่วนตัวของเขา นี่ดูไม่ออกหรือไงว่าผมอยากจะช่วยเขาแค่ไหน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กโง่ที่ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของเขา ขนาดป๊าผมปิดบังเรื่องเล็กๆน้อยไม่ให้ผมรู้ ผมยังน้อยใจ ส่วนนี่คือคนที่ผมอยากจะใช้ชีวิตร่วมด้วยกัน เขาทำเหมือนผมเป็นคนนอก ไม่อยากให้ผมไม่สบายใจหรือไม่อยากให้ตัวเองไม่สบายใจกันแน่ นี่หรอที่เขาเรียกว่าเข้าใจความรู้สึกของคนที่ตังเองรัก
               ด้วยความรู้สึกทั้งหลายนั้น ผมตัดสินใจดึงมือกลับ
               “ไลท์”
               “พี่ธันไม่เคยเข้าใจไลท์เลย” ตอนนี้ผมตัดสินใจว่าจะระบายมันออกมาบ้าง  “พี่รู้มั๊ย  ยิ่งพี่ไม่พูดไลท์ก็ยิ่งไม่สบายใจ คิดว่าไลท์จะมีความสุขมั๊ยถ้าเห็นพี่ธันแอบนั่งอมทุกข์อยู่คนเดียว ที่ไลท์พูดขึ้นมาวันนี้เพราะเบื่อจะทนแล้ว ไลท์อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
               พี่ธันมองหน้าผมนิ่ง ท่าทางเขาเองก็เจ็บปวดไม่น้อย “ขอโทษนะไลท์ แต่ไลท์ต้องเชื่อใจพี่ในเรื่องนี้”

               ในที่สุดผมก็ผมยอมแพ้ ต่อไปนี้ผมจะไม่คาดคั้นอะไรจากพี่ธันอีก
               “เมื่อถึงเวลาพี่จะบอกทุกอย่างให้ไลท์ฟังด้วยตัวของพี่เอง” เสียงพี่ธันหนักแน่น “พี่สัญญา”
               สัญญา ถ้อยคำแห่งความหวังจากคนที่ผมรัก ผมจะลองเชื่อดูอีกสักครั้ง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยโกหกผม และเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ พี่ธันจะบอกผมทุกอย่าง....
               แต่เวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่กัน

               ตลอดทางกลับหอผมไม่พูดกับพี่ธันสักคำ มันเหมือนน้ำท่วมทุ่ง ไม่ได้อะไร ในเมื่อเราสองคนยังไม่ได้ตกลงปลงใจจะผูกพันกัน ผมก็ขอรักษาระยะห่างไว้บ้าง เผื่อใจให้พี่ธันได้มีช่องว่างในการตัดสินใจ พี่ธันก็คือพี่ธัน น้ำแข็งที่เกาะกุมอยู่ในใจเขาคงยังไม่อาจละลายได้หมด
               เมื่อพี่ธันจอดรถหน้าหอตัวเอง เขาก็รีบดึงมือผมไว้ก่อนผมจะลงจากรถ
               “คืนนี้ไลท์ไปนอนห้องพี่นะ”
               “ไม่ ไลท์จะกลับห้อง”
               “แต่งานไลท์ยังไม่เสร็จไม่ใช่หรอ ไปทำห้องพี่ไง”
               “ไม่ทำแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปทำที่สตูฯ”
               “ไลท์” พี่ธันเริ่มอ้อนแล้ว ให้ตาย “นะ พี่ขอร้อง”
               ผมก็ได้แต่ถอนหายใจรับคำ
               “ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”
               “พี่ให้เวลาสิบห้านาที ถ้าไม่ลงมา พี่จะไปอุ้มถึงห้อง”
               ไอ้หมอนี่นิ “เออ รู้แล้ว”
               ผมใช้เวลาไปยี่สิบนาทีในการเตรียมตัว จากนั้นก็รีบวิ่งลงมาจากหอตัวเอง(กลัวพี่ธันบุกมาอุ้ม) แต่พี่ธันนั่งรออยู่ที่โซฟาของลอบบี้ ข้างๆคือถุงใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนมนมเนย
               “นี่...ไปจ่ายตลาดมาหรอ” ผมถาม
               “ตลาดอะไรเล่า เสบียงที่ห้องหมดแล้วเลยไปซื้อเติม” อืม ดูท่าพี่ธันจะยังไม่ได้ขึ้นหอตัวเองด้วยซ้ำ ตั้งใจคอยผมขนาดนี้เลยหรอ  “ไปเหอะ อยากอาบน้ำแล้ว”
               พี่ธันยืนยันว่าไม่ให้ผมช่วยถือของเพราะยังห่วงเรื่องที่บาดเจ็บ แต่ผมรู้สึกหายดีแล้ว เพียงแต่จะกระโดดหรือไอแรงๆไม่ได้เท่านั้น สภาพตอนนี้พี่ธันจึงหอบถุงใบใหญ่สองไม้สองมือ เดินนำผมขึ้นหอ พอมาถึงหน้าประตูเขาก็ยืนนิ่ง ทำท่าเหมือนคิดอะไรได้
               “หยิบกุญแจให้พี่หน่อย”
               “...อยู่ไหนล่ะ”
               “ในกระเป๋ากางเกง”
               เหยยยยยย กระเป๋ากางเกง บ้ารึเปล่า จะให้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพี่ธัน ไม่เอาหรอก
               “พี่ธันก็วางของก่อนดิ”
               “วางไม่ได้ มีถุงน้ำ เดี๋ยวมันหก”
               “งั้นไลท์ถือให้”
               “เสียเวลา” ไอ้พี่ธัน จะให้ผมหยิบให้ได้เลยใช่ป่ะ “เร็วดิ”
               แล้วมันก็แอ่นเอวให้เต็มที่เลย ไอ้เชี่ยยยยพี่ธัน ผมกัดฟันล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์เข้ารูป กางเกงเข้ารูปก็คือพอดีกับรูปเอวและต้นขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มือผมจะไม่สัมผัสต้นขาพี่ธัน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิเปลี่ยนไป ไอ้กระเป๋ากางเกงบ้านี่ก็ลึกซะจริง ล้วงอยู่นานกว่าจะเจอ ผมค่อยๆใช้นิ้วเกี่ยวห่วงลูกกุญแจแล้วดึงออกมา ฝ่ามือก็ลูบต้นขาพี่ธันขึ้นมาด้วย โอ๊ยยยยยย
               ใจผมเต้นระส่ำจนมือไม้สั่น พยายามเก็บอาการทุกอย่างแล้วไขกุญแจเปิดห้องให้พี่ธันเดินเข้าไป ผมเห็นเขายิ้มกริ่ม คงจะชอบใจมากที่แกล้งผมได้ ไอ้จอมฉวยโอกาส คราวหลังจะตีให้ก้นลาย... เอ้ย อย่าคิดถึงก้นดิ
               เสียงเปิดตู้เย็นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงถุงถูกรื้อค้น พี่ธันกำลังจัดเสบียงที่ซื้อมาเข้าตู้เย็น มีทั้งขนมนมเนยของคาวหวานสารพัด ผมไม่สนใจเท่าไหร่
               ห้องของพี่ธันยังเหมือนเดิม โทนสีที่ใช้คือขาวเทาดำ ผ้าปูที่นอนสีเทา ตู้สีดำ ทีวีสีดำ พรมสีขาว ฯลฯ เอาเป็นว่ามีแค่นี้แหละ ขาวเทาดำ ที่แปลกหน่อยก็เห็นจะเป็นรูปสมเด็จย่าฯและในหลวงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมุมห้องใกล้กับหัวเตียง โซนนั้นจะมีสิ่งของที่ดูจะไม่เกี่ยวกับการเรียน สมุดเพลง กีตาร์ไฟฟ้า แอมป์ ถัดไปด้านซ้ายมีคีย์บอร์ดด้วย เห็นแล้วคันไม้คันมือ นอกจากนั้นก็มีกล่องใส่รายงานเล่มหนา ม้วนกระดาษยาวมากมาย กับอุปกรณ์ตัดโมเดลที่สุมเป็นกองอยู่ในลังใส่ของใบใหญ่ใกล้กับทีวี ส่วนโต๊ะเขียนแบบก็อยู่ข้างๆเตียง ตัวเบ้อเร่อเลย
               เตียงพี่ธันเด้งมาก นอนแล้วสบาย พอผมเข้ามาได้ก็ทิ้งตัวลงนอนก่อนเลย แต่อย่าเข้าใจผิดนะคร้าบบบบ ผมไม่เคยนอนค้างห้องพี่ธัน มีแต่พี่ธันนั่นแหละ ชอบทึกทักไปหลับบนห้องผมเฉย
               “อะไร จะนอนแล้วหรอ” พี่ธันถาม
               “บ้า ทำงานดิ” ปากบอกว่าอย่างนั้นแต่หลับตาพริ้งแล้ว “แต่ขอพักหลังแป๊บ”
               นอนหลับตาอยู่ไม่เกินสามนาทีหรอก ผมสงสัยขึ้นมาเสียก่อนว่าเสียงถุงมันเงียบไปตอนไหน อันที่จริงมันเงียบไปหมดเลย แล้วจู่ๆก็มีเสียงลมหายใจมาปรากฏอยู่บนหน้าผม แต่ผมกำลังนอนหงายอยู่....
               ผมค่อยๆลืมตา ภาพตรงหน้าคือ ไอ้พี่ธันกำลังก้มลงมาใกล้หน้าผมมาก ทำท่าเหมือนกำลังจะจูบ พอเห็นผมลืมตาก็ใช้ร่างกายอันแข็งแรง กระโดดขึ้นมาคร่อมผมทันที
               “เฮ้ย เชี่ย ทำไรวะ”
               “ทำโทษไง”
               “โทษพ่อง กูไปทำผิดอะไร ออกไปนะเว้ย” ผมดิ้นสิครับ ดิ้นแข่งกับมโนภาพที่มันปรากฏอยู่ในหัว ผมกำลังจะถูกพี่ธันปล้ำ ว้ากกกกก
               “อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นพี่ปล้ำจริงๆด้วย”
               “ไอ้เชี่ย ไอ้พี่ธัน ปล่อยไลท์นะ” พี่ธันนี่ก็ยังไงนะ พอเป็นเรื่องพวกนี้ล่ะแรงควายทีเดียว
               “บอกให้อยู่นิ่งๆไง” ดูท่าจะพูดจริง จมูกพี่ธันสัมผัสโดนต้นคอผมแล้ว เล่นซะผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมนิ่งทันที เกร็งตัวหลับตาปี๋
               “เออๆๆ นิ่งแล้วๆ”
               “เด็กดี”
               ผมค่อยๆลืมตาอีกครั้ง พี่ธันยังคงประสานสายตาผมใกล้มากจนจะนับขนตาได้ทุกเส้น หัวใจผมตอนนี้ก็เหมือนเป็นปลากระดี่โดนน้ำร้อน จะกระโดดออกมาจากอกให้ได้ โชคยังดีหน่อยที่พี่ธันยังไม่ได้ทับผมลงมาทั้งตัว ไม่งั้นได้มีหัวใจวายกันบ้างล่ะ
               “ปล่อยไลท์ได้แล้ว”
               “พี่ไม่อยากปล่อยเลย”
               “แต่ไลท์จะทำงาน”
               “นึกว่าเราอยากนอนซะอีก จะนอนกับพี่ก็ได้นะ”
               “คนอะไร...ชอบฉวยโอกาส”
               “พี่ก็ทำกับเราคนเดียวนี่แหละ ไม่สังเกตรึไง” นี่ผมต้องดีใจกับมันมั๊ยเนี่ย
               “ไปอาบน้ำเลย” ไม่ได้จะว่าตัวเหม็นนะ กลิ่นตัวพี่ธัน ไม่ว่ายามไหนก็ทำให้ผมหลงไหลได้ทั้งนั้น “ไลท์จะทำงานแล้ว”
               ในที่สุดพี่ธันก็ปล่อย ทันทีที่เขาลุกไป ผมก็รีบหยิบหมอนมาปิดหน้าปิดตา ซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำไม่ให้ไอ้บ้านี่เห็น พี่ธันคงจะตลกมากที่ผมเขินขนาดนี้ หัวเราะสองทีแล้วเข้าห้องน้ำไป พอประตูปิดลงผมก็สวดพี่ธันแบบไร้เสียงทันที คนอะไร ชอบทำเจ้าชู้ ลวนลาม ถึงเนื้อถึงตัว เล่นซะใจผมวุ่นวายไปหมด คืนนี้ชักจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว

               พี่ธันอาบน้ำไม่นานมาก ทว่าคงจะอาบด้วยสบู่อย่างเดียวกระมัง เพราะทันทีที่เปิดประตูก็ส่งความหอมมาเตะจมูกผมที่นั่งเขียนแบบอยู่จนต้องหันไปมอง แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็คือ ผมไม่นึกว่าไอ้พี่ธันจะนุ่งผ้าขนหนูสีเทาแค่ตัวเดียว ทำให้ผมเห็นลำตัวขาวเนียนกับกล้ามเนื้อล่ำหนา แม้ไม่เท่าพี่สิบโท แต่นี่คือหุ่นของคนเล่นกีฬา จะว่ายังไงล่ะ มันเอาไว้ขยี้ใจผมโดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็นร่างกายพี่ธันเสียเมื่อไหร่ เพียงแต่ภาพเหตุการณ์บนตียงเมื่อกี้มันยังไม่หายไป และมันส่งผลกระทบต่อภาพในอนาคตที่ผมสามารถคิดได้ ไม่ว่ายังไงใจมันก็ยังสั่นอยู่ดี
               และเหมือนมันรู้ว่าเมื่อตะกี้ผมแอบมองมัน ตอนนี้มันจึงมายืนอยู่ข้างหลังผมแล้วสอดมือรัดรอบอกผมแน่น
               “เฮ้ย พี่ธัน เปียก” เนื้อตัวหอมๆของพี่ธันแนบอยู่กับแผ่นหลังผม หนำซ้ำยังเอาแก้มตัวเองมาถูหัวผมอีก ไอ้บ้าเอ้ย
               “เรานี่มันน่ากอดจริงๆนะ”
               “ไม่งั้นไลท์จะกลับห้องแล้วนะ”
               “ไลท์อ่ะ” นี่ผมก็ไม่ได้ขัดขืนแล้วนะ แต่ก็ยังอยากไว้ฟอร์มก่อน
               “เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”
               “หมายความว่า ถ้าเป็นแล้วจะกอดแค่ไหนก็ได้ใช่ป่ะ”
               ไม่ได้ว้อยยย
               “พี่ธันนนนนนนนนน” แล้วผมก็ดึงหูพี่ธันจนเขาต้องปล่อยมือ
               “โอ้ย โอ้ย ยอมแล้วๆๆๆ”
               “ไปใส่เสื้อผ้าเลย”
               “ใส่แล้วจะให้ความอบอุ่นไลท์ได้ไม่เต็มที่นะ” ยัง ยังจะทำตัวเจ้าชู้
               “ไป—ใส่—เสื้อ—ผ้า” ผมทำหน้าดุใส่ ดุแล้วนะ ดุมากๆด้วย
               พี่ธันขยี้หัวผมเล่นทีหนึ่งแล้วเดินไปแต่งตัว

               “ดุเหมือนเมียเลย”

               หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร งานผมไม่นานก็ใกล้เสร็จ พี่ธันแต่งชุดนอนสบายๆแล้วขึ้นไปเปิดโน๊ตบุ๊คเล่นบนเตียง ตรงนี้ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ได้แต่แอบเหลือบมองทุกการกระทำเป็นระยะๆ สักพักเขาก็พูดขึ้นมา
               “พรุ่งนี้ไลท์เก็บกระเป๋าด้วยนะ”
               “เก็บกระเป๋า?? เก็บทำไม”
               “พี่จะไปดูเคสรีสอร์ท ไปกับพี่ด้วย” อ๋อ ที่คุยกับอาจารย์เมื่อเย็น ก็ดีเหมือนกันนะ ได้ไปเที่ยวบ้าง แต่เดี๋ยวก่อนนะ...
               “สองคน...กับพี่น่ะหรอ??”
               “เออสิ จะให้พี่ไปกับใครล่ะ”
               เอาแล้วไง จะบอกว่าเดทก็ดูจะยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว เรียกฮันนีมูนเลยมั๊ย ไปเที่ยวกับพี่ธัน ค้างคืนกับพี่ธัน สองต่อสอง....
               “ไปที่ไหนล่ะ”
               “เชียงราย”
               “โห ไกลจังวะ แล้ว...ไปกี่วัน” พี่ธันชูนิ้วสามนิ้ว สามวัน นอนห้องเดียวกันสองคืน นี่ผมกำลังหูฝาด สองคืนจะครองความบริสุทธิ์ได้แค่ไหนกับอีตานี่ ตอนนี้ผมเลยไม่รู้จะดีใจได้หรือเปล่า
               “ตกลงแล้วนะ” เอาอีกแล้ว แบบนี้เรียกบังคับ ผมก็เสือกไม่ปฏิเสธ แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ได้ไปเที่ยวกับพี่ธันถึงเชียงราย ผมไม่เคยคิดถึงวันแบบนี้มาก่อน รู้สึกดีใจมากจนยิ้มไม่หุบ
               ผมไม่ได้ดูเวลาเลย พองานเสร็จก็เก็บของบิดขี้เกียจ หันไปที่เตียงก็เห็นพี่ธันหลับคาโน๊ตบุ๊คไปเสียแล้ว คนอะไรหลับง่ายชะมัด บทจะหลับก็หลับมันทั้งอย่างนั้นแหละ ผมจัดการปิดคอมให้ จัดท่านอนสบายๆให้พี่ธัน ห่มผ้าให้อย่างดิบดี ...ก่อนจะไป ผมแอบหอมแก้มพี่ธันด้วย เพื่อตอกย้ำความรักและโชคดีของตัวเอง


               พรุ่งนี้ตอนเย็นคือเวลาที่นัดหมาย ใครจะว่าผมรีบก็ได้ แต่ผมเตรียมกระเป๋าเสร็จหมดทันทีที่กลับหอแล้ว


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : เป็นเด็กดีนะไลท์ ไปค้างคืนกับพี่เขาก็ทำตัวดีๆ อย่าปฏิเส-- เอ้ย อย่าปฏิบัติตัวลุ่มล่าม
^^




ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

22

ไลท์ : รีสอร์ท



               ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปีสุดท้ายจะไปต่างจังหวัดบ่อยๆ แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องที่ผมไปกับพี่ธันวา ล้วนต้องตกอยู่ในอาการของคนที่เรียกว่า เหวอแดก
               “จะตกใจอะไรกันนักหนาวะ”
               “ก็มึง...ไปกันสองคน ...ปีหนึ่งไปกับปีสุดท้าย มึงจะให้เขาคิดยังไงล่ะ” อิอุ้มไขข้อข้องใจให้ผม “ขนาดกูยังคิดเลย”
               “คิดเชี่ยไร ไม่มีอะไรหรอกน่า”
               “เรื่องนั้นมึงกลับมาค่อยเล่าให้กูฟังดีกว่า”
               ไอ้อุ้มล้อผมตลอดทั้งวัน คนอื่นก็ไม่วายแวะเวียนมาอวยพรกันยกใหญ่ คือ...ผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะให้ตีหน้าปกดิได้ไง เรื่องแบบนี้ใครโดนแซวก็หน้าแดงทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ได้แดงเพราะเขินหรอกนะ มันเยอะไปจนผมเริ่มโกรธแล้วล่ะ
               “ว่าแต่กูเหอะ มึงกับพี่เสือนี่ยังไง” ผมแซวมันบ้าง
               “จะอะไรล่ะสัด เขาก็มาจีบกูไง” ผมงี้มือกระตุกเลย อุ้มมันก็ตรงเกิน พี่เสือก็อีกคน
               “ง่ายๆเงี้ยหรอ มึงรู้ได้ไงว่าเขาจีบมึง”
               “ก็มันบอกเอง” กุมขมับเลยสิ ไอ้พี่ขวานผ่าซาก อิอุ้มมันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะพี่เสือ

               ใกล้พักกลางวันแล้ว พี่ธันติดประชุมงานกลุ่มมารับผมไปกินข้าวไม่ได้ เลยส่งลูกน้องอย่างพี่ลิตเติ้ลมาแทน เดินยิ้มร่าอวดเขี้ยวมาแต่ไกล และมีคนเกาะไหล่มาด้วย หน้าคมตาดุๆนั่น พี่เสือเองครับ รหัสผมทั้งนั้น มาบ่อยเลี้ยงบ่อยจนเพื่อนรุ่นเดียวกันอิจฉาตาเป็นไฟกันหมดแล้ว
               “พร้อมยังไอ้ตัวแสบ” พี่ลิตเติ้ลเรียกผม ขยี้หัวผมเล่นด้วย
               “ได้เลยครับ พี่เสือก็มาด้วยหรอ”
               “กูมาชวนอุ้มไปกินข้าว” หืม ตรงเกิน ตรงจนมึน อิอุ้มกลอกตาหนีเรียบร้อย
               “พี่เสือนี่ก็นะ จะจีบผู้หญิงก็หัดอ่อนโยนหน่อย” ผมสั่งสอนเข้าให้ “ทำให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษสำหรับตัวพี่น่ะ เข้าใจมั๊ย”
               พี่เสือกำลังคิดตามและทำหน้าเหมือนเห็นด้วย “แม่ง ยากจังวะ...”
               ยังไม่ทันจะได้ตกลงปลงใจอะไรกัน ไหล่พี่เสือก็มีมือฟาดโช๊ะลงมา
               “ไอ้เชี่ยเสือ ปรากฏตัวต่อสาธารณะชนก็เป็นหรอมึง”
               “เออ กูเจ็บนะน่ะ”
               เพื่อนพี่เสือไม่สนใจใบหน้าตายซาก หันไปหาอุ้ม “วันนี้ก็ชิลๆเหมือนเคยป่ะ ไม่เครียดนะอุ้ม”
               “ตอนแรกก็ไม่เครียดหรอกพี่...”
               “เฮ้ย อย่าใส่ใจมาก ไปกันยัง พี่หิวข้าวแล้ว”
               “ไอ้อาร์ม ไหงมาตัดหน้างี้วะ”
               พี่ที่ชื่ออาร์มคนนี้หันไปมองหน้าพี่เสือด้วยความสงสัย “ตัดหน้าอะไรของมึงวะไอ้เสือ”
               “กูชวนน้องอุ้มแล้ว วันนี้มึงห้าม”
               “เชี่ยไรล่ะ กูเลี้ยงน้องรหัสกูมึงเกี่ยวได้วย”
               “เกี่ยวดิ กูจีบอุ้มอยู่”
               ...ทุกคนตรงนั้น เหมือนถูกช็อต...
               พี่อาร์มมองพี่เสือกับอิอุ้มสลับกันไปมา ก่อนจะหันไปทำหน้าตาเหมือนตัวโกงในละครตอนที่กำลังวางแผนที่ชั่วร้ายที่สุด
               “ไม่ได้ กูไม่อนุญาติ”
               “เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่มึงตัดสินใจแทนได้” พี่เสือสู้เว้ย
               แล้วอุ้มมันก็ลุกจากเก้าอี้ครับ กระทันหันจนทุกคนต้องหยุดมอง “ไปพี่อาร์ม วันนี้อุ้มเลี้ยงข้าวพี่เอง”
               สองคนเร่งเดินออกไปจากห้อง ทิ้งความมึนงงไว้กับหน้าผู้ชายสามคนในสตูฯ พี่เสือก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งสุดขีด(หน้าปกติแกนั่นแหละ) ผมจึงชวนให้เขาไปกินข้าวด้วยกัน มื้อกลางวันไม่มีอะไรพิเศษมาก เราไปกินที่โรงอาหารคณะวิศวะ ที่นั่นเราสามคนเห็นพี่วิวมีสาวเดินเกี่ยวแขนมาด้วย ข้างหลังก็คือเพื่อนเขานั่นแหละ ในใจผมก็คิดว่าไม่มีอะไรหรอก ทว่าพี่ลิตเติ้ลนี่...หน้าตาเย็นชาระดับสิบ ผมเลยแกล้งพี่วิวโดยการตะโกนเรียกซะเลย พอพี่วิวหันมาเห็นพี่ลิตเติ้ลเท่านั้นแหละ---
               ยาวไปครับ ยาวปายยย ฮ่าฮ่าฮ่า

--------------------------------------------------------------------------------

               ตกเย็นผมกับพี่ธันกลับไปเอากระเป๋า ผมไม่ลืมหยิบกล้องไปด้วย ตรงนี้เราทะเลาะกันนิดหน่อย เพราะผมเห็นว่าพี่ธันไม่ควรขับรถตอนกลางคืน(จะขับรถขึ้นเหนือ บ้า) สุดท้ายผมจึงจองตั๋วบินตรงไปเชียงราย เราเกือบขึ้นเครื่องไม่ทันเพราะรถติด ตลอดทางพี่ธันนั่งหน้างอไม่พูดไม่จา คงจะเสียดายที่ไม่ได้ขับเจ้ามินิน้อยเปิดประทุนไปเที่ยวธรรมชาติ
               แต่งอนได้ไม่นานหรอก พอผมเอนหัวไปซบไหล่ก็ยอมแล้ว คนบ้าอะไรน่ารักชิบ...
               กว่าสี่ทุ่มแล้ว ผมกับพี่ธันอยู่ที่สนามบินเชียงราย ตอนขามาก็รีบเกิน ข้าวปลาไม่ได้กิน ผมจึงอาสาไปซื้ออาหารแถวนั้น ในขณะที่พี่ธันไปรับรถเช่าที่จองไว้เพื่อขับออกนอกเมือง พี่แกบอกจะไม่พักในเมือง คงต้องขับรถอีกหน่อยกว่าจะถึงที่หมาย ไม่รู้จะถูกพาไปที่ไหนเหมือนกัน
               “นั่งกินข้าวกันก่อนมั๊ย” ผมเสนอ ส่วนหนึ่งเพาะหิวจริงๆ
               “อืม ที่จริงถ้าไปถึงรีสอร์ทก็น่าจะมีของกินให้แหละ แต่ก็...” พี่ธันคว้าข้าวเหนียวหมูปิ้งไปจนได้ สุดท้ายก็ต้องแพ้ความหิว พูดมากจริง
               “นานมั๊ยกว่าจะถึง”
               “อาจจะสักชั่วโมงครึ่ง” พี่ธันทำท่าจะขยี้หัวผมอีกแล้ว ผมกันไว้ได้ก่อนที่หัวจะมีแต่ความมัน “ไลท์ง่วงรึยังครับ”
               “เมื่อกี้กินกาแฟไปแล้ว ได้ช่วยพี่ธันดูทาง”
               “ใจดีจัง กลัวพี่เหงาหรอ”
               ผมส่ายหน้า “เปล่า ห่วงสวัสดิภาพตัวเอง”
               พอได้ยินดังนั้น พี่ธันก็ลงโทษผมโดยการแย่งหมูชิ้นสุดท้ายของผมไป บ้าที่สุด
               เราเช่ารถ พี่ธันขับชิลไปเรื่อยๆ(เรื่อยๆนี่ก็เกือบจะแตะร้อยแล้ว) ทำเวลาดีมาก ผมก็นั่งเล่นโทรศัพท์บ้าง นั่งฟังเพลงเฉยๆบ้าง ก็รอบข้างมันมืด กล้องถ่ายอะไรไม่ได้หรอก
               “พี่ธันชอบฟังเพลงแบบนี้หรอ” ตอนนี้เป็นฮาร์ดร็อก ฟังแล้วอยากซิ่ง
               “ก็...มั้ง ไม่รู้สิ พี่ไม่ค่อยได้อัพเดท” หมายความว่าไม่ค่อยได้ฟังแนวอื่นหรือไง “ไลท์ล่ะ เลือกเปิดอย่างอื่นก็ได้”
               “ไลท์ว่า ถ้าไม่รู้ว่าจะฟังอะไรก็เปิดวิทยุสิ” แล้วผมก็กดเปิดคลื่นเพลงสากลล้วนๆ
               “หัวนอกหรอ ไม่ฟังเพลงไทย”
               “ก็ฟังอยู่บ้างนะ แค่ไม่ได้ฟังพวกสากลเป็นประจำบ่อย บางทีหูมันก็ไม่ค่อยชอบสไตล์” ผมไม่สามารถตีความสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปได้ พี่ธันก็คงรู้สึกเหมือนกัน
               ไม่รู้ว่าการขับรถโดยมีคนคุยไปด้วยนี่เรียกว่าช่วยหรือเปล่า ผมเกรงว่าพี่ธันจะเสียสมาธิซะก่อน จึงเงียบไป ทำให้พี่ธันชำเลืองมองมาเป็นระยะ
               “ทำไมเงียบไปล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า” เป็นงั้นไปซี
               “ไลท์กลัวพี่ธันจะเสียสมาธิ”
               พี่ธันยิ้ม “แค่ไลท์นั่งมาพี่ก็เสียสมาธิแล้ว แค่คุยจะเป็นไรไป”
               นั่นทำให้ตลอดทาง ผมยิงคำถามไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเที่ยว เรื่องงาน เรียงเรียน เรื่องหญิง... ข้อหลังนี้พี่แกดูเกร็งๆ เหมือนจะมีอะไรปิดบัง ในที่สุดพี่ธันก็ประกาศออกมาว่าถึงแล้ว และผมก็เห็นป้าย มันเขียนว่า ‘ไร่แสงอรุณ’ ผมถึงกับอึ้ง นี่เราอยู่ริมโขงหรือ
               “มาไกลจัง” ผมบอกพี่ธัน
               “ไม่ค้นหา ไม่เจอของดี ที่นี่แหละโอเคสุด”
               “ไม่มั้ง เวอร์ไป” ถึงจะเป็นรีสอร์ทขึ้นชื่อ แต่จะบอกว่าดีที่สุดรึ ไม่ใช่หรอก
               “อย่าเพิ่งสงสัยเลย พรุ่งนี้ค่อยคิด ไลท์รอพี่แป๊บ เดี๋ยวพี่ไปให้เขาเปิดห้องก่อน”
               ผมทำตาม ระหว่างรอก็ออกมาเดินเล่น ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ธันถึงเลือกมาที่นี่ ถ้าจะหารีสอร์ทที่เป็นมิตรใกล้ชิดธรรมชาติที่สุดก็คงต้องเป็นที่นี่แหละ ผมได้ยินเสียงแม่น้ำโขงมาแต่ไกล หมู่แมกไม้และเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็แข่งกันขับขานสัญญาณแห่งธรรมชาติ สายลมเอื่อยๆก็พัดผ่านกายตลอด แต่วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติในฤดูนี้ ตอนแรกผมกังวลว่าฝนจะตกไม่หยุดตั้งแต่ที่สนามบิน แต่ที่นี่ดูเหมือนจะแค่โปรยลงมาเฉยๆ และท้องฟ้าก็ดูไม่ค่อยมีเมฆแล้ว
               ใช้เวลาไม่นานพี่ธันก็เดินลงมาจากอาคารไม้ทรงล้านนา ในมือถือกุญแจมาด้วย
               “ป่ะ ได้กุญแจแล้ว”
               “ไหนที่พักล่ะ”
               “โน่นไง” พี่ธันชี้ไปทางริมแม่น้ำโขง ผมเห็นดวงไฟสีส้มและยอดหลังคาจั่วสูงสามหลังใกล้ๆกัน
               พี่ธันเดินนำไปถึงบ้านพักหลังที่มีป้ายแปะไว้ว่า ‘บ้านริมโขง 3’ มองเผินๆเหมือนเป็นบ้านไม้ทั่วไปครับ แต่ไม่ใช่ นี่คือบ้านพักที่ถูกออกแบบโดยสถาปนิกที่มีประสบการณ์สูงแน่ๆ ทุกอย่างทั้งเป๊ะทั้งเนียบ ผมลองมองทิศทางการจัดวางผังอาคารคร่าวๆแล้ว บ้านพักโซนนี้จะหันระเบียงเข้าหาทิศตะวันตก สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำและทิวเขาได้เด่นชัด
               ยังไม่หมด พอย่างเท้าเข้าห้องพักมาก็ถึงกับร้องว้าว สวย และ...โรแมนติกเชี่ยๆ
               ตื่นเต้นจนไม่เป็นทำอะไรแล้วครับ ผมรีบเปิดกระเป๋า ควักกล้องออกมาแล้ววิ่งไปที่ระเบียงทันที นอกระเบียงแม้จะมืด แต่นั่นก็ทำให้เห็นดาวบนท้องฟ้าชัดเจนมาก แสงจันทร์ทำให้มองเห็นระลอกคลื่นสีเงินบนผิวน้ำ เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกถ่ายกลางคืน ถ่ายอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ได้นึกถึงเลยว่าตอนนี้เวลาอะไร
               “ไลท์ ไม่ง่วงนอนหรอ นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะ” จริงรึ จะเที่ยงคืนแล้วหรอ แล้วนั่นไอ้พี่ธันถอดเสื้อออกหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ เหลือแต่เสื้อกล้ามกับกางเกงบ๊อกเซอร์
               “หรอ เที่ยงคืนแล้วหรอ” ทว่าผมก็เพิ่งจะตระหนักบางอย่างได้ เตียงมันมีเตียงเดียวนี่หว่า... “งั้น พี่ธันไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน ไลท์ขอถ่ายรูปอีกแป๊บนึง”
               ก่อนจะเดินหอบผ้าเข้าห้องน้ำไป พี่ธันมันก็จ้องผมแล้วยิ้มอยู่พักหนึ่ง ไอ้รอยยิ้มนั่นมันก็ดูแสนจะน่าหวาดกลัว ตอนนี้ไม่ว่าผมจะพิจารณาทางไหนก็ไม่มีทางรอดได้เลยถ้าพี่ธันจะปล้ำผม คืนนี้ผมคงต้องระวังตัวให้มากเสียแล้ว ที่เหลือก็วัดใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของมัน
               แต่เรื่องทั้งหลายแหล่ช่างมันก่อน เพราะผมกำลังตั้งใจกับการฝึกถ่ายภาพท้องฟ้าตอนกลางคืนมาก ไม่รู้ต้องทำยังไงแสงดาวจึงจะชัดกว่านี้ ขาตั้งกล้องก็ไม่มี จะให้เปิดรูรับแสงนานๆก็ทำไม่ได้ เซ็ง สุดท้ายจึงจำใจเลิกถ่ายแล้วหันมานั่งเลือกรูปในกล้องดู ถ่ายไว้เยอะเหมือนกัน ผมมีเมมโมรี่สำรองไม่มาก เมื่อมีเวลาจึงต้องคอยจัดดูและลบบางรูปที่ใช้ไม่ได้ทิ้งไป(รูปพี่ธันลบไม่ได้ เก็บหมด)
               นั่งอยู่ไม่นานก็ได้กลิ่นสบู่หอม ผมจึงรู้ว่าพี่ธันอาบน้ำเสร็จแล้ว คราวนี้ไม่ได้โป๊ครับ เขาใส่เสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงนอนสีเทา ผมที่ยังไม่แห้งของพี่ธันทำให้ดูเซกซี่ขึ้นอีกหลายขั้น นี่คือสภาพปกติของคนหล่อ ทุกอย่างดูดีไปหมด ผมมองนานไม่ได้ เขิน
               “ไปอาบน้ำสิ” พี่ธันเดินมาถึงตัวผมแล้ว ไอ้ที่นั่งริมระเบียงนี่ก็ช่างโรแมนติกเสียจริงๆ ผมซึ่งนั่งเงยหน้ามองพี่ธันอยู่ เราสองคนอยู่ใต้แสงดาวและแสงจันทร์ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ ทั้งหมดนี่มันเป็นแผนของพี่ธันใช่มั๊ย แผนที่ทำให้ผมอ่อนไหวไปกับบรรยากาศแบบนี้
               “นี่วางแผนมาก่อนแล้วใช่มั๊ย”
               “วางแผนอะไร”
               “ก็...แผนสร้างความอ่อนไหวไง”
               พี่ธันขำใหญ่ คงจะหาว่าผมเป็นพวก.... นี่กูพูดอะไรออกไปวะนั่น
               “คิดไปถึงไหนเนี่ยเรา”
               ผมรีบหันหน้าแดงๆของตัวเองหนี “...ก็ต้องคิดไว้ก่อนแหละ อยู่กับจอมฉวยโอกาสแบบนี้”
               “นี่ไลท์จะไว้ใจพี่ไม่ได้เลยหรอ”
               “บอกเลยว่า ยัง”
               พี่ธันถอนหายใจแต่ก็ยังยิ้มอยู่ เขาทรุดตัวลงบนที่นั่งริมระเบียง ผมใช้หมอนหนุนหลังกึ่งนอนถือกล้องมองเขาอยู่ สองขาชันเข่าขึ้นน้อยๆ ไอ้พี่ธันนั่งอยู่เลยปลายเท้าผมไปหน่อย ขาขวาขัดสมาธิ ขาซ้ายปล่อยห้อยแล้วเอนหลังไป สายตาก็จ้องหน้าผมตลอดเวลา
               “ชอบที่นี่รึเปล่า”
               ชวนคุยเรื่องบรรยากาศเสียแล้ว “ไลท์ว่า...มันสวยมากเลย”
               “ตอนเช้าจะสวยกว่านี้อีกนะ” พี่ธันมองไปทางแม่น้ำ “อันที่จริง พี่อยากให้เห็นตอนพระอาทิตย์ตกด้วย สวยมากจริงๆ”
               “เคยมาแล้วรึไง”
               “อืม มาสองสามครั้งแล้ว ขึ้นมาเชียงรายทีไรก็ต้องมาที่นี่แหละ คิดถึงบรรยากาศ”
               “พาสาวเจ้ามาแอ่วละสิไม่ว่า” ผมแอบถากถางอยู่เบาๆ
               “ไลท์ พี่มาคนเดียวตลอด ปกติแล้วพี่ไม่ชอบไปเที่ยวเป็นกลุ่มหรอก” อันนี้ดูจากน้ำเสียงและนิสัย น่าจะพูดจริง “นี่เป็นครั้งแรกที่พี่อยากมีเพื่อนร่วมเที่ยว”
               “ไม่ต้องมาหยอดเลย ไลท์ไม่หลงง่ายๆหรอก”
               “แหม ไม่หลงง่ายๆอะไร ใครกันที่แอบชอบพี่มาตั้งหลายปีไม่เคยลืม...”
               อย่าเอาเรื่องน่าอายมาพูดได้ม๊ายยยย “หลงประเด็นแล้ว หลงตัวเองอีกต่างหาก”
               “หลงหมูน้อยอีกด้วยแหละ”
               โอ๊ย แพรวพราว ไอ้เรื่องทำนิสัยเจ้าชู้นี่เก่งจัง ชอบทำให้คนอื่นเขาเขินใช่มั๊ย ไม่ต้องปฏิเสธด้วย เพราะตอนนี้ผมโคตรเขิน แต่ผมแก้เขินได้ไม่ยากหรอก ก็ถ่ายรูปพี่ธันไง...
               “มีรูปพี่กี่รูปแล้วเนี่ย”
               “มากพอจะเอาไปขายแฟนคลับพี่ได้แล้วกัน”
               “ร้ายนะเราน่ะ อยากโดนทำโทษหรอ”
               ทำโทษ คำนี้ทำให้ผมนึกถึงเมื่อคืนก่อนตอนอยู่บนเตียงพี่ธัน
               “เอามาดูมั่งดิ” พี่ธันแย่งกล้องผมไป
               “เฮ้ย...”
               ปล่อยเลยตามเลยครับ ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ที่เห็นจะน่าอายหน่อยก็ตรงที่กว่าครึ่งในเมมนั้นเป็นรูปพี่ธันทั้งนั้น ถ่ายในแทบจะทุกสถานการณ์
               “โห ทำไมมีแต่รูปพี่เนี่ย”
               “ก็มันมืด จะให้ถ่ายอะไรล่ะ” จริงครับ มันมืด เลยไม่เห็นวิวอื่นไง ถูกป่ะ
               “แอบถ่ายพี่ทั้งนั้นเลย อยากเป็นสปายหรอ”
               “บ้าหรอ—“ ผมเดาเอาว่าพี่ธันคงยังดูแค่ส่วนที่ถ่ายหลังจากขึ้นเครื่องมา แค่นั้นไม่เท่าไหร่หรอก แต่ก่อนหน้านั้นเนี่ยสิ แค่คิดก็เขินจนตัวบิดแล้ว จะแย่งคืนพี่ธันคงไม่ยอมแน่ ทางที่ดีก็ หลบไปก่อน ให้เขาเห็นไปเองแล้วกัน
               “ไลท์ไปอาบน้ำล่ะนะ...ไปล่ะ” พูดเสร็จก็กระโดดจากระเบียงวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที แต่สภาพในห้องน้ำทำผมลืมเขินไปเลย ดูดีมาก ไม่มีหลังคาด้วย ผมถอดเสื้อ อาบน้ำ ฟอกสบู่จนจะเสร็จอยู่แล้วก็พลันมองหาผ้าเช็ดตัว แต่มันไม่มี...
               ผมลืมหยิบเข้ามาด้วย
               อยากจะร้องไห้เป็นภาษาเกาหลี อะไรจะซุ่มซ่ามได้ขนาดนี้นะ แล้วนี่จะทำยังไง ใส่ชุดเดิมก็เหม็น แถมยังทำให้ผ้าเปียกด้วย เวลาตากก็ไม่มี ผมตัดสินใจจะเข้าไปเอาในห้อง แอบเปิดแง้มประตูดูว่าไอ้พี่ธันอยู่ในห้องรึเปล่า แต่มันยังอยู่ที่ระเบียงครับ จะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้สามารถหยิบผ้าเช็ดตัวบนเตียงได้โดยไอ้พี่ธันไม่เห็น แต่คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก เหลือทางเดียวเท่านั้น
               “พี่ธันครับ” ผมเรียก พี่ธันหันมาทันที
               “มีอะไรรึเปล่า น้ำไม่ไหลหรอ”
               แค่ขอผ้าเช็ดตัวทำไมต้องระแวงขนาดนี้ด้วยวะ “เปล่าหรอก คือ....หยิบผ้าเช็ดตัวให้ไลท์หน่อยสิ ไลท์ลืม”
               “อ้าว” พี่ธันถือกล้องมาวางไว้ที่เตียงแล้วหยิบผ้าขนหนูส่งให้ แต่พอผมจะคว้าผ้า เขากลับชะงัก “เดี๋ยวก่อนนะ ....ถ้างั้นตอนนี้ไลท์ก็.....”
               ไอ้พี่ธัน กูรู้นะมึงคิดอะไรอยู่ “หยุดคิดเดี๋ยวนี้ ส่งผ้ามา”
               มันร้ายมากครับ เดินเข้ามาประชิดหน้าประตูห้องน้ำมากก่อนจะส่งให้
               “หอมจัง”
               “ออกไปไกลๆเลย ไป๊” แล้วผมก็รีบปิดห้องน้ำฉับ รีบเช็ดตัวให้แห้ง พันผ้าขนหนูรอบเอวแล้วหยิบเสื้อที่ใส่แล้วออกมา แต่เอ๋ มันก็ยังได้เห็นเรือนร่างผมอยู่ดีถ้าผมเดินออกไปแบบนี้ ใช้เสื้อนี่แหละ ปิดๆหน่อย
               ปรากฏว่าผมตกใจแทบหงายหลังตอนเปิดประตูเพราะพี่ธันยังยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำครับ
               “เฮ้ย ถอยไปได้แล้ว” ไอ้พี่ธันนี่ยังไง ทำตัวน่ากลัวชะมัด
               “พี่ก็กลัวเราลื่นหกล้ม”
               “พี่ธัน...” ผมเริ่มจะจริงจังแล้วนะ “ให้มันน้อยๆหน่อย ทำตัวดีๆ”
               มันจับอารมณ์ผมได้ คราวนี้เลยเดินไปนั่งบนเตียงอย่างว่าง่าย “พี่ขอโทษก็ได้”
               ผมแต่งตัวสบายๆเหมือนพี่ธัน จัดกระเป๋าใหม่แล้วเอาไปวางไว้ใต้หน้าต่าง จากนั้นก็กลับมานั่งลงที่เตียง กดโทรศัพท์ดูว่ามีใครติดต่อมาหรือไม่ แล้วก็เจอเบอร์โทรเข้าสามสาย สายหนึ่งคืออิอุ้ม สายที่สองเป็นพี่เสือ ส่วนสายที่สามไม่รู้เป็นของใคร แต่ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ ไม่คิดจะโทรกลับด้วย หากเป็นเพื่อนผมก็จะรู้ว่าถ้าโทรแล้วไม่รับให้ทิ้งข้อความไว้ ซึ่งในแชตไม่มีอะไร นอกจากกลุ่มเพื่อนที่แลกเปลี่ยนเรื่องไร้สาระกัน
               ฝ่ายพี่ธันโดนผมดุก็เงียบเลย หันไปดูก็เห็นกำลังเล่นไอแพดหน้าบูดบึ้ง
               “เป็นอะไร งอนหรอ” ผมถาม เจ้าตัวไม่ตอบซะด้วย ใบหน้างอๆนี้ช่างหายากเสียจริงๆ ว่าแล้วก็หยิบกล้องเก็บภาพไว้เสียเลย แต่พอถ่ายไปได้รูปเดียว พี่ธันก็หันหนี “งอนอะไรเนี่ย แค่ดุนิดเดียวเอง”
               “ก็ไลท์ทำเหมือนรังเกียจพี่” รูปประโยคเหมือนกำลังแกล้งนะ แต่ทำไมใช้เสียงแบบนั้นล่ะ
               “ไลท์เปล่า ไลท์แค่ไม่ชอบให้ใครมาทำตัว---“ ยิ่งพูดยิ่งเหมือนด่าแหะ จะพาลน้อยใจอีก “ไลท์ขอโทษก็ได้เอ้า ก็แกล้งเล่นไปอย่างนั้นแหละ”
               ยัง ยังนิ่งอยู่ ไม่หันหน้ามาด้วย ไอแพดก็ไม่เล่นแล้ว งอนจริงหรอวะ
               ผมกระเถิบข้ามเตียงไปหาแผ่นหลังพี่ธันแล้วชะโงกหน้าดูก็เห็นหน้านิ่งๆ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา “พี่ธัน งอนจริงหรอ”
               “เปล่างอนสักหน่อย”
               “หรือว่าน้อยใจ...” แน่ะ ดูทำหน้าทำตา งอนนักใช่มั๊ย จี้เอวแม่งเลย
               แต่มันไม่จั๊กกะจี้ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ผมไม่เคยเจอใครไม่บ้าจี้ตรงเอวมาก่อน ทำให้วิญญาณผีวิทยาศาสตร์เข้าสิงผมในบัดดล ในเมื่อตรงเอวไม่ใช่จุดอ่อน ลองจิ้มขึ้นมาแถวซี่โครงรึก็ไม่สะดุ้ง รักแร้ก็ไม่ใช่ ที่คอ ไม่โดน...
               “อะไรวะ ไม่บ้าจี้เลยหรอ” ลืมไปแล้วครับ ลืมว่าพี่ธันทำท่าจะงอนอยู่ เขาเหล่ตามองผมนิ่งๆ  “อุ่ย โทษที งอนอยู่สินะ”
               ทำยังไงถึงจะหายงอนนะ ปกติพี่ธันจะยิ้มมากที่สุดก็ตอนกอดผม สงสัยจะเป็นคนขาดความอบอุ่น ผมจึงจัดให้ กระโดดขึ้นโอบรอบคอมันจากข้างหลังเนี่ยแหละ ยังไม่หมดนะ ผมเอาแก้มนิ่มๆของผมแนบแก้มมันซะเลย แล้วก็ได้ผลครับ... พี่ธันฟื้นแล้ว
               “ไลท์....” พี่ธันใช้สองมือเกี่ยวแขนผม แต่ไม่ได้แกะออก “ทำอะไร แต๊ะอั๋งพี่หรอ”
               “หายงอนยัง” ผมถาม
               สุดท้ายพี่ธันก็แพ้ท่านี้ของผมจนได้ ยิ้มออกมาแล้ว “เรานี่มันแสบจริงๆนะ ทำตัวน่าหมั่นเขี้ยว”
               สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นแค่ปฏิกริยาตอบสนองตามธรรมชาติอารมณ์ของพี่ธันเท่านั้น เพราะเขาดูไม่รู้ตัวสักนิดว่าได้หอมแก้มผมไปฟอดใหญ่ ไอ้คนที่โดนกระทำอย่างผมก็อึ้งสิครับ จู่ๆโดนหอมแก้ม เขาทำเหมือนกับว่าเราเป็นคู่สามีภรรยา...
               ก็แค่โดนฉวยโอกาสจากใจจริงอีกรอบเท่านั้นแหละว้า
               “นอนได้แล้วเราน่ะ ดึกแล้ว อย่าลืมเรื่องสุขภาพสิ” โดนยีผมอีกแล้ว “พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า เดี๋ยวจะไม่ไหวนะ”
               “ทำไมต้องตื่นเช้าด้วยล่ะ” ยากนะ ตื่นเช้าน่ะ
               “มาเที่ยวธรรมชาติ ก็ต้องตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตามใจเรา....เชื่อพี่ ไลท์จะไม่บ่นสักคำเลยพี่รับรอง”
               ถ้าจะการันตีขนาดนี้ก็คงต้องเชื่อ วิวแม่น้ำตอนเช้าหรอ คงจะสวยงามราวสรวงสวรรค์แน่ๆ
               พี่ธันแสดงความเป็นสุภาพบุรุษให้ผมเห็นด้วยการสัญญามั่นเหมาะจะไม่ล่วงเกิน ไอ้เราก็ไม่ได้หวงตัวขนาดนั้น อย่างน้อยผมก็ยังอยากให้พี่ธันนอนข้างๆอยู่ เพราะผมลืมเอา ’เจ้าอบอุ่น’ มาด้วย มันเป็นหมอนข้างรูปสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนที่ม๊าผมซื้อให้ตั้งแต่ตอนเด็ก ผมติดมันมากจนถึงขั้นจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้กอด สุดท้ายผมจึงจำใจให้พี่ธันนอนใกล้ผมที่สุดเพื่อที่จะได้กอดแขนพี่ธันแทนเจ้าอบอุ่นได้ มันได้ผลครับ ในที่สุดผมก็หลับไป

               ค่ำคืนนั้นผมฝันว่าม๊าผมมานั่งข้างเตียง เธอก้มลงจุมพิตที่หน้าผากผมแล้วพูดว่า “ฝันดีนะ”


               ผมยิ้มรับอย่างอบอุ่นใจ เพียงแต่เสียงม๊าไม่คุ้นเลย ม๊าไม่ได้มีเสียงทุ้มต่ำแบบนั้นสักหน่อย


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : จะรอดมั๊ยนะ ไลท์เอ้ย




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
23

ธันวา : มันสำคัญมากจริงๆ!!!



               "ไลท์” เขายังไม่ตื่น
               “น้องไลท์ครับ...” ก็ยังไม่ยอมตื่น
               ผมตื่นขึ้นมาตอนตีสามเพราะแรงดึงที่อยู่ที่แขนข้างซ้าย พอลืมตาก็พบว่าไลท์กำลังจิกเสื้อผมแรงมาก ใบหน้านั้นดูก็รู้ว่าฝันร้าย แต่ฝันอะไรล่ะ ฝันอะไรกันที่ทำให้ไลท์ร้องไห้แบบนั้น
               แม้จะไม่ออกมาเป็นเสียงแต่น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ผมค่อยๆกระชับตัวไลท์แล้วกอดไว้ ให้ไลท์ใช้ตัวผมเป็นหมอนอิง แต่ตอนจะดึงแขนผมออกเพื่อโอบตัวไลท์ กลับยิ่งทำให้ไลท์สะอื้นหนักเข้าไปอีก ขยับอยู่หลายครั้งกว่าจะกอดเต็มตัวได้ จากนั้นเขาก็สงบขึ้นมาก มืองี้กำเสื้อตรงหน้าอกผมแน่นจนเสื้อย่นไปหมด ผมมองนาฬิกา ตอนแรกก็กะว่าจะตื่นสักตีห้า แต่ถ้านอนตอนนี้จะตื่นกี่โมงกันละ...ช่างเถอะ ไม่สำคัญสักหน่อย ให้ไลท์ได้หลับสบายๆไปดีกว่า นาฬิกาก็ตั้งแล้ว อย่าเพิ่งกังวล
               “หมูน้อยจอมอ่อนไหวของพี่” ผมแอบจูบกระหม่อมเบาๆ คงไม่ใช่การล่วงเกินหรอกมั้ง

-----------------------------------------------------------------

               โทรศัพท์ส่งเสียงปลุกตอนตีห้าพอดี ผมค่อยๆลุกไปหยิบมาปิด แต่ตอนขยับก็เหมือนทำให้ไลท์ตื่นด้วย พอเห็นสภาพที่ตัวเองกอดผมอยู่จึงตกใจเล็กน้อย
               “เฮ้ย ไหงมานอนท่านี้วะเนี่ย” น้องลืมตาลำบากมากเพราะตาบวม เหมือนจะรู้ตัวในที่สุดว่าเมื่อคืนร้องไห้ หันไปควานหาแว่นบนโต๊ะหัวเตียงฝั่งตัวเอง สุดท้ายจึงหันมามองหน้าผม เราสองคนอยู่ในสภาพผมชี้โด่เด่และเมาขี้ตาทั้งคู่ ไลท์เห็นแบบนั้นจึงขำออกมา
               “ไม่น่าเชื่อว่านายธันวาจะมีสภาพนี้กับเขาด้วย”
               “ทำไม ไม่เคยเห็นเทพบุตรหัวฟูหรอ” ไลท์ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก สงสัยจะเขินด้วยเพราะหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้า “ไปล้างหน้าเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น”
               ไลท์เหมือนนึกขึ้นได้ มองออกไปนอกระเบียงซึ่งตอนนี้เริ่มมีแสงสว่างแล้ว “เออเฮ้ย ถ่ายรูป...”
               ไอ้ตัวแสบรีบกุลีกุจอเข้าห้องน้ำไป ผมก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยอยู่บนเตียง สายเข้าไม่ได้รับนี่ก็เยอะ หนึ่งในนั้นทำให้ผมหงุดหงิดมาก หนักใจกับปัญหานี้จริงๆ สายอื่นก็ปล่อยๆไป ส่วนใหญ่ก็มีแต่สาวๆ เมสเสสไอ้วีนี่เยอะหน่อย ส่งมาถามเรื่องงาน(กับแซว) เฟสบุ๊คผมไม่ค่อยอยากเข้า มีแต่เรื่องของคนอื่นทั้งนั้น
               เผลอแป๊บเดียวไลท์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ คว้ากล้องขึ้นมาเล่น ผมซึ่งเดินไปหยิบผ้าขนหนูก็โดนเก็บภาพไว้เรียบร้อย นึกไว้แล้ว...สภาพนี้ไม่มีทางรอดไปได้แน่นอน ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย หลังจากนั้นหมูน้อยก็ไปนั่งที่ระเบียง ผมนั้นล้างหน้าแปรงฟันแค่นั้นก็พอแล้ว สายๆค่อยอาบน้ำอีกที
               ตอนออกมาจากห้องน้ำนี่สิ ถ้าจะให้นิยามก็คงเหมือนคนต้องมนตร์ ไลท์ที่ใส่แว่นกรอบใหญ่นั่งถ่ายรูปแม่น้ำอยู่ตรงระเบียง เมื่อคืนอากาศเย็นทำให้เช้านี้มีหมอกหนา ท้องฟ้าก็ดูจะหม่นมัว แต่กลับทำให้วิวริมแม่น้ำนั้นนุ่มนวลสวยสดงดงามเหมือนในนิยาย ผมยืนดูภาพตรงหน้านี้อยู่นานมากจริงๆ ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเช่นนี้มาก่อนเลย
               ผมเดินไปหาไลท์ “สวยมั๊ย” ผมพูดถึงบรรยากาศ
               “หล่อต่างหาก” นี่หมายถึงพี่หรือตัวเองห๊ะ ไม่รู้อ่ะ หมั่นขี้ยวที่สุด ขอยีหัวสักหน่อย หลังๆมาไลท์ไม่เคยเซตผมเลย เห็นบอกว่าเสียเวลา(ยังไงผมก็จัดให้ใหม่อยู่ดี)
               “หิวข้าวอ่ะ” ไลท์บอก
               “อืม เขากินกันตอนหกโมงกว่า เดี๋ยวพี่ไปให้เขาเตรียมไว้ให้” ผมเริ่มน้อยใจไอ้กล้องตัวนี้แล้วนะ “ไลท์จะออกไปถ่ายข้างนอกก็ได้”
               “พี่ธันจะไปไหนล่ะ” ไม่ได้ฟังเลยใช่มั๊ยเนี่ย “เดี๋ยวพี่ไปหาข้าวให้ ต้องไปคุยกับเจ้าของด้วย พี่นัดเขาไว้”
               “อ๋อ เออ” เหมือนเพิ่งจะจำได้ว่ามาทำไมที่นี่ สงสัยจะเคลิบเคลิ้มในบรรยากาศมากไปหน่อย


               ผมปล่อยไลท์ไว้กับเจ้ากล้องที่อุตส่าห์ตั้งชื่อให้มันว่า ‘สตีฟ’ ซึ่งดูจะรักกันมากเหลือเกิน ก่อนจะเข้าไปหาเจ้าของก็ไม่ลืมแวะบอกบริกรให้เอาอาหารเช้าไปให้ที่ห้องด้วย ผมสั่งแบบอเมริกันชุดหนึ่งและข้าวต้มหมูอีกชุด จากนั้นก็บึ่งไปเก็บภาพ ถ่ายรูป สเก็ตผังโครงการ รายละเอียดทุกอย่างตั้งแต่การใช้วัสดุ ทิศทางของตัวอาคาร ระบบไฟ ระบายน้ำเสีย และอื่นๆ ทุกอย่างทำเพียงคร่าวๆเท่านั้น ที่จริงผมนัดกับเจ้าของรีสอร์ทไว้ตอนเก้าโมงเช้า ตอนนี้เลยเดินกลับไปหาไลท์ก่อน เดี๋ยวเจ้าหมูน้อยจะไม่ได้กินข้าวกินยา
               เห็นหลังไวๆอยู่ตรงทางเดินเหนือทุ่งนา กำลังนั่งถ่ายรูปอาทิตย์ขึ้น ผมมองตามไปก็เห็นทิวทัศน์ของทิวเขากับสายหมอก มีแสงอาทิตย์เป็นลำลอดแนวเมฆเป็นแท่งๆ สวยงามตระการตา และก็นึกอะไรขึ้นได้ ใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพไลท์ที่กำลังห้อยขาอยู่ ก่อนจะเข้าไปนั่งข้าง ไม่ได้พูดอะไร
               “คุยเสร็จแล้วหรอ” ไลท์ถาม
               “ยังเลย นัดไว้ตั้งเก้าโมง”
               “มีอะไรให้ไลท์ช่วยเปล่า”
               “อืม...” ให้ช่วยหรอ “ถ้างั้นก็ช่วยพี่ถ่ายรูปแล้วกัน”
               “ของโปรดเลย” ไลท์ดูดีใจจริงๆ
               “เดินให้ทั่วทั้งไร่เลยก็ได้” ปกติเจอแบบนี้น่าจะบ่น แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก บรรยากาศดีซะขนาดนี้ไม่มีใครกล้าบ่นแน่ๆ ทว่านี่เจ็ดโมงแล้ว ไปกินข้าวกันก่อนน่าจะดี “ได้เวลากินข้าวแล้วนะ”
               “แดดยังไม่ออก ขอนั่งอีกแป๊บละกัน” มาแบบนี้อีกละ เจอของเล่นก็ไม่สนอะไรแล้ว “นานๆจะได้มาเที่ยวแบบนี้ทั้งที ไม่รู้จะมีโอกาสได้มากับพี่ธันอีกหรือเปล่า”
               คำพูดของไลท์ตรงนี้ฟังแปลกๆ “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
               “ก็พี่จะจบแล้ว พอทำงานก็คงไม่มีเวลา---“ ไลท์ไม่มองหน้าผม “อีกอย่าง ไลท์ไม่รู้ว่าวันข้างหน้า พี่ธันจะยังอยากมากับไลท์อยู่มั๊ย”
               ผมฟังแล้วอยากจะกระโดดน้ำตาย ทำไมไลท์คิดแบบนี้วะ “ไลท์ นี่คิดว่าพี่จะทิ้งไลท์หรอ”
               เขานิ่งไป “ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีไลท์ก็คิดว่าทางข้างหน้าของพี่อาจจะมีไลท์อยู่ข้างๆไม่ได้”
               “นั่นมันเป็นเรื่องที่พี่ต้องตัดสินใจเอง พี่เคยบอกแล้วใช่มั๊ยว่าพี่จะไม่ยอมเสียไลท์ไปอีก” ไลท์เงียบไป ไม่พูดอะไรอีกแล้ว “ขอแค่ไลท์ไม่หนีพี่ไป วันข้างหน้า...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็จะปกป้องไลท์ให้ถึงที่สุด”
               “พูดแบบนี้หมายความว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ใช่มั๊ย” ไลท์เป็นคนหัวไว เรื่องอะไรก็ปิดไม่ได้หรอก
               ผมค่อยๆโอบไลท์ อยากจะพูดให้ใกล้หูไลท์ที่สุด ไลท์ต้องมั่นใจว่าผมจริงจัง “ฟังพี่นะไลท์ เราต้องเชื่อใจพี่ สิ่งที่พี่สัญญาแล้ว พี่จะไม่มีวันผิดสัญญา”   นั่นเป็นความจริง  ผมไม่เคยผิดคำสัญญา  และมันก็เป็นความกังวลที่รบกวนใจผมมากที่สุดด้วย แน่นอนว่าไลท์ก็รู้สึกข้อนี้ได้เหมือนกัน เขาถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว...
               ไลท์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

               “นั่นแหละที่ไลท์กลัว”


-----------------------------------------------------------------------

               อาหารมื้อเช้าเกือบจะชืดแล้วตอนที่เรากลับไปบ้านพัก ไลท์ดูจะชอบชุดอาหารอเมริกันที่จัดอย่างน่ารักมากทีเดียว แต่ดูท่าจะหิวมาก กวาดทุกอย่างในจานจนหมดเกลี้ยง
               “อิ่มรึเปล่าเนี่ย” ไลท์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ไม่กลัวอ้วนหรอ”
               คำนี้จี้ใจดำมาก ไลท์นิ่งไปเลย “เอ่อ ถ้าไลท์อ้วนขึ้น พี่ธันก็จะไม่ชอบไลท์ใช่ป่ะ”
               “พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย” ไม่น่าพูดเลยผม ไลท์วางช้อนแล้ว “ไม่เอาน่า กินให้อิ่มเถอะ รึจะเอาผลไม้”
               “อืม ก็ได้มั้ง”
               แดดเริ่มออกพอดี ทั้งผมและไลท์เดินไปที่ส่วนอาคารสัมนา ที่นั่นคนเริ่มมารวมกันเยอะแล้ว มีอาหารให้กินเพียบ สองคนใส่ชุดนอนเดินเข้าไปร่วมวง คนมองตามกันเป็นแถบ ไอ้ผมน่ะไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ไลท์นี่สิ โดนคนจ้องหน่อยก็เริ่มเสียความมั่นใจแล้ว ผมรีบเดินไปโอบไลท์ พาไปตักอาหารทันที ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้จากที่แค่มอง กลายเป็นเริ่มซุบซิบกันแล้ว
               “เพราะพี่ธันนั่นแหละ หล่อเกินไป” นี่ชมผมป่ะเนี่ย เขินวุ้ย
               “โทษพี่หรอ เราก็น่ารักเกินไปเหมือนกัน” คำนี้เล่นเอาหมูน้อยผมหน้าแดงม้วนหนีไปแล้ว
               ขณะผมกำลังจะเดินตามไป พลันก็มีมือมาคว้าแขนผมไว้ หันไปก็เห็นหญิงสาวผมยาวในชุดบอบบางกับกางเกงสั้นจุ๊ด ผมเห็นแล้วก็หนาวขาแทน แต่หน้าเธอค่อนข้างคุ้นอยู่ มาไกลขนาดนี้ยังมีคนรู้จักหรอ
               “ธันวาใช่มั๊ยเนี่ย จำเราได้มั๊ยเอ่ย”
               “เอ่อ...ไม่ครับ” ผมคงไม่อาจจำผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตผมได้ “คุณคือ...??”
               “แหม น้อยใจนะเนี่ย เราบอลลูนไง” ผู้สาวนี้ยังคงทำหน้าไบรท์ที่สุด แต่ผมก็ยังแค่คุ้นๆ
               “เราเคยเจอกัน...ที่ไหนหรอครับ”
               “ยังใจร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะธัน เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งบ่อย แม่เราไปบ้านธันตลอด จำไม่ได้หรอ”
               เดี๋ยวนะ มาที่บ้านบ่อย ไปไหนมาไหนด้วยกัน.... ผมต้องค่อยๆคิด เพราะส่วนใหญ่เวลาอยู่บ้านผมต้องคอยไปไหนมาไหนกับลูกสาวเพื่อนพ่อหรือเพื่อนแม่อยู่หลายนางเหลือเกิน ทั้งหมดนั่นผมล้วนไม่เต็มใจ ถ้าจะพูดถึงผู้หญิงที่ชื่อบอลลูน ...ก็คงน่าจะเป็นคนที่ชอบลากผมไปซื้อของ
               “ขอโทษนะ บอลลูนคือ...คนที่ชอบชวนเราให้ซื้อแมวใช่มั๊ย”
               หญิงผู้นี้ทำหน้างอทันที “ซื้อแมวที่ไหน ตุ๊กตาแมวต่างหาก...แต่ก็ยังดี ในที่สุดธันก็จำเราได้แล้ว”
               “ขอโทษนะ ไม่เจอกันหลายปี เรานี่เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะ” ดูเก่งกล้าขึ้นเยอะเลย
               “แน่นอนล่ะ สวยขึ้นใช่มั๊ยล่ะ” มั่นใจซะ “แต่ธันก็เปลี่ยนไปนะ หล่อขึ้นเยอะเลย ดูเป็นคนมีความสุขกับเขาก็เป็นหรอ เห็นปกติเอาแต่ทำหน้าเบื่อโลก”
               “อืม ก็ช่วงนี้มีความสุขไง”
               “เอ๊ะ หรือว่า มีแฟนแล้ว” เอ่อก็ ใกล้จะเป็นแฟนแล้วล่ะ
               “แล้วบอลลูนมาเที่ยวหรอครับ มาคนเดียวรึเปล่า”
               “บอลลูนมากับเพื่อนค่ะ ผู้หญิงทั้งนั้นเลย อยากรู้จักมั๊ย”
               ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าปล่อยไลท์ไว้คนเดียวนานไปแล้ว “ไม่ดีกว่าครับ เดียว ขอไปหาแฟนหน่อย” พี่ขอโทษนะไลท์ ขอยืมความเป็นแฟนแป๊บ
               “โหย บอลลูนอุตส่าห์จะเอาไปอวดเพื่อน” อวดอะไร ไม่ได้เป็นอะไรกัน
               แต่ผมก็ขัดขืนไม่ได้ อย่างไรเขาก็ผู้หญิง จะให้ผมทำร้ายๆด้วยก็ยังไงอยู่ อีกอย่าง คนในแวดวงของแม่มักจะข่าวเร็ว มาเจอที่นี่เหมือนเป็นลางไม่ดีเลย
               “ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอธันนะเนี่ย บอลลูนมาทำงานที่เชียงราย พอดีเป็นวันหยุดเลยมาเที่ยวซะเลย เรานี่ใจตรงกันเลยนะ” ไม่ตรงกันสักนิด ผมไม่ได้อยากเจอเธอที่นี่เสียหน่อย
               ยืนกันอยู่นอกระเบียงครับ กลุ่มสาวๆสี่ห้าคน พอบอลลูนแนะนำผม ทุกคนก็กรี๊ดกร๊าดขอถ่ายรูปด้วย ผมได้แต่ถอนใจ ส่ายสายตาหาไลท์ไปทั่ว ไม่รู้หายไปไหนแล้ว จะเข้าใจผิดรึเปล่าก็ไม่รู้
               สุดท้ายผมทนไม่ไหวจริง...
               “ขอโทษนะทุกคน ผมขอตัวก่อน”
               “จะรีบไปไหนธัน เพิ่งจะได้คุยกันนะ”
               “ไปหาแฟน”
               เออ ตรงๆแบบนี้แหละ ฉวยโอกาสที่สาวๆกำลังช็อกหลบออกมา ไลท์ไม่ได้อยู่ที่เรือนสัมนาแล้ว ผมตัดสินใจไปดูที่ห้องพักแล้วก็เจอ กำลังนั่งเหม่อๆอยู่นอกระเบียง
               “ไลท์...” ไลท์ไม่ได้หันมา
               “กว้างขวางเนอะ คนรู้จักเยอะจัง” น้ำเสียงค่อนข้างประชดประชัน “มาไกลถึงนี่ยังมีสาวๆมาหาอีก”
               “ไลท์ เขาเป็นแค่เพื่อนเก่า” ขี้น้อยใจจริงๆ “พี่แทบจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
               “ไลท์ได้ยินหมดแล้ว เขาเป็นลูกของเพื่อนแม่พี่ธัน....”
               “แล้วไลท์หนีพี่ทำไม”
               “ลืมไปแล้วหรอว่าเรื่องไลท์ จะให้ที่บ้านพี่รู้ไม่ได้” นี่คิดไปถึงเรื่องนี้แล้วหรอ แถมเป็นเรื่องของผมด้วย ทำไมไม่คิดถึงใจตัวเองบ้างนะ
               “ไม่ทันแล้วล่ะ”
               ไลท์หันมามองอย่างตื่นๆ “อะไรนะ หมายความว่าไง”
               “พี่บอกไปแล้วว่าพี่กับไลท์ เป็นอะไรกัน”
               ไลท์กำลังคำนวนอยู่ในหัวแน่ๆ “เฮ้ย เราเป็นอะไรกันที่ไหนเล่า”
               “เป็นไปแล้วล่ะ แก้ไม่ได้ด้วย”
               “ไอ้พี่ธัน  ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ”
               “จะให้พี่ทำไงล่ะ พี่ก็ห่วงหัวใจของพี่เหมือนกัน” คำประเภทนี้ทำไลท์หน้าแดงได้เสมอ น่ารักชิบหาย “ไม่รู้แหละ--“ ผมตัดสินใจแล้ว เดินไปจับมือไลท์แล้วจูงไปด้วย
               “เฮ้ย ทำอะไร??”
               “ไปกับพี่เลย”
               “ไปไหน?...”
               “พี่จะไม่ให้ไลท์เดินหนีพี่แล้ว นี่จะได้เวลาคุยกับเจ้าของโครงการพอดี พี่จะพาเราไปด้วย”
               “แต่ ...เฮ้ย”
               โดยเผด็จการ ผมลากไลท์ไปทุกที่ ตอนแรกก็ลากไปเรือนสัมนาอีกครั้งเพื่อหาอะไรกินต่อเพราะผมยังไม่อิ่ม จากนั้นก็ลากไปคุยกับใครก็ตามที่อยากคุยกับผม การทำตัวติดกันของเราสองคนเด่นมากจนมีคนแอบถ่ายรูปไว้ แต่ผมไม่สนใจ ครึ่งชั่วโมงต่อมาไลท์จึงต้องนั่งข้างๆผมที่กำลังคุยกับเจ้าของสถานที่นี้
               ใช้เวลาไม่นานครับ เนื่องจากเจ้าของเขาอัธยาศัยดี ผมเองเคยคุยกับเขาหลายครั้งแล้ว บวกกับการชื่นชมวิชาชีพสถาปนิกของตัวเขาทำให้ผมได้รับความไว้วางใจและได้รับการร่วมมือที่ดีมากๆ ไม่นานผมก็รู้ทั้งแนวคิด กลยุทธทางการตลาด งบประมาณ การดูแลปรับปรุงหลังเปิดใช้และปัญหาต่างๆที่คนที่ทำโครงการประเภทรีสอร์ทจะต้องเจอ สุดท้ายพอพูดถึงชื่ออาจารย์อ้วนที่เป็นที่ปรึกษาของผม เจ้าของใจดีคนนี้ก็มอบสำเนาแบบแปลนก่อสร้างทั้งหมดของโครงการ แลกกับการไม่เอาไปเผยแพร่ต่อ(อาจารย์อ้วนก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง) ผมนี่โชคดีจริงๆ ดีใจจนหันไปกอดคอไลท์แล้วดึงมาจูบกระหม่อม
               ไม่นานก็ใกล้เที่ยง ผมรอไลท์อาบน้ำเตรียมตัวเช็กเอ้าท์ รายนี้ถ้าตั้งใจอาบน้ำละก็ โน่น ครึ่งชั่วโมง ตอนนี้เป็นโอกาสให้ผมได้เล่นซนบ้าง เห็นกระเป๋าไลท์ขนมาเยอะก็อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ช่องกระเป๋าไลท์มีเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่ยัดมาก็มีเสื้อผ้า(อย่างเยอะ) กางเกงใน  เครื่องสำอางดูแลผิวหลายอย่าง กล่องแว่น ถุงยา มีทั้งยากิน ยาทาหลายอย่างมากจริงๆ ปนกันไปหมด ไลท์เป็นคนเรียบร้อยก็จริง แต่ก็เป็นคนขี้รำคาญด้วย ของที่กองอยู่ที่ก้นกระเป๋านี่คงจะอยู่มาได้สักพัก ไม่ได้หยิบออก
               แต่แล้วผมก็เจอสิ่งของประหลาด มันคือถุงยางสามชิ้น
               เฮ้ย!!? อะไรวะเนี่ย นี่เตรียมมาด้วยหรอ สำหรับไลท์แล้ว ที่ผ่านๆมามีไอ้นี่แหละที่ทำให้ผมใจเต้นแรงที่สุด ทำไมไลท์ต้องพกถุงยางมาเที่ยวกับผม นี่มันหมายความว่ายังไงกัน... หรือว่าไลท์ วางแผน—
               ไม่น่าใช่ ไลท์หวงตัวจะตาย มีรึจะยอมผมทั้งที่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ แม่งเอ๊ย ยิ่งคิดยิ่งใจเต้น แต่...หรือไลท์จะพกไว้ประจำเพราะว่า... ไม่เด็ดขาด ไลท์ไม่ใช่คนไม่ดี ข้อนี้ผมคอนเฟิร์ม แล้วทำไมต้องพกถุงยางมาเที่ยวกับผมด้วยล่ะ ไม่เข้าใจ
ไม่ได้ เรื่องนี้ผมต้องรู้ให้ได้ มันสำคัญมากจริงๆ!!!
               ผมจัดการวางสิ่งๆนี้  ลงบนเตียงแล้วนั่งกอดอกรอไลท์ออกมาจากห้องน้ำ ยิ่งนั่งก็ยิ่งเนื้อเต้น ไม่รู้ง่ะ มันตื่นเต้น เหมือนกำลังรอลุ้นว่ารางวัลที่ได้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า อย่าหาว่าผมหื่นเลยนะ  ในที่สุดไลท์ก็ออกมา ตอนแรกก็ทำหน้างงๆมองผม พอเห็นของที่อยู่บนเตียงก็เริ่มหน้าซีด เขาถอยไปหลายก้าว
               “เฮ้ย...ไอ้พี่ธัน คิดจะทำอะไร” หืม อ้าว ไหงมาลงที่ผมวะ
               “เดี๋ยวๆ มาคุยกับพี่ก่อน”
               “ไม่ต้องเลย พี่สัญญาแล้วว่าจะไม่ทำอะไรไลท์ แล้วนี่อะไรเนี่ย คิดไว้อยู่แล้วหรอ ไลท์อุตส่าห์ไว้ใจ”
               ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ผมกลายเป็นผู้ถือหลักฐานซะอย่างนั้น “ใจเย็นก่อนนะ ฟังพี่---“
               ผมจะลุกเดินไปหาไลท์ แต่ฝ่ายนั้นวิ่งหนีไปที่ระเบียง “อย่าเข้ามานะเว้ย ไลท์โดดระเบียงจริงด้วย”
               “นี่ เวอร์ไปมั๊ย รังเกียจพี่ขนาดนั้นเชียว”
               “ก็...พี่ธันชอบฉวยโอกาส” ผมงี้เกาหัวเลย
               “เอาล่ะ ที่พี่จะพูดก็คือ นี่มันมาจากกระเป๋าไลท์นะ ไม่ใช่ของพี่”
               “ห๊ะ...” ไลท์ตกใจ เหมือนจะคิดอยู่สักพัก แต่ดูยังไงก็ไม่มีทีท่าเขินหรือว่าความรู้สึกผิดที่ถูกจับได้ “มันจะมาอยู่กับไลท์ได้ไง ไลท์ไม่เคยซื้อสักหน่อย พี่ธันอย่ามามั่ว”
               “มั่วอะไร ก็พี่เจอจากกระเป๋าไลท์ อยากมีอะไรกับพี่ บอกดีๆก็ได้”
               “เงียบไปเลย” เจ้าตัวเริ่มหน้าแดง ยืนนิ่งๆอยู่อึดใจหนึ่งจึงค่อยๆเดินเข้ามา สายตามองผมแบบไม่ไว้ใจ สุดท้ายจึงหยิบถุงยางขึ้นมาดู “จากกระเป๋าไลท์หรอ...”
               ผมก็หยิบขึ้นมาดูบ้าง ตอนแรกก็ไม่ได้ดูให้ละเอียด พอมามองอีกทีก็เหมือนจะเข้าใจ ของพวกนี้หมดอายุแล้ว แถมแต่ละชิ้นยังไม่ใช่ของมียี่ห้อ ไม่คุ้นสักอัน
               “อ๋อ..”  เขารู้แล้ว มันคือ...  “สงสัยจากตอนมัธยมน่ะ ไลท์ไปสัมนาพวกนี้บ่อยๆ เขาคงแจกมาแล้วไลท์ก็ลืม คงไม่ได้เอาออกจากกระเป๋า”
               ผิดหวังที่สุด “ว้า...เสียดายจัง”
               ไลท์ทุบผมแรงมาก “ยังจะคิดอีก ไอ้ลามก แล้วนี่อะไร รื้อของชาวบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาติ”
               เขาแย่งกระเป๋าไปค้นเสื้อใส่ ดูแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ให้อภัยไม่ได้ในสายตาไลท์ ผมแอบเห็นแก้มแดงๆนั่นยังไม่ยอมหายเลย สงสัยจะเขิน แหย่สักหน่อยแล้วกัน...
               “นี่ ไลท์” ผมนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง กำลังมองไลท์ในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว “พี่รู้นะว่าเราเองก็แอบคิดแบบพี่ ที่จริงพี่ก็เตรียมมานะ ถ้าเกิดว่าไลท์....”
               ไลท์ไม่พูดอะไรแล้ว ปรี่เข้าเตะหน้าแข็งผมไม่หยุด
               “ไอ้เชี่ยพี่ธัน เชี่ย...”
               “โอ๊ยๆ พี่เจ็บนะ” ไลท์ยังเตะยิกๆ ใส่แรงมากไม่ได้เพราะนุ่งผ้าขนหนูไว้หลวมๆ ผมเห็นก็คว้าเข้าให้ “ไม่หยุดใช่มั๊ย ไม่หยุดพี่จะดึงผ้าออก”
               “เฮ้ย ไอ้เชี่ย ปล่อยนะเว้ย”
               “ยอมแพ้รึยัง”
               “เออๆๆ ยอมแล้ว ปล่อยดิ เดี๋ยวผ้าหลุด” โอ๊ย ผมก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะที่เล่นแบบนี้
               “ถ้าผ้าหลุดนี่แย่แน่เลยนะ พี่ว่า...” ผมค่อยๆดึงตัวไลท์เข้ามาหา “พี่แต่งตัวให้เราเองดีกว่า”
               พูดเสร็จก็คว้าตัวไลท์มานั่งตัก ไลท์ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก เราสองคนจึงได้แต่จ้องตากันปริบๆ หากไลท์ตั้งใจฟังดีๆก็คงจะได้ยินเสียงหัวใจผมเต้นอย่างบ้าคลั่ง ผมกำลังมองดูสิ่งที่เลอค่ามาก และผมรู้สึกว่าบางอย่างกำลังจะยึดร่างผมไป มันสั่งให้ผมค่อยๆยื่นหน้าไปหาไลท์ช้าๆ ในขณะที่ผมต้องไม่ละจากสายตาของคนตรงหน้านี้ ผมรู้ได้จากสายตาของคนที่ผมรัก นี่เป็นเวลานั้นแล้ว ผมจะจูบไลท์ด้วยความรักทั้งหมดที่มี....
               เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน ผมกับไลท์สะดุ้งเฮือกเพราะเสียงโทรศัพท์ อยากจะเกาหัวให้หนังหลุด ใครกันวะโทรมาตอนนี้ ไลท์รวบผ้าแน่นแล้วดิ้นหลุดจากอ้อมกอดผม หยิบเสื้อผ้าแล้ววิ่งเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำทันที ผมก็รีบรับโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด
               “ใครวะแม่ง” อารมณ์ยังไม่ดาวน์
               “ไอ้ธัน...มึงอยู่ไหนเนี่ย” นี่มันเสียงไอ้เสือนี่หว่า ปกติไม่ค่อยโทรมา มีเรื่องอะไรวะ
               “อะไรของมึง โทรมาทำไม เสียอารมณ์หมด”
               “ไอ้เชี่ย เรื่องมึงแดงแล้ว” เรื่องแดง?
               “เรื่องอะไรวะ” ผมเกรงว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวผม รีบเดินออกมาจากบ้านพัก ไม่อยากให้ไลท์ได้ยิน
               “มีคนถ่ายรูปมึงกับน้องไลท์ลงเฟส ตอนนี้แม่มึงกับน้องนาเดียรู้เรื่องแล้ว เหมือนว่ากำลังจะจัดการอะไรเกี่ยวกับมึงซักอย่างนี่แหละ”
               “จัดการอะไร” ผมรู้สึกไม่ดีเลย
               “กูไม่รู้ แต่มึงแย่แน่คราวนี้ จะทำอะไรก็รีบๆทำซะ”
               “ทำอะไรล่ะ กูจะทำอะไรได้บ้างวะ มึงช่วยไปยื้อไว้หน่อยไม่ได้หรอ”
               “กูลองแล้ว แต่คราวนี้แม่มึงเอาจริงมาก”
               “.........”


               “...นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของมึงแล้ว รีบๆตัดสินใจซะ จะทำอะไรก็รีบทำ”





ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


24

ไลท์ : แคมป์รัก



               ผมไม่มองหน้าพี่ธันไปสักพักใหญ่ ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการควบคุมอารมณ์และความคิดที่เพิ่งจะเกิดเมื่อไม่นานมานี้ บอกตามตรงเลยนะ ตอนนั้นผมเผลอใจไปแล้วล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่แปลกใจเลย พอมาคิดอีกทีก็เริ่มรู้สึกเสียฟอร์มนิดๆ ผมไม่เคยเคลิ้มกับใครมากขนาดนี้มาก่อน
               พี่ธันก็อาจจะคิดแบบเดียวกันมั้ง เห็นทำท่าอึกอักลนลานมาตั้งแต่ออกจากรีสอร์ท แต่ดีหน่อยที่เลือกขับรถผ่านช่องเขาแล้วอ้อมไปใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำโขงแทน บอกได้คำเดียวว่าบรรยากาศฟินมาก แม้จะร้อนและแดดจ้า แต่พอเห็นฝั่งโขงที่เต็มไปด้วยผู้คนกำลังทำมาหากิน ผมงี้อยากจะกระโดดลงจากรถไปถ่ายรูปเสียจริงๆ
               ระหว่างทางก็มีบ้างที่ขอให้พี่ธันจอดรถเพื่อถ่ายรูป ไม่ก็ชะลอรถให้ผมได้เก็บภาพข้างทาง ทำให้กว่าจะถึงตัวเมืองเชียงของก็ล่อไปเกือบชั่วโมงแล้ว ณ ที่นั่น พวกเราแวะทานข้าวมันไก่ไหหลำกัน ตรงนี้ไม่มีอะไรพิเศษ นอกจากเรื่องตุนขนมขึ้นรถของผม พี่ธันบอกว่ามันเยอะไป จะกินยังไงหมด ก่อนออกจากเมืองพี่ธันพาแวะร้านกาแฟข้างวัด อร่อยดี
               เมื่อออกจากตัวเมืองมาก็เจอแต่บ้านคนแล้วก็ทุ่งข้าวโพดสลับที่ดินว่างๆไปเรื่อยๆ เบื่ออีกแล้ว แต่ไม่นานเท่าไหร่ ผมเห็นป้ายข้างทางเขียนว่าพิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ เป็นอาคารเก่าๆเล็กน่ารักดีเลยชวนพี่ธันแวะ เขาไม่ปฏิเสธสักคำ ในนี้ก็น่ารัก เป็นเรื่องราวและเสน่ห์ของชาวไทลื้อที่ผมไม่รู้จัก คุ้นอยู่อย่างเดียวก็คือนมเย็นใส่วิปครีมเนี่ยแหละ อร่อย ตรงนี้พี่ธันทักผมอีกแล้วว่าไม่กลัวอ้วนหรือไง พี่ธันคงไม่ชอบคนอ้วนจริงๆละมั้ง ก็ดี ผมยัดหลอดใส่ปากพี่ธันเสียเลย บอกให้ช่วยอ้วนหน่อย แต่ก็ยอมซะงั้น ดูใจง่ายไปหน่อยหรือเปล่า หรือวางแผนจะบุกผมอีกรอบ
               ผมไม่รู้ว่าพี่ธันจะพาไปไหนต่อ จนกระทั่งเขาขับรถอ้อมเขาไปโผล่ทางเรียบแม่น้ำโขงอีกครั้ง เรากำลังขับรถเลียบชายแดนลาว ด้านซ้ายคือทิวเขาอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่ถ้าตรงไปแบบนี้เรื่อยๆคือภูชี้ฟ้า ผมเคยมาแล้ว ตอนนั้เป็นช่วงเทศกาลพอดี คนมหาศาล ผมไม่ชอบคนเยอะ
               “นี่จะไปภูชี้ฟ้าหรอ” ผมถามพี่ธัน
               “ไม่ใช่หรอก...คอยดูแล้วกัน”
               ไม่ไปภูชี้ฟ้าแล้วไปไหน ผมไม่ค่อยได้เที่ยวมาสุดขอบภาคเหนือแบบนี้บ่อยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะไปต่างประเทศ ไม่ก็ทะเล ตอนนี้ได้แต่ลุ้นว่าจะไปที่ไหน
               แต่นานจนเบื่อ นั่งนานมากแล้วก็ยังคงเห็นแค่บ้าน ที่ทำกิน ต้นไม้ แนวเขาขนาบสองข้าง ผมกำลังจะหลับอยู่แล้วตอนที่รู้สึกว่ารถมันเริ่มเท เส้นทางกำลังไต่ขึ้นไหล่เขา หลังจากนี้คือสภาพแวดล้อมที่ด้านซ้ายเป็นเนินเขา ด้านขวาเป็นที่ราบสลับร่องเขา เห็นแล้วตระการตา แต่ดันมีพี่ธันขวางวิว หน้าตาเคร่งเครียดกับการขับรถอยู่เล็กน้อย ผมกลัวว่าพี่ธันจะเมื่อย ป้อนขนมป้อนน้ำเป็นระยะๆ
               “เหนื่อยรึเปล่า” ผมถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
               “สบาย ปกติพี่ขับรถเล่นออกจะบ่อย” เด็กแว๊นว่างั้น “ใกล้จะถึงแล้วล่ะ”
               “นี่ก็สี่โมงแล้ว ขับมาตั้งหลายชั่วโมง ถ้าไลท์ช่วยขับได้คงจะดีกว่านี้”
               “ไม่เอาอ่ะ ใบขับขี่ยังไม่มี ไว้ใจไม่ได้”
               “เฮ้ย แต่ไลท์ขับเก่งนะ”
               “หรออออ ขับเก่งจะสอบไม่ได้ได้ไง” เออ ไม่เถียงก็ได้วะ
               ผมปล่อยเขาขับไป ตัวเองก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ตอนแรกจะโทรหาป๊าแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควร รายนั้นถ้ารู้ว่าผมมาเที่ยวไกลๆแบบนี้แล้วไม่บอกได้กลายเป็นเรื่องแน่ๆ ลงเอยด้วยการแช็ตหาไอ้ตะวัน มันบอกว่าพาพี่วีไปเยือนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มันไปบ่อยๆ ดูท่ามันจะให้ใจพี่วีไปเต็มๆแล้วแน่ๆ เพราะมันไม่เคยพาใครไปเลยนอกจากผม เห็นมันมีความสุขผมก็ดีใจ
               ประเดี๋ยวเดียวก็มีโทรศัพท์เข้าเครื่องพี่ธัน เขาบอกให้ผมรับให้หน่อย แต่พอเห็นชื่อที่หน้าจอ ผมถึงกับหยุดมือโดยอัตโนมัติ
               “แม่พี่โทรมา” พี่ธันพอรู้ว่าใครโทรมาก็คว้าไปกดตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องทันที ท่าทางหงุดหงิดมากด้วย “เฮ้ย ไม่รับหน่อยหรอ”
               “ไม่อยากรับ” พี่ธันตอบสั้นๆด้วยเสียงเย็นชามาก
               จากที่เคยคิดว่าพี่ธันกับครอบครัวไม่ค่อยลงลอย ผมก็แค่นึกภาพว่าคงต้องทะเลาะกันบ่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำหน้าเย็นชาใส่ขนาดนี้ ปัญหาทางบ้านพี่ธัน ท่าจะเป็นเรื่องที่หนักเอาการ ผมแทบไม่อยากคิดเลยว่าสภาพครอบครัวที่กดดันขนาดนี้ ชีวิตวัยเด็กของพี่ธันจะเป็นเช่นไร
               พี่ธันยืนยันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก จนกระทั่งเราถึงที่หมาย ผมจึงคลายความกังวลเรื่องแม่พี่ธันได้ เพราะมันมีความแปลกใจเข้ามาแทรกแทน
               “เต็นท์หรอ” อืม ริมเชิงเขาด้วย “วันนี้เราต้องนอนเต็นท์หรอพี่ธัน”
               “ไม่ชอบหรอ”
               เอาเข้าจริงผมก็ไม่ค่อยชื่นชอบเต็นท์เท่าไหร่ เพราะเคยนอนกี่เต็นท์ๆก็ลงเอยด้วยความป่วยทุกครั้ง(เข้าป่าไปฝึกทหารกับป๊า) แต่คราวนี้อาจจะดีกว่าครั้งอื่นๆ หนึ่งคือวิวสวยมาก นี่ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่ตกนะ อีกเหตุผลหนึ่งคือ พี่ธันก็จะนอนด้วยกัน แต่หลังเล็กขนาดนี้ ไม่ต้องนอนทับกันเลยรึ

               ปรากฏว่าเจ้าของเต็นท์เช่าน่ารักมากมาย บริการทั้งอาหารและความสะดวกสบายแบบบ้านๆ ในเต็นท์มีที่นอนหมอนผ้าห่มครบครัน ไม่เหม็น ไม่มีฝุ่น อืม ทั้งยังมีวิวร่องเขาแสนสวยเบื้อล่าง และตอนนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ แสงอาทิตย์สีส้ม ย้อมให้ทิวทัศน์เหมือนภาพวาดสีน้ำ เสริมให้บริเวณนี้เป็นบรรยากาศแสนโรแมนติก พี่ธันไปเช่าเตาถ่านมาก่อไฟผิงชมอาทิตย์อัสดง แขกคนอื่นๆก็นั่งโต๊ะกันไป
               “ไม่นึกว่านายธันวาจะชอบบรรยากาศแบบนี้นะเนี่ย”
               พี่ธันเหม่อมองออกไปในร่องเขาเบื้องล่าง “ชีวิตพี่หาบรรยากาศแบบนี้ยากจะตาย”
               ผมแปลกใจกับประโยคนี้มาก “ยากหรอ ไหนบอกว่ามาเที่ยวแบบนี้บ่อย”
               “ไลท์” พี่ธันมองตาผม “...ที่ผ่านมาพี่ก็แค่เที่ยวเพราะเบื่อบรรยากาศที่บ้านกับในเมือง มาอยู่ในธรรมชาติแบบนี้มันช่วยให้หายครียด”
               “แล้วบรรยากาศแบบไหนที่บอกหายาก”
               แล้วก็เอามือผมไปจับอีกแล้ว ผมงี้เตรียมรับกับคำหวานพี่แกทันที “ก็...บรรยากาศที่ได้มากับคนที่พี่รักจริงๆไง”
               วินาทีนี้ผมแค่อยากมองตาพี่ธัน ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบให้พี่ธันพูดแบบนี้จัง รู้สึกดีชะมัด
               “พี่ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย” แล้วพี่ธันก็ทำหน้าหม่นลง “...มันเลยทำให้พี่กลัวมาก และพี่ไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน”
               ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ผมเองก็มีความรู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน “อย่ามัวคิดถึงแต่อนาคตที่ยังมาไม่ถึง จงรักษาช่วงเวลาตรงหน้าให้ดีที่สุด” ผมบอกพี่ธัน “ไอ้ตะวันกล่าวไว้”
               ที่ผมพูดไปไม่รู้พี่ธันเข้าใจหรือเปล่า แต่เขาก็กลับมายิ้มเหมือนเดิม ผมชักจะชินกับรอยยิ้มอันแสนหล่อเหลานี่เสียแล้ว สักวันหนึ่งถ้าผมต้องเสียมันไปจะรู้สึกยังไงนะ ผมจะทนได้หรือเปล่า
               เพื่อปัดความกังวล ผมจึงหยิบกล้องขึ้นมาเก็บบรรยากาศทั้งหมดทั้งมวลตรงหน้า(ส่วนใหญ่ก็ภาพพี่ธันเนี่ยแหละ) เราขออาหารสดมาปิ้งกินด้วย น้าเจ้าของก็ใจดีหามาให้เต็ม ได้เบียร์มาด้วยสองกระป๋อง ยิ่งมืด จุดที่ผมนั่งก็ยิ่งกลายเป็นลานรอบกองไฟขนาดย่อม สักพักก็มีคนมาขอร่วมแจม ดูแล้วน่าจะเป็นนักศึกษา มีกันห้าคน
               “ขอนั่งด้วยนะครับ” ชายหญิงคู่หนึ่งมาขอนั่งก่อน ตามมาด้วยเพื่อนอีกสามคน(ชายหนึ่งหญิงสอง)
               “ยินดีครับ กำลังอยากได้ปาร์ตี้พอดี” ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่า หากวันไหนพี่ธันอารมณ์ดี วันนั้นเป็นวันที่ตัวเขาเปิดใจรับคนอื่นได้ง่ายที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็ยิ้มร่าต้อนรับคนแปลกถิ่นอย่างหน้าไม่อายทีเดียว
               “มาจากกรุงเทพฯหรอครับ”
               “ครับ รู้ได้ไงเนี่ย”
               “ไม่ต้องเดาหรอก หล่อขาวกันขนาดนี้ต่างจังหวัดไม่ได้หากันง่ายๆ” คนๆนี้ก็มีอัธยาศัยดีนะ สงสัยกำลังอินเลิฟกับผู้หญิงข้างๆเหมือนกัน ดูแล้วก็ให้ยิ้มตาม
               “พวกคุณเป็นนักศึกษาใช่มั๊ย” ผมถาม
               “ไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับ ผมชื่อนท อยู่เชียงใหม่ นี่แฟนผมชื่อไอดอล ส่วนนั่น---“ เขาชี้ไปที่เพื่อนที่เหลือทีละคน “ปลา เอิ้น แล้วก็ไนน์”
               “ผมธันครับ ธันวา แล้วนี่ก็...” พี่ธันโอบไหล่ผม “คนพิเศษของผม ชื่อไลท์ครับ”
               สังเกตได้ไม่ยากว่าพวกผู้หญิงกำลังชนะพนันขันต่อ ในขณะที่ดาต้าต้องก้มหน้ายิ้มกับสถานะที่คนข้างๆตั้งให้
               “ถ้างั้นก็จริงน่ะสิ เรานี่ก็ดูคนเก่งเนอะ” คนที่ชื่อนทหันไปยิ้มกับแฟน
               “แหม ออร่าซะขนาดนี้ คนไม่มีความสุขเขาปล่อยออกมาไม่ได้หรอก” ผู้หญิงที่ชื่อเอิ้นแซวผมกับพี่ธัน แต่ตัวเองกลับอายม้วนแทน
               “มาขึ้นภูชี้ดาวด้วยกันสองคนแบบนี้ มีอะไรพิเศษรึเปล่า” คนที่ชื่อปลาแอบตั้งข้อสังเกต ผมก็แปลกใจเหมือนกัน หันไปหาพี่ธันที่ยิ้มกว้าง
               “ก็...โอกาสพิเศษนิดหน่อยครับ” พี่ธันตอบเป็นนัยแปลกๆ สกิดต่อมเผือกผมขึ้นมาทันที
               “ไม่นิดหน่อยแล้วมั้งคะ มาไกลขนาดนี้เนี่ย” คุณไอดอลเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
               “มีอะไรหรอพี่ธัน” ถามดีๆก็ไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มอยู่นั่น
               ยิ่งนั่งคุยกันก็ยิ่งสนิทกัน ผมคุยกับคนที่ชื่อไนน์จนถูกคอเพราะรู้เรื่องถ่ายภาพเหมือนกัน พี่ธันก็ดูลงตัวกับนิสัยแมนๆของนท สองคนผลัดกันยิงมุกทะลึ่งตึงตัง สักพักก็ย้ายไปคุยเรื่องเรียน(นินทาอาจารย์) ยิ่งพอรู้ว่าพวกผมเป็นนักเรียนสถาปัตย์ก็ยิ่งสนใจกันเข้าไปใหญ่ ยาวล่ะคืนนี้ ผมก็ถ่ายรูปเก็บไว้เสียเยอะเลย ขำหนักมากก็ตอนที่ไนน์เล่าให้ฟังว่าไปแอบถ่ายหน้าผู้หญิงเลยโดนผัวเขาไล่เตะ ยิ่งพอคิดภาพตามก็ยิ่งขำไม่หยุด อย่างว่าแหละ พอเบียร์เข้าปากก็อารมณ์ดีกันแทบทุกคน
               ตามสเต็ปการตั้งแคมป์กลางคืนครับ กลุ่มโน้นเขาเอากีตาร์โปร่งมาด้วย เห็นแล้วคันไม้คันมือ อยากจะเล่นเสียให้ได้
               “นั่นไง ไลท์อ่ะ บอกให้เอามาด้วยก็ไม่ให้เอามา ตอนนี้จะช่วยเขาเล่นยังไง”
               “ใครจะไปรู้เล่าว่าจะนั่งเล่นกันได้แบบนี้ พี่ธันไม่บอกอะไรไลท์สักอย่าง”
               “ธันก็เล่นเป็นหรอ” พี่นทดูสนใจเรื่องนี้มาก(เขาอยู่ปีสี่แล้ว)
               ผมตอบให้ได้นะ เรื่องนี้... “ไม่อยากจะอวด คนนี้แหละมือหนึ่ง”
               “อย่างนี้มันต้องจัดแล้ว ธันวา ขอฟังเป็นบุญหูหน่อยดิ๊” พี่นทเชียร์
               พี่ธันรับมาอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อตะกี้ที่เล่นๆกันมาก็มีแต่เพลงไทยตามกระแส อาศัยบรรยากาศสนุกๆไม่เคร่งเครียด แต่พอถึงตาคนหล่อจะร้องเพลงให้ฟัง ทุกคนก็พร้อมใจกันนิ่งฟังทันที พี่ธันปรับสายลองคีย์อยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมาหาผมแล้วยิ้มให้
               “ช่วยพี่ร้องหน่อยนะ”
               หืม...”เพลงอะไรยังไม่รู้เลย”
               “พี่เชื่อว่าไลท์ร้องได้”
               แล้วพี่ธันก็สูดหายใจเข้ายาวๆ ใบหน้ายิ้มแย้ม รอบข้างมีเพียงเสียงถ่านปะทุ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่หรีดเร้าไปด้วยเสียงนกแมลง ตัวโน๊ตตัวแรกก็บรรเลงออกมา เป็นทำนองเพลงที่คุ้นมากแต่ยังจับไม่ได้ เพราะพี่ธันได้ดีไซน์ลูกเล่นใหม่เข้าไปด้วย เมื่อเข้าห้องจังหวะ เสียงทุ้มน่าฟังก็เปล่งออกมา...

                    “Wise... men... say--   only fools... rush... in—“

               ผมร้องอ๋อในใจทันที เอาชื่อเพลงเต็มๆนะครับ เพลง ‘Can’t help falling in love’ ของ Elvis Presley แค่ได้ยินชื่อเพลงผมก็ยิ้มแล้ว นี่พี่ธันจะร้องเพลงนี้จริงๆหรอครับ

                    “But I... can't... help--  falling in love... with...you—“

               ระหว่างร้องท่อนนี้เขาก็หันมามองผมด้วยสายตาหวานฉ่ำ เสียงสายกีต้าใสค่อยๆสั่นตามนิ้ว...

                    “Shall... I... stay?--    Would it be... a... sin---“
                    “If I... can't.... help--   falling in love... with...you?--“


               ด้วยเสียงอันทุ้มนุ่มที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมรู้สึกว่าพี่ธันตั้งใจร้องเพลงนี้มาก ตอนนี้มันคงเป็นฉากที่โรแมนติกที่สุด เพราะผมกับพี่ธันยังไม่ละสายตาจากกันเลย

                    “Like a river flows---”
                    “Surely to the sea---”
                    “Darling so we go---”
                    “Some things... are meant.. to be”

               พี่ธันดูจะเน้นประโยคท้ายนี้เป็นพิเศษมาก ทำผมน้ำตาคลอเลย ผมหันหนีตาพี่ธันแป๊บ แต่กลับเจอเหล่าผู้ร่วมเหตุการณ์ยิ้มกันโดยไม่ห่วงภาพพจน์ โดยเฉพาะสองคู่รัก ฝ่ายหญิงนี่ร้องไห้ออกมาแล้ว
               แล้วจากนี้ไปผมจะร่วมร้องด้วย อยากจะส่งความรักของผมให้เขาเหมือนกัน เหล่าผู้ชมก็คลอเสียงเบาๆช่วยประสาน ผมเขยิบเข้าไปใกล้พี่ธันแล้วโอบคอไว้

                    “Take... my... hand,--   take.. my whole.... life....too---“
                    “For I.... can't... help--     falling in love.... with...you—“

               ถึงตรงนี้ทุกคนก็ร่วมกันร้องขึ้นมาเบาๆ สองสาวปลากับเอิ้นซบไหล่กัน ไนน์นั่งยิ้มดูเงียบๆ ส่วนไอดอลซบอกพี่นทเรียบร้อย

                    “Like a river flows---”
                    “Surely to the sea---”
                    “Darling so we go---”
                    “Some things.... are meant.... to be”

               ตอนนี้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่สุด ผมประสานสายตากับพี่ธัน

                    “Take.... my... hand,--   take.. my whole... life...too--“
                    “For I... can't.... help--     falling in love...with...you—“

               ถึงตรงนี้ผมก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้แล้ว ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้อีก ได้แต่ซบหน้าลงกับไหล่ของพี่ธัน...




                    “But I...can't...help... falling in love....with.......youuuu”


***********************************[ติดตามตอนต่อไป]************************************

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


25

ธันวา : ‘ อีกพันปีนับจากนี้ ’



               มีบางคนบอกว่า ถ้าบอกรักกันทุกวันจะทำให้เรารักกันน้อยลง เรื่องนั้นยังไงผมก็ไม่เชื่อ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อ
               เมื่อคืนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดนับแต่ผมจำความได้ ผมรักเขา แล้วเขาก็รักผม ทว่าหลังจากส่งไลท์เข้านอนแล้ว ผมกลับแอบไปร้องไห้อยู่เงียบๆ ผมเคยบอกไลท์ไปแล้วว่ายิ่งผมรักเขามากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น กลัวว่าจะเสียมันไปในที่สุด แม้จะมีความสุขมาก แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าโลกเบื้องหน้ากำลังดับสูญ เหมือนกับว่าวันนี้เป็น วันสุดท้าย
               ผมจะทำได้หรือเปล่า ผมจะรักษา...สิ่งที่สำคัญที่สุดของผมได้มั๊ยนะ
               กลัว....กลัวมากจริงๆ

               เมื่อคืน ก่อนจะแยกย้ายผมก็แอบถามความเห็นคนอื่นๆ ผมอยากจะขึ้นไปถึงด้านบนตอนตีห้า ทุกคนเห็นด้วย คนไม่มากเท่าไหร่ เป็นฤกษ์ที่ดี เช่ารถโฟว์วีวไว้คันหนึ่งให้พาขึ้นไปถึงตีนภู จากนั้นเราต้องเดินไปกันเอง
               คืนนั้นผมนอนไม่หลับเพราะมัวแต่นั่งพะวงเรื่องในวันข้างหน้า หาวิธีที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากคำสาบของตระกูล เวลาล่วงเลยจนกระทั่งตีสี่จึงปลุกไลท์ เขาร้องไห้บนอกผมอีกแล้ว คงจะคิดถึงแม่มาก ใช่ ไลท์เล่าให้ผมฟังแล้วว่าหากไม่มีเจ้าอบอุ่นให้กอดเขาจะฝันถึงแม่ เป็นคนที่อ่อนไหวมากๆ
               ตอนไลท์ล้างหน้าเสร็จ ทุกคนก็เตรียมพร้อมแล้ว รถกระบะมารับพวกเราจากหมู่บ้านบนเขา เส้นทางหลังจากผ่านหมู่บ้านไปแล้วคืองูขดดีๆนี่เอง เล่นซะเกือบขย้อนน้ำย่อยออกจากปาก เรามาหยุดยืนเตรียมใจกันตรงป้ายที่เขียนว่าภูชี้ดาว อากาศค่อนข้างเย็น ตรงนี้มีคนที่ยืนถือไฟฉายมองหน้ากันไปมา สงสัยกำลังหนักใจกับความชันของขั้นบันได
               เออ ก็ควรหนักใจจริงๆแหละ...
               “จะไหวมั๊ยเนี่ยเรา” ผมถามไลท์
               “ไม่ได้อ่อนแอ แค่นี้จิ๊บๆ”
               แม้จะปากเก่ง แต่ไลท์ก็แอบหน้าซีดเหมือนกัน จากจุดสตาร์ท เดินมาได้ไม่เท่าไหร่ไลท์ก็เริ่มหอบน้อยๆ ผมปล่อยพวกที่เหลือขึ้นนำไปก่อนแล้วคอยช่วยไลท์ แต่เวลาก็ไม่คอยใคร ผมมองดูนาฬิกาก็...อีกไม่นานจะเริ่มมีแสงแล้ว วิธีเดียวที่จะขึ้นไปได้เร็วที่สุดก็คือ ขี่ม้าส่งเมือง ไง
               “พี่ธัน ไหวหรอ”
               “ไหวน่า แค่นี่จิ๊บๆ”
               ไลท์ยิ้มให้อย่างไม่แน่ใจนัก ผมบอกให้เขาจับให้แน่นๆ เพราะต้องทรงตัวดีๆ พลาดมีกลิ้งลงเขาแน่
               “พี่ธัน..” จู่ๆไลท์ก็พูดขึ้นมา นึกว่าฟังเสียงป่ารอบๆอยู่ซะอีก
               “ครับ”
               “ขอบคุณนะ”
               “เรื่องอะไร”
               “ก็...ที่พี่ธัน...ดีกับไลท์”
               ผมได้แต่ยิ้มตอบ ในใจก็มีคำพูดเดียวกันนี้เหมือนกัน  ‘ขอบคุณที่รักพี่’
               “ทำไมพี่ธันถึงดีกับไลท์ขนาดนี้ล่ะ”
               “อืม...”  ทำไมน่ะหรอ ผมก็เคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันนะ แต่ทุกครั้งก็จะมีคำตอบเดิม  “ไม่รู้สิครับ อาจเป็นเพราะ...ไลท์คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตพี่ละมั้ง”
               “แหวะ หวานตลอด” ไลท์กระชับแขนรอบคอผมขึ้นนิดหนึ่ง “เร็วสิ จะเช้าแล้วนะ”
               “คร้าบ แหม พ่อตัวแสบ”
               ในที่สุดก็จะถึงแล้ว ผมได้ยินเสียงพวกที่นำไปก่อนร้องวีดว้ายกันยกใหญ่ โชคดีที่ฟ้ายังไม่สาง พอถึงบันไดขั้นบนสุด ผมงี้แทบทรุด ไต่ทางชันไม่ใช่ล้อเล่นเลยครับ หอบสิ ส่วนไลท์ พอลงจากหลังผมก็แวะมาดูอาการอยู่หรอก แต่ไม่ถึงนาทีก็เดินหนีไปแล้ว ผมเงยหน้าพิจารณาดูก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ทะเลหมอก
               แม้จะไม่เรียกว่าทะเลได้เต็มปาก แต่หุบเขาฝั่งประเทศลาวตอนนี้ปกคลุมไปด้วยผืนหมอกสีขาว ลมเย็นจากหุบเขาด้านล่างพัดเอาไอหมอกเย็นๆเข้ามาปะทะใบหน้า ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงมีเมฆมาก อากาศฟุ้งกระจาย วันนี้เป็นวันดี ไลท์วิ่งไปวิ่งมาหามุมถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่ง สักพักก็มาลากผมไปด้วย จุดหมายคือปลายสุดของจุดชมวิว นั่นเป็นจุดที่สามารถมองลงสู่เบื้องล่างได้สามร้อยหกสิบองศาเลยทีเดียว
               “สวยจัง ไลท์ไม่เคยเห็นแบบนี้เลย”
               “พี่ก็ไม่ได้เห็นมานานมาก”
               “มาถ่ายรูปกันดีกว่า”
               ไลท์ทำการเซลฟี่ด้วยกล้องตัวใหญ่แต่ไม่ถนัดจึงเปลี่ยนไปใช้กล้องมือถือแทน ถ่ายได้ไปหลายรูปทีเดียว มีทั้งหล่อน่ารัก ทีเผลอ หรือแข่งกันทำหน้าทุเรศ กลุ่มที่ตามมาด้วยก็เหมือนจะรู้งาน ไม่ค่อยขึ้นมาถึงตรงที่ผมอยู่ คงจะปล่อยให้ผมกับไลท์สวีทกันได้เต็มที่สินะ
               ผมรอจนกระทั่งเริ่มเห็นแสงอาทิตย์ขึ้นรำไร สวยมากครับ แต่ไลท์ไม่ถ่ายรูป เขาเอาแต่จ้องภาพตรงหน้านิ่ง หลังจากนั้นก็หันมามองผม
               “นี่หรือเปล่า เรื่องพิเศษที่พูดเมื่อคืน”
               นึกว่าจะไม่ถามเสียแล้วไลท์จ๋า นี่ไม่ใช่แค่พิเศษ แต่เป็นห้วงเวลาที่พิเศษสุด ผมนั้นได้แสดงออกถึงความรักที่ผมมีให้กับไลท์มาสักพักแล้ว แต่ตัวไลท์เองก็เอาแต่บอกว่าเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน...
               ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีคำว่า พี่ธัน กับ น้องไลท์ อีก มันจะมีแต่คำว่า ‘สองเรา’
               “แค่นี้ก็เรียกพิเศษแล้วหรอ”
               “แล้ว...มันคืออะไรล่ะ”
               ผมจับมือซ้ายของไลท์ขึ้นมา ที่นิ้วนางนั้น มันยังอยู่ แหวนที่ผมเคยให้ไว้ ผมถอดออก แต่แค่นั้นไลท์ก็ทำหน้าเสียแล้ว แหม พอตอนใส่ล่ะขัดขืนแล้วขัดขืนอีก แต่ช่างมันก่อน เดี๋ยวจะงอน
               “ไลท์เห็นนี่มั๊ย” ผมเอียงแหวนให้ไลท์เห็นได้ถนัด มันมีชื่อสลักไว้ เขียนว่า ‘ภาณุ’ แล้วมีรูปหัวใจต่อท้าย “รู้มั๊ยว่าแหวนนี่ พี่ทำตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้ว”
               พอฟังจบ ผมก็เห็นไลท์ทำหน้าแปลกๆ สงสัยโรคอ่อนไหวจะกำเริบ อย่าเพิ่งสิครับ
               “ทำขึ้นมาสองวงเท่านั้น อีกวงอยู่ที่นิ้วพี่นี่” ใช่ครับ อีกวงก็มีสลักชื่อผมไว้ ‘ธันวา’ มีรูปหัวใจเหมือนกันด้วย
               “พี่ธัน...”
               “ไลท์คงถามพี่ในใจมาตลอดว่าพี่จริงจังกับไลท์หรือเปล่า ไลท์คงไม่กล้าตอบคำถามใครว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน” ผมเริ่มพูดมันออกมา “พี่ขอโทษที่ไม่ตัดสินใจทำอะไรให้ชัดเจนสักที ขอโทษที่ทำให้ไลท์ต้องรอ...”
               มาถึงส่วนที่ยากที่สุด ถ้าผมผ่านความเสี่ยวนี้ไปได้ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว...
               ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จับมือไลท์อีกครั้ง แล้วขุกเข่าลงกับพื้น
               ไลท์กำลังซึ้งมาก น้ำหูน้ำตาคลอไปหมด โอกาสกำลังดี มีแสงสีส้มอาบไปทั่วร่างเราสองคนแล้ว
               “วันนี้พี่อยากจะขอไลท์...”
               “ขออะไร...”

               “เป็นแฟนกับพี่นะ”

               ใครจะยังไงไม่รู้ แต่ผมเขินหน้าหูชาไปหมด ไลท์เองก็หน้าแดงแป๊ดอย่างกับมะเขือเทศ สะอื้นอยู่สองสามทีก็หัวเราะออกมา สุดท้ายจึงพยักหน้า ผมงี้ยิ้มนำไปก่อนแล้ว
               “อืม...ตกลง”
               ผมหัวเราะออกมาอย่างไม่อายใครแล้วงานนี้ แต่ก็ไม่ลืมเรื่องสำคัญอีกอย่าง ผมเลือกแหวนที่มีชื่อผมสลักไว้ ค่อยๆสวมมันลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของไลท์อีกครั้ง และไม่ลืมที่จะฉวยโอกาสนี้จุมพิตเบาๆที่แหวนนั่นด้วยเมื่อมันอยู่บนนิ้วไลท์แล้ว ทว่ามันยังไม่สมบูรณ์ครับ เพราะไลท์แย่งแหวนอีกวงไปจากมือผม
               “ลุกขึ้นได้แล้ว” ไลท์บอกและผมทำตาม ในที่สุดเขาก็ทำให้ผมประหลาดใจได้อีกครั้ง
               ไลท์จับมือข้างซ้ายของผมขึ้นมาแล้วค่อยๆสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมเหมือนกัน ให้ตาย นี่ขอเป็นแฟนกันหรือกำลังแต่งงาน
               “เป็นแฟนกันแล้ว....อย่าทิ้งกันนะ” อันนี้ผมพูด
               “ไลท์ตามพี่ธันมาตั้งหกปี คิดว่าจะเลิกง่ายๆหรอ”
               แล้วก็ได้ฤกษ์เสียที สิ่งสุดท้ายที่ผมจะตั้งใจทำในการมาฮันนีมูนกับไลท์(ทึกทักเอาเองเรียบร้อย) บนยอดเขาเหนือสิ่งใดๆทั้งปวง มีเพียงเมฆและหมอกคอยเป็นพยาน แสงตะวันเป็นคำอวยพร สายลมอ่อนๆคือเสียงดนตรี ริมฝีปากอวบอิ่มเชิญชวนให้ผมสัมผัส และผมรอคอยเวลานี้มานานแล้ว...
               เป็นจูบที่อ่อนหวานและเนิ่นนานที่สุด ผมอยากให้มันเป็นจูบประทับใจ มิใช่เรื่องเซ็กส์ มันเหมาะกับความอ่อนหวานและนุ่มนวล เพราะเราอยู่บนท้องฟ้า อยู่บนปุยเมฆ อยู่บนพื้นที่ๆมีเพียงเราสอง เราจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากเราสองคนออกจากกัน ผมจะจำช่วงเวลานี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ


----------------------------------------------------------------------

               ดีใจที่สุด ยิ่งปลื้มใจมากขึ้นไปอีกเมื่อทำให้คนอื่นรู้สึกมีความสุขไปด้วย ยกเว้นไอ้นทกับน้องไอดอล ดูเหมือนน้องจะงอนที่มันขอเป็นแฟนได้ไม่โรแมนติกเท่าผม ของแบบนี้มันต้องกลั่นออกมาจากใจไอ่น้อง
               กลุ่มเพื่อนร่วมปีนภูเขาครั้งนี้เป็นที่ถูกใจผมมาก เดินขึ้นหลายร้อยเมตรยังอุตส่าห์ขนเอาเสบียงขึ้นมาปิ๊กนิกกันอีก ผมกับไลท์ได้โอกาสโซ้ยไปด้วยเลย  ไลท์นั้นแม้จะมีขนมปังอยู่เต็มปากก็ยังเดินถ่ายรูปไม่หยุด น้องปลากับน้องเอิ้นเร้าจะเอาไอจีผมกับไลท์เสียให้ได้ เห็นบอกว่าอยากเป็นแฟนคลับ เรื่องนี้ต้องให้เป็นภาระไลท์ไป ผมไม่ได้อัพเดตรูตัวเองในไอจีเป็นเดือนแล้วมั้ง ว่าไปแล้วก็อยากกลับไปเล่นอีก ตอนนี้ผมไม่โสดแล้ว อยากประกาศให้โลกรู้จริงๆ
               โดยเฉพาะเมื่อเห็นรูปที่ไอ้ไนน์มันเอาให้ดู ไอ้หมอนี่ชอบแอบถ่ายคนแบบเป็นธรรมชาติ รูปที่ผมเห็นก็เป็นแบบนั้น ผมที่โอบรอบคอไลท์ เราสองคนกำลังเดินลงจากเนิน แต่กลับมองไปทางแสงดวงอาทิตย์ทั้งคู่ ฉากหลังมีเมฆที่เรืองแสงก้อนใหญ่ โทนสีของภาพผสมกันระหว่างสีฟ้าจากหมอกเมฆ และสีส้มทองจากแสงตะวัน ผมรีบให้มันส่งให้ในบัดดล นอกจากรูปนั้นก็ยังมีอีกหลายรูป(มีตอนขอเป็นแฟนด้วย เหมือนขอแต่งงานจริงๆ) เอาเป็นว่า ทุกรูปที่มีตัวผมและไลท์ผมขอหมด
               นั่งยัดขนมปังไปสามชิ้นแล้วก็เลิกกิน ไลท์ยังอยู่บนยอดเนิน ยินพิงหลักกำหนดเขตแล้วมองออกไปที่ทิวเขา บางทีอาจจะเป็นขอบฟ้า ผมเดินเข้าไปหาแล้วโอบเขาจากด้านหลัง
               “ว่าไงโรส ชอบยืนที่หัวเรือหรอ”
               “โรสบ้าอะไร ผมไม่อยากให้พี่เป็นแจ็คนะ”
               “พี่ว่าชีวิตเราสองคนก็คล้ายๆสองคนนั้นนะ แจ็คต้องจมลงใต้ผืนน้ำแข็ง ส่วนโรสก็เป็นแสงสว่างของแจ็คเสมอ” ผมว่าดูโอเคนะ ไม่ต่างจากชีวิตผมเท่าไหร่ แต่...
          “ยังไงไลท์ก็ไม่เห็นด้วยหรอก ไม่เข้าท่าเลย ทำไมจู่ๆต้องทำให้ตัวเอง ....” ไลท์ไม่อาจพูดคำนั้นออกมาได้ สงสัยจะดราม่าจัด ที่อ่อนไหวง่ายๆแบบนี้ไม่รู้ว่าชอบดูหนังประเภทนี้ประจำหรือเปล่า
               “ถ้างั้นเราจะเป็นแบบไหนกันดีล่ะ เจ้าหญิงเจ้าชายในการ์ตูนหรอ”
               จู่ๆไลท์ก็เงียบไปอีกแล้ว ผมเป็นห่วงว่าจะคิดมาก กระชับอ้อมกอดขึ้นอีกนิด ไลท์นิ่งอยู่สักพักก็เอ่ยปากออกมาได้
               “พี่ธันว่า มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน...”
               “หมายถึง...ความรักของเราหรอ” คำว่ารักมีผลกับไลท์มากเหลือเกิน    พูดปุ๊บ แดงปั๊บ
               “อืม....”
               “ถ้างั้น.... พี่ก็ขอเป็น เอ็ดเวิร์ด คัลเลน แล้วกัน”
               ไลท์หันหน้ามามอง กึ่งจะขำนิดๆ
               “เฮ้ย พี่สู้ได้นะเว้ย เรื่องความหล่อน่ะ”
               “หมายความว่ายังไง จะเป็นเอ็ดเวิร์ด... ไม่เข้าใจ”
               ...แล้วผมก็ได้พูดในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะพูดมาก่อน...
               “พี่แค่รู้สึกว่า...หนึ่งพันปีจากนี้ เราจะยังรักกันเหมือนเดิม เหมือนเอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าไง”
               “พี่ธัน...” ไลท์กำลังจะยิ้มไปร้องไห้ไป ผมไม่ได้แกล้งนะ แค่พูดออกมาจากใจจริง “สมัยนี้พี่จะไปหาเชื้อแวมไพร์ได้ที่ไหน”
               โถ ช่างมโนนะคนเก่ง ผมแกล้งเอาคางเกยหัวแล้วกดเบาๆ... “ไลท์มีข้อเสนอมั๊ยล่ะ”
               “ไลท์คิดว่า ชั่วชีวิตก็ดูเป็นคำที่ดีนะ” ผมซึ้งครับ ซึ้งจริงๆ ในที่สุดไลท์ก็กล้าที่จะพูดแบบนี้ออกมา
               “แต่พี่ไม่เห็นด้วยแหะ ไม่เห็นเท่เลย”
               “มาท่งมาเท่อะไรอีกล่ะ”
               “ก็นะ... แต่....”  ยังไงก็ยังซึ้งไม่พออยู่ดี  “มีคำว่า ‘แต่’..”
               “แต่อะไรล่ะ”
               ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก ถ้าเป็นไปได้คงจะรวมร่างแบบเนื้อแนบเนื้อ...

               “พี่ก็แค่คิดว่า...ตลอดไป...ดูจะเป็นตอนจบที่ดีที่สุดนะ สำหรับเราสองคน”
               ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่หัวใจผมตัดสินใจแล้ว ณ รุ่งอรุณที่อาบไล้ด้วยแสงสีทองนี้ ผมอยากอยู่แบบนี้...อยู่กับไลท์ และต่อท้ายด้วยคำว่า ‘ตลอดไป’ เสมอ น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่แต่ก่อนมา พอผมเห็นเรื่องรักนิรันดร์ ความรักของผู้เป็นอมตะ จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก แต่ตอนนี้มันกลับกันไปหมดแล้ว จู่ๆความคิดเรื่องที่ผมอยากเป็นเอ็ดเวิร์ด คัลเลนก็ดูจะสมเหตุสมผลขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมเริ่มอิจฉาพวกเขา ที่ผ่านมาชีวิตผมใช้แบบทิ้งขว้างรอเวลาตายมาตลอด ต่อไปนี้จะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ลมหายใจต่อจากนี้ทุกวินาที ผมจะมอบให้กับไลท์ และนั่นเป็นคำสัญญา—


              ‘ตลอดกาล’


*******************************[ติดตามตอนต่อไป]*****************************




ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชัดเจนซักทีนะ พี่ธัน
เป็นช่วงเวลาที่ดี โรแมนติค
พี่ธันขอคบเป็นแฟนกับไลท์ สุดยอดดดด
พี่ธัน ไลท์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ชอบ ที่ไลท์ เอาคำพูดของตะวันมาบอกธัน
“อย่ามัวคิดถึงแต่อนาคตที่ยังมาไม่ถึง จงรักษาช่วงเวลาตรงหน้าให้ดีที่สุด”
เหมือนกับที่เคยอ่านเจอว่า ถ้ามัวแต่กลัว มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับวันนี้ของเราสิ

ให้สงสัยความขัดแย้งระหว่างธันกับแม่
แม่คงเอาแต่ความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่แน่ๆ ฮึ่ยยยยย
อยากอ่านพาร์ทธัน  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2017 21:29:07 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


26

ไลท์ : เทวทูตผู้ถูกจองจำ



               หลายวันแล้วหลังจากการขอเป็นแฟน เราสองคนไม่ได้ปฏิบัติตัวแบบคนรักที่ต่างไปจากเดิม ที่จะเปลี่ยนไปมากที่สุดก็คือ ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากได้แล้วว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน พอโดนแซวเรื่องคำว่าแฟน ผมก็จะนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น วันที่พี่ธันพูดกับผมที่ยอดภู และผมดีใจ อุ่นวาบราวกับได้ดื่มวิสกี้คุณภาพสูง ต่อจากนั้นคือเมา นั่งอมยิ้มได้ทั้งวัน
               ในวันนั้นมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยตอนกลับ ขาลงจากเขาไม่ลำบากผมมากเท่าไหร่(เกลียดตอนนั่งรถมาก) แต่ผมสังเกตได้ว่าพี่ธันง่วง พอเค้นถามก็ได้รู้ว่าคืนนั้นเขาไม่ได้นอน แต่จนแล้วจนรอดพี่ธันก็ไม่ยอมให้ผมขับรถแทนให้ เพราะผมเองก็เพลีย เขาไม่ยอมให้ผมกินกาแฟด้วย เพราะโรคที่ผมเป็นอยู่นั่นแหละ ในที่สุด ลงเอยด้วยกาแฟดำจากแคมป์สามแก้วรวด ตอนขับรถกลับไปที่สนามบิน สภาพพี่ธันจึงเป็นอะไรที่น่าขำมาก ตาโต ใต้ตาคล้ำ เหมือนคนเห็นผี
               “เลิกยิ้มได้แล้วมั้ง” พี่วีมักจะแซวผมแบบนี้เสมอ
               “ผมไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” ก็แค่มีความสุข
               “ไอ้ธันไปไหนล่ะ”
               “ไปคุยกับอาจารย์น่ะครับ เห็นว่าได้แบบมาทั้งหมด เลยเอาไปปรึกษา อาจารย์อ้วนก็เพิ่งจะกลับมาจากฮ่องกง”
               “น่าอิจฉาว่ะ ได้ไปฮันนีมูนแล้วยังได้งานดีอีก”
               “บ้า ฮันนีมูนอะไรพี่วี เดี๋ยวเหอะ”
               ผมอยู่สตูฯปีห้า พี่วิวก็เพิ่งจะพาตัวเองมาทำงานกลุ่มได้ แซวผมสักพักก็ลงมือเปิดคอมทำงาน ตัวผมแค่มาช่วยดูเรื่องตัดโมเดล เนื่องจากกลุ่มพี่ธันมีแต่คนที่รู้จักกัน จึงค่อนข้างผ่อนคลาย สักพักมีคนมาเพิ่ม ในกลุ่มนี้คนที่น้องรหัสมาช่วยบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นพี่ธันคนเดียว ของคนอื่นก็มาๆไปๆ หายไปก่อนจะจำชื่อได้ ไม่ได้คุยดีๆเลย
               “ไงน้องรัก ไปฮันนีมูนมาเป็นไงบ้างครับ”  พี่ลิตเติ้ลครับ ชอบดอดมากอดผมตอนพี่ธันไม่อยู่เรื่อยๆ เขาบอกว่าผมน่ากอด ตอนพี่ธันอยู่ทำไม่ได้เพราะจะโดนไล่เตะ
               “ไม่มีมุขอื่นเล่นกันรึไงพวกนี้”  ผมเริ่มเบื่อกับคำถาม  “ไม่มีเรียนหรอพี่”
               “ปีสามว่างจะตาย งานไม่หนักเท่าไหร่”
               “ดีเลย มาช่วยผมเดี๋ยวนี้” ผมรีบยื่นคัตเตอร์ให้ พี่ลิตเติ้ลส่ายหน้าเซ็ง
               ไม่นานพี่เสือก็เดินเข้ามา หอบหนังสือเล่มใหญ่มาหลายเล่มมาก ตั้งตึงลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่งตัวอ่อนเป็นขี้ผึ้งอยู่บนเก้าอี้จนลั่นเอี๊ยด
               “เป็นอะไรพี่เสือ” ผมลองถาม ดูเขาจะเครียดๆ
               “แม่ง จะให้งานอะไรขนาดนี้ นี่ก็ซ้อนกันเข้าไปสี่งานแล้ว ไม่คิดจะให้ใช้ชีวิตกันเลยรึไงวะ”
               “ไหนบอกว่าเรียนสายนี้ต้องรักงานไงพี่”  พี่ลิตเติ้ลแซว  “...หรือว่า ที่บ่นเนี่ยเพราะไม่มีเวลาไปหาสาว”
               พี่เสือคว้าม้วนเทปกาวปาหัวพี่ลิตเติ้ล  “ย้อนกูหรอไอ้ลิตเติ้ล มึงกล้าย้อนกูหรอ”
               “เฮ้ย ของต้องใช้ เอาไปเล่นทำไม”
               วุ่นวายกันไป งานไม่เดินหรอก มัวแต่ตีกัน
               “พี่เสือก็ไปหาอิอุ้มดิ”  ผมเสนอ
               เขาดูจะขำออกมา ทั้งยังฉีกกระดาษเล่น “รายนั้นไปหาส่งเดชได้ที่ไหน จะเตะพี่อยู่แล้ว ผู้หญิงอะไร แก่นแก้ว” ปากจะด่าแต่หน้ายิ้มนะครับพี่เสือผม
               คนมีความรักมักจะยิ้มง่ายแบบนี้แหละ



               เที่ยงครึ่งแล้ว
               “พี่วีหิวข้าวป่ะ” พี่ลิตเติ้ลถามแหวกความเงียบขึ้นมา มือยังจับคัตเตอร์เฉือนกระดาษอย่างตั้งใจ โดยไม่ได้มองเลยว่าคนถูกถามใส่หูฟังอยู่
               “พี่วี...อ้าว” คงจะเปิดเพลงดังมาก ไม่ได้ยินอะไรเลย พี่เสือหยิบยางลบปาใส่ก็ทำไม่สนใจ ฟังอะไรอยู่นะ ตั้งใจขนาดนั้น?
               แต่ผมรู้ว่ามีสิ่งเดียวที่จะเรียกความสนใจพี่วีได้ และตอนนี้มันกำลังเดินเข้าประตูมา หอบข้าวปลาอาหารมาถุงใหญ่เลย มีทั้งคาวหวานสารพัดสารเพ ดูเผินๆนึกว่าจะจัดปาร์ตี้กันเลยทีเดียว แค่ได้กลิ่นน้ำลายก็ไหลมาจ่อที่ลิ้นแล้ว
               “ตะวัน มาได้ไงเนี่ย” ไอ้พี่วีครับ ลุกพรวดทันที ผมเผลอยกยิ้มมุมปาก
               “วันนี้เลิกเรียนเร็ว เชฟต้องไปทำธุระ ตะวันเลยซื้อข้าวกลางวันมาเลี้ยง ยังไม่ได้กินข้าวกันใช่มั๊ย...”
               ผมวิ่งไปดู มีทั้งอาหารจากร้านที่มันเรียน ยังมีพวกเคเอฟซี มันบดมันทอด ข้าวมันไก่ข้าวหมูแดงก็มา บะหมี่ยังมี เห็นแล้วก็ให้น้ำลายสอ ดีใจมีเพื่อนเป็นคนใจกว้าง
               “โห ตะวัน มึงขนมาไงหมดวะเนี่ย”
               “กูเก่ง มีปัญหามั๊ย”  กูไม่ถามแล้ว  “เออ วันนี้ป๊ามึงโทรฯมาหากู...เขาพูดอะไรแปลกๆด้วย”
               ผมชะงัก เรื่องใดที่ป๊าบอกตะวันคนเดียวหมายถึงเป็นเรื่องของผม นี่เป็นการสืบ ไม่ก็การเตือน... “เขาว่าไงล่ะ”
               “เขาถามว่า ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่ แล้ว...มีแฟนรึยัง” ตะวันมันรู้แหละว่าต้องทำตัวยังไง ต้องบอกยังไง ต้องเลี่ยงตอบแบบไหน  “..กูว่าเรื่องมึงกับพี่ธันนี่ชักจะมีปัญหาซะแล้วว่ะ ดูเหมือนป๊ามึงไม่น่าจะเห็นด้วยนะ”
               ทุกคนสวาปามอาหารตรงหน้ากันหมด ยกเว้นผม ซึ่งเหมือนคนถูกไฟฟ้าช็อต สมองมึนตึง คิดอะไรไม่ออก
               “งั้นก็คงจะยังไม่ต้องบอก”
               ไอ้ตะวันมันทำหน้าเหมือนผมโง่อีกแล้ว “ไม่อยากให้ใครรู้ก็ปิดไอจีไปซะ แต่มาทำตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
               “อย่าเพิ่งกังวลเลยไลท์  พี่ว่าเรื่องนี้เวลาจะช่วยแก้ไขได้”  พี่วีปลอบ
               ผมเลือกเอาข้าวหมูแดงเก็บไว้สองห่อ(พี่ธันชอบกิน) ตัวผมคว้าบะหมี่เกี๊ยวแห้งมากิน ทว่าผมกำลังเคลื่อนไหวเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ในสมองเอาแต่คิด แปลก...ป๊าจะไม่เห็นด้วยกับผมได้ยังไง ในเมื่อตั้งแต่อยู่มัธยมป๊าก็รู้ว่าผมชอบพี่ธัน อย่างน้อยเขาก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง เขาไม่เคยยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ทำไมเวลานี้ถึง....
               และก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าพี่เสือกินข้าวพร้อมกับมองหน้าผมอยู่ตลอด “มีอะไรพี่เสือ”
               “มึงจำได้มั๊ยว่ากูเคยบอกมึงไว้ว่ายังไง”
               ใช่ จำได้อยู่แล้ว ‘ชีวิตข้างหน้าของผมกับพี่ธันยังต้องเจออะไรอีกมาก มีอะไรก็ค่อยๆพูดกัน’ แต่มันจะเกี่ยวกับเรื่องทางญาติผู้ใหญ่ได้ยังไง
               “พี่คิดว่าผมควรจะทำยังไง” ผมลองถามพี่เสือ ผู้ที่เข้าใจชีวิตพี่ธันมากที่สุด และเป็นกลางที่สุดด้วย
               “ก่อนจะถามกู มึงถามใจตัวมึงเองเหอะ เรื่องแบบนี้มีแค่สองทางเลือก ‘คือใจพวกมึงสองคน’ กับ ‘ความรู้สึกของคนรอบข้าง’...”  ยิ่งพูดแบบนี้ผมยิ่งไม่เข้าใจ สองอย่างนี้มันต้องไปด้วยกันไม่ใช่หรอ ถ้าเป็นแบบที่พี่เสือพูด ผมต้องทิ้งคนที่ผมรัก ไม่คนใดก็คนหนึ่งรึไง
               “ถ้าเป็นกูนะ กูจะสู้ว่ะ ต่อให้กูต้องถูกตัดแขนตัดขากูก็จะลองสู้ดู กูบอกมึงหลายครั้งแล้วว่าสิ่งไหนสำคัญก็รักษามันให้ดี มึงก็ต้องสู้เพื่อทุกคนที่มึงรัก”  ไอ้ตะวันมันก็พูดได้น่ะสิ มันไม่มีใครต้องคอยแคร์ข้างหลังนี่   “...แต่กูว่างานนี้มึงได้สู้ฟัดแน่ๆ ไม่ต้องห่วงเพื่อน กูคอยช่วยมึงอยู่แล้ว”
               จะว่าไปที่ตะวันมันพูดก็มีเหตุผล มันเคยทิ้งความฝันเรื่องฝึกเข้าเป็นหน่วยพิเศษเพื่อมาดูแลผมซึ่งโดนจิ๊กโก๋ในโรงเรียนหมายหัว ผมก็ควรจะทำหรือเปล่า..จะต้องเสียสละอะไรบ้างเพื่อรักษาความรักของผมกับพี่ธันไว้ เรื่องนี้พี่ธันจะว่ายังไง เขาจะคิดแบบเดียวกับผมรึเปล่า เขาจะทำทุกอย่างมั๊ย เพื่อรักษาสัญญาที่พี่ธันเคยบอกว่าจะไม่ยอมเสียผมไปอีก
               “เออ ขยันสู้นั่นแหละดีแล้ว ใครก็ชอบคนไม่ยอมแพ้นะ เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็เห็นใจ” พี่ลิตเติ้ลสรุปให้
               “เหมือนไอ้วิวหรอ”  พี่วีได้โอกาสแซว  “นี่มึงใจอ่อนกับมันแล้วหรอ”
               “เฮ้ย..รายนั้นยังพี่ ต้องดัดนิสัยกันอีกยาว”
               บรรยากาศดูจะผ่อนคลายลงบ้าง แม้ผมยังไม่สบายใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องมันยังไม่เกิดสักหน่อย ในที่สุดอาหารมื้อกลางวันก็กลายเป็นปาร์ตี้ยามบ่าย เมื่อทุกคนไม่มีเรียน(ผมโดด) จึงสังสรรค์กันเต็มที่จนของหมด ยกแก้วโค้กชนกันยังกะกินเหล้า แต่จู่ๆพี่ปีห้าคนอื่นๆที่อยูไกลออกไปก็ตะโกนขึ้นมา...
               “เหี้ย เสียงดัง กูจะทำงาน...” ผมรู้สึกเหมือนโดนด่านะ แต่... “กูอิจฉาเว้ย”  เป็นงั้นไป
               ผมยังคงห่วงพี่ธันอยู่ บ่ายแล้วยังไม่กลับมากินข้าวจึงส่งข้อความไปหา

                   Lightning Bolt : เป็นไงบ้างพี่ธัน
                   Tanwa : ยังไม่เสร็จเลย ไลท์อยู่ไหนเนี่ย
                   Lightning Bolt : อยู่กับพี่วี

                   Lightning Bolt : นี่หิวข้าวรึเปล่า
                   Tanwa : ก็หิวนะ แต่คงต้องคุยให้เสร็จ น่าจะอีกสักชั่วโมง
                   Lightning Bolt : ไลท์เก็บข้าวไว้ให้แล้วนะ
                   Tanwa : คนดีของพี่
                   Lightning Bolt : จะรอนะครับ
                   Tanwa : คิดถึงนะ


               พอได้คุยกับพี่ธันก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้ยิ้มออกมาได้บ้าง หลังอาหารพวกเรายังคงคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ตอนนี้พี่ออมผู้ใจดีกับพี่หยกก็เข้ามาสมทบ ทั้งสองมาเล่นหัวผมใหญ่เลย(บอกแล้วว่าผมจะไม่เซ็ตผมอีก) บ่นเสียดายทันทีที่มาไม่ทันปาร์ตี้ ใช่ที่ไหน พี่ออมเอาปาร์ตี้ขนมมาเสริมครับ งานนี้ไม่อ้วนก็ไม่รู้จะยังไงแล้ว
               “ไอ้ธันล่ะ”  พี่หยกถาม
               “คุยกับอาจารย์อยู่พี่...อีกสักพักคงจะเสร็จ”
               “ไลท์หน้าตาดูสดใสจัง น่ารักขึ้นอีกแล้วรึเปล่าเอ่ย” พี่ออมนี่ชอบแซะชอบแซว บางทีผมก็เขินนะ
               “เสือ พรุ่งนี้ว่างป่ะ” พี่หยกหันไปคุยกับพี่เสือ  “ไปเอากลองชุดกะกูหน่อยดิ งานแม่งจะเริ่มแล้วกูยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย”
               “ไปเองดิพี่ ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ“
               “เจ้าของร้านแม่งดุไง กูไปหาทีไรแม่งบ่นตลอด ขี้เกียจฟัง เอามึงไปด้วยเขาจะได้หุบปาก กับมึงเขาไม่อะไรอยู่แล้ว”
               เรื่องอะไรไม่รู้ล่ะ แต่พี่เสือกลอกตาด้วยความเซ็ง รับปากพี่หยกอย่างไม่เต็มใจนัก
               ปาร์ตี้เลิกแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันทำงานต่อ ผมคุยเล่นกับพี่ออมไปเรื่อย สักพักพี่เสือทำท่าจะกลับ แต่ต้องรับสายที่เข้ามาเสียก่อน หลังจากคำว่าสวัสดี พี่เสือก็เงียบไป ทว่าใบหน้ากลับซีดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อยู่ๆเขาก็หันมามองผมแล้วกดวางสาย
               “ไลท์” ผมกำลังงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะพี่เสือดูลนลานแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ว่างมั๊ย”
               “มีอะไรครับ”
               “ไปกับพี่หน่อย”
               “ไปไหน??”  เป็นอะไรของเขา
               “เถอะน่า...”
               โดยไม่รอคำตอบ เขาลากแขนผมลุกขึ้น ไม่บอกไม่กล่าวอะไรสักอย่าง ผมกำลังจะตามไปแล้วนั่นแหละ แต่บังเอิญว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าประตูมาพอดี คนนี้ผมไม่เคยเห็นและไม่แปลกใจอะไร จนกระทั่งพี่เสือพึมพำขึ้นมาว่า
               “เวรแล้ว...”
               ถ้าจะให้บรรยายลักษณะของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ผมคงนึกถึงพวกซุปเปอร์สตาร์เกิร์ลแก๊งของเกาหลีในชุดสีดำอวดเรียวขาสวย สวมแว่นดำอันเบอร์เร่อ กระเป๋าก็แบรนเนม ทั้งตัวเธอเปร่งปลั่ง ขนาดผมไม่ชอบผู้หญิงยังบอกได้เลยว่าแม่คนนี้ สวยมากจริงๆ รุ่นพี่ที่อยู่กันตามโต๊ะต่างจ้องมองด้วยความสงสัย บางคนเหมือนกับโดนตีหน้า เธอเดินเฉิดฉายเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมกับพี่เสือ
               “ธันไปไหน”
               ในใจผมถึงกับกระตุก นั่นเป็นเพราะสาวสวยตรงนี้ มาหาพี่ธัน แถมยังใช้น้ำเสียงและคำพูดเหมือนกับว่าสนิทกันมาก
               “พี่ธันไม่อยู่ครับ ติดธุระ” แปลกใจคือสิ่งที่ผุดขึ้นหลังจากผมพูดออกไป คล้ายกับ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นศัตรูเสียอย่างนั้น แล้วเสียงผมก็เย็นมากเสียด้วย “คุณเป็นใคร”
               “เธอมาทำอะไร นาเดีย” พี่เสือถาม แม่นี่ชื่อนาเดียหรอ ตลกชะมัด
               ภายใต้แว่นตาดำนั่น ผมสัมผัสได้ว่าเธอจ้องมา ไม่ได้ดูตกใจแต่กำลังพินิจพิจารณา ทว่าผมเองกลับเพิ่งคิดได้ พี่เสือพยายามกันผมออกจากเธอคนนี้หรือเปล่า เธอเป็นคนรู้จักในครอบครัวพี่ธันแน่ๆ แสดงว่าผมจะเปิดเผยฐานะของพี่ธันกับผมไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้าเรื่องข่าวที่ผมคบกับพี่ธันยังเป็นที่ล่วงรู้ถึงป๊า ครอบครัวพี่ธันจะไม่รู้เชียวหรอ
               “เนี่ยหรอ” เธอพูดสั้นๆ แต่ผมเข้าใจได้ชัดเจน เธออาจจะรู้เรื่องผมแล้ว  “...ของเล่นใหม่ของธัน... ไม่เลือกจริงๆ”
               เธอพูดถึงเรื่องอะไร
               “มีธุระอะไรรึเปล่า ไม่มีก็กลับไปซะ” พี่เสือเริ่มเสียงแข็งแล้ว เขาเดินออกมาบังผมหน่อยๆ
               “กลับอยู่แล้ว ฉันไม่มีเวลามานั่งเล่นที่นี่หรอก”  แล้วเธอก็ล้วงของในกระเป๋าออกมา  “...พอดีต้องมาบอกเจ้าตัวเขาหน่อย เดี๋ยวเขารอไม่ไหว---“
               เธอจะยื่นซองกระดาษสีชมพูให้พี่เสือ แต่แล้วกลับส่งมาให้ผมแทน
               “---ก็ รบกวนฝากให้ธันหน่อยนะ บอกให้เขาอ่านด้วยล่ะ เดี๋ยวจะพลาดกำหนดการ”
               กำหนดการ...
               ผมรับมา แต่ยังมองหน้าเธออยู่
               “ขอบคุณนะ เป็นของเล่นที่ว่าง่ายซะจริง”
               แล้วเธอก็ไป ทิ้งซองสีชมพูไว้ในมือผม แต่มันคือซองอะไร ซองอะไรที่ทำให้พี่เสือต้องพยายามจะแย่งไป แต่ผมไม่ให้ ผมไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้าแบบไหน มันต้องแย่มากถึงทำให้พี่เสือชะงักได้
               “ไลท์ ใจเย็นๆก่อน นึกถึงคำพูดกูให้ดีๆ”
               พี่ๆที่เหลือเริ่มมาล้อมผมแล้ว ทุกคนเงียบงัน มีแต่สายตาสงสัย ผมไม่สนหรอก ผมสนแค่สิ่งที่อยู่ในซองนี่เท่านั้น
แล้วผมก็ค่อยๆเปิดและเลื่อนการ์ดกระดาษลายดอกกุหลาบข้างในออกมา ค่อยๆเลื่อนจนตัวหนังสือบรรทัดแรกปรากฏออกมา
                            ...กำหนดการพิธีมงคลสมรส....
               พิธีแต่งงาน? นี่เป็นการ์ดแต่งงาน...ของแม่นั่น....ฝากให้เจ้าตัว ก็คือพี่ธัน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าลมหายใจตัวเองสะดุด สมองเริ่มตีรวน แยกแยะอารมณ์และความคิดตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยังจะเลื่อนออกมาดูต่อไป ดูชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาว
               ทว่ายังเป็นข้อความอื่น
                            ...ทำบุญพระ....
               ตามมาด้วย—
                      ...พิธีสวมแหวน.....
                          ...กราบญาติผู้ใหญ่...
                     ...พิธีรดน้ำสังฆ์........

                      .....ส่งตัวเข้าหอ........

               เมื่อผมอ่านบรรทัดสุดท้าย มีหยดน้ำบางๆหล่นแหมะลงบนกระดาษที่กำลังสั่นเทา มีเสียงพึมพำเรียกชื่อผม ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน แต่ผมยังคงเลื่อนกระดาษออกมาอีก ข้อความที่เหลือทำให้ผมไม่อาจควบคุมอะไรได้อีกแล้ว

               มันเป็นชื่อของคนสองคน ถูกคั่นกลางด้วยสัญลักษณ์รูปหัวใจ ชื่อแรกคือ นาย ธันวา สวัสดิพงษ์ จะแต่งงานกับ นางสาว นาเดีย เทพยวานิชสกุล
 

               ผมคิดว่ามันมาถึงแล้ว ช่วงเวลาสุดท้าย ก่อนจะนับถอยหลังสู่ความว่างเปล่า







จบภาค 1




************************************************************************************
มีตอนพิเศษเพิ่มให้สองบท... ติดตามๆ
ส่วนภาคสองแต่งเสร็จแล้ว รอไม่นาน เด๋วลงให้อ่าน


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


บทส่งท้าย

ไลท์(เมื่อหกปีก่อน) : ตุ๊กตาไม้ปริศนา



               "ไปแล้วนะไอ้ไลท์”
               “อย่าอยู่ดึกล่ะ เอาไว้ทำพรุ่งนี้ก็ได้”
               “เออ กูรู้แล้ว”
               “ระวังเจอผีนะมึง”
               “ไอ้สัด”

               ไม่มีใครสั่งใครสอนหรอว่าตอนพลบค่ำห้ามพูดถึงผี ถึงผมจะไม่กลัว แต่อยู่เงียบๆคนเดียวในโรงเรียนมันก็... เอาเถอะ เอาแค่แผ่นนี้เสร็จก่อนก็ได้มั้ง
               ผมนั่งลงสีช่องเล็กๆในกระดาษให้เป็นภาพใหญ่ มันคือสิ่งที่ต้องใช้ในการแปลอักษร ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่คิดสร้างโปรแกรมสำหรับทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเสียเลย แบบว่าแค่วาดภาพสวยๆขึ้นมาสักภาพ โยนปังเข้าไปในคอม แล้วก็ได้ภาพเป็นพิเซลที่กำหนดค่าสีเรียบร้อย อะไรประมาณนั้น ทำไมต้องเสียเวลาฝนลงสี เสียเวลาลบเวลาแก้ น่าเบื่อ
               แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ผมรออยู่จนค่ำมืด เป็นเพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่จะได้เจอประธานนักเรียนแบบใกล้ชิดและส่วนตัวมากที่สุด ผมพลาดมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ผมต้องให้ของขวัญเขาให้ได้
               ว่าแล้วก็มาโน่น กุลีกุจอเข้ามาเก็บกระเป๋า เหมือนจะไม่สังเกตเลยว่ามีคนอยู่ในห้องนี้ด้วย เพราะตอนหันมาเห็นผม พี่เขาดูตกใจอยู่มาก
               “เอ้า...เอ่อ น้อง ทำไมยังไม่กลับล่ะ” พี่ธันวาพูดกับผมแหละ แต่ผมเขินไปหน่อย ของในกระเพาะเริ่มตีรวน ใบหน้าร้อนขึ้นมา เสียงนั่นก็ทำเอาหัวใจคันยุบยิบไปหมด จึงไม่กล้ามมองหน้าพี่เขาตรงๆ
               “ก็ ...อยากทำให้เสร็จก่อน ก็เลย....” พอเจอหน้าพี่ธัน จะพูดจะจาทีตะกุกตะกักไปหมด ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
               “...หรอ....”  แค่เนี้ย มึงพูดแค่เนี้ย น้อยใจที่สุด  “--แล้ว....มีใครอยู่เป็นเพื่อนรึเปล่า”
               ได้โอกาสแล้ว “ไม่มีครับ ผมอยู่คนเดียว”
               พี่ธันเงียบไป ผมมองเห็นเขาหันหลังไปเก็บของต่อ ทำไมล่ะ ทำไมไม่ดูแลน้อง ปล่อยให้น้องอยู่คนเดียวได้ไง โตเป็นสุภาพบุรุษก็ต้องดูแลน้องๆสิ อาสาอยู่เป็นเพื่อนเดี๋ยวนี้
               สุดท้ายเขาก็เดินออกไป ไม่หันมามองเลยด้วย ไม่อวยพรหรือบอกกล่าว ราวกับผมไม่มีความหมายใดๆต่อชีวิตประจำวัน ผมรู้สึกเฟลขั้นสุด หม่นหมองขั้นรุนแรงจนจะกลายเป็นซึมเศร้าอยู่แล้ว สุดท้ายดินด็ยังคงเป็นดิน ไม่มีทางที่ดาวจะมาสนใจดินได้หรอก เป็นอีกครั้งแล้วที่ผมต้องจมดิ่งสู่ความรู้สึกนี้ ความฝันของผมในเรื่องนี้คงไม่มีทางเป็นจริงได้แล้ว
               เมื่อบอกว่าจะทำงานก็ต้องทำ ผมนั่งทำต่อไปอีกกว่าชั่วโมงจึงเสร็จแล้วก็เลิก อีกอย่าง เหมือนผมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอยู่รอบตึก ผมได้ยินเสียงคนเดินแต่พอเปิดประตูออกไปกลับไม่มีใคร
               ผมโทรฯให้ไอ้ตะวันมารับผมกลับ ระหว่างทางมันก็เล่าว่าได้อพาร์ทเม้นท์หลังใหม่มาหลังหนึ่ง กำไรเป็นบวกแต่ต้องผ่อนหลายปีหน่อย สักพัก พอเห็นผมไม่ได้สนใจฟังมัน ก็ถามขึ้นมา
               “เอาอีกแล้วหรอมึง คราวนี้อะไรอีกล่ะ”
               “ก็โดนเมินเหมือนเดิมนั่นแหละ ทำเหมือนกูไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย”
               “แล้วมึงไม่บอกเขาไปล่ะ”
               นั่นดิ ทำไมไม่บอกไปตรงๆ แต่ถ้าเขาไม่ชอบผู้ชาย...  “กูกลัวโดนตีน”
               ตะวันมันหัวเราะ “เรื่องแบบนี้มันก็ยากนะ แม่งกูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่เคยมีความรัก”
               ..เออ รู้หมดแหละ ไอ้คนจืดชืด เรื่องงานละพุ่ง พอกูจะมุ่งเรื่องรักก็ง่อยเลยมึงเนี่ย..
               “นี่มึงได้ให้ของขวัญเขาไว้หรือเปล่า”
               “เหี้ย!!...กูลืมอีกแล้ว” เตรียมไว้ในกระเป๋านี่แหละ เห็นว่าพี่ธันชอบของทำมือ เลยสั่งทำปากกาที่ทำจากซีดาร์มาให้ มีด้ามเดียวในโลก
               แต่ทุกครั้งที่เจอหน้าพี่เขาก็ลืมแม่งทุกอย่าง ไอ้ที่ว่าจะให้ก็ลืม เป็นแบบนี้นับครั้งไม่ได้แล้ว ผมจะหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง ค้นกระเป๋าอยู่ไม่นานก็เจอกล่องผ้าที่ใส่ปากกา แต่ในกระเป๋าผมมีสิ่งอื่นอยู่ด้วย ผมถึงกับชักมือออกด้วยความตกใจ มันมาอีกแล้ว...
               “เป็นอะไรวะ” ตะวันถาม
               “มาอีกแล้วว่ะ....”  ผมหยิบตุ๊กตาไม้แกะสลักรูปบุรุษในหน้ากากที่ในมือมีกล่องรูปหัวใจ ให้ไอ้ตะวันมันดู
               “เชี่ย...มาอีกแล้วหรอ”
               “มึงเคยสืบให้กูป่ะ”
               “อืม แต่แม่งไม่มีเบาะแสอะไรเลยว่ะ ตุ๊กตาแม่งก็ของทำมือ ไม่มีขายตามท้องตลาด น่าจะแกะเองด้วยซ้ำ”
               เรื่องนั้นผมดูออก นี่เป็นตัวที่สามแล้ว ใครก็ตามที่ต้องการใช้สิ่งนี้สื่อสารกับผมคือคนที่แอบชอบผม แถมเป็นผู้ชายด้วย ตุ๊กตาพวกนี้กว่าจะแกะเป็นตัวคงใช้เวลาน่าดู นั่นทำให้ผมตั้งใจจะเก็บมันไว้ทุกตัว เพราะผมรู้สึกว่าคนๆนี้มีความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่มีพื้นฐานจากการให้โดยแท้ เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมเลย
               “คราวนี้เขียนว่าอะไรล่ะ” ตะวันหมายถึงข้อความที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของตุ๊กตา ใช่ครับ มันเปิดได้ เจ้าของมันคงเป็นคนที่โรแมนติกพอสมควรทีเดียว
               ผมรีบเปิดหัวใจและหยิบแผ่นกระดาษออกมาอ่าน...มันเขียนว่า
               ....ขอโทษนะ อย่าเพิ่งหาว่าเราเป็นคนโรคจิตล่ะ....
               ....อย่ามัวแต่ห่วงทำงานจนดึกดื่น ดูแลสุขภาพตัวนายเองด้วย.....
               “นี่มันรู้ด้วยหรอวะ ว่ามึงอยู่ดึก” ตะวันดูไม่สบอารมณ์เลย “งั้นก็แสดงว่ามันต้องอยู่ในโรงเรียนนี้นั่นแหละ”
               ผมก็คิดแบบนั้น แต่ทำไมเขาคนนี้ถึงไม่ปรากฏตัวให้เห็นล่ะ เจ้าตุ๊กตาปริศนา ตัวแรกมากับใบรายงานฝ่ายปกครอง ว่าผมว่าเอาแต่โดดเรียนมันไม่ดี ตัวที่สองมากับสุนัขแปลกหน้าพันธุ์มอลทีส บอกผมว่ากลับบ้านคนเดียวให้ระวังตัว ตอนนั้นผมก็แอบตามเจ้าหมาไปนะ แต่เจ้าหมามันก็หายตัวได้เหมือนกัน นี่เป็นตัวที่สามแล้ว ผมเข้าใจว่าทำไมถึงเขียนไม่ให้ผมเข้าใจว่าเขาโรคจิต คนๆนี้คงจะวนเวียนอยู่รอบตัวผม คอยดูแลผม คอยแอบมอง....เหมือนที่ผมแอบมองไอ้พี่ธันเนี่ยแหละ
               “เก็บอีกสิ” ตะวันมักจะดุผมที่เก็บของไม่รู้ที่มานี้ไว้ “มึงนี่ก็โรคจิตพอกันแหละ”
               “เขาอุตส่าห์ทำมาให้ คอยดูแลกูนะเว้ย”
               “มึงหวั่นไหวหรอ”
               “เปล่า  ก็แค่...คิดว่ากูเขาใจคนๆนี้ แม่งคงจะแอบชอบกูเหมือนกับที่กูแอบชอบพี่ธัน บางทีอาจได้อานิสงส์ ส่งเสริมให้กูสมหวังก็ได้”
               “จะมโนก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย กะจะเล่นมันทุกอย่างเลยรึไง ไสยศาสตร์ก็เอาว่างั้น”
               “ขับรถไปเลยมึงอ่ะ”
               คงไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกไอ้ตะวัน  พี่ธันเนี่ยนะ... แค่ให้เขาหันมาชอบผู้ชายผมยังคิดภาพไม่ออกเลย


              “ว่าไง เจ้าตุ๊กตาสวมหน้ากาก  เป็นแก...แกจะยอมแพ้มั๊ย”



--------------------------------------------------------------

อีกด้าน
               คนบางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก มองตามแอ็คคอร์ดสีขาวขับออกไปจากโรงเรียน ในใจบังเกิดดอกไม้บาน กระจายความปีติยินดีไปทั่วใบหน้า เป็นอีกครั้งที่เขาได้อบอุ่นใจกับการมองตาสวยๆคู่นั้น ได้ยินเสียงอ่อนนุ่มนั้น และท่าทางที่ติดจะอ่อนหวานอยู่ในที ความอัศจรรย์ใจต่อเรื่องพวกนี้ไม่ได้มีท่าทีจะน้อยลง เขาจึงเริ่มปลงใจ ยอมรับว่าตัวเองคงต้องยู่ดึกอีกนาน  น่าเสียดาย ที่เขาอยู่กับคนๆนั้นนานไม่ได้ หากวันใดตบะแตก เรื่องไม่งามอาจจะเกิดขึ้น และทุกอย่างจะพังทลายลง เขาต้องใจเย็น ค่อยๆเผยความในใจทีละนิด เพราะยังไม่อยากสูญเสียสิ่งนี้ไปอีก
               ได้เวลากลับบ้านเสียที อยู่คนเดียวก็กลัวผีเหมือนกันนะ ชายคนนี้คิดและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ ยกขึ้นมาแนบหู "ฮัลโหลไอ้เสือ ออกมารับได้แล้วเว้ย"


ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


บทส่งท้าย

ธันวา (ไปบ้านไลท์ครั้งแรก) : ‘เมี๊ยว!!!’



               พอไลท์ได้กล้องตัวใหม่ ก็ไม่สนใจผมแล้ว

               “ไม่ต้องมีพี่แล้วก็ได้มั้ง”
               “อะไร”
               “ก็เห็นอยู่แต่กับกล้อง พี่ชวนคุยก็ไม่ยอมคุยด้วย”
               “นี่น้อยใจกับกล้องเนี่ยนะ”
               “....กับไลท์นั่นแหละ พี่อุตส่าห์คิดถึงไลท์”
               “โอ๋ๆ อย่าน้อยใจนะ เดี๋ยวทำกับข้าวให้กิน”
               “ทำอาหารเป็นด้วยหรอ” ผมอึ้งนะเนี่ย
               “ตะวันมันสอนน่ะ”
               แต่ก่อนจะดีใจ ผมขอถามให้แน่ใจก่อน  “เอ่อ... ป๊าไลท์อยู่ป่ะ”
               “ทำไม กลัวหรอ”
               ก็แหม ไม่เคยเจอทหารยศใหญ่ ซ้ำยังต้องเป็นพ่อตาในอนาคต มันก็ต้องมีเสียวๆกันบ้าง
               ไลท์บอกให้ผมเลี้ยวเข้าซอยหลายแยก จนในที่สุดก็เข้ามาถึงหมู่บ้านหนึ่ง ที่นี่เต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่ๆทั้งนั้น สุดซอยเป็นบ้านปูนที่ตกแต่งแบบในช่วงเมื่อกว่าห้าสิบปีก่อน มันไม่ได้โอ่อ่าแบบในคฤหาสน์หรือบ้านผม แต่ดูอบอุ่น มีต้นไม้เต็มไปหมด ข้าวของระเกะระกะดี
               “หลังนี้แน่นะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
               “เออสิ ทำไม ไม่หรูเหมือนของพี่ธันรึไง”  ชอบกวนอยู่เรื่อยเลย ผมหมั่นไส้จนต้องยีหัวเล่น
               ตอนไลท์เปิดประตู ผมก็ลงจากรถแล้วเดินไปหา ไม่รู้สิ ความรู้สึกตอนนี้คือ...อยากจะอยู่บ้านเดียวกับไลท์จัง ตอนนี้ก็ขอเข้าบ้านว่าที่แฟนหน่อยละกัน
               ผมแอบมองจากประตูรั้ว เห็นที่จอดรถสำหรับสามคันที่มีรถจอดอยู่คันเดียว ระหว่างหน้าประตูรั้วถึงประตูบ้านมีทางเดินที่ไม่กว้างมาก เพราะปลูกต้นไม้จนแน่นไปหมด มีทั้งไม้ประดับ ไม้ผล ไม้ในร่มไม้กลางแดดมั่วซั่วเกะกะ มองไปมองมาก็รู้ว่า นี่แม่งแค่อยากปลูกก็ปลูกหรอวะ ไม่ดูพื้นที่เลย
               “รกหน่อยนะ” ไลท์บอกผม
               “ไม่หน่อยแล้วมั้งเนี่ย ไม่กลัวงูหรือไง” ไลท์ส่ายหัว
               “ไลท์กับม๊าช่วยกันปลูกตอนเด็กๆ ตอนนั้นก็ไม่นึกว่ามันจะขยายขนาดนี้ แต่ไลท์ก็ยังไม่อยากตัดอยู่ดี”
               “ไม่มีคนสวนหรอ”
               “เคยมี เป็นพวกทหารเกณฑ์”  ผมพยายามมองหาว่าอยู่ไหน  “ไม่ต้องหาหรอก ไลท์ไล่ไปแล้ว”
               “อ้าว ทำไมล่ะ ไม่อยากให้เขาช่วยหรอ”
               ไลท์หันมาหาผมด้วยสายตาเย็นเฉียบ  “มันเป็นพวกฉวยโอกาสไง พยายามจะปล้ำไลท์”
               เรื่องจริงเปล่าผมไม่รู้ แต่อยู่ๆก็รู้สึกโกรธไอ้หมอนั่นมากๆทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า ทว่ามาคิดอีกที คือ...เหมือนว่าผมกำลังโดนด่าอยู่เลยนะ
               “ป๊าไลท์ไม่อยู่แน่นะ”
               “น่าจะอยู่ค่ายละมั้ง เดาไม่ถูกหรอก”
               “งั้นไลท์ก็อยู่คนเดียวสิ”
               “เห็นคนอื่นมั๊ยล่ะ” กวน-ีนพี่อีกแล้วนะ
               “เป็นห่วงจัง  นอนเป็นเพื่อนให้เอาป่ะ”
               ไลท์ไม่โกรธครับ แต่กลับยิ้ม  “ถ้าไม่กลัวก็เอา ตามสบาย”
               “กลัว...พี่เคยกลัวอะไรที่ไหน”
               “โน่นไง...” ไลท์พยักหน้าไปตรงกำแพงโถงกลางบ้าน พอเห็นก็หน้าซีดสิครับ นั่นมันลูกซอง มีจุดสี่ห้า เมาวเซอร์ โอ๊ย แล้วก็แขวนไว้กลางบ้าน ไม่มีที่เก็บหรือไง
               ไลท์หัวเราะแล้วเดินไปที่โซฟารับแขก ผมอาศัยจังหวะนี้สำรวจ ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ บ้านไลท์ดูเป็นบ้านที่มีอายุ ตกแต่งด้วยวัสดุและเครื่องเรือนสมัยใหม่แบบตามใจฉันโคตรๆ มีบางส่วนที่ดูก็รู้ว่าเป็นของโบราณ ลักษณะของที่ว่างในบ้าน บันได ผังของบ้าน เหมือนบ้านของพวกยากูซ่าเลย ตามมุมหรือใต้หน้าต่างของบ้านก็มีตูโชว์เครื่องลายครามหายาก มีทั้งมังกรไม้แกะสลัก หุ่นปั้นรูปเทพเจ้า นาฬิกาตั้งแบบโบราณ และอีกเยอะแยะมากมาย
               “บ้านไลท์นี่รกดีนะ”
               “หรอ...ก็จริงแหะ”
               “ไม่มีห้องเก็บของหรอ” ผมเสนอเป็นนัยว่า ว่างๆก็หาเวลาจัดบ้านบ้าง เห็นของรกแบบนี้แล้วหงุดหงิด
               “ของพวกนี้ไปรวมแบบนั้นได้ไง มีราคาทั้งนั้น ป๊าเขาชอบสะสมของมีประวัติ ไม่ยอมให้ใครย้ายด้วย ที่จริงก็มีบ้านอยู่ตั้งหลายหลัง น่าจะเอาไปที่อื่นบ้าง จะไม่มีที่เดินอยู่แล้ว”
               อืม ท่าจะเป็นพวกหัวโบราณ ของพวกนี้ยังหวง แล้วลูกชายไม่ยิ่งหวงหรือ ชักจะเครียดแล้วสิ
               ผมขอไลท์ไปล้างหน้าแล้วออกมานั่งเล่นเป็นเพื่อน เจ้าคนนี้พอกลับมาบ้านก็ยังเอาแต่เล่นกล้อง ไม่รู้จะเห่ออะไรนักหนา ชักจะหงุดหงิดแล้ว เดี๋ยวก็แย่งไปซ่อนซะเลย
               แล้วก็ได้ยินเสียงแตรรถ...
               “เฮ้ย  ป๊ามาแหละ” เสียงแตรดังยาวมากๆ ยาวจนผมคิดว่าป๊าไลท์น่าจะสลบแล้วเอาหัวไปกดหรือเปล่า ไลท์รีบวิ่งออกไปผมตามออกไปด้วย เมื่อถึงประตูบ้านก็จัดเลย
               “โว้ย รู้แล้วๆๆ จะบีบอะไรนักหนา มันมืดแล้วนะ แกรงใจคนอื่นบ้างสิ”  นี่คือไลท์....โวย...พ่อตัวเอง
               “ก็รีบเปิดประตูเดะ” เสียงตะโกนจากคนในรถตอบกลับมา
               รถเบ๊นซ์คันงามค่อยๆขับเข้ามาจอดที่โรงรถ ผมซึ่งยืนเป็นรูปปั้นอยู่หน้าประตูบ้าน กำลังถูกพลเอกหน้าตาดุดันมองตั้งแต่หัวจรดเท้า พอจอดรถแล้วก็ยังไม่วายเดินมาจ้องผมอีก จะว่าไงดี ไลท์เป็นลูกติดแม่รึเปล่า รึยังไง รึนี่คือพ่อเลี้ยง ไม่มีความเหมือนสักนิด หน้าตาบึงตึง ดูเหี้ยมๆ รูปหน้าสี่เหลี่ยม ผิวคล้ำ เตี้ยกว่าผมหน่อย เขากำลังแกะอมยิ้มสีแดงกิน  ในขณะที่ไลท์กำลังปิดประตูรั้ว
               ผมกลืนน้ำลายหนึ่งเอื้อก  “สวัสดีครับ....ป๊า”
               “ใครป๊าลื้อวะ....ลื้อเป็นใครเนี่ย”
               “ผมเป็นรุ่นพี่ไลท์ครับ เห็นไลท์กลับบ้านมืดเลยอาสาพามาส่ง”
               ไลท์เดินมาหาผมแล้ว ดีใจได้ตัวช่วย แต่....
               “นี่ใครเนี่ยป๊า”   หา? อะไรนะ พี่ก็พี่ธันของไลท์ไง
               “อ้าว? มันบอกเป็นคนพาลื้อมาส่ง ยังไง--” ป๊าไลท์หันขวับมาหาผมอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ไลท์ขำออกมา
               “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เอา พี่ธันไม่เครียดๆ”
               “แกล้งพี่หรอไลท์”  ผมอยากจะจับมากอดให้หายแค้น แต่ยังเกรงใจป๊าไลท์อยู่
               “พวกลื้อนี่ เล่นอะไรกัน” ป๊ากอดคอไลท์แล้วลากเขาบ้านไป ขณะผมจะเดินตามก็พลันโดนสายตาพิฆาตสะกดไว้ ผมกลืนน้ำลายอีกหนึ่งเอื้อก  “ใครให้ลื้อเข้าบ้านอั๊ว”
               อ้าว เอ่อ   “เอ่ออ....  ไม่มีครับ”
               แล้วก็เดินเข้าไป ไม่หือไม่อือ นี่คือผมโดนไล่ใช่หรือเปล่า ป๊าไลท์ไม่รับคนแปลกหน้าหรอ อันที่จริงผมไปก็ได้ แต่ขอบอกลากับไลท์หน่อยได้มั๊ยล่ะ และตอนที่ผมกำลังเซ็งคอตก จะหันหลังเดินออกไปนั่นเอง
               “..อ้าว ลื้อน่ะ  ไม่เข้ามาวะ”
               “อ้าว...”  เป็นงั้นไป  “ก็ป๊ายังไม่ได้อนุญาติผมเลยนี่ครับ”
               “หูลื้อนี่มันแย่จริงนะ อั๊วแค่ถามว่าใครให้ลื้อเข้าบ้าน ไม่ได้บอกว่าห้ามลื้อเข้าบ้าน เต็มรึเปล่าวะเนี่ย”  ผมพอจะรู้แล้วว่านิสัยยียวนชอบสำบัดสำนวนของไลท์มาจากใคร
               “ก็เงี้ยแหละป๊า เขาค่อนข้าง...แบบว่า เอ๋อๆน่ะ” ได้โอกาสก็แกล้งพี่ใหญ่เลยนะ อยากทำโทษชะมัด ทว่าก็ได้แต่เม้มปากทำตาโตใส่ไลท์
               “ไลท์ ป๊าหิวข้าว ไปทำกับข้าวกินกัน”
               “ป๊า...แล้วทำไมไม่ซื้อเข้ามา เสียเวลามั๊ยเนี่ย”
               ไลท์กับป๊าเดินเข้าไปในครัว ผมก็ตามไปห่าง อยากดูพ่อลูกเขาคุยกัน เพราะดูแล้วน่าจะต่างกับชีวิตผมมาก
               “อย่าบ่นเลยน่า ป๊าอยากกินฝีมือไลท์ ทำให้หน่อยน้า...” ขี้อ้อนด้วยเอ้า อายุเท่าไหร่ อ้อนเป็นเด็ก
               “ไม่ต้องมาอ้อน อยากกินก็ต้องมาช่วยทำ”
               “ก็ได้” จากที่นั่งตีพุง ตอนนี้ก็ยอมลุกไปช่วยลูกงั้นหรอ ผมเริ่มจะรู้สึกรักป๊าไลท์ขึ้นมานิดๆแล้ว
               “เนี่ยแหละ ถึงได้บอกว่าให้หาเมียทำกับข้าวเก่งๆอีกสักคน จะได้ไม่ลำบาก เอาสาวๆเอ๊าะๆก็ได้ อยู่ได้นานๆไง”  เอ๊ะ นี่ลูกหรอ ยัดเยียดให้พ่อหาเมียใหม่ ได้ยินแล้วก็ให้ยิ้ม  “—แต่อย่าเซ็นต์มอบมรดกก่อนตัวเองจะปลดระวางล่ะ เดี๋ยวโดนปอกลอก”
               “ลื้อไม่ต้องมายั่วหรอก” ป๊าไลท์กำลังล้างหมูอยู่ ในขณะที่ไลท์หั่นมะระ “ป๊ามีม๊าคนเดียวเท่านั้น ป๊ารักม๊า ไม่ว่าม๊าไลท์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
               เห็นเชียร์ให้พ่อตัวเองหาแม่ใหม่ แต่พอบอกว่ารักแม่ตัวเองคนเดียว ก็ยิ้มไม่หุบเลย ไลท์ได้นิสัยพ่อมาเยอะเหมือนกันนะ ไอ้ความน่ารักอบอุ่น รักเดียวใจเดียว...ผมไปร่วมวงด้วยดีกว่า
               “ขอช่วยด้วยคนได้มั๊ยครับ”  ผมว่าผมพูดดังนะ แต่ป๊าไลท์ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย
               “เฮ้ย...ไลท์ ป๊าได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ เหมือนจะเรียกว่า ช่วยด้วย ช่วยด้วย หรือจะเป็นผี”
               “ป๊า แขกเข้าบ้าน ทำตัวดีๆหน่อย” ดีมากไลท์ ป๊าไลท์นี่กวนตีนจริงๆ  “มานี่มะ ช่วยไลท์หั่นมะระ”
               หั่นมะระ... อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าครัว แต่เมื่อเป็นสถาปนิก ต้องทำได้ทุกอย่าง
               “ให้ป๊าทำไงกับหมูล่ะ” ป๊าไลท์ถาม
               “สับให้หน่อย” ไลท์กำลังเตรียมหม้อ  “เออ..แล้วก็เอาซี่โครงในตู้กับข้าวมาอุ่นด้วยนะ เดี๋ยวบูด เสียดาย”
               “ครับลูก”


               กว่าจะเสร็จ ใช้เวลาร่วมชั่วโมง ไลท์บ่นผมว่าหั่นไม่ได้เรื่อง ส่วนป๊าโดนเรื่องแอบกินก่อนจะจัดโต๊ะ วุ่นวายอยู่นานจึงมีอุปกรณ์พร้อมสำหรับสามที่
               “ป๊าเพิ่งกลับบ้าน มาช่วยไลท์แบบนี้ไม่เหนื่อยรึไง” ไลท์พูด
               “อยู่กับคนที่ป๊ารักไม่มีคำว่าเหนื่อยหรอก”
               “ผมเห็นด้วยครับป๊า” ผมรีบเห็นด้วยเลยข้อนี้  นี่เป็นการเรียกรอยยิ้มของไลท์แบบเบาๆ
               “ลื้อนี่เป็นรุ่นพี่ที่ดีนะ ไม่เคยเห็นรุ่นพี่ดูแลน้องดีแบบนี้มาก่อน”   ผมยิ้มให้ไลท์แล้วตักข้าวเข้าปาก  “หรือว่าลื้อจะจีบลูกอั๊ววะ”
               ผมนี่ถึงกับสำลัก รีบหาน้ำอย่างไว ไลท์ก็หน้าแดง ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน
               “เอ้านี่ ผักน่ะกินเข้าไปเยอะๆ”  ไลท์คงเห็นผมกินช้าเพราะมัวแต่คุย น่ารักจัง  “ซี่โครงวัวนี่ก็อร่อยนะ”
               เดี๋ยวนะ วัวหรอ “เดี๋ยวไลท์  พี่ไม่กินเนื้อวัว”
               ไลท์คงแปลกใจ “ไม่กินเนื้อวัวหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย” ที่จริงก็มีคนรู้ไม่มากหรอก ยิ่งเหตุผลยิ่งไม่มีใครรู้ แต่ถ้าไลท์ถาม ผมจะตอบ  “--ทำไมถึงไม่กินล่ะ”
               ถามจริงๆด้วย “ก็...พี่เคยเลี้ยงวัวไว้ที่สวนหลังบ้าน คือ...แอบเลี้ยงน่ะ ตอนแรกก็แค่ลองดูว่าจะทำเป็นอาชีพได้มั๊ย มีวัวนมตัวหนึ่งชื่อมาเรีย อีกตัวเป็นวัวเนื้อ ชื่อบาร์ตัน ทีนี้พอเลี้ยงไปได้สามเดือนพี่ก็เริ่มรู้สึกว่าพี่ไม่อยากขายมัน”
               “น่ารักนะเนี่ย แสดงว่ารักสัตว์ใช่ป่ะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องไม่กินเนื้อเลยนี่นา”
               “เกี่ยวสิครับ เพราะในที่สุดพ่อพี่ก็รู้เรื่อง เลยเอาไปขายโรงชำแหละ” ไม่น่าเล่าเลย ความรู้สึกตอนนั้นกลับมาอีกแล้ว ครั้งแรกที่ผมรู้สึกเกลียดพ่อตัวเอง  “พี่เลยทำใจกินเนื้อไม่ลงไง”
               ผมกำลังจะกินต่อแต่ไลท์เอาแต่จ้องหน้าผม สีหน้าเขาดูครุ่นคิดพิกล  “เป็นอะไรรึเปล่าไลท์”
               “ตกลงลื้อเป็นใครวะ ชื่อธันวาใช่มั๊ย” ป๊าไลท์แทรกขึ้นมา
               “ครับ”
               “พ่อลื้อชื่ออะไร”
               มาถามชื่อคนที่ผมไม่อยากพูดถึงซะอย่างนั้น “เขาชื่อศักดา”
               “ศักดาหรอ...” ป๊าทำท่าเหมือนรู้จักพ่อผม เขามองด้วยสายตาแปลกๆ  “ศักดา นิลวัชระ”
               “รู้จักเขาด้วยหรอครับ”
               “งั้นแม่ลื้อก็คือเธอ อดีตหม่อมราชวงศ์คนนั้น...” ตรงนี้ดูเหมือนป๊าไลท์จะพูดกับตัวเอง
               “ช่างเหอะ แล้วนี่กินเสร็จจะกลับเลยหรือเปล่าล่ะ” จู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง
               “ก็...คงอย่างนั้นครับ”
               “นี่ก็ดึกแล้วนา จะขับรถกลับไหวหรอ อยู่ค้างที่นี่ก่อนก็ได้”  ไหวน่ะไหว แต่เมื่อชี้โพรงขนาดนี้ กระรอกขอตามน้ำสักหน่อยแล้วกัน 
               “ขอบคุณครับป๊า ผมกำลังเพลียๆอยู่เลย” แล้วก็ยักคิ้วให้ไลท์หนึ่งจึก
               “นอนห้องรับแขกไปแล้วกัน” ไลท์พยศครับ ไม่ยอมนอนกับผม
               “เฮ้ย ได้ไงวะ ไม่ได้เปิดมาเป็นชาติ มีแต่ฝุ่น ไปนอนกับลื้อนั่นแหละดีแล้ว”  ขอบคุณมากครับป๊า ผมยักคิ้วให้อีกหนึ่งจึก              “แล้วก็อย่าทำอะไรกันในบ้านอั๊วล่ะ  เจ้าที่เจ้าทางมี”
               “ป๊า.......” ไลท์โวยวาย ผมเอ็งก็ตกใจ ทำไมป๊าพูดงี้วะ
               “พวกลื้อเป็นเป็นอะไรวะ ล้อเล่นนิดเดียวทำไมต้องหน้าแดงกันแบบนั้นด้วย”
               ...ก็ป๊าทำให้ผมคิดลึก....



               ไลท์กับผมอาสาไปล้างจานให้ ไลท์ไม่พูดไม่จา ถูจานอย่างกับจะให้มันถลอกให้ได้ อาจเป็นเพราะความแดงของใบหูที่ผมมองอยู่ด้านหลังนี้ก็ได้มั้ง ผมเห็นก็ยิ่งคันไม้คันมือ ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ไลท์กวนผมบนโต๊ะอาหารก็ยิ่ง... ผมทนไม่ไหวแล้ว
               แอบหอมแก้มซะเลย....
               “เฮ้ย เชี่ย ฉวยโอกาสอีกแล้วนะมึงน่ะ” อูยยย   ดูท่าจะโกรธ ดูดิ โกรธหูแดงหน้าแดงไปหมด
               แต่ผมยังไม่สาแก่ใจครับ ขณะเขี่ยเศษอาหารลงถัง ผมก็แอบกระซิบเบาๆที่ข้างหู
               “คืนนี้ไม่รอดแน่”
               ไลท์คงจะเขินมาก ปล่อยจานลื่นหลุดมือลงพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆเสียงดังมาก แต่แทนที่จะตกใจกับจาน ไลท์กลับหันมาทุบผมด้วยกำปั้นชุบฟอง
               “เฮ้ย เลอะ ไม่เอา”
               “ไอ้ บ้า พี่ ธัน” ไลท์ยังทุบผมอยู่ แต่ผมเห็นว่าเขาไม่ระวังเท้าเลย จะเหยียบเศษจานอยู่แล้ว ผมเลยปล่อยเขาทุบไป สองมือก็โอบรอบเอวแล้วยกออกมาให้พ้นเศษจาน
               “ทำอะไรเนี่ย ปล่อย”
               “ไลท์ไม่ระวังเท้าเลย เดี๋ยวก็โดนบาด” ผมปล่อยเขา “ไปนั่งรอไป เดี๋ยวพี่เก็บเศษจานก่อน”
               “ไอ้ไลท์ เมื่อกี้ลื้อทำจานแตกอีกแล้วหรอ คราวนี้ถ้าหมดไปซื้อเองนะเว้ย” ป๊าไลท์ตะโกนออกมาจากห้องนั่งเล่น ส่วนไลท์เมื่อได้ยินก็ทำหน้ายู่ยี่ ก่อนจะพูดตอบกลับไปว่า “เมี๊ยวววว
               มันตลกนะ แต่ผมโคตรชอบไลท์ตอนทำเสียงแบบนั้นเลย นี่ถ้าเสียงแบบนั้นออกมาตอนไลท์อ้อนละก็...
               “รีบเก็บสิ”  ไลท์ทำผมหลุดจากมนตร์สะกด
               “ครับๆ”


               ไลท์นอนไปแล้วแต่ยังไม่หลับ ที่บ้าน...ไลท์มีหมอนข้างรูปจระเข้สีเทาไว้กอดแทนเจ้าหมอนหมาที่หอ แต่ก็ยังมิวายหาหมอนข้างใบใหญ่อีกใบมากั้นระหว่างผมกับเขา ผมที่พึ่งอาบน้ำเสร็จก็นั่งเช็ดผมอยู่บนเตียงสีน้ำตาลอ่อนอย่างจนใจ ไม่รู้จะทำยังไงให้เขากอด
               ห้องไลท์น่ารักมากครับ เต็มไปด้วยเครื่องประดับที่มีบางส่วนเป็นสัตว์น่ารักๆ อาทิเช่น โคมไฟเป็ดหัวโต โต๊ะทำงานไม้รูปม้าที่มีตุ๊กตาตั้งอยู่หลายตัว ตู้ไม้ทรงยุโรปโบราณ โซฟาเดี่ยวรูปวัว ไลท์บอกไลท์ไม่ชอบอยู่ห้องใหญ่ๆ ห้องเล็กอบอุ่นดี
               “ไลท์” หลับยังหว่า
               “อะไร” เสียงอู้อี้เบาๆตอบกลับมา ยังไม่หลับ ดี
               “เสื้อไลท์นี่ตัวเล็กจัง” เขาหันมาหาผมแล้ว แต่พอไม่ใส่แว่นแล้วมันรู้สึก.. หมั่นเขี้ยว
               “ถามไม่ดูขนาดตัวเลยนะ พี่ธันก็เอาเสื้อพี่ไปปั่นสิ เช้าจะได้ใส่กลับ”
               ผมว่าเรื่องนี้.. “ไม่ล่ะ พี่ให้ไลท์เก็บไว้ในห้องไลท์ดีกว่า”
               “จะใช้มุขอยากมาค้างอีกรึไง ทิ้งเสื้อไว้ห้องคนอื่นนี่คิดว่าเท่หรอ”
               ไลท์นะไลท์ ทำพี่เสียอารมณ์หมด “ไม่รู้แหละ เก็บไว้ให้ด้วยเลย”
               แล้วไลท์ก็หันกลับไปอีกฝั่ง “ตามใจดิ”
               ยังไงดีวะ ตอนนี้ก็น่าจะได้ ดูว่าง่าย...
               “เอ่อ... ไลท์”
               “อะไรอีกล่ะ” คราวนี้ไม่หันมาแล้วแหะ
               “ทำเสียงแมวให้พี่ฟังอีกสิ พี่อยากฟัง”
               “แม๊ว”   โอย ไม่เอาแบบนี้อ่ะ
               “ไม่ใช่แบบนี้ เอาแบบ...เสียงแมวอ้อนน่ะ”
               ผมมาคิดดูแล้วนะ เพราะว่าไลท์เป็นคนขาวผิวดี ทำให้เวลาเลือดสูบฉีดขึ้นมามันถึงได้แดงง่ายดายมาก เขินนิดเขินหน่อยก็แดงราวกับตำลึงสุก ตอนนี้ผมก็ได้แต่กลั้นใจรอฟังเสียงนั้นของไลท์  แล้วในที่สุดก็.....
               “เมี๊ยวววว!!!
               พอร้องเสร็จ เจ้าตัวก็ดึงผ้าคลุมโปงทันที  โอ๊ย ผมฟังแล้วยังอยากจะขย้ำพ่อเสื้อน้อยคนนี้  ให้ตาย วันนี้แม่งฟินสัด อยากจะอัดเสียงไว้เปิดฟังก่อนนอน  แต่นี่ดึกแล้ว ผมให้ไลท์นอนดีกว่า เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ ก่อนนอนผมไม่ลืมหรอกนะ ไลท์บอกว่าม๊าทำให้ตลอดตอนท่านยังมีชีวิต ผมไม่เคยได้ยินมันจากแม่ตัวเองหรอก แต่ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง ต้องค่อยๆกระเถิบเข้าไปใกล้หูเขาให้มากที่สุด แล้วเอ่ยมันออกมาด้วยความห่วงใยจากใจจริง...


               “ฝันดีนะครับ แมวน้อยของพี่่”









ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม่พี่ธัน มัดมือชก คลุมถุงชน
จะให้ธันแต่งกับนาเดีย

นางปากร้าย ว่าไลท์...เป็นของเล่น
ฮะๆ......แต่ของเล่น เจ้าของยังจับต้อง ยังเล่นด้วย
แต่นาเดีย เธอน่ะเป็นของที่เขาไม่อยากมอง  ยังไม่รู้ตัว
แม้แต่ของเล่นยังเป็นไม่ได้ กร๊ากกกกกก
ยังมีหน้ามาปากเสียว่าคนอื่น
รู้จักก็ไม่รู้จัก เลว นิสัยเสีย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด